#ชอกะเชร์คู่กันต์
ตอนที่ 05
ฉากในละคร (PART1/2)
“ลิปตัวใหม่สวยปะ เพิ่งเข้าไทยเมื่อวานเลยนะแก”
“ก็สวยนะ แต่มันก็แค่เปลือกนอก เพราะที่สุดแล้วสิ่งสำคัญมันอยู่ที่ภายในต่างหาก” หนุ่มแว่นตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะมองความสวยจอมปลอมบนใบหน้าหญิงสาวในชุดนักศึกษา
“หะ?”
“คนเราหลงใหลกับสิ่งปรุงแต่งจนมองข้ามความงดงามจากภายใน จนลืมไปว่าพอตายไปแล้วกายหยาบก็มอดไหม้เป็นเศษเถ้าธุลี”
“โอ๊ยอีหก แดกหนังสือคำคมมาเหรอ แค่ตอบว่าสวยหรือไม่สวยมันยากมากหรือไง?”
“เราแค่พูดความจริงถึงสัจธรรมของมนุษย์ เปิดใจยอมรับมันสิแป๋วแหวว แล้วเธอจะไม่เจ็บปวดกับความสวยปลอม ๆ อีก”
“เออเรื่องของแกเหอะ ไปถามไอ้เชร์ดีกว่า”
หญิงสาวถอนหายใจหน่าย ๆ พลางกวาดสายตาหาเพื่อนอีกคนที่พอจะคุยกันได้มากกว่าเจ้าพ่อคำคม แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอทั้ง ๆ ที่ปกติจะมองเห็นง่ายมากที่สุดเพราะสีผม แต่เพียงชั่วอึดใจเท่านั้นเธอก็พบเพื่อนหน้าลูกครึ่งที่กำลังเดินชิดผนังเข้ามาด้วยท่าทางแปลก ๆ ถ้าไม่บอกว่าเป็นเด็กฝึกงาน ไอ้หัวสีสว่างโดยธรรมชาตินั่นคงดูเหมือนนักศึกษาที่เมาค้างจากเมื่อคืนจนไม่ได้กลับบ้านแต่ก็หน้าด้านมาฝึกงานต่อ
“เป็นไรอะเชร์?”
“แป๋ว!” คนถูกจับได้ทำตาโตก่อนจะหันซ้ายขวา ดูว่ามีใครกำลังมองอยู่หรือไม่ แล้วก็ลากแขนเพื่อนหุ่นไซส์เอสเข้าไปในครัวออฟฟิศพลางชะโงกหน้าออกไปเช็กความเรียบร้อยอีกครั้ง
“อะไรของแกวะ?”
“บอสมายัง?”
“ยังอะ ถามทำไม บอสจะมาอีกเหรอ ไหนเจ๊ดาวบอกว่าเข้าแค่อาทิตย์ละครั้งไง นี่ก็สองแล้วนะ” แป๋วแหววตาโต ล่กไม่แพ้คนตรงหน้า
เธอยังจำเหตุการณ์เมื่อวานได้เป็นอย่างดี ตอนที่บอสมาถึงแล้วถามหาพี่แจ็ค แต่พอไม่มีใครรู้ก็ถูกเหวี่ยงทางสายตา แล้วบ่นปิดท้ายว่า ‘ไม่เคยพึ่งพาได้ยังไง วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น’ พวกพี่ ๆ ถึงกับหน้าชาไปเลย
“ตอนนี้ยังไม่มา แต่อีกเดี๋ยวคงมาแน่ พูดแล้วก็เสียวสันหลังฉิบ ว่าแต่พี่แจ็คเข้าประชุมกับพวกพี่ ๆ คอนเซ็ปต์อาร์ตติสท์แล้วช่ะ?”
“ใช่ น่าจะครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง ว่าแต่แกเป็นอะไรถามก็ไม่ตอบ”
“คืองี้แป๋ว” แหลมเลียริมฝีปาก จับหัวไหล่เพื่อนคนสวยทั้งสองข้างพร้อมมองอย่างจริงจัง “เอาแบบม้วนเดียวจบเลยนะ มาแกล้งเป็นแฟนให้หน่อยดิ”
“ตีนเถอะเชร์ ตลกเหรอ?”
“เฮ้ยแป๋ว นี่จริงจัง ใครจะเอาเรื่องคอขาดบาดตายมาล้อเล่น” การขอคบผู้หญิงที่โบกเครื่องสำอางหนากว่าปูนมันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดได้ทุกวันนะ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ ๆ อยากให้แกล้งเป็นแฟน ทีตอนเราจีบล่ะเสือกไม่เอา” หญิงสาวเบ้ปาก เคยเอานมดันแขนก็แล้ว บอกว่าอยู่บ้านคนเดียวก็แล้วแต่ไอ้บ้านี่ก็บอกว่าขอจบเกมก่อนแล้วจะมาหา แต่ผ่านไปสามวันเกมก็ยังไม่จบ ไม่รู้ว่าต้องเล่นถึงชาติหน้าไหมถึงจะนึกได้ว่ามีคนรออยู่
“มันมีเหตุด่วน เหตุร้าย อยากให้แป๋วกุ๊กกิ๊กกับเราต่อหน้าบอสหน่อย”
“แกจะบ้าเหรอ ขืนทำแบบนั้นได้โดนด่าพอดี นี่ที่ฝึกงานนะ เดี๋ยวก็ไม่ผ่านทั้งคู่หรอก ว่าแต่ลิปสีนี้เป็นไง น่าจุ๊บไหม?”
“ถ้าตอบว่าน่าจุ๊บโคตร ๆ จะยอมเป็นแฟนปลอม ๆ ให้ปะ?” เด็กหนุ่มเบะปากทำตาปริบ ๆ แบบที่สาว ๆ ชอบ แต่แป๋วแหววเคยเห็นมาเป็นล้านครั้งแล้ว จึงไม่ใจอ่อนง่าย ๆ
“ไปขอให้คนอื่นช่วยแล้วกัน”
“ในบริษัทนี้แป๋วแหววสวยสุดละ” พอเห็นเพื่อนจะเดินออกไปจึงรีบดักไว้
“ตอแหล”
“เฮ้ยพูดจริง บอกเลยว่าพี่ตาวที่เขาแย่งกันจีบก็ยังน่ารักสู้แป๋วไม่ได้”
“อันนี้ก็ตอแหล”
“เอ้า! หน้าก็เป็นแบบนี้ทุกวันต่อให้โบกสี TOA ทั่วปากก็ไม่เห็นความแตกต่างอยู่ดีปะ – โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!”
“ไม่กวนตีนไม่ได้เลยใช่ไหมห๊า?!!!” เด็กสาวฟาดมือใส่คนตรงหน้าอย่างเหลืออด
“โอ๊ยยยยยยย ดะ -- เดี๋ยว เมื่อกี้หยอกเล่นเฉย ๆ แป๋วแหว๊ว!!!” แหลมพยายามปกป้องตัวเองจากฝ่ามือมารที่กระหน่ำลงมาไม่ยั้ง ตัวก็แค่นี้แต่แรงอย่างเยอะ หนำซ้ำยังลงหมัดเหมือนอยากบอกให้รู้ว่าช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตเคยใช้ไปกับยิมซ้อมมวย
“ทำอะไรกัน ส่งเสียงเอะอะโวยวายดังออกไปข้างนอก ไม่มีงานการทำหรือไง?” เด็กฝึกงานทั้งสองถอยหลังหนึ่งก้าวพร้อมยกมือไหว้รุ่นพี่อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน หงอจนตัวแทบเหลือสองนิ้วเพราะสายตาพิฆาตที่โหดสัสยิ่งกว่าแป๋วแหววสิบคนอีก
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษค่ะ...”
“ไปทำงานกันได้แล้ว”
“ครับ” อันที่จริงก็ไม่ได้ชอบเล่นเป็นเด็กอะไรขนาดนั้น แต่วันนี้แหลมต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ถึงจะเป็นวิธีที่โคตรแก้ผ้าเอาหน้ารอด แต่อย่างน้อยมันก็อาจมีเปอร์เซ็นต์รอดจากความเอาแต่ใจของบอสได้ถ้าเกิดแป๋วแหววยอมช่วย และแน่นอนว่าบาปที่ก่อกับนางไว้ตั้งแต่ปีหนึ่งได้ส่งผลแล้ววันนี้
“พี่หมายถึงแป๋วแหวว ส่วนเชร์อยู่นี่ก่อน”
“ผม... คนเดียว...?” เด็กหนุ่มชี้หน้าตนเองพลางมองตามเพื่อนหวังขอความช่วยเหลือ แต่แม่นางก็ย่องออกไปเงียบ ๆ แถมยังหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้อีก ขอบใจน้า
“มาสาย... สิบห้านาที?” สาวใหญ่มองนาฬิกาข้อมือพลางเลื่อนสายตาขึ้นมาคาดโทษเล็ก ๆ ให้ไอ้แหลมรู้ชะตาชีวิตว่าก่อนจะเจอ Last Boss ตอนสิบโมง ก็ต้องผ่านด่าน Mini Boss ไปให้ได้ก่อน
“คือผมไม่สบายน่ะครับ ตอนแรกว่าจะลาแล้วแต่ --”
“ฝึกงานวันที่สามก็จะขอลางั้นแล้วงั้นเหรอ?” ทั้งเสียงและสีหน้าพี่แกตอนนี้ทำให้นึกถึงยายที่บ้านเลย โมโหอะไรมาไหนบอกน้อง เมื่อเช้าร้านเต้าหู้เจ้าโปรดหยุดเพราะฝนตกเลยหัวร้อนเหรอ...
“ผมป่วยจริง ๆ พี่ ตัวนี่ร้อน --” ยังพูดไม่ทันจบหน้าก็หงายจนเกือบเงิบเพราะถูกอุ้งมืออวบ ๆ ตบกลางหน้าผากเข้าให้ วูบนึงนึกว่าวิญญาณกระเด็นออกไปแล้วถ้านี่เป็นด็อกเตอร์สเตรนจ์
“ร้อนตรงไหนมิทราบ เย็นเหมือนศพเดินได้ เห็นนี่ไหม มันเรียกว่าเหงื่อ” สาวใหญ่แบมือให้ดู เขาจึงเอาแขนเสื้อเชิ้ตเช็ดให้อย่างรู้งาน
“มันเป็นเหงื่อที่ขับออกมาหลังจากกินยาลดไข้ไงพี่ ส่วนที่ตัวผมมันเย็น ๆ ก็เพราะแอร์ออฟฟิศ”
“อ๋อเหรอ?”
“จริงพี่ ผมไม่ใช่เด็กขี้โกหกอยู่แล้ว แค่ก ๆ” แกล้งกระแอมไอให้สมบทบาท ทำเป็นกลืนน้ำลายยากแล้วช้อนตามองคนโหดเพื่อขอความเห็นใจ ที่มาสายก็เพราะตั้งใจว่าจะลางานหนีบอส แต่พี่แจ็คก็โทรอัดหน้าไม่หยุด
“แล้ว?”
“แต่พอผมคิดได้ว่าไม่ควรลา ก็เลยพาร่างพัง ๆ ออกมา แต่ระหว่างทางนึกขึ้นได้ว่าอาจเป็นตัวแพร่เชื้อให้คนในออฟฟิศก็เลยแวะเซเว่นซื้อหน้ากากปิดปาก ทีนี้ผมขึ้นวินมอไซค์อีกรอบ จับเอวพี่วินแน่นเพราะกลัวจะสลบไปโดยไม่รู้ตัวเพราะพิษไข้ แต่จังหวะที่หน้าผมแหงนขึ้นเพราะโต้ลม ผ้าปิดปากที่ซื้อมาก็ปลิวหายไปไหนก็ไม่รู้ ผมก็เลยอยู่ในสภาพแบบนี้อะครับพี่ แค่ก ๆ”
“เล่นเกมจนดึกก็ยอมรับมาตรง ๆ” พอรู้ว่าเป็นรุ่นน้องคนสนิทของไอ้แจ็คก็ยิ่งต้องจับตามอง ถึงเด็กคนนี้จะนิสัยแตกต่างจากหมอนั่น แต่ก็ดูท่าจะไว้ใจไม่ได้เหมือนกันทั้งคู่
“โน้ววว ถ้าพี่รู้จักช่องผม พี่จะรู้เลยว่าเมื่อคืนผมไม่ได้สตรีมเลย ไม่เชื่อลองเช็กได้เลยนะครับ” คราวนี้พูดจริงหนึ่งอย่าง เมื่อคืนไม่ได้เล่นเกมใด ๆ ทั้งนั้นเพราะโทรไปปรึกษาพี่แจ็คอยู่หลายชั่วโมงแล้วก็นอนเวลาไล่เลี่ยกัน
“อย่าคิดว่าทำตัวเด่นจนบอสสนใจแล้วจะข้ามหัวพี่ยังไงก็ได้นะ ทำอะไรหัดเกรงใจกันบ้าง พี่อยู่ที่นี่มานานแล้ว” หญิงร่างท้วมเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนคนถูกขู่ต้องโยกตัวเอนหลังพร้อมพยักหน้าหงึกอย่างคนไม่สู้ ถ้ากล้างัดก็เกินคนแล้ว ถูกต่อยหมัดเดียวน่าจะปลิวทะลุไปถึงแกนโลกชั้นที่เก้าสิบเจ็ด
“ไม่มีทางที่ผมจะทำอย่างนั้นแน่สาบานได้เลย”
“ทำอะไรกันอยู่?”
เสียงนรกมาแต่มาพร้อมความเย็นยะเยือก แหลมทำตาเหลือกค้างอยู่ท่านั้นก่อนจะชำเลืองมองไปตรงทางเข้าห้องครัวโดยที่ร่างกายไม่ได้ขยับแม้แต่นิด ไอ้ฉิบห๊ายยยยยยยย ไหนบอกว่าจะมาสิบโมงไง นี่เพิ่งแปดโมงเองไหม ทำไมรีบ?!!!
“อะ... สวัสดีค่ะบอส”
รู้สึกเหมือนร่างกำลังจะแตกร้าวราวกับถูกสาปเป็นน้ำแข็ง
“ครับ” เจ้าของสูทสีครีมพยักหน้าเล็กน้อยขณะที่อีกคนยกมือไหว้ โห มองด้วยตาก็รู้เลยว่ายังไงบอสก็เด็กกว่า อย่างน้อยก็ควรยกมือไหว้กลับหน่อยไหม ให้คนอายุมากกว่ายกมือไหว้งี้เดี๋ยวก็ตายไวหรอก
“น้องเขามาสายไปครึ่งชั่วโมง ฉันก็เลยตักเตือนนิดหน่อยน่ะค่ะ” คนถูกสร้างงานสร้างอาชีพถึงกับทำตาโตอ้าปากหวอ เดี๋ยว ๆ สิบห้านาทีไงเจ๊ ไม่ต้องคูณสองเวลาให้ก็ด้ายยยยยยยย
“มาสาย?” คราวนี้สายตาเพ่งเล็งมาทางเขาแล้ว ดากแหกแน่บักแหลมเอ๋ย
“แค่ก ๆ” ดั่งใครกล่าวไว้ว่า ‘สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร’ เด็กลูกครึ่งยังคงเล่นละครไม่หยุด และจากที่เห็นด้วยตาก็เชื่อว่าทั้งเจ๊โหดและบอสคงไม่เชื่อ
“คุณไม่สบายเหรอครับเชร์?”
“ใช่... เมื่อคืนผมลืมปิดประตูระเบียง ทีนี้ไอฝนสาดเข้ามาตอนหลับ ตื่นเช้ามาก็ทรุดเลย แค่ก ๆ” แกล้งทำเสียงแหบลงอีก ทั้งที่รู้ว่าถูกจับตอแหลได้แล้ว แต่มันหยุดไม่ได้... ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก แถแล้วต้องไปให้สุด
“แต่นั่นก็ไม่ข้ออ้าง --”
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
รู้สึกเสียวสันหลังไล่ไปจนถึงข้อพับขา แหลมเหลือกตามองเจ้าของเสียงทุ้มต่ำก่อนจะส่ายหน้ารัว ๆ อย่างไม่เห็นด้วย อย่างน้อยก็นึกถึงความดีความงามที่เคยทำคลิปเป็นสิบ ๆ ในยูทูปบ้าง แต่เด็กฝึกงานก๊อง ๆ ที่พี่ตั้บเปรียบเทียบน่ะหรือจะสู้ความเอาแต่ใจของบอสได้ เพราะสุดท้ายไอ้แหลมคนนี้ก็โดนลากออกไปท่ามกลางสายตาพีเพิ่ลมากหลายเหมือนดอกเห็ด
เจ็ทเคร็ก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“เดี๋ยวบอสเดี๋ยว ให้ผมเดินเองดีกว่านะ ระหว่างนี้เราจะได้คุยกันไปด้วยไงว่าผมชอบกินส้มตำเพราะอะไร นี่บอสยังไม่ได้จัดกาแฟตอนเช้าใช่ปะ เดี๋ยวผมแว๊นไปเดอะมอลล์ให้เอาไหม แต่ตอนนี้ห้างคงยังไม่เปิดอะเนอะ งั้นเอางี้ ผมจะวิ่งไปซื้อกาแฟถุงกระดาษปากซอยให้ เพราะงั้นบอสปล่อยผม – เชี่ยเอ๊ย... ใจเย็นก่อนดิเฮ้ย!” แหลมพยายามพูดเบา ๆ แล้ว แต่ดูเหมือนบอสจะไม่ได้แคร์เสียงครวญจากหลุมศพเลยแม้แต่น้อย ผู้ชายตัวใหญ่แรงควายยังคงกระชากลากดึงเขาไปตามทางซึ่งจุดหมายก็คงไม่พ้นห้องทำงานตัวเอง
แหลมพยายามยื้อไว้เหมือนตอนป.หนึ่งที่แม่พาไปส่งโรงเรียน เขาไม่ยอมก้าวข้ามผ่านประตูเพราะอ้างว่าคิดถึงบ้านไม่อยากจากแม่ไปไกล แต่ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนไง มันคือบริษัท PHENOMENAL และบอสก็ไม่ใช่แม่แต่ก็เฮี้ยนพอกัน
“บอส ผมไหว้ล่ะ” เบากว่านี้ก็ใช้ภาษามือแล้ว ห่าคั่วมึงเอ๊ย สายตาที่มองมาตอนนี้ไม่มีความปกติธรรมดาแฝงอยู่เลย พวกพี่ ๆ ที่ร่วมปาร์ตี้โต๊ะส้มตำด้วยกันเมื่อวานยิ่งแล้วใหญ่ มีความห่วงหาไว้อาลัยแถมโบกมือให้อีก ฟ้าคคคคคคคคคคคคค
“เด็กฝึกงานที่ดีควรมาถึงก่อนคนอื่น ไม่ควรสร้างเรื่องโกหกไร้สาระพร่ำเพรื่อ ไม่ควรแต่งกายผิดระเบียบ และควรพูดมีหางเสียงกับพนักงานรุ่นพี่” ถ้าอินเยอะกว่านี้คงต้องสั่งหมอบแล้วปะ ‘คุณจะเอารุ่นไหมเชร์?!!!’ ไรงี้
ก่อนหน้านี้ว่าถูกมองเยอะแล้ว แต่พอบอสพูดขึ้นพวกพี่ ๆ ที่เคยจดจ้องอยู่กับงานก็หันมาทั้งหมด เออ ให้มันได้อย่างนี้ เอาไมค์สักตัวไหมบอส เรียกมาดูทั้งซอยเลย จะได้เห็นกันหมดว่าไอ้แหลมกำลังโดนลากไปเชือด
“ช่วยผมด้วยพี่!” เด็กหน้าลูกครึ่งหันไปร้องขอความช่วยเหลือ จะมีใครกล้าหือกับบอสบ้างไหมแหลมอยากเห็นฮีโร่ขี่ม้าขาว แต่พี่ ๆ ก็พร้อมใจกันส่ายหน้าปฏิเสธ เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่แจ็คเดินออกมาจากห้องประชุม ซึ่งแหลมหวังว่าพี่ชายที่คอยปกป้องน้องมาทั้งสองวันจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง
และปฏิกิริยาที่ว่าก็คือ พี่มันมองตามจนคอแทบหัน ก่อนจะค่อย ๆ ชูสามนิ้วม็อกกิ้งเจย์ทั้งที่ยังทำหน้านิ่งอยู่ โอ๊ยบักซาดซั่วววววววววววว
พอประตูปิดลงก็ม้วนตัวกลับพร้อมคว้าลูกบิด แต่ยังไม่ทันออกแรงหมุนก็ถูกห้ามไว้โดยคนข้าง ๆ แหลมรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัวเพราะสัมผัสร้อนจากมือใหญ่ที่กำรอบได้ทั้งมือเขาและลูกบิด
แอร์ที่ว่าเย็นยังดับไฟในกายไม่ได้ เหงื่อจากขมับไหลลากมาจนถึงจอนผมพร้อมคำว่า ‘กูตายแน่ กูตายแน่ กูตายแน่’ วิ่งเป็นบอลลูนลมอยู่ในความคิด เชี่ยเอ๊ย... เมื่อคืนนอนเอาตีนก่ายหน้าผากอยู่หลายชั่วโมงว่าจะตั้งรับกับบอสอย่างไร และหนึ่งในวิธีแกล้งป่วยก็โคตรโง่ดักดาน พอเจอของจริงตั้งแต่แปดโมงเช้าก็ถึงกับอ้าปากไม่ออกเลย
“มือเย็นมากเลยนะครับ คุณคงไม่สบายจริง ๆ”
“ใช่บอส เพราะงั้นให้ผมออกไปพักนะ เดี๋ยวสิบโมงค่อยเจอกัน” เงยหน้าขึ้นยิ้มสู้ พอเห็นอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีอะไรก็หมุนลูกบิดหวังจะออกไปพบอิสระภาพ แต่บอสก็เสือกดันประตูกลับเข้าไป
โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“คุณอ่อนแอขนาดต้องขอพักเพราะป่วยนิด ๆ หน่อย ๆ น่ะเหรอ?”
“ไม่นิดนะเว้ยบอส จริง ๆ ข้างในผมมันพังมาก แต่ที่ยังพูดได้เป็นเพราะผมมีสปิริตอะ” แกล้งทำตาปรือ พูดเสียงเหนื่อย ๆ ก็รู้ว่าถูกจับได้ตั้งแต่ในครัวแล้ว แต่จะให้ยอมรับตอนนี้ก็คงเขินแย่
“พังเลยเหรอครับ?”
“ถูก”
“ไข้ขึ้นสูงเลยใช่ไหม หน้าคุณมันแดง... แล้วก็มีเหงื่อออกด้วย” ไม่ต้องจ้องขนาดนี้ก็ได้นะบอสนะ...
“เท่าที่วัดเมื่อเช้าก็น่าจะเกือบสี่สิบอง --” ยังพูดไม่ทันจบหัวใจก็หล่นวูบเหมือนถูกกระชากวิญญาณ เมื่ออยู่ ๆ บอสก็เสยผมให้เขาแล้วโน้มลงมาจนหน้าผากทาบกัน และแน่นอนว่าระยะห่างของปลายจมูกตอนนี้เรียกได้ว่าแย่งอากาศกันหายใจ
แม่จ๋าไฟหม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย โทรเรียกดับเพลิงด่วนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
“...”
“เย็น”
เย็นพ่องอะบอส T_T
“อ่า... เริ่มอุ่นขึ้นมาหน่อยแล้ว”
เยี่ยวกูเนี่ยอุ่น แล้วมันก็กำลังจะราดกางเกงด้วย T_T
“ยืนตัวแข็งเลย สปิริตคนไข้หายไปหมดแล้วเหรอครับ?”
ถ้าเป็นเกมมีกดออกกลางคันอะ ใครด่าพ่อแม่ก็ไม่สนแล้ว GGWP T_T
“ฮึ... หยุดโกหกได้สักทีนะเด็กเลี้ยงแกะ”
ใบหน้าอันชั่วร้ายผละออกไปแล้ว แต่ก็ยังทิ้งรอยยิ้มผีห่าไว้ให้เจ็บใจเล่น พ่อแก้วแม่แก้วเอ๊ย... อยู่ ๆ ก็นึกสงสารไอ้โซ่ย้อนหลังเลยเพราะมันคงเคยเจอความหลอนแบบนี้จากเชี่ยพี่ธีร์มาแล้ว ตั้งแต่เกิดมานอกจากถูกสั่งให้อมลูกอมต่อจากเพื่อนตอนรับน้องไอ้แหลมก็ไม่ควรต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายในระยะนี้อีกเปล่าวะ... อยากจะครายอิ้ง
“บอสรีบมาทำไมหนิ ไม่ต้องเข้าโรงแรมช่ะ ว่างเหรอ?” มองตามเจ้าของขายาวที่ก้าวไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานแล้วค้นบางอย่างในลิ้นชัก ทุกอย่างดูสบายไปหมดเหมือนคนไม่รีบใช้ชีวิต
“ตอนแรกไม่ว่างครับ แต่เคลียร์เสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็เลยว่าง”
“ก็คือว่างปะ?” ตอบให้มันตรงประเด็นแล้วจะตายยยยยยยยยยยยยย
“ผมอธิบายให้ฟังว่าทำไม คุณจะได้รู้เหตุผลของผม” บอสอมยิ้มพลางเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน หล่อตายล่ะช้างฟาด ทั้งชมทั้งด่า สูนแล้ว
“นี่ก็ยังไม่สิบโมง ผมออกไปได้เลยใช่ปะ ตามเวลานัดกันนิดนึง ไม่เอาแต่ใจเนอะ?”
“ถ้าคุณออกไปผมก็จะพากลับมาแบบเมื่อกี้อีก”
“เมื่อกี้ไม่เรียกพา เรียกกระชากลากดึงเลยดีกว่า”
“ถ้าคุณเดินตามมาดี ๆ โดยไม่ดิ้นยุกยิก ผมก็คงไม่ต้องออกแรง คุณก็ไม่ต้องโบ้ยว่าเป็นความผิดผมด้วย” จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สำนึก ทุกคนในโลกผิดหมดยกเว้นพี่แก แต้งกิ้วทรีไทม์
“บอสเป็นบ้าเหรอ ทำอะไรอายคนอื่นบ้างปะผมถามจริง ไหนบอกไม่ชอบถูกนินทาไง?”
“อย่าใช้อารมณ์มากนักเลยครับ คุณยิ่งป่วย ๆ อยู่ด้วย ผมไม่อยากให้คุณอาการทรุดตั้งแต่วันแรกที่คบกัน” โอย เกลียดสายตาอ่อนโยนปลอม ๆ นั่นเหลือเกิน แสดงละครเก่ง
“ผมไม่ได้ป่วย”
“กินยาหน่อยไหมครับ สักสองเม็ดคุณน่าจะดีขึ้น” นั่น ยังมีหน้าชูกระปุกยาให้ดูอีก กวนตีนไม่เลิก
“ไม่กิน บอกว่าไม่ได้ป่วยไง ไม่ได้ป่วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
“โอเคครับ ไม่ก็ไม่”
เจ้าของสูทสีครีมเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ถอนหายใจเอาความสุขออกมา แถมยังมองมาด้วยสายตาที่ชวนให้รู้สึกว่าเสียตัวไปแล้วครึ่งหนึ่ง ฟ้าคคคคคคคคคค
“เพราะถ้าคุณป่วยจนกินเองไม่ไหว ผมมีวิธีช่วยกลืน”
“ถ้าบอกว่าใช้ปาก จะอ้วกใส่พรมให้ดู”
“ผมยังไม่ได้พูดเลยนะ คุณนี่จินตนาการไปไกลกว่าที่คิด แต่ที่บอกมาก็น่าสนใจเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ เจ้าของหน้าซน ๆ มองมาอย่างต่อต้าน และเขาชอบที่จะเห็นแบบนั้น
“บอสกักผมไว้แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย เดี๋ยวพนักงานก็นินทาหาว่าบอสลำเอียงหรอก เมื่อกี้พี่เขายิ่งพูดอยู่ว่าบอสสนิทกับผมเกินอะ ระวังจะเสียหมา”
“ผมเรียกคุณมาดุ มันลำเอียงตรงไหน?”
“ไหนเอาอะไรมาดุ ที่เอาหน้าผากมาทาบแบบในละครนั่นเหรอครับโทษที?” พูดแล้วก็แสบลิ้นเอง แต่การใจแข็งเข้าสู้น่าจะได้ผลมากกว่าสตันท์ไปแปดวิเพราะคำพูดบอส การพูดเรื่องน่าอายโดยไม่อายเลยคงทำให้อีกฝ่ายรู้ได้ว่าเขาไม่ได้กระจอกงอกง่อย
คราวนี้คงสวนกลับยากว่ะ เจอมวยหน้าด้านซะหน๊อยยยยยยยยยย
“ฉากอื่นในละครผมก็ทำได้นะ”
เดี๋ยวบอส... อย่าดับฝันกันแบบ –
“อย่างเช่นฉากล้มไปจูบโดยไม่ตั้งใจ”
นี้..........
“หรือฉากตัดไปที่โคมไฟ... คุณคิดว่าไงครับเชร์?”
เชี่ยบอสมึงติดละครอะ..........
(จบพาร์ท 1)