ตอนที่ 9
ชายชรากับเด็กน้อย
เพราะบ้านพี่อิสไกลจากโรงเรียนพอสมควรก็เลยต้องตื่นเช้ากว่าปกติ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินไปหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนเตียงนอน มองผ้าปูที่นอนทีไรก็อดตกใจหน้าเบ็นเท็นไม่ได้ทุกที ตัวเบ้อเร่อเลยเนี่ย ผมที่กำลังเดินออกมาข้างนอกชะงักกึกเพราะพี่อิสยืนอยู่หน้าประตูพอดี
“อ้าว กำลังจะไปเรียก”
“พี่อิสตื่นแต่เช้าเลยนะครับ”
“ลุกมาทำอาหารเช้าให้นี่ไง” พี่อิสชี้ไปยังโจ๊กคัปกึ่งสำเร็จรูปกับนมรสจืดกล่องหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา
“เทน้ำใส่โจ๊กคัปนี่เรียกว่าทำอาหารเหรอครับ”
“เออน่า ทำได้ก็บุญละ กินเลย เย็นหมดแล้วเนี่ย”
ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ กำลังจะเดินไปนั่งลงที่โซฟาแต่พี่อิสคว้าไหล่ผมเอาไว้ก่อน มองหัวจดเท้า สายตาไปหยุดอยู่ที่หัวเข่าของผม
“เดี๋ยวนะ”
“อะไรครับ”
“กางเกงมึงนี่สั้นไปไหม”
“ฮะ?” ผมก้มดูกางเกงตัวเองที่สั้นเหนือหัวเข่าขึ้นมานิดหน่อย แต่สำหรับผมก็เป็นความยาวที่กำลังดี ไม่เรียกว่าสั้นด้วยซ้ำ
“กางเกงอะ สั้นจังวะ”
“ไม่สั้นขนาดนั้นนะ”
“แผลที่หัวเข่าก็ยังไม่หาย ไม่อายเขาเหรอ ยาวกว่านี้ไม่มีหรือไง”
“ไม่มีครับ”
“อะไรของมึง สมัยนี้เขานิยมแบบนี้เหรอ มึงจะโชว์ขาอ่อนให้คนอื่นดูหรือไง”
“พี่อิสขี้บ่น”
“เออ กูจะบ่น มึงจะทำไม มึงไปซื้อใหม่เลยนะ เอาให้ยาวถึงแข้งเลย”
“คนอื่นใส่สั้นกว่านี้อีก”
“ก็เรื่องของคนอื่นสิวะ ทำไมต้องไปทำตามเขา”
“สายแล้วๆ ไม่มีเวลาฟังแล้วครับ” ผมตัดบทพี่อิสแล้วนั่งลงกินโจ๊กคัปที่ไม่ร้อนแล้วก็เลยตักเข้าปากแบบรัวๆ คนข้างๆ ยังบ่นเป็นลุงแก่ๆ ไม่หยุดปาก
“เด็กสมัยนี้ก็แปลก เห็นคนอื่นทำก็ทำตาม ไม่ได้คิดเลยว่ามันควรหรือไม่ควร...”
ผมกินโจ๊กหมดก็ตามด้วยนมอีกกล่อง ปกติไม่ชอบกินนมเลย แต่พี่อิสมองด้วยหางตาตอนที่ผมเมินใส่นมก็เลยต้องยกกล่องขึ้นมาเจาะดูดอย่างช่วยไม่ได้ กินเสร็จก็คว้าเป้ขึ้นสะพายพร้อมจะออกจากบ้านแล้ว
“กูต้องไปส่งไหม”
“ผมไปเองได้ครับ”
“เออ ไปดีๆ เลิกงานกี่โมงก็ไลน์มาบอกด้วย แล้วขากลับแวะซื้อผ้าก๊อซมาด้วยนะ เอาตังค์ไป” เขาร่ายยาวแล้วควักแบงก์ร้อยส่งให้ผมสองใบ
“ให้ตังค์ทำไมอะ”
“ก็ให้ตังค์ไปโรงเรียนไง”
ผมหลุดหัวเราะออกมาขณะที่พี่อิสขมวดคิ้วแน่น
“พี่อิส พี่อายุเท่าไรอะ”
“ยี่สิบห้า”
“แล้วพี่คิดว่าผมอายุเท่าไร”
“สิบเจ็ดไง”
“แต่พี่ทำเหมือนผมเป็นเด็กประถมอะ พี่เหมือนลุงแก่ๆ ส่งหลานไปโรงเรียนเลย ลุกมาทำอาหารเช้าให้ บ่นนั่นบ่นนี่ แถมให้ตังค์ไปโรงเรียนอีก”
“เอ้า แล้วมึงมีตังค์ใช้หรือไง”
“มีครับ ปกติผมหาเงินใช้เองอยู่แล้ว”
“กูไม่รู้นี่ กูเคยแต่เลี้ยงแมว ไม่เคยเลี้ยงเด็ก ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเว้ย แมวกูไม่เคยไปโรงเรียนซะหน่อย”
“พี่ไม่ต้องดูแลผมขนาดนี้ก็ได้ แค่ให้อยู่บ้านก็ขอบคุณมากแล้ว ผมอาจจะเด็กกว่าพี่ แต่ไม่ได้เด็กอย่างที่พี่คิดนะ”
“เออ พูดเหมือนกูแก่เลยเนี่ย”
“ก็ทำตัวแก่มากอะ”
“เดี๋ยวเตะเลย”
“งั้นผมไปโรงเรียนแล้วนะ”
เขาพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่หน้าประตู ก้มลงสวมรองเท้า ก่อนที่พี่อิสจะเรียกผมด้วยชื่อที่เคยชินไปเสียแล้ว
“หลินปิง”
“ครับ?”
“ต่อไปนี้ใช้ชีวิตอย่างที่มึงอยากใช้ ชีวิตมึงเป็นอิสระแล้วนะ”
“เป็นอิสระ...เหรอครับ”
“ใช่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด มีอะไรก็บอกกู ไม่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียว ให้ความรู้สึกของมึงเป็นอิสระบ้าง”
ผมได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ขณะที่อีกคนยังบ่นต่อ
“ที่บอกว่าทำอะไรที่อยากทำ หมายถึงทำแต่เรื่องดีๆ นะ ไม่ใช่ไปทำตัวเกเรจนเสียคน ไม่งั้นกูเตะตัวขาดเลยนะ เรื่องไหนที่กูไม่เห็นด้วยกูจะดุมึงเอง”
“ครับๆ”
“ไปเรียนได้แล้ว”
“ครับลุง”
“ลุงพ่อมึง!” พี่อิสยกเท้าขึ้นเตะผมเบาๆ ก่อนผมจะเดินออกมาจากบ้าน มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างห้ามไม่ได้ ตลอดทั้งชีวิตผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้เลย ไอ้ความรู้สึกที่เดินตัวปลิวออกจากบ้าน มีความสุขแม้ในวันที่อากาศชื้นครึ้มฟ้าครึ้มฝน เพิ่งจะเข้าใจวันนี้เอง...ความรู้สึกที่เป็นอิสระ
...
วันนี้ที่โรงเรียน ผมต้องมาทำงานตามส่งเพราะเมื่อวานขาดเรียนไป โชคดีที่เมธี เพื่อนแสนดีที่หนึ่งถ่ายรูปการบ้านเอาไว้ให้ลอกก็เลยเอามานั่งปั่นในคาบดนตรี เพราะครูไม่สอนอะไร ปล่อยให้นักเรียนนั่งเล่นเครื่องดนตรีกันไปเอง ผมไม่ค่อยชอบวิชาดนตรีเพราะเล่นอะไรไม่เป็นสักอย่าง สอบทฤษฎีผมคะแนนเต็มตลอด แต่สอบปฏิบัติขึ้นมาเมื่อไรฉิบหายแน่นอน ตอนม.สี่ครูสอนกีตาร์แค่สี่คอร์ด ผมเล่นบอดตั้งแต่ต้นเพลงยันจบ เพื่อนนี่ตามล้อกันยันจบเทอมเลย แต่ก็มีคู่หูสายบอดอย่างเมธีเป็นเพื่อนกันเลยไม่ค่อยเขินเท่าไร
“เด็กๆ หันมาฟังทางนี้หน่อย” ผมละสายตาจากงานแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองครูลัทธพล ครูประจำวิชาดนตรีที่เพิ่งเข้ามาสอนได้ปีแรก ด้วยความที่ครูอายุยังไม่มากและใจดีเป็นกันเอง เด็กๆ ส่วนใหญ่ก็เลยปลื้มครูมากกว่าครูสอนดนตรีคนอื่นๆ
“มีอะไรคะครู”
“ขอทวนเรื่องสอบปฏิบัติครั้งแรกหน่อยนะ จำได้เปล่าว่าตกลงกันไว้ว่ายังไง”
“เลือกเครื่องดนตรีเองแล้วก็เล่นคนละเพลงค่ะ” ผู้หญิงแถวหน้าเป็นตัวแทนตอบ
“ใช่แล้ว ถ้างั้นอีกสองอาทิตย์จะเริ่มสอบครั้งแรกแล้วนะ”
“ฉิบหายละ” ผมเผลอสบถออกมา แต่เป็นจังหวะที่ทุกคนเงียบพอดี เสียงของผมก็เลยดังพอที่จะได้ยินทั้งห้องจนต้องรีบยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง ครูลัทธพลหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉิบหายแน่นอน ถ้าปกรณ์ยังเอาแต่ทำการบ้านในห้องครู”
“ผม...”
“ไม่ต้องเถียงเลย ครูดูอยู่นะครับ”
“คือผม...”
“แน่ะ! ปกรณ์ ยังจะเถียง”
“ผมชื่อปวินท์ครับครู!” ผมสวนกลับเสียงดังเมื่อครูไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเลย แค่อยากทวงคืนชื่อจริงของตัวเองให้ครูจำได้บ้าง
“อ้าว ขอโทษทีครับ” ครูลัทธพลยกมือเป็นเชิงขอโทษก่อนจะหัวเราะหน่อยๆ หรือไม่บางทีผมอาจจะไปเปลี่ยนชื่อเป็นปกรณ์ไปเลย น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็ได้
“โอเค งั้นเดี๋ยวอีกสองอาทิตย์เริ่มสอบเลยเนอะ ครูจะสอบแบบเรียงเลขที่นะครับ ใครอยากให้ครูสอนอะไรเป็นพิเศษก็มาหาได้เลยนะ”
ผมตอบรับครูไปพร้อมกับเพื่อนในห้อง ก่อนจะหันขวับไปหาเมธี มันเองก็หันมามองในจังหวะเดียวกัน แค่มองตาก็เข้าใจว่าความฉิบหายวายป่วงกำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว คู่หูสายบอดคัมแบ็กแน่นอนเทอมนี้
...
หลังเลิกเรียน ผมตั้งใจจะไปทำงาน แต่พอไปถึงร้าน พี่พิงค์เห็นว่าผมเจ็บขาก็เลยไล่กลับมา ทั้งๆ ที่บอกแล้วว่าไม่เจ็บมาก แต่เขาก็ไม่ยอมให้ผมทำงาน แถมให้ขนมปังมากินอีก ใจดีกับผมจนไม่กล้าจะโต้เถียงอะไรก็เลยได้แต่ทำตามที่บอก แต่เพราะไม่ต้องทำงานผมก็เลยว่างอย่างกะทันหัน เพิ่งเคยมีเวลาว่างหลังเลิกเรียน ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรดีเลยตั้งใจจะกลับบ้าน
บ้าน...
คิดถึงคำนี้ขึ้นมาด้วยความรู้สึกสับสนนิดหน่อย นึกถึงบ้านของป้าที่ผมเดินออกมาโดยไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากกลับไปที่นั่นเลย เว้นก็แต่ความเป็นห่วงที่มีต่อย่า มันทำให้ผมนึกถึงบ้านหลังนั้นขึ้นมา ผมจึงหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์บ้านซึ่งเป็นเบอร์เดียวที่จำได้ ลังเลนิดหน่อยตอนที่จะกดโทรออก ก่อนจะหลับหูหลับตาจิ้มโทรออกไป ขอให้คนที่รับเป็นย่าทีเถอะ...ได้โปรด
“สวัสดีค่ะ”
“ย่า!” ผมถอนใจโล่งอกเมื่อปลายสายเป็นเสียงย่ารับ
“ปิงเหรอ ปิงใช่ไหม”
“ปิงเอง”
“ไปอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง”
“ปิงโอเคดี”
“แล้วไปอยู่กับใคร ใช่คนที่เข้ามาวันนั้นไหม”
“ใช่ครับย่า ปิงอยู่กับเขา”
“เป็นคนดีไหม ไว้ใจได้หรือเปล่า”
“ไว้ใจได้ครับ เป็นคนดีด้วย ย่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“จะไม่ห่วงได้ยังไงล่ะ จะไปอยู่ไปกินยังไง ย่าน่าจะช่วยอะไรปิงได้มากกว่านี้”
“ไม่เป็นไรครับย่า ทุกอย่างโอเคมากเลย ปิงอยู่ไม่ไกลจากย่า อย่าห่วงเลยนะครับ”
“ถ้ายังไงก็โทรหาย่าบ่อยๆ นะ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีด้วย”
“ได้ครับ ย่าก็ดูแลตัวเองนะ”
ผมกดวางสายจากย่าแล้วถอนใจออกมาเบาๆ ถึงจะเป็นห่วงย่าแต่ผมก็ไม่อยากกลับไปที่นั่นแล้ว คนที่นั่นคงรู้สึกดีกว่าถ้าไม่มีผม เพราะฉะนั้นผมก็จะขอเป็นคนเห็นแก่ตัวและใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ ทำอะไรที่อยากทำ...ขอเป็นอิสระสักที
...
ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านพี่อิส เห็นเจ้าของบ้านกำลังนั่งอยู่หน้าคอม ไม่รู้ว่าใจลอยอะไร ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ เขายังไม่รู้ตัวเลย ผมชะโงกหน้าไปดู เขากำลังใช้ดินสอวาดรูปลงบนกระดาษ มันไม่ได้เป็นรูปวาด เหมือนแค่ขีดๆ เขียนๆ ไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้จริงจัง สายตาเลื่อนมองมือข้างที่จับดินสออยู่ ผมจึงเพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรก...พี่อิสเป็นคนถนัดมือซ้าย
“พี่อิส”
“เชี่ย!”
ผมกระโดดออกมาเพราะตกใจเสียงพี่อิสที่ตกใจผม เขายกมือทาบอกแล้วถอนใจเบาๆ ทำท่าทางเหมือนคนแก่ที่หัวใจเกือบวายแล้วหันมาพูดเสียงดุ
“ไอ้หลินปิง ตกใจหมด!”
“ขอโทษครับๆ”
“แล้วนี่ไม่ทำงานเหรอ”
“เจ้านายไล่กลับมา บอกว่าไม่อยากใช้งานเด็กขาเป๋”
เขาพยักหน้ารับ
“แล้วพี่ทำอะไรอยู่เหรอ เห็นนั่งเหม่อ”
“คิดอะไรเพลินๆ ไม่มีงานทำ ว่างฉิบหาย”
“เออพี่ ผมซื้อขนมมาฝาก” ผมว่าแล้วหยิบโตเกียวหน้าโรงเรียนที่ซื้อมาฝากส่งให้เขา
“ขนมเด็กๆ”
“ไม่กินใช่ปะ”
“กิน หิวอยู่” เขาว่าแล้วยัดโตเกียวเข้าปาก ขณะที่ผมได้แต่อมยิ้มหน่อยๆ คนแก่กินขนมเด็กๆ
“เออ พี่อิส พี่เล่นดนตรีเป็นไหม” ผมถอดเป้กับเสื้อคลุมออกแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา พี่อิสเดินมานั่งข้างๆ ผมด้วย
“ไม่เป็นอะ”
“โห่ ไม่เท่เลย”
“เกี่ยวอะไร แค่นี้กูก็เท่มากแล้วเว้ย จะให้กูทำอะไรอีก แล้วถามทำไม”
“ผมมีเรียนวิชาดนตรี ต้องเล่นดนตรีให้เป็นเพลงด้วย แต่ผมเล่นอะไรไม่เป็นสักอย่างเลย ตกแน่ๆ”
“ซ้ำชั้นไปเลยมึง”
“พี่อะ!”
“แล้วนี่มึงจะไม่ซื้อกางเกงใหม่ใช่ไหม” พี่อิสชี้มาที่กางเกงผม วนเข้าเรื่องนี้อีกแล้ว
“ไม่ซื้อแล้ว อีกเทอมเดียวก็จบแล้ว เปลืองเงิน”
“เฮอะ พูดไม่ฟังนะมึง แล้วได้ซื้อผ้าก๊อซมาไหม จะได้ทำแผลให้”
“เออ ลืม” นึกขึ้นได้ก็ตอนที่เขาพูดถึง ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท
“หลินปิงเอ๊ย เพราะมึงตัดผมทรงนี้ไง มึงถึงได้ขี้ลืม”
“มันเกี่ยวกันไหม!”
“ไม่รู้ กูเหมาหมดแหละ ทรงผมมึงมันขัดตากู”
“รองทรงเว้ยพี่ นักเรียนมันก็ตัดได้ทรงเดียวนี่แหละ สมัยเรียนพี่หัวเกรียนใช่ปะล่ะ”
“เออดิ แต่มึงผมยาวแล้วนะเนี่ย ทิ่มตาแล้ว”
ผมยกมือปัดผมข้างหน้าที่เริ่มยาวจนปิดคิ้ว แต่ข้างหลังยังไม่ยาวมากเพราะตัดครั้งล่าสุดลุงช่างตัดผมเอาข้างหลังออกเยอะไปหน่อย
“ไปตัดเลย มึงจะปล่อยยาวเป็นราพันเซลหรือไง”
“แต่ข้างหลังมันยังไม่ยาวเลยนะ เปลืองตังค์อะ”
“งั้นกูตัดให้”
“ได้เหรอ”
“ได้ดิ” เขาว่าแล้วลุกไปหยิบกรรไกรตัดกระดาษที่โต๊ะทำงานมา ผมกะพริบตาปริบๆ กับท่าทางเอาจริงของพี่เขา ขยับกรรไกรแง้บๆ มาจ่อตรงหน้า แต่ว่าผมไม่มั่นใจเลยสักนิดเลยออกปากปฏิเสธ
“พี่อิส ผมว่าไปร้านตัดผมดีกว่า คงเสียเงินไม่เท่าไร”
“เหอะน่า เมื่อก่อนกูตัดหน้าม้าให้น้องสาวประจำ”
“มันเหมือนกันเหรอ”
“เชื่อพี่สิ”
พี่...
“อยู่เฉยๆ”
ผมอยู่เฉยๆ ตามคำสั่ง ที่ยังนิ่งก็เพราะเมื่อครู่คำแทนตัวเองว่าพี่ยังติดอยู่ในหู น้ำเสียงทุ้มต่ำและคำว่าพี่ฟังดูอ่อนโยนแปลกประหลาด แค่คำเดียวจากปากเขากลับสะกดผมให้อยู่นิ่งได้จริงๆ...พี่อิสก็พูดเพราะๆ เป็นนี่นา
มือใหญ่ของเขาจับผมด้านหน้าของผมลงมา อีกมือค่อยๆ เล็มออกทีละนิด ผมนั่งเกร็งอย่างลุ้นๆ ส่วนเขาเองก็ดูตั้งใจจนไม่กล้าชวนคุยอะไร ได้ยินแค่เสียงกรรไกรดังกระทบกัน
“หลับตาดิ”
ผมหลับตาลงตามคำสั่ง ก่อนพี่อิสจะเป่าลมใส่หน้าเบาๆ
“เสร็จละ”
ผมลืมตาขึ้น เห็นหน้าพี่อิสที่อยู่ใกล้ๆ พอดี ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนี้ผมรู้สึกว่าพี่อิสโคตรน่ารักเลย เขายกมือขึ้นปัดผมด้านหน้าให้แล้วขยับมุมปากขึ้นยิ้ม ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“สัด...แหว่ง”
“งื้อ!” ผมยกมือจับหัวแล้วกะพริบตาปริบๆ อีกฝ่ายได้แต่หัวเราะออกมา
“เนียนๆ ไป ไม่มีใครสังเกตหรอก”
“พี่อะ!”
“มันก็ไม่ได้แย่”
ผมได้แต่มองตาขวาง พี่อิสยังคงมองหน้าผมอยู่ สายตาของเขาที่ไม่เลื่อนออกไปไหนเลยทำให้ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ขยับปากถามเบาๆ
“พี่มองอะไร”
“ตามึงเป็นสีน้ำตาลด้วยอะ” เขาว่าแล้วยกมือจับคางผมให้อยู่กับที่ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ มองเข้ามาในลูกตาของผมอย่างจริงๆ จังๆ
“ใครๆ เขาก็สีนี้กัน”
“ไม่ดิ นี่น้ำตาลอ่อนเลย เป็นเพราะมึงขาดสารอาหารปะเนี่ย”
พี่อิสยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก พี่อิสกำลังมองตาผมใกล้ๆ ขณะที่ผมก็ได้เห็นพี่อิสแบบใกล้ๆ ด้วยเหมือนกัน ผมไม่กล้าเลื่อนสายตาไปมองส่วนอื่นนอกจากส่วนของดวงตา คิ้วหนาเรียงตัวสวยเข้ากันดีกับตาสองชั้นคมๆ และดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้ม
“พี่อิส! น้องปิง!”
“เชี่ย!” ทั้งผมและพี่อิสรีบผละออกจากกันหลังได้ยินเสียงเรียกที่หน้าประตู พี่ปอนด์ผู้เป็นเจ้าของเสียงเดินเข้ามาพร้อมพี่โอม พี่ปรินซ์อย่างเคย
“ทำอะไรกันอะ”
“เล่นจ้องตากันเหรอ”
“เปล่าเว้ย กูกำลังนั่งดูตาหลินปิงมันอยู่”
“ดูทำไม”
“ก็สีมันแปลกๆ ไม่เชื่อมึงมาดูดิ” สิ้นคำพูดของพี่อิส พวกพี่ๆ ทั้งสามคนก็พุ่งตัวเข้ามาจ้องตาผมแบบจริงๆ จังๆ ผมรู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อยกับการมานั่งให้คนอื่นมองตาเล่น เดาว่าหน้าคงแดงไปแล้วเพราะรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า
“แปลกยังไงอะ” พี่ปอนด์ขมวดคิ้วถาม
“เขาเรียกว่าน้ำตาลเฮเซลนัทเว้ย” พี่โอมบอก ผมเพิ่งได้ยินชื่อเรียกของสีน้ำตาลแบบนั้นเป็นครั้งแรก
“สวยดีครับ” พี่ปรินซ์พูดแล้วยิ้มนิดๆ
“พอแล้วๆ พอๆ หลินปิงกูหูแดงหมดแล้วเนี่ย” พี่อิสเข้ามาดึงทั้งสามคนออกไปแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“แล้วพวกมึงมาทำไมเนี่ย”
“มาทำงานสิครับ ขออนุญาตเลยนะฮะ มึง ไปขนของมา”
“กูไม่อนุญาตได้ไหมล่ะไอ้ห่า” พี่อิสบ่นเบาๆ ก่อนพวกพี่ๆ จะไปช่วยกันยกของเข้ามา จัดการทำโมเดลกันอย่างดูชำนาญ ผมนึกสนุกเลยขอเข้าไปช่วยด้วย พวกเขาก็เลยให้ผมช่วยตัดอันที่ง่ายๆ เพราะเกิดพลาดไปตัดผิดเดี๋ยวต้องเสียเวลาพวกเขาร่างแบบใหม่อีก ระหว่างนั้นก็ชวนกันคุยไปเรื่อยเปื่อย ส่วนพี่อิสนอนกินป๊อปคอร์นอยู่บนโซฟาสบายๆ
“แล้วปิงไปโรงเรียนยังไงอะ”
“เดินไปครับ”
“เฮ้ย ไกลนะ”
“พี่อิสทำไมไม่ไปส่งน้อง”
“เออได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปส่ง ปั่นจักรยานไป แล้วให้หลินปิงมันนั่งตะกร้าหน้าไป ดีไหม”
“จะบ้าเหรอพี่ ไม่ใช่อีทีนะ” หมายถึงหนังที่เป็นมนุษย์ต่างดาวขี่ตะกร้าหน้ารถของมนุษย์ ผมเคยดูตอนเด็กๆ
“เฮ้ย รุ่นมึงนี่ทันอีทีด้วยเหรอวะ”
“มาดูตอนโตแล้วนี่แหละครับ เมื่อก่อนลุงผมชอบดูหนังมาก ผมก็เลยได้ดูด้วย”
“แล้วมึงชอบดูหนังไหม”
ผมพยักหน้ารับ ผมชอบดูหนังกับลุง แต่พอลุงตายไปก็ไม่มีใครชวนผมดูหนังอีกเลย ไม่เคยเข้าโรงหนังด้วยเพราะค่าตั๋วหนังแพงเกินไปสำหรับผม
“งั้นดูหนังกัน” พี่อิสว่าแล้วลุกไปที่หน้าทีวี ดึงลิ้นชักจากชั้นวางทีวีออกมา ผมแหวกทางที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษเข้าไปหาเขา ก่อนจะเห็นดีวีดีหนังอัดแน่นอยู่ในนั้น คิดว่าสมัยนี้จะไม่มีคนสะสมดีวีดีแบบนี้แล้วซะอีก
“โห โคตรเยอะเลย พี่อิสชอบดูหนังเหรอครับ”
“อือ ชอบดูหนังแต่ไม่ชอบเข้าโรงหนัง รำคาญเสียงดังเกินอะ แล้วมึงชอบดูแนวไหน”
“ดูได้ทุกแนวครับ”
“หนังโป๊ไหม”
“พี่แม่ง!”
“เดี๋ยววันหลังกูส่งไฟล์ให้ เอาไว้ดูคนเดียว”
“พี่อิส ไหนบอกเรื่องเหี้ยๆ ไม่ต้องสอนไง” พี่ปรินซ์หันมาพูดก่อนโยนเศษกระดาษที่ขยำเป็นก้อนมาโดนหัวพี่อิสพอดี
“กูล้อเล่นเว้ย! อันนี้ดูยัง” พี่อิสเปลี่ยนเรื่องกลับมาที่ดีวีดี ปลายนิ้วไล่ผ่านกล่องดีวีดีไปทีละแผ่น ปากพึมพำชื่อเรื่องไปด้วย คราวนี้ผมเป็นฝ่ายถามบ้าง
“แล้วพี่ชอบดูแนวไหน”
“ที่สุดก็ต้องหนังโป๊อยู่แล้ว”
“พี่! จริงจังสักวินาทีได้ไหมครับ”
“กูดูไม่จริงจังตรงไหนอะ”
“พี่นี่มัน...” ไม่มีคำไหนจะพูดจึงได้แต่ถอนใจออกมาแทน อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ แล้วให้คำตอบใหม่อีกที
“กูชอบหนังรัก”
“...”
“แบบมีฉากเรตเยอะๆ”
ผมหันขวับไปมองคนที่เกือบจะจริงจังแล้วก็ล้อเล่นอีก พี่อิสนี่มันน่า...
“ทำไมต้องมองตาขวางด้วยอะ”
“ไม่พอใจกับความจัญไรของพี่ไง”
“กูนึกว่ามึงจะชินแล้วซะอีก” พี่อิสพูดขำๆ ก่อนเลือกหนังรักเรื่องหนึ่งมาเปิดดู ผมละจากการเป็นลูกมือพี่ๆ ทั้งสามเพราะหมดงานในส่วนที่ผมจะทำได้แล้ว ขยับขึ้นมานั่งบนโซฟาดูหนังกับพี่อิส พอในหนังมีฉากเรตอย่างที่บอกพี่อิสก็ยื่นมือมาปิดตาผม
“ไม่ต้องดูๆ”
“พี่ ผมโตแล้ว”
“มึงนี่แก่แดด”
“มันไม่ได้มีอะไรสักหน่อย” ผมพูดปัด ขณะที่ฉากเลิฟซีนในหนังยังคงไม่จบและยาวนานกว่าที่ผมคิด ผมเลื่อนสายตาจากหน้าจอเหลือบมองไปทางอื่น ก่อนไปสบเข้ากับสายตาพี่อิสที่มองผมอยู่พอดี
“ไหนว่าโตแล้วไง แค่นี้มึงยังหน้าแดงเลย”
“ผมเปล่า”
“เขินหรืออยาก?”
“พี่!” ผมใช้กำปั้นทุบเขาเบาๆ แต่เขาหันมาเอาคืนผมด้วยการดีดหน้าผาก แรงจนกะโหลกเกือบร้าว ผมจึงหันไปคว้าม้วนกระดาษที่พี่ปรินซ์ส่งให้แล้วใช้เป็นอาวุธ
“มันเจ็บนะโว้ย”
“พี่ทำผมแรงกว่านี้อีก”
“ไอ้แพนด้าทรพี!”
“พี่อิส!” ผมโวยลั่นเพราะพี่อิสคว้าม้วนกระดาษไปจากมือผมอย่างง่ายดายแล้วใช้แขนอีกข้างล็อกคอผมเอาไว้ พริบตาเดียวผมก็ติดแหง็กอยู่กับท่อนแขนของเขาอย่างไร้แรงขัดขืน จนต้องเอ่ยปากยอมขอโทษก่อนเหมือนทุกที
“พี่ ผมขอโทษ”
“จะตีพี่อีกไหม พูดสิ”
“มะ...ไม่ทำแล้วครับ” ผมตอบอึกอัก ชะงักไปกับคำว่าพี่ของเขาอีกแล้ว
“ถ้าทำอีก พี่จะลงโทษนะ”
“ไม่เอา ไม่ทำแล้ว บอกแล้วไม่ทำไง”
“ดีมาก” พูดแค่นั้นก่อนคลายแขนที่ล็อกคอเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ปล่อยผมออก แขนข้างนั้นยังโอบคอผมอยู่หลวมๆ หลังผมยังแนบอยู่กับตัวของพี่อิสในท่าทางที่ดูคล้ายกำลังถูกกอด ผมค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากตรงนั้นเองในตอนที่อิสดูไม่ได้สนใจอะไร ก่อนความสนใจของพวกเราทั้งหมดจะถูกเทไปที่เสียงหนึ่งซึ่งดังขึ้นที่หน้าประตู
“พี่อิส”
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นยิ้มกว้างแล้วโบกมือเป็นเชิงทักทายทุกคนในที่นี้ น่าจะเป็นผมคนเดียวที่ไม่รู้ว่าคนที่กำลังเดินเข้ามานั้นเป็นใคร กระทั่งพี่อิสเอ่ยชื่อเธอขึ้นมาผมก็เลยจำได้...
“เนย”
...แฟนเก่าพี่อิสนั่นเอง
To be continued.