เดือนที่ 7
ไปด้วยกัน☽⚙
เช้าวันอาทิตย์รีบตื่นมาทำไมไม่รู้เหมือนกันแต่แน่ๆ วันนี้มีธุระที่นัดกับอีกคนเอาไว้ ว่าจะออกไปซื้อของด้วยกัน... แต่ก็ยังเช้าไปหน่อย ไอ้ที่ที่จะไปมันก็เปิดสายๆ โน้นเลย แต่ช่วยไม่ได้ ไหนๆ แม่งก็ตื่นแล้ว
ผมโยนผ้าห่มนวมสีแดงออกจากตัว ส่ายหัวไล่ความง่วงความงัวเงียทิ้งไปแล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำ หลังเสร็จธุระก็แต่งตัวชุดสบายๆ เดินออกจากห้องนอน ยังเช้าอยู่ เวลาก็เหลืออีกตั้งเยอะแยะ สิ่งแรกที่อยากทำเลยก็คือ
ผมเบนสายตามองเครื่องคอมฯไม่คุ้นตาบนพื้น แล้วเริ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม
ผมชอบการได้รื้อและประกอบคอมฯมาตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย ทิ้งตัวลงนั่งหยิบไขควงในกล่องเครื่องมือขึ้นมาถอดฝาเคสแล้วถอดพัดลมตัวที่เสียออกมา พูดง่ายๆ ก็คือผมกำลังลงมือซ่อม ซ่อมไว้ก่อน ถึงแม้ตอนนี้อุปกรณ์จะไม่ครบก็เหอะ
เออ ถ้าถามผมว่าทำไมผมถึงเลือกเข้าเรียนคณะวิศวะคอมฯน่ะเหรอ? เดาไม่ยากเนอะ ก็ในเมื่อผมชอบคอมฯ แต่! มันไม่ใช่เหตุผลหลัก ถ้าจะให้เล่าเท้าความ เรื่องมันโคตรจะยาวเลย ย้อนไปสมัยที่เพิ่งจำความได้ไม่นานผมก็พบว่าตัวเองเติบโตมากับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว พ่อผมทำกิจการร้านซ่อมคอมฯ เพราะงั้นก็เลยได้เรียนรู้เกี่ยวกับมัน ทั้งยังได้เป็นลูกมือช่วยพ่อซ่อมคอมฯอยู่บ่อยๆ ด้วย มันก็เลยค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในตัวผมตั้งแต่ตอนนั้น
แต่เรื่องเข้าวิศวะนี่พ่อเป็นเหตุผลใหญ่เลย เขาอยากให้เรียนเพราะเมื่อก่อนพ่อก็เคยมีความฝันอยากจะเรียนในคณะนี้ แต่ก็ไม่ได้เรียนก็เลยฝากฝังผมแทน
...แล้วเรื่องความเชื่อที่ว่าเด็กวิศวะคอมฯต้องซ่อมคอมฯเป็นน่ะ เป็นความเชื่อที่ผิดมากๆ เลย พวกคุณจำไว้ให้ดีเลยนะครับ วิศวะคอมฯไม่ได้เรียนซ่อมคอมฯนะ จะเรียนเกี่ยวกับระบบมากกว่าเพราะงั้นต่อให้คอมฯเสียไปถามเด็กวิศวะคอมฯมันก็ซ่อมไม่เป็นหรอกนะครับ บางคนถอดคอมฯประกอบคอมฯยังไม่เป็นเลย
แต่ก็นั่นแหละ ผมมันลูกร้านซ่อมคอมฯก็เลยซ่อมเป็น ง่ายๆ แค่นั้น
ผมวางไขควงเก็บเข้ากล่องไปก่อน เดินไปหาข้าวเช้ามากินดีกว่า ถ้าง่ายๆ ก็ โจ๊กคัพใส่ไข่ใส่หมู ขี้เกียจทำอะไรให้มันยาก ใส่น้ำเข้าเวฟจบ
แต่ระหว่างที่กำลังรอเวฟ เสียงออดก็ดังขึ้นมา แทบไม่ต้องเดาว่าใคร ผมรีบก้าวยาวๆ ไปเปิดประตู และคนที่คิดเอาไว้ก็ยืนอยู่หลังประตูจริงๆ ตามที่คาดไว้
“ไง”
ผมทักเบาๆ มองผู้ชายตัวสูงหน้าตาดีโคตรๆ ตรงหน้า เจ้าตัวใส่ชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ เหมือนชุดที่ควรจะใส่อยู่บ้าน ใบหน้านิ่งเรียบเฉย ดวงตาที่กั้นไว้ด้วยเลนส์แว่นกรอบดำมองตรงมาที่ผม
...ถึงจะใส่แว่นหนาเตอะอย่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้มันดูหล่อลดน้อยลงเลย ก็เออครับ หน้าแม่งดี
“นี่”
มัวแต่มองเพลินแต่ก็ได้สติขึ้นมาเพราะคนตรงหน้าส่งเสียงเรียก ผมเลยก้มลงมอง มือนั่นถือกระเป๋า Laptop ของผม ยื่นมาให้ตรงหน้า
ผมรับมานิ่งๆ แล้วเงยหน้ามอง
“ได้นอนไหมถามจริง”
คนถูกถามกะพริบตาแล้วยกมือลูบหน้า
“ดูออกเหรอ?”
เอ้า ชิบหา_ สรุปไม่ได้นอนจริงดิ ?
ความจริงดูไม่ออกหรอกครับ แค่ลองทักดู
“แล้ว... งานมึงเสร็จแล้วเหรอ?”
คนตรงหน้านิ่งไปเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักช้าๆ... แต่ผมหรี่ตามอง ถ้าเสร็จจริงไหงปฏิกิริยามันช้าอย่างนี้ฟะ?
“เสร็จจริงนะ?”
ผมถามย้ำ
“เสร็จแล้ว”
และคำตอบก็ยังเหมือนเดิม อ่า ถ้าเจ้าตัวจะยืนยันอย่างนั้น ผมเชื่อก็ได้วะ ในระหว่างที่ผมกำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไป เสียงคนข้างหลังเอ่ยทักสักก่อน
“แล้วเรื่องไปซื้อของ?”
“เออ ถ้าเรื่องนั้นมึงไปนอนก่อนได้เลย ไอ้ที่จะไปมันเปิดสายๆ เอาเป็นว่ามึงอยากไปตอนไหนก็ไลน์มาแล้วกัน มีไลน์กูแล้วนี่”
ผมอธิบายง่ายๆ สบายๆ แล้วหันไปยิ้ม เดือนสิบมองหน้าผมอยู่สักพัก เหมือนต้องการใช้เวลาประมวลผล ถึงค่อยพยักหน้ารับตามมา
“ขอนอนสักสองสามชั่วโมง”
“เอาที่มึงสะดวก”
คนที่คุยด้วยหัวคิ้วเลิกขึ้นนิดหน่อย ก่อนมันจะหันหลังกลับเข้าห้องตัวเองไปไม่ได้พูดอะไรอีก ผมก็เดินเข้าห้อง ไปจัดการอาหารเช้าตัวเองที่มีเสียงติ๊ดๆ ของไมโครเวฟร้องเตือนมาสักพักนั่นดีกว่า
ประมาณ 10 โมงกว่าๆ แจ้งเตือนไลน์บนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะคอมฯก็เด้งขึ้นมา ดึงความสนใจจากสายตาของผมให้ออกจากหน้าจอคอมฯ เป็นเดือนสิบ ผมลากเมาส์ปิดเกม เพราะถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผมก็คงเมินแล้วเล่นเกมต่อ
ระหว่างรอคอมฯ shutdown ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตอบไลน์
Read 10:22 (รอเลย ขอเปลี่ยนเสื้อผ้า 5 นาที|ส่งไปแป๊บเดียวก็ขึ้นอ่านแล้วครับ ผมลุกเดินไปเปลี่ยนเสื้อในห้อง เพราะตัวเองอาบน้ำเตรียมไว้แล้ว ก็ไม่ได้แต่งอะไรมาก แค่เสื้อกับกางเกงยีนส์ขายาว ฉีดน้ำหอมนิดหน่อยแล้วก็เดินออกมา เคาะประตูเรียกคนห้องตรงข้าม
พอไอ้แผ่นสี่เหลี่ยมที่กั้นห้องไว้เปิดออกมา ก็เจอหน้าคนที่นัดไว้
“ได้นอนไหม?”
เป็นการทักแหละ ถามไปงั้น เดือนสิบมันพยักหน้าตอบ เดินออกมาจากห้อง
เสื้อเชิ้ต ยีนส์เดฟ... ก็ปกติ สไตล์การแต่งตัวของผู้ชาย
ผมบอกเบาๆ ว่า “ไป” แล้วเดินนำเดือนสิบออกมา ผมรู้ว่ามันเดินตามมา พอเข้ามาในลิฟต์ คนที่เดินตามเงียบๆ ตลอดก็เอ่ยถามขึ้นมา
“จะไปยังไง?”
ผมหันมอง ล้วงหยิบของในกระเป๋ากางเกงตัวเองขึ้นมาแล้วควงมันเล่น
“รถกู”
เดือนสิบมันมองกุญแจรถที่ผมควงเล่นอยู่แล้วนิ่วหน้าหน่อยๆ อะ ผมมองออก
“มีปัญหาไรรึเปล่า?”
“เปล่า”
เออ ใช่สิเนอะ ปกติมีคนมารับมาส่งนี่? เมื่อวานเป็นข่าวกับพี่เอส ส่วนวันก่อนนู้น ผมเหมือนเห็นว่ามันออกจากห้อง ไปกับผู้หญิงที่น่าจะอายุมากกว่า แต่สวยมากๆ คนนึง เห็นอย่างนี้ เดือนสิบก็ร้ายเหมือนกันนะ
ผมเดินนำออกจากลิฟต์ตรงไปยังที่ลานจอดรถของคอนโด พอเห็นรถตัวเองก็กดรีโมทปลดล็อค พอผมเดินเข้าไปใกล้รถ เดือนสิบก็หยุดจังหวะเท้า มองรถผมนิดๆ หน่อยๆ ก่อนจะเดินตามมา และผมเห็น เพราะผมสังเกตครับ
ผมเปิดประตูเข้ามานั่งประจำที่คนขับสตาร์ทรถแต่พอเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับนั่นเปิดประตูรถช้าเหลือเกินก็เลยอดไม่ได้ที่จะลดกระจกฝั่งนั้นลง
“ขึ้นมาสิ”
แน่นอนว่าเจ้าตัวทำตามคำบอก ขึ้นมานั่งประจำที่ ในระหว่างที่เดือนสิบมันกำลังง่วนกับเข็มขัดนิรภัยผมก็...
“ใช่สิ ฮอนด้าหรือจะสู้บีเอ็ม”
“....”
ชะงัก...
เฮ้ย ผมไม่ได้แซะนะ
“แค่แซว”
ผมหัวเราะแห้งกลบเกลื่อนแล้วเหยียบคันเร่ง เอารถออกดีกว่า เดี๋ยวมันเปลี่ยนใจเปิดประตูลงจากรถเอาเพราะความปากหมาของผม
------------------------------
ขับรถมาได้สักพักโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ห้าง-ติ๊ดติ๊ด-แหล่งรวมอุปกรณ์ IT และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ระหว่างทางคนที่นั่งเงียบเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ผมมันก็ยังเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ได้พูดอะไร โชคดีที่ในรถไม่ได้เงียบมากเพราะผมเปิดเพลงฟังบ้าง เป็นเพลงสากลแบบไว้ฟังสบายๆ ให้ใจเริงรมย์เวลารถติด แต่ช่วงนี้เพลย์ลิสส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเกาหลีจากซีรี่ย์ดังๆ มากกว่า เหตุผลที่มันเป็นแบบนั้นไม่ใช่ว่าผมดู แต่เป็นเพราะรินเอามาใส่ไว้ ผมไม่ได้ไม่ชอบ แล้วก็ไม่ได้ชอบ แค่ฟังได้...
ว่าแล้วก็หาเรื่องคุย ในระหว่างที่ผมหยุดรถจอดติดไฟแดงอยู่
“คอมฯมึงใช้มานานไหม?”
“ประมาณ 4 ปี”
“จริงป่ะ สภาพเหมือนใช้มาเป็น 10 ปี”
คนที่ผมพูดด้วยหันขวับมามองอย่างเอาเรื่อง เฮ้ย ไม่ได้หมายความว่ามึงใช้ไม่ดีสักหน่อย ผมรีบแก้ตัว
“ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น... เออ มึงเคยพาคอมฯนี่ไปซ่อมที่อื่นไหม?”
เดือนสิบหันไปทำหน้าครุ่นคิดแล้วในที่สุดก็พยักหน้ารับ
“เหมือนเคยยกไปซ่อมครั้งหนึ่ง ประมาณต้นปีก่อน”
ถ้างั้นก็เดาไม่ยากแล้วล่ะ
ผมหักพวงมาลัยเลี้ยวกลับรถ เตรียมเข้าจุดหมายปลายทางที่อยู่อีกฟากของถนน
“ถ้างั้นก็คงโดนเล่นแล้วล่ะ ร้านพวกนี้แม่งชอบเอาอะไหล่เก่าเปลี่ยนให้ลูกค้า คงเห็นมึงไม่ค่อยรู้อะไร”
ร้านแบบนั้นไม่เจริญหรอก นี่แอบอยากตามไปเอาเรื่องแทน ถ้าไม่ติดว่าเรื่องมันนานแล้วนะ... พูดแล้วขึ้นครับ
“โกรธเหรอ?” คนที่นั่งข้างๆ ถามขึ้นเบาๆ ผมแปลกใจที่มันถามแบบนั้นเลยหันไปมอง แต่ได้แค่แวบเดียวเพราะต้องขับรถ
“ก็โกรธสิวะ มึงไม่โกรธหรือไง เขาหลอกมึงนะ”
“ไม่หรอก”
คำตอบที่ได้มาสั้นๆ แต่มันทำให้ผมแปลกใจคนเหี้ยอะไรโดนหลอกขนาดนั้นแล้วยังไม่โกรธ...
“ที่ไม่โกรธเพราะมันผ่านมาตั้งนานแล้ว เก็บอดีตมาโกรธก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา”
เสียงนิ่มเนิบๆ เอ่ยขึ้นช้าๆ เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินมันพูดประโยคยาวๆ ในครั้งเดียว และสิ่งที่มันพูดมาพอมาลองคิดอีกทีก็ถูกเหมือนกันนะ มันผ่านมาแล้วโกรธไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เว้นแต่ว่าจะให้มันบอกผมว่าร้านไหน ผมจะได้ไปเอาเรื่อง! เออ คิดอีกที ผ่านมาเป็นปีๆ แล้ว ป่านนี้ร้านแม่งก็คงเจ๊งไปแล้วมั้ง ทำนิสัยแบบนั้น... และถ้าไอ้นั่นมันเป็นแค่ช่างซ่อม ป่านนี้ก็คงโดนไล่ออกไปแล้ว เสียเวลาหาเปล่าๆ
ผมโคลงหัว พยักหน้าให้กับคำตอบของมัน ขับรถเข้าลานจอด หาที่ว่างๆ จะได้จอดรถแล้วลงไปซื้อของสักที
-------------------------------
☽ เดือนสิบ พาร์ท ☽
ผมเดินตามเมืองเอกเดินเข้ามาในห้างเงียบๆ เหมือนเจ้าตัวจะรู้ดีอยู่แล้วว่าควรไปร้านไหนผมเลยก็ไม่ได้ถามอะไร เดินตามแล้วก็มองร้านนู่นร้านนี่ไปเรื่อยๆ ที่นี่... เป็นแหล่งขายอุปกรณ์ IT จริงๆ ด้วย ร้านคอมพิวเตอร์อะไรพวกนี้ก็เยอะไปหมด ถ้ามาคนเดียวผมก็คงไม่รู้หรอกว่าควรจะไปซ่อมร้านไหนหรือซื้ออุปกรณ์ที่ร้านไหนถึงจะดีและถูกที่สุด
“เดือนสิบ”
ผู้ชายตัวสูงตรงหน้าผมหยุดฝีเท้า หันกลับมาทางผม
“ถึงแล้ว ร้านนี้แหละ”
เขาชูนิ้วโป้งเข้าไปในร้านข้างๆ พอผมมองตามก็เห็นร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เหมือนร้านอื่นๆ ที่อยู่ในโซนนี้เว้นแต่... เอ่อ ร้านโคตรใหญ่เลยครับ ถ้าเทียบกับร้านที่เดินผ่านๆ มาแล้ว ร้านนี้แทบจะกินพื้นที่ไปตลอดทั้งบล็อค
ผมพยักหน้าให้ เมืองเอกถึงได้เดินนำเข้าไปในร้าน ผมก็ปล่อยให้เขาทำตามใจเลย เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยจะรู้อะไร มองตามผู้ชายหน้าตาดีที่พาผมมาเดินไปทักทายกับพนักงานในร้านเงียบๆ ผมอยู่ห่างออกมาหน่อย แต่ก็พอได้ยิน
“พี่โอ๋สวัสดีครับ”
“เอ้า! ไอ้เมืองเอก ไม่ได้มานานเลยนะมึง”
“นานตรงไหนวะพี่ เมื่อสองเดือนที่แล้วเพิ่งมาซื้อของกับพ่อไปเอง”
“ก็มันตั้งสองเดือนแล้วนี่หว่า แล้วเป็นไง มหา’ลัย ได้ข่าวว่าได้ดี”
“ก็ดีพี่ แต่รับน้องแม่งโคตรโหด ผ่านมาได้นี่โคตรดีใจ”
“เออ ก็งี้แหละมหา'ลัย แล้วว่าแต่ดงเดือนอะไรได้เป็นกับเขาไหม?”
“พี่โอ๋คิดว่าไง?”
“ได้.... ดิวะ?”
“ฮ่าๆ ก็ใช่แหละพี่ แต่แค่คณะนะ ไม่ใช่เดือนมหา’ลัย เนี่ยโน่นเดือนมหา’ลัยตัวจริง”
เมืองเอกที่กำลังคุยกับพี่พนักงานที่ชื่อโอ๋อย่างออกรสออกชาติคนนั้นหันกลับมาหาผม แล้วชี้มือมา พี่ผู้ชายคนนั้นหันตามแล้วมอง ผมถึงได้ยกมือไหว้คนๆ นั้นเป็นมารยาท เหมือนเมืองเอกมันจะยกยิ้มนิดหน่อยแล้วหันกลับไปคุยต่อ
“วันนี้ผมไม่ได้มาซื้อของให้พ่อ มาหาเมนบอร์ดไปเปลี่ยนให้ คอมฯมันพัง”
“อ๋อ หาให้เพื่อนนี่เอง เออๆ ได้ๆ เห็นเป็นเพื่อนมึงกูจะลดราคาให้พิเศษ”
ผมได้ยินแล้วหูผึ่งเลย...
อย่างแรกคือเขาคิดว่าผมเป็นเพื่อนเมืองเอก ซึ่งตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรายังไม่ได้เป็นขนาดนั้นแค่คนรู้จัก และอย่างที่สองถ้าผมเป็นเพื่อนเขาจะลดราคาให้เป็นพิเศษ งั้น... ผมไม่แย้งแล้วละกัน ยอมเป็นไปก่อน ฮะๆ
“ขอบคุณครับพี่โอ๋”
เมืองเอกไหว้พี่คนนั้น ก่อนที่เขาจะเดินออกไป คงไปหาของ จากนั้นคนที่พาผมมมาถึงร้านนี่ก็เดินกลับมาหา
“นั่งรอก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่เขาไปเอาของแล้วกลับมา”
ผมพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งตามที่เมืองเอกบอก
.....
“ทำไม อารมณ์ดีขนาดนั้นเลย?”
เสียงคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารดังขึ้นถาม ผมเลยละสายตาจากจอโทรศัพท์ที่สนใจ เงยหน้ามองเมืองเอก ซึ่งฝั่งนั้นนั่งยิ้มแล้วมองกลับมาเหมือนกัน ในส่วนของคำถามที่ผมต้องตอบก็...
ส่ายหน้าปฏิเสธคำถาม ถึงแม้ว่าผมจะดีใจจริงๆ ก็ตาม
“หืมมมม เหรอวะ....”
เมืองเอกเลิกคิ้วสูงทำหน้าเหมือนคนไม่เชื่อแล้วจ้องตาผมกลับ ทำไมต้องขนาดนั้นล่ะเนี่ย ผมมั่นใจนะว่าตัวเองไม่ได้แสดงอาการดีใจออกนอกหน้าที่ได้ของถูกและดีขนาดนั้น (อันนี้ไม่รู้หรอกว่าดีไม่ดี แต่เมืองเอกบอกมา ผมก็เชื่อไว้ก่อนอ่ะครับ)
หรือว่าผมจะดีใจเกินไปจริงๆ ?
เออะ... บ้าน่า ไม่น่า...
เบนสายตาหลบดวงตาสีดำคู่นั้น แล้วหันไปจับหลอดในแก้วชาเขียวเย็นของตัวเองมาคนเล่น มองในร้านไปเรื่อยๆ เพราะไม่อยากจะสนใจคนตรงหน้าแล้ว อ้อ จริงสิ ตอนนี้ผมอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งในห้างนั่นแหละครับ เมนบอร์ดที่ผมตามหาตอนนี้ได้มาแล้ว แถมยังได้ในราคาที่ผมแฮปปี้มากๆ หลังจากซื้อของเสร็จ ทางเมืองเอกก็เป็นฝ่ายชวนผมหาอะไรกินกันก่อนเอง เพราะว่าได้เวลาข้าวเที่ยงแล้ว
ด้วยความที่มันเคยบอกว่าจะไม่เอาค่าซ่อม แล้ววันนี้ก็อุตส่าห์พาผมออกมาหาร้านซื้อของด้วย ผมเลยบอกไปว่าจะเลี้ยงข้าว แต่...
“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่เอาค่าแรง”เออ อันนั้นผมก็จำได้ แต่เริ่มระแวง เพราะจำได้อีกว่าเมืองเอกบอกว่า
อาจขอเป็นอย่างอื่นทีหลังแล้วอย่างอื่นที่ว่านั่นมันอะไรล่ะวะ จนถึงตอนนี้ก็คิดไม่ตกครับ กลัวเมืองเอกจะเล่นอะไรแผลงๆ อีก ตอนนี้กำลังครุ่นคิดว่าตัวเองคิดถูกไหมที่ไปติดหนี้บุญคุณคนๆ นี้เข้าให้แล้ว
“อุนางิดงบุริ* 1 ที่ได้แล้วค่ะ”
(*ข้าวหน้าปลาไหล)
เสียงพนักงานหญิงที่ยกอาหารชุดมาเสิร์ฟดังขึ้นเรียกความสนใจ เธอมองพวกผมพร้อมกับฉีกยิ้มละไมไทยแลนด์ให้จนกระทั่งเมืองเอกพยักหน้าว่าเป็นอาหารชุดของตัวเอง เด็กเสิร์ฟถึงได้วางอาหารนั้นไว้ตรงหน้า
โอเค ผมจะเล่าต่อ ว่าถึงแม้ผมจะถูกเมืองเอกบอกว่าไม่ต้องเลี้ยงข้าว แต่จุดประสงค์ที่จะหาอะไรกินกันก่อนก็ยังไม่เปลี่ยนครับ ร้านนี้เมืองเอกเป็นคนเสนอ เพราะเห็นว่าเป็นอาหารชุดเวลาจ่ายเงินจะได้แยกบิลจ่ายง่ายดี
แต่อาหารญี่ปุ่นผมก็ไม่ได้เกลียดซะด้วยสิ เลยตกลง
“เดือนสิบ มึงเรียนอักษรใช่ไหม?”
ผมที่นั่งว่างดูดน้ำชาเขียวของตัวเองเพราะข้าวยังไม่มาก็ต้องหันกลับมาสนใจคนที่เริ่มเอ่ยถามอีกครั้ง
“อื้อ”
ก็พยักหน้ารับไปเพราะไม่อยากพูดมาก
เมืองเอกมันเลิกคิ้วอีกครั้งแล้วยังถามต่อ
“ต้องเลือกเอกที่เรียนใช่ป่ะวะ ภาษาอะไรพวกนี้”
ไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่เริ่มกินข้าวของตัวเองสักที... เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก แต่ผมก็ต้องตอบละนะ ก็ฝั่งนั้นถามมา
“อื้ม”
“ปี 1 เขายังไม่เลือกเอกกันใช่ไหมวะ ได้ยินมาว่าเลือกตอนปี 2”
โอ้โห ข้อมูลละเอียดครับ ถือว่าทำได้ดี
ผมพยักหน้ารับอีกรอบ
“แล้วมึงจะเลือกเอกอะไร?”
“ญี่ปุ่น”
“หือ? มึงจะเลือกญี่ปุ่นเหรอวะ?”
อ่าฮะ
มองเมืองเอกที่ตอนนี้เริ่มลงมือแกะตะเกียบออกมาแล้ว
“งั้นแสดงว่ามึงก็ต้องพูดญี่ปุ่นได้ดิ รู้ภาษาญี่ปุ่นใช่ไหม?”
“ใช่”
“เจ๋งว่ะ”
นั่นเป็นคำชมก็ถือว่าดีครับ จริงๆ ก็แอบเครียดนะ เพราะว่าเลือกเอกตอนปีสองทำให้ผมต้องเเข่งกันเข้าเอกญี่ปุ่นกับคนอื่นในคณะด้วย คนอยากเรียนญี่ปุ่นมีน้อยที่ไหน...
“แล้วนี่ มึงเรียนญี่ปุ่น แล้วชอบอาหารญี่ปุ่นด้วยเปล่า?”
อ้อ จริงๆ ไม่เกี่ยวกับเรียนไม่เรียนญี่ปุ่นหรอกครับ ชอบก็คือชอบ มันอร่อย
ก็หงึกหงักไปตอบรับไป
“งั้นเซนส์กูก็ดีสิ พามึงเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นพอดีเลย”
ก็จบแค่นั้นแล้วเมืองเอกก็เริ่มลงมือกินข้าวของตัวเอง
ช่างพูด... เป็นความรู้สึกตอนนี้ที่ผมรู้สึกกับเมืองเอก ไม่ใช่ว่ามันแปลกหรืออะไรหรอกครับ แต่เพราะว่าเราไม่ค่อยสนิทกัน แล้วผมก็ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าเราจะได้มานั่งกินข้าวด้วยกันแล้วคุยกันแบบนี้ ถึงแม้ว่าฝั่งที่ถามจะเป็นเมืองเอกฝ่ายเดียวก็เถอะ
“สเต๊กแซลมอนย่างซีอิ๊ว 1 ที่ได้แล้วค่ะ”
อะ... กำลังคิดถึงอยู่พอดีว่าของผมเขาไปตามหาวัตถุดิบกันถึงไหน ในที่สุดก็มาแล้ว ข้าวเที่ยง!
“อาหารที่สั่งได้ครบแล้วนะคะ”
พนักงานหญิงคนนั้นยังยืนขีดฆ่าเมนูอยู่ในบิลรายการอาหาร แต่ตาเธอไม่ได้มอง... มองมาทางผมมากกว่า อืม สงสัยอยากได้คำตอบ
“ครับ”
“ถ้าขาดเหลืออะไรเรียกได้ตลอดเลยนะคะ”
ผมพยักหน้า แล้วยิ้มให้ เธอถึงได้ฉีกยิ้มกว้างขึ้น
“ขอให้รับประทานอาหารให้อร่อยนะคะ~ ♡”
ก็ยิ้มให้อีกครั้งก่อนที่พนักงานจะเดินออกไปแบบช้าๆ พอหันกลับมาถึงได้...
“อ...”
“เดือนสิบ”
หึ๊?
“???”
“ชอบหน้าตอนยิ้ม ต้องพูดว่าไงวะภาษาญี่ปุ่น”
ผมหยุดมือ แล้วกะพริบตามอง ชอบหน้าตอนยิ้ม?? อ้อ หรือว่าหมายถึงของพนักงานเสิร์ฟคนเมื่อกี้ จะว่าไปเธอก็ยิ้มสวยจริงๆ แหละครับ
“君の笑顔が好き(Kimi no egao ga suki)”
ประมาณนี้ล่ะมั้ง
หลังจากผมพูดจบ ใช้ตะเกียบคีบปลาแซลมอนเข้าปาก
“คิมิ โนะ เอ๊ะ กาโอะ ก๊ะ สุคิ”
เพราะเสียงนั้นพยายามจะพูดเลียนแบบ ผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมาสนใจ... เออ รู้แล้วว่าอยากพูดแต่อย่ามาพูดใส่หน้าคนอื่นได้ไหม ไปชมพนักงานนู่น
“ไว้เดี๋ยวตอนเรียกมาเติมชาเขียวก็ลองพูดดูสิ”
“ทำไมวะ?”
เอ้า ก็จะชมพนักงานไม่ใช่เหรอ?
“ที่บอกชอบหน้าตอนยิ้มน่ะ”
“....”
“กูหมายถึงหน้ามึงต่างหาก”ห้ะ...?
“คิมิ โนะ เอ๊ะ กาโอะ ก๊ะ สุคิ อ่ะ”“....”
----------------------------------------55%----------------------------------------
สวัสดีทุกคนค่ะ เเวะมาลงให้ก่อน แฮร่ ขอโทษที่ลงทีละน้อย อยากเอามาลงจริ๊งๆ
ไว้ที่เหลือจะมาต่อนะคะ
君の笑顔が好き Kimi no egao ga suki ชอบใบหน้ายิ้มเเย้มของเธอ
ความหมายประมาณนี้แหละค่ะ ///// ฮิ๊ววววววววว
#วิศวะเดือนสิบ