ปรสิต | 04
“ขอบคุณมากนะคะหมอ”
“อย่าลืมดูแลตัวเองตามที่หมอบอก แล้วก็ทานยาให้ครบนะครับ ถ้าไม่ดีขึ้นยังไงเนี่ย ให้รีบมาหาหมอทันที” ยิ้มรับอย่างสุภาพก่อนจะเอ่ยกำชับคนไข้หญิงวัยกลางคนซึ่งโค้งให้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงเดินออกไป นายแพทย์หนุ่มเขียนลายมือหวัด ๆ ลงไปในแฟ้มสีฟ้าซึ่งมีตราโรงพยาบาลประทับอยู่ด้านหน้า เอนตัวไปส่งข้อมูลผ่านทางคอมพิวเตอร์เพื่อส่งต่อคำสั่งจ่ายยาไปถึงฝ่ายเภสัชกรรมก่อนที่คนไข้จะไปถึง
หยัดหลังตรงแล้วบิดขี้เกียจอยู่สองสามทีพลางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย คนไข้คิวสุดท้ายของรอบนี้หมดลงแล้ว และพยาบาลก็ไม่ได้เข้ามาแจ้งกำหนดการต่อไป ชายหนุ่มจึงคิดว่าเขาควรใช้เวลาในการตรวจสอบประวัติคนไข้ในความดูแลเสียที
เอี้ยวตัวไปมองที่ตู้กระจกด้านหลังพลางหมุนเก้าอี้แล้วเลื่อนตามมาด้วย เหมือนเป็นนิสัยเสียเล็ก ๆ สำหรับคนที่นั่งเก้าอี้แบบนี้อยู่ประจำ ศรัณย์แทบนับได้ด้วยซ้ำว่ามีเพียงไม่กี่ครั้งที่เขายอมผละก้นลุกจากเก้าอี้แล้วใช้การเดินไปหาของใกล้ ๆ แทนเลื่อนล้อนี่ไปมาจนเกิดเสียงครืดคราด
แฟ้มเอกสารหลาย ๆ อันถูกเรียงรายกันอยู่ภายในตู้กระจกอย่างเป็นระเบียบ คนเป็นหมอเขาว่าขยันและทุ่มเท แต่ก็มีบ้างที่ศรัณย์เกิดอยากงอแงกับตัวเองแล้วหนีกลับไปหาคนรักให้รู้แล้วรู้รอด คิดขึ้นมาแล้วก็อมยิ้มไม่หุบ รามิลย้ายมาอยู่กับเขาได้สองสามวันแล้ว
เสียงบานประตูเลื่อนเปิดและปิด กระจกใสตรงหน้าสะท้อนเงาภาพชายกระโปรงสีขาวและขาของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามา
ไหนว่าคนไข้เมื่อครู่คนสุดท้ายแล้วไง
“เชิญครับ”
เพราะว่ายังอยู่ในเวลางาน นายแพทย์จึงไม่อาจปฏิเสธหน้าที่หมอได้ ศรัณย์ละจากแฟ้มเอกสารตรงหน้าแล้วหมุนเก้าอี้กลับมาพร้อมปั้นยิ้มให้อย่างที่ชอบทำ ทว่ายิ้มนั้นกลับต้องหุบลงอย่างรวดเร็ว
“....”
ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว
มีแต่เขาเพียงลำพังภายในห้อง และไม่นานนักบานประตูก็เปิดออกอีกรอบพร้อมกับพยาบาลสาวผมสั้นซึ่งถือแฟ้มสีฟ้าหน้าตาเหมือนเดิมมาวางไว้ให้บนโต๊ะ
“คุณเอ๋”
“คะหมอ”
“เมื่อกี้มีใครเข้ามาหรือเปล่า” ศรัณย์แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด และเพียงเสี้ยวนาทีที่หันกลับมาคน ๆ หนึ่งก็ไม่น่าจะหายไปได้ไวขนาดนี้ นั่นแหละ เธอยืนอยู่ตรงนั้น... ตรงที่พยาบาลสาวกำลังยืนมองเขาด้วยสายตาฉงน
“ไม่มีนี่คะ เมื่อกี้เอ๋ยืนคุยกับพี่พิศอยู่แถว ๆ หน้าห้องคุณหมอนี่เอง”
ได้ยินอย่างนั้นคิ้วสองข้างก็ขมวดมุ่น ยกมือขึ้นถูจมูกไปมาช้า ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มเป็นเชิงให้พยาบาลสาวออกไปได้
มันจะเป็นไปได้ยังไง
------------------------------------------------------
นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นดูสลับกับท้องฟ้าข้างนอกที่มืดสนิทมาได้ครู่ใหญ่ ตอนนี้ก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าแล้ว อธิศต้องรับคนไข้รายสุดท้ายไปเมื่อเกือบชั่วโมงก่อน อันที่จริงนี่เป็นเวลาที่เขาควรจะเก็บของกลับบ้านได้แล้ว ถ้าไม่เพียงแต่ยังติดใจเรื่องที่คนไข้รายหนึ่งเบี้ยวนัดไปตั้งแต่เมื่อช่วงบ่าย
เป็นคนไข้ที่จำได้ขึ้นใจเสียด้วย
นั่งทำงานรอภายในห้องตรวจจนถึงทุ่มครึ่ง สุดท้ายความคิดที่ใช้เวลาชั่งใจมาตลอดทั้งช่วงเย็นก็เอาชนะในที่สุด เลื่อนตัวเองออกจากโต๊ะเล็กน้อยแล้วเอี้ยวตัวไปกดเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อพยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์ ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นตามด้วยร่างของพยาบาลสาวฝึกหัดซึ่งเดินเข้ามา
“คุณหมอมีอะไรเหรอคะ”
ร่างสูงละสายตาจากจอแล็บทอปขนาดสิบสามนิ้ว ยิ้มให้คนตรงหน้าเพื่อให้หล่อนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเขียนบางอย่างลงในกระดาษโน้ตแผ่นเล็กด้วยลายมือที่พยายามให้อ่านง่ายที่สุด แล้วดันมันส่งไปยังอีกฝ่าย
“ไปที่ห้องจ่ายยาแล้วตามคนในกระดาษแผ่นนี้มาพบผมทีครับ ถ้าเขาอยู่” ไม่ลืมที่จะสร้างทางเลือกปิดท้ายไว้ให้หากในกรณีที่เจ้าของชื่อนั้นไม่ได้อยู่ในห้องจ่ายยาตามที่คาดไว้
“ชนกันต์”
พยาบาลสาวทวนชื่อในกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา และหลังจากที่อธิศพยักหน้ารับ เธอก็ขอตัวไปทำตามที่ได้รับมอบหมายทันที บานประตูถูกฝ่ามือของใครอีกคนเปิดค้างไว้แล้วเอี้ยวตัวหลบจนพยาบาลเดินออกไป อธิศต้องเงยหน้าขึ้นจากจอแล็ปท็อปอีกครั้งเมื่อมีแขกมาหาเขาถึงที่ ร่างในชุดกาวน์สีขาวก้าวอาด ๆ มานั่งลงตรงหน้าพร้อมยิ้มทักทายอย่างคุ้นเคย
“ไง”
“ออกเวรแล้วเหรอ” เอ่ยตอบคำทักทายไปตามประสา มือหนากดเซฟไฟล์ในเครื่องและปิดลงจนเหลือเพียงแค่หน้าเดสก์ท็อป มันอาจจะไม่แปลกที่เพื่อนอายุรแพทย์มาหาเขาถึงห้อง เพียงแต่มันไม่ได้เกิดขึ้นจนเป็นปกตินั่นเอง อธิศถึงได้คิดว่าศรัณย์คงมีเรื่องที่อยากพูดคุยด้วยเป็นการส่วนตัว
“เวลาพักหายใจหายคอน่ะ” เสียงนุ่มติดหัวเราะอยู่ในที บางทีศรัณย์คงกำลังคิดว่าจะพูดเกริ่นอย่างไรเพื่อพาเข้าสู่บทสนทนาได้อย่างไม่ผิดสังเกต “นายก็เถอะ นี่มันเลยห้าโมงมาตั้งนานแล้วทำไมยังไม่กลับอีก”
จะว่าติดคนไข้ก็คงไม่ถูก แต่จะให้บอกว่ารอคนไข้มันก็ฟังดูประหลาดเกินกว่าที่อธิศจะยอมพูดเป็นคำตอบออกไป “ฉันมันตัวคนเดียว จะอยู่ที่ไหนก็คงเหมือนกัน”
เป็นอันรู้กันว่าต่างฝ่ายก็ต่างแยกตัวออกจากที่บ้านแล้วมาพักอยู่คอนโดมิเนียมที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก หนึ่งคือภาระหน้าที่ และสองคือความสบายใจในการใช้ชีวิต
“มาหาฉันถึงนี่ อยากจะปรึกษาอะไรหมอจิตเวชกัน” แซวออกไปทั้งอารมณ์ขัน ศรัณย์หัวเราะตอบ แต่ก็วางสองมือขึ้นประสานบนโต๊ะหลวม ๆ แล้วว่า
“หมู่นี้ฉันรู้สึกแปลก ๆ”
“ยังไง”
“บางทีมันเหมือน... ฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว จะว่าตาฝาดก็ไม่ใช่” ศรัณย์ยกนิ้วขึ้นชี้เป็นวงกลมอยู่บริเวณดวงตาเป็นอิริยาบถประกอบ และนั่นทำให้คิ้วเรียวของจิตแพทย์หนุ่มต้องเลิกขึ้นน้อย ๆ “เฮ้ อย่ามองฉันอย่างนั้น”
“รู้เหรอว่าจะพูดอะไร”
“ฉันเป็นหมอนะอธิศ ฉันรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้เครียดเกินไปหรือว่านอนน้อยจนเกิดภาพหลอนแน่ ๆ” เสียงของศรัณย์ดูเคร่งเครียดขึ้นมาเพราะกลัวจะถูกเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกถึงความไม่พอใจ “แล้วเวลากินน้ำหรือว่าอาหาร”
“....”
“มันเหม็นกลิ่นโคลนแปลก ๆ เหมือนไปติดจมูกจากไหนมา ไม่หายสักที”
ได้ฟังอย่างนี้ อธิศก็ขมวดคิ้วมุ่นจนแทบผูกเป็นปม กลิ่นของโคลนในกาแฟแก้วเมื่อคืนก่อนราวกับจะลอยขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนถึงสิ่งที่เพื่อนพูด แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็ยังคงท่าทีไว้ได้แม้ในใจจะกำลังโต้แย้งถึงเรื่องความเกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นก็ตาม บางทีศรัณย์อาจจะเตรียมคำพูดมาแค่นี้ ร่างโปร่งถึงได้เงียบไปเพื่อรอความเห็นจากเขาหรืออะไรก็ตามที่พอจะใช้เป็นเหตุผลขึ้นมาได้ แต่น่าผิดหวังที่ความคิดในหัวของจิตแพทย์หนุ่มยังไม่เป็นรูปเป็นร่างมากพอ
ก๊อก ก๊อก“คุณหมอคะ”
เสียงเคาะประตูพร้อมด้วยนางพยาบาลสาวที่เปิดเข้ามาโดยมีชายอีกคนทางด้านหลัง ชนกันต์ยืนหน้าบูดอยู่ในชุดกาวน์แขนสั้น สีหน้านั้นดูอิดโรยไม่ต่างจากจากวันก่อน ไม่สิ มันต่างตรงที่เด็กคนนี้ไม่ยอมทักทายเขาด้วยท่าทางนอบน้อมเหมือนอย่างในวันแรกที่เจอกันมากกว่า
“มีคนไข้เหรอ” ศรัณย์ถามทั้งที่ได้หยัดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงเรียบร้อยแล้ว และถึงต่อให้อธิศตอบว่า
เปล่า แต่เขาก็คิดว่าได้ใช้เวลาอู้มามากเกินพอ “งั้นขอตัวเลยแล้วกัน”
ปรายสายตามองเด็กในชุดเสื้อกาวน์อย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินสวนออกไป หากแต่เพียงครู่เดียวที่สวนกันร่างผอมก็ต้องขนลุกซู่แล้วหยุดชะงักแทบจะทันที
“....”
“ครับ?”
ชนกันต์ตอบหยั่งเชิงกลับไปเมื่อถูกจ้องด้วยดวงตากลมโตของอายุรแพทย์ที่เขาเคยเห็นเพียงผ่าน ๆ ศรัณย์ดูเหมือนจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการรักษาท่าทีให้กลับมาเป็นปกติ แต่ผิดคาดที่คุณหมออารมณ์ดีเลือกหันกลับไปยังเบื้องหน้าแล้วก้าวเท้าเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ทันทีที่ประตูห้องตรวจของหมออธิศปิดลง นายแพทย์หนุ่มก็ต้องหยุดเดินแล้วเหลียวกลับไปมองทางด้านหลังอีกครั้ง ตอนที่เขาเดินสวนกับเด็กคนนั้น --
“เป็นไปไม่ได้...”
พึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางยกมือขึ้นถูจมูกไปมา หันไปเห็นพยาบาลสองคนตรงเคาน์เตอร์กำลังนั่งพูดคุยกันก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปถาม ไม่ว่าเด็กคนเมื่อสักครู่จะเป็นใคร แต่ที่แน่ ๆ ก็ต้องเดินผ่านตรงนี้ก่อนเข้าห้องตรวจอยู่แล้ว
“มีอะไรให้ช่วยคะหมอ”
ถึงตอนนี้เขาพยายามเค้นคำพูดที่ติดอยู่ในคอออกมาอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ยากเย็นเหมือนกับมีก้อนดินติดอยู่ในลำคอยังไงยังงั้น “เมื่อกี้พวกคุณได้กลิ่นเหม็นอะไรบ้างหรือเปล่า”
“คะ?”
“คือผมหมายความว่า --” ทั้งที่อยากจะอธิบายออกไปใจแทบขาด แต่สายตาและท่าทีที่มีกลับมานั้นกลับเป็นคำตอบได้อย่างชัดเจนว่าคงมีเขาที่รู้สึกไปคนเดียว เพราะอย่างนั้นหมอหนุ่มถึงได้ฝืนปั้นยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปคล้ายกับว่าแค่เผลอพูดมันออกมาเรื่อยเปื่อย “ไม่มีอะไร”
บรรยากาศวังเวงของแผนกจิตเวชและความคลื่นเหียนที่ยังติดอยู่ในลำคอยังคงเด่นชัด กลิ่นคาวคละคลุ้งและรสขมปร่าติดปลายลิ้นแทรกขึ้นมา นั่นทำให้รู้สึกแน่ใจในสิ่งที่ตัวเองพูดกับอธิศไป มันต้องมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ
แล้วยิ่งตอนที่เดินผ่านเด็กคนนั้น ความรู้สึกอย่างที่ว่าก็ดูจะรุนแรงขึ้นเสียจนบางอย่างในท้องมันตีขึ้นมาติดคอหอย กลิ่นเหม็นสาบของดินโคลนทำให้รู้สึกเวียนหัวจนเขาคิดว่าเด็กนั่นอาจจะเพิ่งไปตกบ่อโคลนที่ไหนมา
แต่ที่ผิด... ก็คือการที่เขารู้สึกอยู่คนเดียว
------------------------------------------------------
ความเงียบโรยตัวขึ้นหลังจากนางพยาบาลขอตัวออกไปด้านนอก ตอนนี้ภายในห้องตรวจจึงมีแค่จิตแพทย์อธิศกับว่าที่เภสัชกรชนกันต์เท่านั้นที่ยืนสร้างความอึดอัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สีหน้าอิดโรยของคนอ่อนวัยกว่ายังคงดูรั้นเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แล้วก็ยืนยันท่าทีด้วยการไม่ยอมเดินมานั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
อธิศตัดสินใจเก็บเรื่องปฏิกิริยาของศรัณย์เมื่อครู่เอาไว้ในใจแล้วให้ความสนใจกับคนตรงหน้า คนตัวเล็กกว่าดูอยากจะพูดคำว่า
มีอะไรออกมาเต็มแก่
“แผลคุณหายดีหรือยัง” ถามไปถึงรอยข่วนใต้กางเกงที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ชนกันต์ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ ถ้าคิดในแง่ดีนี่คงไม่ใช่การจงใจกวนประสาทสักเท่าไหร่ “นั่งสิครับ” อธิศเหลือบมองนาฬิกาข้อมือซึ่งบอกเวลาเกือบ ๆ สองทุ่ม ร่างเล็กนั่งลงแล้ว แต่ยังล้วงสองมือไว้ในกระเป๋าเสื้อกาวน์เหมือนอย่างตอนที่ยืนอยู่
“หมอจะเรียกผมมาทำไมอีก” ถึงมันจะดูเสียมารยาทแต่ความขุ่นเคืองในใจกลับมีมากกว่า ไม่รู้ว่าหมออธิศจะอยากเจอเขาไปทำไมในเมื่อไม่เชื่อสิ่งที่พูด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงกับให้นางพยาบาลไปตามถึงที่ทำงานด้วยแล้ว อธิศไม่ตอบอะไรนอกจากเลื่อนถาดยาแบบมีฝาปิดไปตรงหน้าพร้อมกับแก้วน้ำเปล่าที่ยังคงมีไอน้ำเย็น ๆ เกาะอยู่รอบแก้ว พอจับดูถึงได้รู้ว่ามันอาจจะถูกนำเข้ามาครู่หนึ่งแล้ว
“ครับ?”
“ไดอะซีแพม คุณอยากได้มันไม่ใช่เหรอครับ” ใบหน้าหล่ออมยิ้มน้อย ๆ แล้วกอดอกรอให้ชนกันต์กินมันเข้าไป กลับกันที่ร่างเล็กเงยขึ้นมองเขาแบบไม่เชื่อสายตา และไม่กี่วินาทีต่อมามันก็หรี่ลงอย่างสงสัย “เอาใส่ปาก ดื่มน้ำตาม และไปนอนที่โซฟาครับ”
บางทีชนกันต์อาจจะไม่ได้ต้องการคำแกมสั่งแบบนี้ แล้วยิ่งถ้าจะต้องให้เขาไปนอนบนโซฟาตัวเดิมที่ต้องฝันร้ายและขาถูกข่วนจนเป็นแผลน่ากลัวนี่ด้วยแล้ว คำพูดของอธิศก็ดูจะเป็นเรื่องไร้สาระและไม่น่าฟังเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว
“ไม่ครับ ผมจะกลับไปนอนที่ห้องจ่ายยา”
“ผมอยู่ตรงนี้”
“คราวที่แล้วหมอก็พูดอย่างนี้” แล้วทิ้งให้เขาต้องเจอกับอะไรบ้าง อยากจะตัดพ้อออกไปจริง ๆ
นี่เป็นเรื่องที่อธิศอดจะรู้สึกผิดไม่ได้ ไม่ถึงห้านาทีที่เขาละสายตา แต่มันกลับเกิดเรื่องแปลกประหลาดและดูเหมือนจะฝังลึกลงไปในใจอีกฝ่ายจนเป็นผลกระทบทางจิตใจ ร่างสูงโน้มตัวมาข้างหน้า ประสานสองมือลงวางบนโต๊ะแล้วว่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนน่าคล้อยตาม
“ครั้งนี้ผมจะไม่ไปไหน”
“....”
“จะนั่งอยู่ตรงนี้”
“....”
“ผมสัญญา”
ได้ยินอย่างนั้น ชนกันต์ก็แสร้งบอกตัวเองให้ใจแข็งต่อไปไม่ไหว ลึก ๆ แล้วสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือที่พักพิง จิตแพทย์นี่เกลี้ยกล่อมเก่งทุกคนเลยหรือไงนะ
สุดท้ายแล้วชนกันต์จึงหยิบยาในถาดขึ้นใส่ปากแล้วกระดกน้ำตามอย่างเสียไม่ได้ เห็นอย่างนั้นคนมองก็อมยิ้มแล้วหันหน้าเข้าจอแล็ปท็อปเพื่อสานต่องานที่ทำค้างไว้ หางตายังคงปรายมองคนที่เดินไปทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาด้วยท่าทางหวาดระแวง และอธิศก็ไม่ได้มีความคิดที่จะบอกความลับเรื่องที่เขาเห็นรอยยุบข้าง ๆ คลายตัวหลังจากเจ้าตัวลุกไปเมื่อครั้งที่แล้ว
ราวห้านาทีต่อมาก็ละสายตาจากแล็ปท็อปเพื่อมองดูอีกฝ่ายว่าเข้าสู่นิทราไปแล้วหรือยัง เหมือนคราวที่แล้ว ชนกันต์หลับง่ายมากเหลือเกิน อาจจะเพราะต้องอดหลับอดนอนมาครึ่งค่อนเดือน ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอทุกครั้งที่เขาหันไปดู จนกระทั่งสองทุ่มครึ่งก็ปิดเอกสารงานทั้งหมดในหน้าจอแล้วหยิบฮาร์ดดิสแบบพกพากับหูฟังออกมาจากกระเป๋าส่วนตัว อธิศใช้เวลาเกือบชั่วโมงไปกับการนั่งดูหนังเรื่อยเปื่อย วันนี้เขาเตรียมตัวมาสำหรับการนั่งเฝ้าเด็กคนนี้หลับอยู่แล้ว แต่เรื่องที่ว่าจะนั่งแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงเช้าเลยหรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจ แต่ถ้ามันจะทำให้คนไข้คนนี้ได้นอนหลับเต็มอิ่มสักคืนล่ะก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเท่าไรนัก
อธิศไม่ได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิวจากทางด้านนอก ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงแอร์ภายในห้องทำงาน หูฟังทั้งสองข้างทำหน้าที่ส่งผ่านเสียงจากในหนังเข้าหูจนเลิกที่จะสนใจสิ่งแวดล้อมอย่างอื่นไปพักใหญ่ ฉากตัวละครหญิงกับชายทะเลาะกันเรื่องปัญหาครอบครัวดำเนินมาได้พักหนึ่งแล้ว หากแต่ความสนใจก็ต้องถูกดึงไปเมื่อไฟนีออนในห้องเกิดกระพริบถี่ ถอดหูฟังออกข้างหนึ่งเพื่อเงี่ยฟังเสียงฝนตก เพียงครู่เดียวร่างสูงก็ใส่หูฟังกลับเข้าหูดังเดิมหลังจากให้คำตอบกับตัวเองว่านี่ก็แค่ไฟตกธรรมดาเท่านั้นเอง
หากแต่ไฟที่ดับพรึ่บลงนี่มันกลับสร้างความแปลกใจให้กับคนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอย่างเขาเหลือเกิน เป็นไปไม่ได้เลยที่ระบบจ่ายไฟสำรองจะไม่ทำงาน บางทีอาจจะมีเพียงแค่ห้องนี้ห้องเดียวที่ฟิวส์ขาดหรือหลอดไฟมีปัญหา คิดได้อย่างนั้นจึงหยัดตัวเองลุกขึ้นเพื่อจะเปิดประตูไปดูทางโถงด้านนอก เขาอาจลืมไปว่ายังคาหูฟังไว้ที่หู ปลั๊กของมันถึงได้หลุดออกจากแล็ปท็อปจนเกิดเสียงหวีดดังไปทั่วห้อง
‘you're so nosy!’( แกนี่สาระแนจริง! )ทั้งห้องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง อธิศรีบถลาไปกดหยุดเล่นไว้เพราะกลัวว่าเสียงเมื่อครู่จะทำให้อีกคนตกใจตื่นขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เพราะชนกันต์ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงเป็นที่เรียบร้อย
“เกิดอะไรขึ้น”
นายแพทย์หนุ่มถอดหูฟังออกจากหูลงวางบนแล็ปท็อปในขณะที่ดันมันปิดลงไปด้วย เขาแย้มรอยยิ้มบาง ๆ พลางว่าเสียงเรียบ “ไม่มีอะไร ผมทำหูฟังหลุดน่ะ” มันก็แค่เหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นเท่านั้น อธิศคิดว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดปกติมากไปกว่าไฟที่ดับลงเมื่อครู่ และตอนนี้ทุกอย่างก็เข้าสู่ความปกติแล้ว “คุณนอนต่อเถอะ”
พอพูดออกไปอย่างนั้น ชนกันต์ก็ส่ายหน้าตอบกลับมาเป็นคำตอบ เสียงนั้นอ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร “ไม่ครับ... ผมรู้สึกไม่ค่อยดี”
บรรยากาศดูจะแย่ลงกว่าที่เป็นอยู่จนน่าอึดอัด ใช้เวลาคิดไม่นาน อธิศก็เดินไปหยิบเอากระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มาไว้กับตัว “คุณหิวหรือยัง”
“ครับ?”
“ออกไปหาอะไรกินกัน ผมเลี้ยงเอง” ร่างเล็กขมวดคิ้วน้อย ๆ หลังจากได้ฟัง อธิศเอื้อมตัวไปหยิบกระเป๋าส่วนตัวขึ้นมาถือไว้แล้วทำท่าจะเดินนำออกจากห้อง และนั่นทำให้ชนกันต์ต้องรีบลุกตามอย่างช่วยไม่ได้
คนตัวสูงพาเขาเดินออกจากแผนกจิตเวช ลัดเลาะตามทางเดินไปจนถึงบริเวณห้องจ่ายยาของตึกผู้ป่วยนอกที่ชนกันต์ทำงานอยู่ พอไม่ได้ใส่ชุดกาวน์หรือวางท่าเป็นหมอเหมือนอย่างในห้องตรวจแล้ว อธิศก็เป็นแค่ผู้ชายอายุมากกว่าคนหนึ่งที่ช่วยให้เขาอบอุ่นใจอย่างประหลาด
“เดี๋ยวคุณเข้าไปเอาของ ผมจะรอที่หน้าห้อง”
พูดแล้วก็ยืนรอที่หน้าห้องจ่ายยาอย่างที่ว่า แล้วปล่อยให้ชนกันต์เข้าไปเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าส่วนตัว นั่นรวมถึงการถอดเสื้อกาวน์ประจำตัวออกแขวนไว้ที่มุมห้องด้วย พูดคุยกับเจ้าหน้าที่กะดึกนิดหน่อยร่างเล็กก็ออกมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบย่อมที่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าสมุด ยา และพวงกุญแจ
“เราจะไปไหนกันครับ” ถามทั้งที่ยังเดินตามอีกฝ่ายไปยังลานจอดรถ ชนกันต์มองตามแผ่นหลังของร่างสูงที่ยังคงเดินด้วยระดับความเร็วเท่าเดิม มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าหนังใบเล็กสำหรับใส่แล็ปท็อป ของส่วนตัว และถือแฟ้มเอกสารสองสามอัน ส่วนอีกมือนั้นเพียงแค่ล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบาย ๆ
“คุณอยากกินอะไร”
ถูกถามกลับมาอย่างทื่อ ๆ จนตอบไม่ถูก สัปดาห์ที่ผ่านมาเขานึกออกแค่อาหารไม่กี่อย่างในศูนย์อาหารโรงพยาบาล อยู่ดี ๆ มาให้คิดใครจะไปนึกออกกัน “ผมคิดไม่ออกหรอก หมอเลือกเลย”
อธิศเพียงแค่ยิ้มและเดินต่อไปเท่านั้น บรรยากาศในลานจอดรถนั้นเงียบและวังเวงจนชวนให้รู้สึกหวาดกลัว แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการให้เขาเดินมาคนเดียวในเวลาแบบนี้ ชนกันต์เร่งฝีเท้าจนทันขึ้นไปเดินขนาบข้างอีกฝ่าย พอเห็นอย่างนั้นคนตัวสูงจึงยินดีเดินช้าลงโดยไม่ต้องถามให้มากความ “รถผมจอดอยู่ทางนั้น”
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้ารถยนต์สีขาวสะอาดซึ่งเป็นของหมออธิศอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างสูงกดรีโมทปลดล็อกประตูพลางหันไปมองสีหน้าไม่สู้ดีนักของคนข้าง ๆ ขณะชี้ไปอีกทาง
“กลัวที่จะขับรถคนเดียวเหรอครับ” ถามออกไปเหมือนตอนตรวจอาการไม่มีผิด แต่เชื่อเถอะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ชนกันต์รู้สึกดีกับคำถามของจิตแพทย์คนนี้ ถึงได้ยอมพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย
“หมอจะคิดว่าผมบ้า --”
“งั้นไปรถผม” อธิศไม่ได้ต้องการฟังประโยคตัดพ้อหรือเหตุผลเดิม ๆ อีก แค่นี้เขาก็พอดูออกว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว “เดี๋ยวผมพาคุณกลับมาส่งเอง”
พูดจบก็เดินอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับแล้วขับออกมาเพื่อให้ชนกันต์เปิดประตูได้ง่ายขึ้น รับเอากระเป๋าอีกฝ่ายมาแล้วเอี้ยวตัวไปวางรวมกับสัมภาระของตัวเองยังเบาะหลังรถ สิ่งที่เขาควรทำในตอนนี้ก็คือทำให้คนไข้สบายใจขึ้น
และถ้านี่เป็นคืนที่ทำให้ไม่ต้องอยู่คนเดียวล่ะก็... ชนกันต์ยอมทั้งนั้น
------------------------------------------------------
น้ำอุ่นจากฝักบัวไหลรินลงตามร่างกายเปลือยเปล่า ในหัวก็คิดเรื่อยเปื่อยไปถึงใครอีกคนซึ่งยังไม่กลับมา ถึงย้ายมาอาศัยอยู่ด้วยกันแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ มีเวลาอยู่ด้วยกันวันหนึ่ง นับ ๆ ดูแล้วแทบไม่เกินหกชั่วโมง แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นหกชั่วโมงที่รามิลมีความสุขเสียยิ่งกว่าอะไร ศรัณย์เป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเขายังอยู่มัธยมปลาย ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นความสัมพันธ์แบบนี้ไปได้ยังไง อาจจะเริ่มต้นที่ความรู้สึกดี ๆ หรืออะไรก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครเที่ยวไปป่าวประกาศหรือเปิดตัวสถานะให้คนอื่นรู้ แม้แต่ในสายตาเพื่อนด้วยกันแล้ว รามิลกับศรัณย์เป็นเพียงแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันเท่านั้น
ก้มลงมองเมื่อน้ำที่นองอยู่บนพื้นห้องน้ำมันขังขึ้นมาจนถึงตาตุ่ม เวลาที่น้ำไม่ยอมไหลลงท่อก็มักจะเกิดจากเศษผมไปอุดตันแทบทุกครั้ง รามิลจึงใช้ปลายเท้าเขี่ยบริเวณท่อโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ หากแต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือการที่ฝาท่อระบายน้ำมันไม่ได้อุดตันไปด้วยเศษผมอย่างที่คิด ยกเท้าออกก่อนจะเพ่งมองดูแล้วก็เห็นว่ามันคือก้อนดิน ซึ่งก็นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าเขาหรือศรัณย์เคยทำอะไรที่มันจะพาเศษดินเข้ามาอยู่ในห้องน้ำได้บ้าง
Rrrrเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องละความคิดในหัวและรีบกุลีกุจอล้างสบู่ออกจากตัวโดยเร็วที่สุด หยิบผ้าขนหนูมาพันเอวอย่างลวก ๆ แล้วเปิดประตูออกไป เสียงโทรศัพท์เงียบไปแล้ว รามิลหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดู คิดในใจว่าอาจจะเป็นศรัณย์
หากแต่ชื่อที่เห็นกลับทำให้คิ้วเรียวต้องขมวดเข้าหากันจนเป็นปม เด็กหนุ่มรีบกดโทรกลับอย่างไม่คิด ทั้งที่เพิ่งจะผ่านไปได้แค่ไม่ถึงนาที แต่ปลายสายกลับเป็นเสียงโอเปอเรเตอร์ที่ไม่ได้พูดประโยคซึ่งใหม่ไปกว่าการขาดการติดต่อ กดวางแล้วโทรไปอีกรอบ หากแต่เสียงที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นเสียงโอเปอเรอเตอร์อย่างเดิม
ทั้งที่เมื่อสักครู่นี้
แพรพลอยเพิ่งจะโทรหาเขาในรอบเดือนนับตั้งแต่ที่หายตัวไปแท้ ๆ
TBC
----------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์นะคะ ดีใจมาก ๆ ที่หลายคนชอบเรื่องนี้
อันที่จริง นี่เป็นนิยายแนวสยองขวัญเรื่องแรกของเราค่ะ 555555555555
ส่วนตัวเป็นคนชอบอะไรแบบนี้มาก (ชอบทริลเลอร์มากด้วย) แล้วเป็นพวกไม่กลัว
บางทีเขียนไปก็มโนตามแบบที่ตัวเองชอบ แต่ไม่รู้ว่ามันจะน่ากลัวบ้างหรือเปล่า (ฮา)