[ตัวอย่าง] บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์
วันนี้ไม่ได้อัปตอนเต็มนะคะ
เพิ่งกลับมาจาก ตจว. + มัวแต่ปั่นงานอีกเรื่องเลยไม่มีเวลา
เจอกันพรุ่งนี้เย็นๆ แทนเนอะ เจิมรอกันไปก่อนนะคะ XD
----------------------------
“ซูซูหาใช่ของเจ้า และเฉิงเฉิงก็เช่นกัน” เทียนอี้ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
คนฟังแสยะยิ้มร้ายเย้ยหยัน “แต่ทั้งซูซูและเจ้าเหมียวนั่นก็หาใช่ของเจ้าเช่นกัน”
“ไม่ใช่วันนี้ก็วันหน้า”
“เจ้าช่างใจโลเลนัก เลือกเอาสักคนว่าจะครอบครองผู้ใดกันแน่”
“ข้าใจโลเล แล้วเจ้าล่ะเจี้ยนสือ เจ้ามิใช่หรือที่บอกว่ารักมั่นใจซูซู แล้วไยเจ้าถึงมายุ่งวุ่นวายกับเฉิงเฉิง”
เจี้ยนสือเถียงไม่ออกในคราวนี้ ที่เขามาวิวาทกับเทียนอี้อยู่ก็เพราะหวงแหนในตัวของซิ่นเฉิงไม่ใช่หรือ?
และเพราะไม่ยอมตอบคำถาม ก็ทำให้เทียนอี้ซึ่งยืนมองอยู่ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ว่าจะเป็นซูซูหรือเฉิงเฉิง หัวใจของพวกเขาก็ล้วนปฏิพัทธ์ต่อข้า หาใช่เจ้าไม่”
“เจ้าเพ้อพกไปเองแล้วเทียนอี้!”
เจี้ยนสือแผดเสียงด้วยโทสะ ก่อนจะพุ่งทะยานเข้ามา ฟาดดาบเล่มเขื่องในมือใส่คนตรงหน้าด้วยโทสะที่พวยพุ่งไปทั่วร่างอีกครา เทียนอี้ยกดาบขึ้นตั้งรับไว้ทันท่วงที เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นชวนให้น่าหวาดเกรง สองแม่ทัพใหญ่ปะมือกันเช่นนี้หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมไม่ส่งผลดีกับผู้ใดทั้งสิ้น เพราะแม้ทั้งคู่จะกลายร่างจากเทพผู้ยิ่งใหญ่เป็นเทพอสูรไร้อิทธิฤทธิ์ ทว่าวรยุทธก็ยังคงล้ำเลิศไม่ต่างจากเมื่อครั้งยังดำรงเป็นแม่ทัพสวรรค์เลยแม้แต่น้อย
ลมพัดหมุนก่อตัวเป็นพายุลูกขนาดย่อม ฝุ่นผงตลบอบอวลโอบล้อมร่างของแม่ทัพสุนัขป่าและแม่ทัพงูจงอาง ไร้ซึ่งผู้ใดอาจหาญเข้าไปห้ามการวิวาทนี้ เหล่าทหารของแม่ทัพทั้งสอง แม้จะเคยร่วมศึกสงครามสวรรค์ด้วยนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยำเกรงแรงโทสะของทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เหล่าคนรับใช้พากันวิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวในเรือนด้วยหวาดกลัว เฝ้ารอให้ใครสักคนมาห้ามปรามการวิวาทนี้อย่างใจจดจ่อ
หมิงจูที่ได้ยินเรื่องรีบเร่งมายังจวนของเจี้ยนสือ เบื้องหลังมีซิ่นเฉิงควบม้าไล่ตามด้วยสีหน้าตระหนก ครั้นเห็นความพินาศของซากปรักหักพัง ใจก็หล่นวูบด้วยเกรงว่าจะก่อเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตเช่นในอดีตที่ผ่านมา
ในอดีต...เมื่อครั้งที่หลิวซูมีชีวิตอยู่
พลันรีบหันไปมองยังคนข้างหลังอย่างรวดเร็ว ออกปากปรามซิ่นเฉิงเอาไว้ว่าอย่าเข้าไปยุ่งจนกว่าเขาจะได้หว่านล้อมให้สหายทั้งสองใจเย็นลง
ทว่าคงจะช้าไปสักหน่อย เพราะทันทีที่มาถึง สายตาของซิ่นเฉิงก็เหลือบไปเห็นเทียนอี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ที่พลาดท่าไปก็เพราะอีกฝ่ายได้กลิ่นกายของชายหนุ่มเช่นกัน ทำเอาเจี้ยนสือที่ฟาดฟันดาบใส่ไม่ยั้งสบโอกาสฟาดฝ่ามือข้างที่ว่างอยู่ใส่หัวไหล่เต็มแรง มือที่ถือดาบหลุดร่วง ก่อนร่างจะกระเด็นลงไปกระแทกพื้นเมื่อถูกฝ่ามือกระแทกลงมายังแผ่นอกอีกครา
ความจุกเสียดไหลเวียนไปทั่วร่าง เทียนอี้ไอโขลกเอาโลหิตข้นคลั่กออกมา ขณะที่เจี้ยนสือส่งเสียงหัวเราะดังหึ
“หากสิ้นเจ้า เฉิงเฉิงก็จะเป็นของข้า”
ไม่เพียงแต่พูด ยังเงื้อดาบในมือขึ้นสูง หมายจะประหัตประหารสหายให้สิ้น
แม้เป็นเทพอสูรที่มีชีวิตเป็นอมตะ ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้จะเป็นอมตะไปด้วยหากได้รับบาดเจ็บ สูญสิ้นร่างกายก็จะเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในแดนมนุษย์ สวรรค์ไม่เปิดฟ้า ปรโลกไม่เปิดรับ ทนทุกข์ทรมานอยู่ระหว่างสามโลกนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์
หากแต่ซิ่นเฉิงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ครั้นเห็นเจี้ยนสือเงื้อดาบขึ้นเหนือร่างของอีกฝ่าย เขาก็หันไปแย่งชิงดาบจากฝักที่อยู่ข้างเอวของทหารนายหนึ่งมากระชับในมือมั่น สองเท้าก้าวกระโดดไปอย่างว่องไวและพุ่งเข้ารับคมดาบของเจี้ยนสือที่ทิ้งลงมาด้วยดาบที่อยู่ในมือตน
เสียงโลหะกระทบดั่งสนั่นอีกครา ก่อนเสียงของเทียนอี้จะดังขึ้นเมื่อร่างของมนุษย์หนุ่มพุ่งมาคั่นกลางระหว่างเขากับดาบเล่มเขื่องนั่นไว้
“เฉิงเฉิง...”
เจี้ยนสือพลันชะงัก ครั้นปรายตามองก็เห็นซิ่นเฉิงรับดาบด้วยท่อนแขนอันสั่นเทาทั้งสองข้าง เพียงแขนข้างเดียวไม่อาจต้านกำลังของเทพอสูรได้ จึงจำต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องเทียนอี้ ก่อนที่เจี้ยนสือจะมีสีหน้าตะลึงงันไปด้วยไม่คาดคิดว่าจะเห็นซิ่นเฉิงโผล่มาในเวลาเช่นนี้
“เจ้า...”
ริมฝีปากเอื้อนเอ่ย ก่อนถ้อยคำทั้งหมดจะถูกกลืนลงคอไปเมื่อเสียงของซิ่นเฉิงดังแทรก
“หากเจ้าจะสังหารเจ้าหมา เจ้าก็ต้องสังหารข้าก่อน”
‘หากเจ้าจะสังหารเทียนอี้ สู้สังหารข้าเสียยังดีกว่า’
คำพูดของใครบางคนที่ได้เอ่ยไว้ในอดีตผุดพรายขึ้นมาทับซ้อนกับคำพูดของซิ่นเฉิงในภวังค์ของเจี้ยนสือ ความคับแน่นพร่างพรายไปทั่วทั้งอก ความรู้สึกนี้...เป็นเช่นเดียวกับตอนนั้น...
สายตาของเจี้ยนสือจับจ้องไปที่ใบหน้าคร้ามของซิ่นเฉิงซึ่งบัดนี้มีเหงื่อกาฬไหลอาบ แขนทั้งสองที่จับดาบยังสั่นเทา ก่อนที่เขาจะผละออกมาทิ้งดาบลงบนพื้น ความผิดหวังคับแน่นเสียจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทอดมองซิ่นเฉิงด้วยผิดหวังเหลือคณานับ
ไม่ว่าจะผู้ใด...
ไม่ว่าจะเป็นหลิวซูหรือซิ่นเฉิง ก็ล้วนแล้วแต่เห็นเทียนอี้สำคัญเช่นนั้นหรือ?