บทสิบสี่
แกว่งเท้าหาเสี้ยน
ข้าสังเกตหานซิ่นมาหลายวันแล้ว ถูกทางการตามล่า เมื่อไม่กี่วันก่อนเหตุเพราะข้ากับหานซิ่นไปเที่ยวชมงานเทศกาลหยวนเซียว โชคไม่ดีเจอกับคนของทางการ เวลานี้ทั่วทั้งเมืองลั่วหยางทหารเดินเพ่นพ่าน พวกข้าจึงมิกล้าออกไปไหนในตอนกลางวัน ครั้นกลางคืนสบโอกาสหนี เพราะในขณะนี้งานรื่นเริงก็ยังไม่จบลง เพราะฉะนั้นไม่ว่าเหล่าทหารพวกนี้จะอยากปิดเมืองล้อมจับพวกข้ามากเพียงใด ก็ทำมิได้ เหตุเพราะทางราชวังได้ออกกฎในระยะเวลาห้าวันของเทศกาลหยวนเซียวนี้ ประตูเมืองทุกแห่งจะต้องเปิดตลอดเวลา เช่นนั้นก็เป็นโอกาสดีใช่หรือไม่ สบโอกาสเช่นนี้พวกเราย่อมหนีออกจากเมืองนี้ไปกบดานที่อื่นยามกลางคืน ทว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่เพียงไม่หนี วันๆยังเอาแต่ขีดเขียนม้วนตำราอะไรสักอย่าง
ข้าไม่ได้โง่ ข้าว่าหานซิ่นกำลังรอใครสักคนอยู่ แต่เป็นผู้ใดนั้น ข้าก็มิอาจรู้ได้
“ถังรุ่ย เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”
ระหว่างที่เขาปล่อยตัวข้าให้เป็นอิสระจากการฝนหมึก ข้ากับถังรุ่ยจึงได้มีโอกาสสนทนากัน
“คิดอันใด อาเฉียน” ข้ามองเขา “ข้าว่าท่านแม่ทัพกำลังรอผู้ใดอยู่ เจ้าว่าผู้ใดกัน”
ข้าจนปัญญาอย่างแท้จริง ขนาดว่าคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ออก เวลานี้จวนสกุลหานกับจวนสกุลโหวแตกพ่าย เท่ากับว่าข้าและหานซิ่นไร้ญาติขาดมิตร ขุนนางที่เคยสนับสนุนเขาก็เร้นกายหายตัวเงียบเพราะเกรงกลัวจะติดร่างแหข้อหากบฏตามไปด้วย เช่นนั้นยังเหลือผู้ใดได้อีก
“เจ้าว่า…”
“…”
“เขากำลังรอหลี่ว์ต้งปินอยู่หรือไม่”
เมื่อวันที่ข้าเจอหลี่ว์ต้งปินหนแรก เขาก็พูดออกตัวแล้วว่าอยากได้แม่ทัพผู้นี้เป็นศิษย์ประจำสำนัก หรือสองคนนี้จะลักลอบติดต่อกันอย่างลับๆ แล้วเหตุใดต้องเป็นความลับด้วย
“เป็นไปไม่ได้ๆ” ถังลุ่ยโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน พลางกล่าวต่อว่า
“เวลานี้ท่านเซียนหลี่ว์ต้งปินกำลังติดพันอยู่กับภารกิจที่บรรพตหนานซาน อาจารย์หลี่ได้บอกกล่าวไว้ก่อนไป”
ข้าขมวดคิ้วมุ่น ตาเฒ่านั่นจะมาก็มาจะไปก็ไป มีเวลาบอกกล่าวเรื่องราวใดกับศิษย์ตนอีกหรือ แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าท่านแม่ทัพหานซิ่นจะรออะไรอยู่ ข้าก็จำเป็นต้องอดรนทนรอไปกับเขาด้วยอยู่แล้ว เพราะสัญญาเลือดทำให้ข้ามีเรืออยู่หนึ่งลำ จะพายไปก็พายไม่ได้ เพราะติดที่เรืออีกลำไม่ไปด้วยกันนี่สิ
ข้ายังจำคำของหลี่ว์ต้งปินได้ดี “ห่างกันร้อยลี้ เจ้าสิ้นลมหายใจ”
ด้วยพลังพันธนาการของสัญญาเลือด อาจทำให้ชีวิตของข้าสูญสิ้นทันทีเมื่อออกห่างจากตัวท่านแม่ทัพเกินร้อยลี้!
เพราะสิ่งนี้ข้าไม่อาจไปจากเขาได้ อย่างไรก็ตามข้าก็ไม่อาจบอกความจริงกับเขาได้เช่นเดียวกัน
น่ากลัวว่าหากสักวันท่านแม่ทัพคิดละทิ้งข้า ข้าคงต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีเกาะแข้งเกาะขาอ้อนวอนตามเขาไปให้จงได้ ชีวิตข้าล้วนอยู่ในกำมือของท่านแม่ทัพ เขาจะบีบก็ตาย เขาจะคลายข้าก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี เช่นนี้หากบอกเรื่องนี้เข้าไปอีก ไม่แน่ว่าสักวันท่านแม่ทัพอาจใช้เงื่อนไขเหล่านี้สร้างความยุ่งยากให้กับข้าก็เป็นได้ ขอเพียงเรื่องนี้สงบลง ข้าอาจได้อิสระไม่เกินร้อยลี้นี้กลับมาอยู่บ้าง
“ถังรุ่ย ข้าว่าเอาแต่หลบซ่อนอยู่ในนี้ไปก็ไม่ได้เรื่องอันใด หลายวันมานี้เมืองหลวงมีข่าวคราวใดบ้าง พวกเราไปสืบหน่อยเถอะ”
ลั่วหยางแม้อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่นับว่าไม่มาก ผู้คนยังไปมาหาสู่กันได้ เช่นนั้นกระแสข่าวก็ย่อมพัดพาตามการนำมาของนักเดินทางเหล่านี้ หากต้องการรู้ข่าวคราวในเมืองหลวง ข้าย่อมรู้ว่าต้องไปที่ใด
ถังรุ่ยหน้าซีดเผือด พลางละล่ำละลักกล่าวกับข้าว่า
“คุณชาย ข้าไม่ปลอมตัวเช่นนั้นอีกแล้วได้หรือไม่”
โธ่เอ๋ยถังรุ่ยหนอถังรุ่ย เจ้าช่างไร้เดียงสานัก!
“ย่อมไม่ได้!”
ข้ามองสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของถังลุ่ยแล้วได้แต่ยิ้มขำในใจ
เอาเข้าจริงข้าไม่ต้องไปเดินหาเหล่านักเดินทางให้ไกลเลย ข้างล่างของโรงเตี๊ยมเสียนหยางที่พวกข้าพักอาศัยเป็นแหล่งรวมเส้นทางโคจรมาพบปะพูดคุยกันของเหล่าผู้ท่องยุทธภพ เคราะห์ดีที่ข้าบังคับให้ถังรุ่ยปลอมตัวเป็นสตรีอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นคนมากมายย่อมต้องจำเขาได้แน่ เพราะตั้งแต่ลงมานั่งที่มุมหนึ่งของห้องถังรุ่ยก็ชี้ไม้ชี้มือบอกกล่าวชื่อแซ่ของผู้คนเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำไปหลายคนแล้ว เขาบอกว่าหลายคนที่นี่มีบางคนที่เป็นศิษย์จากบรรพตหนานซาน ด้วยภารกิจบางอย่างที่ทำให้ท่านผู้ท่องยุทธภพเหล่านั้นจำต้องปลอมตัว แต่ถังรุ่ยก็ยังคงจำเค้าโครงใบหน้าได้ ข้าฟังเช่นนั้นแล้วนึกภูมิใจยิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถจดจำถังรุ่ยได้แม้แต่ผู้เดียว นั่นย่อมหมายความว่า ฝีมือการแปลงกายของข้าเข้าขั้นระดับสุดยอด
“ใต้เท้า ข้าทราบมาว่า ท่านเสนาบดีจิ่วเหมียนชงกับคุณชายใหญ่จิ่วกงเล่อ เดินทางมายังเมืองลั่วหยางใช่หรือไม่”
เป็นไปตามคาด ไม่นานข่าวที่เข้าหูพอฟังได้ก็ดังมาจากโต๊ะข้างๆไม่ไกลจากโต๊ะของข้า นี่ไม่ใช่แค่ข่าวเล็กๆแล้ว แต่เป็นข่าวที่สำคัญอย่างมากเลยล่ะ
จิ่วเหมียนชงพ่อของข้า มาที่เมืองลั่วหยางเช่นนั้นหรือ
“ถังรุ่ย วันนี้วันอะไร วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไรแล้ว”
“วันนี้วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ท่านถามทำไมหรือ”
ข้าลืมไปเสียสนิท เหตุเพราะความวุ่นวายหลายวันก่อน
อีกสามวัน วันที่สี่เดือนหนึ่ง เป็นวันครบรอบวันตายของท่านแม่ข้า
เดิมทีท่านแม่เป็นคนลั่วหยาง เดินทางไปค้าขายยังนครฉางอัน จึงได้พบรักกับท่านพ่อที่เวลานั้นยังเป็นเพียงขุนนางขั้นหก ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นเสนาบดีผู้สูงศักดิ์อย่างเช่นทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังสมัยที่ข้ายังเป็นเพียงคุณชายรองตัวน้อยๆ
เวลานี้ ที่ท่านพ่อเดินทางมายังเมืองลั่วหยางก็เพื่อกระทำพิธีจัดงานครบรอบวันตายของท่านแม่ขึ้นที่บ้านเกิดของนาง หลังจากท่านแม่จากไปก็แปดปีเข้าให้แล้ว ข้าเคยเดินทางมาจัดงานให้นางที่นี่อยู่สองครั้งก่อนแต่งเข้าจวนสกุลหานและไม่ได้มาอีกเลย
ข้าคิดถึงนางเหลือเกิน ท่านแม่คือคนผู้เดียวที่รักข้าอย่างแท้จริง
บัดนี้แม้วันครบรอบวันตาย ข้าก็ไม่อาจเข้าร่วมได้เสียแล้ว
“คุณชาย สีหน้าท่านดูไม่ดีนัก เป็นอะไรไปหรือ” ถังรุ่ยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ข้าส่ายหน้าบอกไม่มีอันใด
“เปล่าๆ ช้าว่าเรากลับขึ้นข้างบนกันเถอะ”
“แต่เราเพิ่งมาไม่นานนะท่าน”
“เอาเถอะ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
แม้ถังรุ่ยจะไม่เข้าใจในคำพูดของข้า แต่เขาก็ไม่กล่าวโต้แย้งอันใดอีก ตามข้าขึ้นไปบนห้องเงียบๆ
“เจ้าไปไหนมา อาเฉียน”
พอเข้าไปในห้องก็พบท่านแม่ทัพยืนทำหน้าตาถมึงทึงจ้องมาทางข้า
“ท่านพี่ ถ้าจะให้ข้าช่วยฝนหมึก ข้าคงต้องวานถังรุ่ยเสียแล้ว อาถังข้ารบกวนเจ้าด้วย”
เวลานี้ข้าเหนื่อยเกินจะสามารถทำสิ่งใดได้ กำลังจะปลีกตัวไปอีกทางก็ถูกมือท่านแม่ทัพคว้าข้อมือของตัวเองไว้
“เจ้าเป็นอะไร สีหน้าดูไม่ดีนัก”
“เปล่าหรอก ข้าแค่เหนื่อยๆน่ะท่านพี่ ข้าขอพักเสียหน่อยเถิด”
แม่ทัพหานซิ่นเห็นข้าไม่มีท่าทีอยากต่อล้อต่อเถียงของเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น เพียงแต่ยังไม่ปล่อยข้อมือของข้าให้ไปไหน
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องใด…”
“…”
“เพียงแต่ อย่าเป็นเช่นนี้เลย”
พรึบ!
ข้าที่ถูกท่านแม่ทัพหานซิ่นกระทำการอุกอาจดึงเข้าไปกอดไม่สามารถขัดขืนแรงกายที่เหนือกว่าตัวเองได้ พลันความรู้สึกอุ่นซ่านในใจก็วาบขึ้นมา ข้าไม่อาจปฏิเสธอ้อมกอดนี้ของหานซิ่นซึ่งเป็นยาชั้นดีที่กำลังปลอบประโลมจิตใจที่อ่อนแอของข้าในเวลานี้ได้เลย รู้สึกดีเหลือเกิน ข้าหลับตาลง สัมผัสความรู้สึกนุ่มนวล ซ้ำไม่สนใจด้วยว่าในเวลานี้ถังรุ่ยซึ่งก็อยู่ในห้องนี้จะกำลังมามาหรือไม่ อ้อมกอดของท่านแม่ทัพ ช่างอบอุ่นเหลือเกิน
คืนนั้นข้าฝันเห็นท่านแม่ในห้วงนิทรา ท่านเพียงมาปลอบโยนหัวใจอันบอบช้ำของข้า แล้วก็หายไป
เช้าวันต่อมาคนที่ท่านแม่ทัพรอคอยก็ปรากฏตัว
เป็นภรรยาเอกของหานซิ่น จินหรูอันนั่นเอง ข้าแค่นยิ้มในใจ หลายวันมานี้ที่ท่านรอคอยก็คือนางผู้เป็นนางในดวงใจของท่านตลอดกาลผู้นี้เองสินะ
“ฮือ ท่านพี่ ข้าเศร้าเสียใจยิ่งนัก ที่เป็นข้าเพียงผู้เดียวที่หลบหนีออกมาได้ วันนั้นท่านพ่อเรียกตัวข้าไปพบพอดี ไม่แน่หากข้าอยู่ที่จวน ยังพอช่วยอะไรได้”
นางร้องห่มร้องไห้น่าสงสารยิ่ง หานซิ่นเข้าไปกอดปลอบโยนนาง แม่ทัพผู้นี้ช่างมากอ้อมกอดเสียจริง เมื่อวานกอดข้า วันนี้กอดอีกคน ข้ามองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆแต่ในใจเหมือนมีพายุตั้งเค้า เหตุใดกัน ข้าว้าวุ่นใจเหลือเกิน เมื่อก่อนไม่เป็นเช่นนี้
“เรื่องผ่านมาแล้ว ปล่อยวางเสียเถอะ อีกอย่างเจ้าเป็นเพียงหญิงตัวเล็กๆ ไม่สามารถกระทำการใดได้ เคราะห์ดีเหลือเกินที่เจ้าปลอดภัย”
ข้าแค่นยิ้ม ภาพท่านแม่ทัพลูบหัวนางเหตุใดจึงทำให้ข้าหงุดหงิดถึงเพียงนี้กัน
“เจ้าตื่นแล้วหรือ”
ข้ายืนเป็นตอไม้อยู่ตั้งนาน ท่านเพิ่งสังเกตเห็นข้าหรือ
“ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย เชิญพวกท่านปลอบโยนกันให้หายกลัวเสียเถอะ!”
ข้าไม่รู้เลยว่า เสียงของตนช่างกระโชกโฮกฮากแค่ไหน แล้วสะบัดตัวเดินออกมาจากห้องนั้นทันที
“อ้าว คุณชาย…”
“ถังรุ่ย ไปหาข่าวกัน!”
ถังรุ่ยที่ยิ้มทักทายพลันหุบลงฉับ
“อีกแล้วหรือ ข้าต้องแต่งเป็นสตรีอีกแล้วหรือ”
ข้าดินเตะฝุ่นเตะลมเตร็ดเตร่ไปตามทางเดินในตลาด ออกมาครึ่งชั่วยามแล้วจิตใจก็ยังไม่สงบลง ในหัวเอาแต่คิดไปว่าสองสามีภรรยาที่โรงเตี๊ยมเสียนหยางนั่นจะกระทำการใดปลอบใจกันไปแล้วบ้าง แต่นั่นก็หาใช่กงการใดของข้าไม่ คิดไปก็เปล่าประโยชน์ ผ่านมาครึ่งชั่วยามเพราะเอาแต่คิดเรื่องบ้าๆนั่น อย่าว่าแต่สืบหาข่าวคราวอันใดได้เลย ข้อมูลสักประโยคก็ยังไม่มี
แต่เหมือนสวรรค์จะเห็นใจข้าอยู่บ้าง ห่างไปไม่ไกลนักพอให้สายตาข้ามองเห็นใบหน้าอันคุ้ยเคยของใครบางคน
นั่น… จิ่วกงเล่อ ท่านพี่ใหญ่
“ใต้เท้าจิ่ว เหตุใดจึงมาเยือนร้านราข้างถนนของข้าได้ขอรับ”
พ่อค้าเจ้าของร้านเข้าไปประจบประแจง ในแววตาเขาราวกับเห็นบุญวาสนามากองอยู่เบื้องหน้า ข้าเดินเข้าไปใกล้กว่านี้อย่างระวังตัว ไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็น
“ท่านแม่ข้าโปรดของเช่นนี้ เจ้าแนะนำข้าได้หรือไม่”
ที่จิ่วกงเล่อกล่าวนั้นเป็นความจริง ท่านแม่โปรดปรานจี้หยกปลอมเป็นที่สุด สมัยข้ายังเด็กเคยเข้าไปเล่นซนในห้องหับของท่าน นึกไม่ถึงด้วยความซนของตัวเองข้าจะเผลอไปเหยียบจี้หยกปลอมเข้า เพราะเป็นของปลอม โดนแรงข้าเหยียบไปจี้หยกก็แตก ท่านแม่แม้ไม่แสดงอาการเสียใจแต่ข้ารู้ว่าของสิ่งนั้นท่านรักมันมาก ภายหลังข้าจึงรู้ว่า จี้หยกปลอมอันนั้นเป็นของแทนใจของท่านพ่อที่มอบให้ท่านแม่ยามแรกพบกัน
เหราะเหตุนี้ ชั่วชีวิตนางแม้มีเงินทองมากมายกลับไม่ได้หลงใหลในหยกแท้ หากเป็นของปลอมเสียอีกที่นางพึงใจ
แม้พ่อค้าจะรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ รวยล้นฟ้าเช่นนี้มาหาซื้อของปลอมอย่างจี้หยก แต่เขาก็ไม่รอช้ารีบประจบประแจงทันที
ข้าเฝ้ามองจิ่วกงเล่อหาซื้อจี้หยกอยู่ห่างๆ
ไม่นานเขาก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ แล้วออกก้าวเดินไปอีกทาง ข้าตามไป ถังรุ่ยเอ่ยปากจะห้ามแต่ข้าส่งสายตาบอกให้เขาเงียบเสียง พวกเราตามจิ่วกงเล่อไปเงียบๆ
ไม่ช้าเขาก็หยุดยืนอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง จวนชั่วคราวของสกุลจิ่ว ข้าเคยมาพักที่นี้อยู่สองครั้ง จวนแห่งนี้แม้ไม่ได้รักษาความปลอดภัยมากมาย แต่ป้ายผ่านทางย่อมยังคงเป็นจี้หยกประจำตระกูลจิ่ว ข้ารอให้จิ่วกงเล่อเข้าไปก่อน เขาหยุดคุยกับผู้เฝ้าประตูชั่วครู่ จากนั้นก็เดินตัวลอยเข้าไปในจวน
ข้าได้โอกาส ปรี่เข้าไปหาผู้คุม
“ผู้คุมท่านนี้ ข้าเป็นสหายของคุณชายจิ่วที่เมืองลั่วหยาง จะขอเข้าพบคุณชาย”
“เรียนคุณชาย ย่อมต้องมีป้ายผ่านทางขอรับ”
ข้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ข้าเป็นคนของสกุลจิ่ว ย่อมต้องมีป้ายผ่านทางของสกุลจิ่ว อีกอย่างป้ายผ่านทางของข้าก็พิเศษกว่าป้ายผ่านทางทั่วไป เพราะมันเป็นจี้หยกของท่านแม่ที่มอบไว้ให้ข้าก่อนตาย ข้าล้วงมือเข้าไปควานหาป้ายผ่านทางที่นำติดตัวมาในอกเสื้อ
“เจ้ามีป้ายผ่านทางหรืออาเฉียน” ถังรุ่ยกระซิบกระซาบ
“ย่อมมี ข้าพกไว้ติดตัว ในนี้…”
ข้าควานหา แต่ทว่าหาอย่างไรก็ไม่เจอ ข้าขมวดคิ้ว ตบไปทั่วตัวของข้า ไม่มี จี้หยกของข้าหายไปไหนกัน!
“ท่านมีป้ายผ่านทางหรือไม่ขอรับ คุณชาย”
“ข้ามีๆ รอชั่วครู่”
ข้าล้วงหาจี้หยกอีกรอบ ผลเป็นดังเดิม ไม่มี ไม่มีจี้หยกตระกูลจิ่วในเสื้อของข้า หรือลืมไว้ที่โรงเตี๊ยมเสียนหยาง
“ผู้คุม ข้าคงจะลืมไว้ที่พัก เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไป…”
“คุณชายโหวเฉียนเฉิง”
ข้าไม่ทันบอกกล่าวจบประโยคดี พลันก็มีเสียงเรียกชื่อข้า
จิ่วกงเล่อที่ควรเข้าไปในจวนตั้งนานแล้วกลับมาปรากฏกายอยู่ตรงนี้