“แล้วตอนนั้นโรงงานผลไม้กระป๋องที่เห็นๆอยู่ตอนนี้ ก็เพิ่งเริ่มทำได้ไม่นานยังเป็นหนี้เป็นสินธนาคารตั้งไม่รู้กี่ล้าน คุณแกเลยต้องไปทุ่มเทเวลาให้กับกิจการที่พ่อแม่เหลือไว้เป็นของต่างหน้าจนละเลยเมียสาวของตัวไป คุณนรีเธอก็ไม่เข้าใจ คิดว่าคุณหินของป้าไปติดผู้หญิงที่อื่นบ้างละ ไม่สนใจเอาใจใส่เธอบ้างละ ระหองระแหงกันจนมีลูกคนที่สอง พอคลอดไม่ทันไร คุณภูผาก็จับได้ว่าคุณนรีมีชู้ จนเป็นเรื่องเป็นราวอยู่พักใหญ่ ตอนแรกทางคุณนรีเธอไม่ยอมหย่าท่าเดียว ไม่รู้คุณภูผาทำยังไงแกเลยยอมหย่าให้ สงสัยคงต้องจ่ายไปหลายบาท”
ป้าหยดยังคงเล่าด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ราวกับจะให้เขาที่ทำงานเหมือนเป็นเลขาก็ไม่ปาน ได้เข้าใจและเห็นใจเจ้านายของเธอด้วย
“คุณหินคงรู้ตัวละค่ะว่า ตัวเองละเลยครอบครัวทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แกเลยเปลี่ยนตัวเองใหม่ มาให้เวลากับลูกทั้งสองคนแทนส่วนของแม่ที่ต้องแยกไปด้วย อีกอย่างตอนนี้ก็ใช้หนี้ใช้สินกับทางธนาคารหมดแล้ว ก็เลยสบายหน่อย แต่คุณนรีเธอก็ยังมากวนอยู่เรื่อยๆละ แล้วนัสจะได้เห็นบ่อยๆจนชินไปเอง”
“ผู้หญิงเขาอาจจะอยากคืนดีด้วยก็ได้นะครับ คนเราทำผิดกันได้ทั้งนั้น”
“โอ้ย!…….ไม่ไหวละเจ้านัส ผู้หญิงมือห่างตีนห่างแบบนั้น หาคนอื่นเปลี่ยนหน้าบ้างเถอะ ป้าก็เบื่อถ้าจะต้องเจอคนแบบนี้อีก จะใครก็ได้แต่ขอให้รักเด็กสองคนนั้นด้วย ไม่ใช่รักแต่พ่อลูกไม่เอาแบบนั้นน่ะ ป้าละไม่อยากให้มีปัญหาแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงเลย”
“คุณของป้าคงไม่ทำให้ป้าผิดหวังหรอกครับ” วนัสทำท่าล้อหญิงสูงวัยที่เอาแต่ถอนหายใจไม่รู้กี่เฮือกตั้งแต่เล่ามา “เป็นพ่อหม้ายเนื้อหอมขนาดนี้ สาวๆมีแต่ดาหน้ามาให้เลือกไม่หวาดไหวแน่ๆป้า” คนพูดขยิบตาให้ป้าหยดเสียหนึ่งที
“ก็แหม………มันอดห่วงไม่ได้น่ะ นี่ถ้านัสเป็นผู้หญิงป้าเชียร์ไปแล้ว”
เจอป้าแกหยอกกลับทำเอาวนัสเหวอไปเลย เล่นแรงนะป้า
“ฮะๆ” วนัสหัวเราะเบาๆกับคำพูดประชดของป้าหยด ก่อนจะหยุดหัวเราะเพราะเสียงดังที่เล็ดลอดมาจากห้องนอนของภูผา
“ฉันเป็นแม่ ฉันจะเอาลูกไปเลี้ยงดูมันผิดกฎหมายเหรอค่ะ!” เสียงหญิงสาวระเบิดอารมณ์โกรธออกมาอย่างไม่คิดจะออมเสียงแม้แต่น้อย
“ไม่ผิด! แต่ถ้าเอาไป แล้วเลี้ยงได้ไม่ดี ก็อย่าทำเลย ลูกอยู่กับฉันเขาก็มีความสุขสมบูรณ์ดีทุกอย่างอยู่แล้ว”
เสียงเข้มย้อนดังอย่างคนที่เริ่มสะกดกลั้นอารมณ์ตนเองไม่ค่อยจะได้ของภูผาตามติดขึ้นมาทันที
“ฉันเป็นแม่นะค่ะ มีสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ที่จะเอาลูกไปดูแลเป็นครั้งคราวบ้างก็ยังดี แต่คุณไม่ยอมให้ฉันเอาแกไปค้างคืนบ้างเลย ภูผาค่ะ ฉันอยากให้ลูกได้รับความรักจากแม่แท้ๆของแกบ้าง ไม่ใช่อยู่แต่กับคนใช้ ไม่ก็ครูบ้านนอกที่จ้องจะเขมือบคุณแทนที่จะสนใจสอนเด็ก”
“อย่าเอาไอ้กฎหมายบ้าบอมาอ้างกับฉัน นรี!”
“งั้นคุณก็ให้ฉันแวะมาพักที่บ้านนี้คอยดูแลลูกบ้างสิค่ะ ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันเอาลูกไปอยู่ด้วย”
“ไม่!”
เสียงเฉียบขาดอย่างที่วนัสไม่เคยได้ยินทำให้เขารู้สึกชาวูบกับเสียงดุดันนั้น ใช่ นึกๆไปเขาไม่เคยถูกตะคอกแบบนี้เลยสักครั้ง นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคนนั้นในตอนนี้คงเขาอ่อนเป็นแน่
“เหอะ……………เอาลูกมาอ้าง คงหาเรื่องอยากกลับมาคืนดีกับนายละสิ เจ้าพ่อคู๊ณ…………..ขออย่าให้คุณหินเธอใจอ่อนเลย ป้าไม่อยากให้บ้านมันลุกเป็นไฟรอบสอง”
เสียงป้าหยดบ่นพึมพำแทรกการเงี่ยหูฟังเสียงทะเลาะภายในห้อง แล้วประตูที่ปิดสนิทก็ถูกกระชากเปิดออกโดยแรง ร่างสูงใหญ่ของภูผาก้าวเดินตึงๆออกมาอย่างฉุนเฉียว สายตาแข็งกร้าวมองกราดไปรอบบริเวณห้องรับแขกผ่านจุดที่พวกเขายืนคุยกันอยู่ รังสีแห่งความโกรธเกรี้ยวดูจะแผ่ขยายกดดันให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัด จนอยากจะกระโจนหนีไปให้ไกลๆ
วนัสเห็นสายตาดุดันคู่นั้นแล้วต้องหันหน้าหนี เขาไม่อยากสบตา ไม่อยากมองดูท่าทางดุร้ายแบบนั้น
“นัส”
เสียงเข้มเรียกหาร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่หน้าประตูหลังบ้าน ทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งโหย่ง ถึงแม้จะสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงแล้วยามเรียกชื่อตนก็ตาม
“ขอสมุดเช็คให้ฉันหน่อย”
ไม่ต้องให้พูดซ้ำ วนัสก็เดินมายังโต๊ะรับแขกเปิดกระเป๋าเอกสารดึงสมุดเช็คพร้อมปากกาส่งให้คนตัวใหญ่ที่รออยู่ด้วยอาการหงุดหงิด
วนัสเห็นภูผาเขียนหวัดๆอยู่สามสี่ทีก็ฉีกกระดาษส่งให้หญิงสาวที่เคยเป็นอดีตภรรยา
นรียังคงยืนนิ่งไม่ยอมรับกระดาษที่สามารถนำไปแลกเป็นเงินจำนวนหนึ่งที่ตนเองจะมีกินมีใช้อย่างมือเติบไปอีกนาน เพราะเป้าหมายของตนไม่ได้มาเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว เงินเพียงสี่ห้าหมื่นมันก็แค่เศษเงินที่อดีตสามีของเธอหยิบยื่นให้เพราะเธอเอาลูกมาเป็นเรื่องบังหน้า และภูผาก็ขี้รำคาญเกินกว่าจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเงินแค่นี้ สิ่งที่เธอต้องการจริงๆคือ การให้ภูผารับเธอกลับมาเป็นภรรยาอีกครั้ง หึ……….แล้วเธอก็จะได้เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องบากหน้ามาเช่นทุกวันนี้ และสิ่งเดียวที่จะสามารถยื้ออดีตสามีคนนี้ให้หวั่นไหวได้ก็คือ ลูกไงล่ะ
“ฉันจะฟ้องศาลว่าคุณกีดกันแม่ลูกไม่ให้พบกัน”
นรีรู้ว่าการขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นสิ่งที่ภูผาหลีกเลี่ยงมาตลอด เพราะภูผาไม่ต้องการให้ลูกได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เธอจึงยกมันขึ้นมาเป็นข้ออ้างหาเหตุให้ตนเองได้เข้ามาใกล้ชิดอดีตสามีมากขึ้น ก็วัวเคยค้าม้าเคยขี่อยู่ใกล้ๆกันเดี๋ยวถ่านไฟเก่ามันก็ลุกโชนขึ้นมาเองละ
วนัสมองผู้หญิงที่เคยคิดว่าสวยงามด้วยความรู้สึกผะอืดผะอม นี่หล่อนรักลูกจริงๆรึเปล่าเนี่ย และก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าหล่อนพูดออกมาจะทำให้เจ้านายเขารู้สึกเกรงกลัวจนยอมทำตามเงื่อนไขที่ว่ามานั่นรึเปล่า เพราะแววตาคมกริบหรี่เล็กลง แล้วสาวเท้าเข้าไปไกลร่างอรชอนอ้อนแอ้นนั้นอย่างช้าๆ
ใบหน้าของภูผาตอนนี้ไม่มีเค้าความใจดีอ่อนโยนหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย สายตานั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นใบมีดได้ มันคงฟาดฟันกรีดแทงลงไปยังร่างบางของหญิงสาว ที่ยังยืนท้าทายอยู่ตรงหน้าไม่รู้กี่ร้อยกี่พันแผล
คนอะไรเวลาโกรธน่ากลัวชะมัด นี่ถ้าเป็นเด็กเล็กๆอาจจะยืนฉี่ราดแค่ได้เห็นหน้าตาเหมือนยักษ์ของเจ้านายยามนี้ เขาเองยังรู้สึกกลัวเกรงสายตาดุๆนั้นอยู่ไม่น้อยจนเผลอยืนเบียดข้างฝาโดยไม่รู้ตัวนั่นปะไร
“ถ้าเธอคิดว่าเป็นวิธีที่ฉลาดแล้วก็ทำไปเถอะ” น้ำเสียงเย็นเฉียบบาดลึกให้คนฟังได้สะบัดร้อนสะบัดหนาวเล่น “แต่ขอบอกอะไรไว้ซักอย่างน่ะว่า กรุณาเตรียมเงินจ่ายค่าทนายให้มันช่วยเธอไว้เยอะๆด้วยละ เพราะงานนี้มียืดเยื้อแน่”
นรียืนนิ่งขบริมฝีปากบางแน่น เมื่อภูผาเดินวนมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนประเมินสิ่งของอะไรสักอย่างที่มาตั้งอยู่กลางบ้าน
“หรือไม่มันอาจจะจบเร็วจนเธอตั้งตัวไม่ติดก็ได้น่ะ ถ้าศาลรู้เรื่องที่เธอมีชู้ประพฤติตัวไม่เหมาะสมจะดูแลบุตรได้ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องโคมลอยใช่มั้ยล่ะนรี หลักฐานมันยังอยู่ครบถ้วนทุกอย่าง เธออยากจะเห็นมันมั้ยละ หึๆ”
หญิงสาวยืนมองอดีตสามีปากคอสั่น เธอรู้ว่าถึงสู้กันทางกฎหมายเธอก็ไม่มีทางชนะอยู่แล้วละ เพราะเธอมีชนักติดหลังอยู่ แต่ที่ยกเอามาอ้างก็เผื่อว่าภูผาจะเกิดกังวลถึงความรู้สึกของลูกแล้วเปลี่ยนใจขึ้นมา แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่ามันไม่ได้จริงๆ ภูผาไม่หวั่นไหวไปกับคำขู่ของเธอเลย แถมยังเอาเรื่องที่เธอมีชู้มาขู่กลับอีก แล้วจะไม่ให้รู้สึกเสียหน้าได้ยังไง
ใบหน้านวลมองไปรอบๆตัวก็พบผู้อยู่ร่วมรับฟังอีกสองคน ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเสียหน้ามากขึ้นไปอีก แต่จะให้กลับไปตัวเปล่าได้อย่างไร หญิงสาวยิ้มเย็นขมกลั้นความรู้สึกเดือดดาลแล้วดึงเช็คในมือภูผาไปยัดใส่กระเป๋าถือของตน
“ฉันก็แค่อยากอยู่กับลูกบ้าง ทำไมคุณไม่เข้าใจฉันเลยหรือค่ะ ไว้ให้คุณอารมณ์เย็นกว่านี้ ฉันจะมาคุยกับคุณใหม่ เสียดายจังที่ลูกไม่อยู่ วันหลังฉันจะมาตอนพวกแกอยู่บ้านนะค่ะ”
ไม่รอให้ภูผาไล่ส่ง หญิงสาวก็รีบก้าวฉับๆออกไป อย่างน้อยวันนี้เธอก็สมความตั้งใจไปอย่างหนึ่งละ
ภายในบ้านกลับมาเงียบสนิทอีกครั้งหลังเสียงรถยนต์ของนรีแล่นออกไป ภูผายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม วนัสเองก็ไม่กล้าเข้าไปเฉียดใกล้ร่างสูงที่ดูเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนักในตอนนี้ แต่ด้วยยังมีงานที่ต้องรีบทำให้เสร็จก่อนธนาคารจะปิดทำการร่างบางจึงสาวเท้าเข้าไปใกล้ ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนนิ่งเงียบหันขวับมองด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ก่อนจะผ่อนคลายเป็นปกติทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“เซ็นเช็คใช่มั้ย เอามาสิ” มือใหญ่เสยผมอย่างลวกๆ “ขอโทษด้วยนะที่ต้องมารับรู้อะไรตรงนี้”
“………………………” วนัสเลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกไป เขารีบให้ร่างสูงนั่งลงเซ็นเอกสารทั้งหมด เมื่อตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนแล้วถึงได้เงยหน้ามองใบหน้าหม่นของเจ้านายตน
“คุณภูผามีธุระอะไรในเมืองหรือครับ ให้ผมทำแทนให้มั้ยครับ”
คนหน้าเครียดคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าทันทีที่ได้ฟังคำถามแสดงออกถึงความห่วงใยนั้น ภูผายกยิ้มให้ร่างบางหลังจากปรับอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้น
“ฉันไม่พานายไปเทกระจาดหรอกน่า เรื่องแค่นี้เจอมาจนชินแล้ว”
“ขอโทษครับ ผมเห็นคุณภูผามีสีหน้าไม่ค่อยดี ก็เลยคิดว่า น่าจะพักนั่งสบายๆอยู่ที่นี่คงดีกว่า”
“หึๆ เดี๋ยวก็หายน่า มีนายนั่งไปด้วยทั้งคน”
“……………..?”
ร่างสูงเขยิบเข้าไปใกล้คนร่างเล็กที่ทรุดตัวนั่งเก็บเอกสารใส่กระเป๋าอยู่ข้างๆ จนวนัสเริ่มรู้สึกถึงการใกล้ชิดเกินพอดีของเจ้านายหนุ่มใหญ่
ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามาใกล้ๆ ใครเขาพูดคุยกันซะชิดติดขนาดนี้กันเล่า ยิ่งรู้สึกถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มองมา ก็ยิ่งทำให้ร่างบางว่างตัวลำบาก รู้สึกเก้อเขินเมื่อมีคนมาจ้องมองทุกอริยบทจึงรีบหาเรื่องพูดกลบเกลื่อน
“เพิ่งเคยเห็นคุณภูผาโกรธก็วันนี้ละครับ”
“ทำไมเหรอ ฉันดูแย่มากเลยรึ”
“ไม่ได้ดูแย่หรอกครับ ดูน่ากลัวมากกว่า จริงอย่างที่คนงานเคยเล่าให้ฟังเลยว่า นายใจดีแต่ดุ”
“หึๆ พวกปากยาว กลัวหรือ” คนถามเลิกคิ้วขึ้นพลางชะโงกตัวเข้ามาใกล้
“ฮะๆ นิดหน่อยครับ นี่ถ้าผมทำอะไรให้คุณโกรธ ผมคงดวงตกขนาดหนักเชียวละ”
ผมกลัวโดนสายตาคมกริ๊บๆเหมือนใบมีดโกนของคุณไล่ทิ่มแทงจนตัวพรุนนะสิ
ร่างบางนึกค่อนขอดในใจพลางมองเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายที่เริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้มากๆ
“งั้นก็อย่าทำให้ฉันโกรธ แล้วก็ตามใจฉันเยอะๆ เอาใจฉันมากๆ ห้ามขัดใจฉันเด็ดขาด ทำแบบนั้นแล้วฉันจะอารมณ์ดีไม่โกรธใครง่ายๆรู้มั้ยละ”
ร่างบางมองแววตาอ่อนเชื่อมที่สะท้อนภาพของตนเองในนั้น พลางให้รู้สึกอุ่นวาบบนใบหน้าขึ้นมาทันที
“เอาใจ……………….ตามใจ?”
คำบอกกล่าวแปลกๆของเจ้านายหนุ่มทำให้ลูกน้องหน้ามนงุนงง สับสน
มันเกี่ยวกับงานที่เขาทำด้วยเหรอ
“ทำยังไงหรือครับ” คำถามพาซื่อของลูกน้องทำเอาเจ้านายหนุ่มอมยิ้ม
“อย่างแรก ถ้าผู้หญิงคนนี้มาอีก เธอต้องรีบมาบอกฉัน แล้วก็ต้องมาอยู่ข้างๆฉัน เข้าใจมั้ย”
“ครับ” ให้มาอยู่เป็นเพื่อนใช้มั้ย แค่นี้เองเขาทำได้สบายมาก
“อย่างที่สอง ฉันชอบคำว่า ครับ มากกว่าคำว่า ไม่ เพราะฉะนั้นโปรดรู้ไว้เลยว่า ถ้าเธอปฏิเสธฉันจะเริ่มอารมณ์ไม่ดี และจะมีน้ำโหในเวลาต่อมา”
เผด็จการ เผด็จการที่สุด แต่ถ้าเจ้านายอยากมีลูกน้องปัญญานิ่ม ไม่ให้โต้แย้ง ไม่ให้แสดงความคิดเห็นละก็ ก็ได้……………ดีซะอีก จะได้ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมอง
“ครับ”
“อย่างที่สาม จะไปไหนกับใครต้องบอกฉันก่อน”
“……………..หือ”
แววตาจริงจังในคำพูดของร่างสูงทำให้วนัสต้องนิ่งเงียบด้วยรู้สึกอึดอัดใจกับข้อเรียกร้องสุดท้าย เขายังไม่เห็นเหตุผลสักนิด ที่พูดๆมานี่มันเกี่ยวกับงานแน่รึเปล่าเนี่ย แต่สายตาคาดคั้นรอคำตอบเพียงหนึ่งเดียว ทำให้เขาจำใจตอบออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างคนเหนื่อยใจกับเจ้านายคนนี้เป็นที่สุด
“คะ………ครับ”
ใบหน้ายิ้มกริ่มของร่างสูงอยู่ชิดจนแทบจะชนกัน ทำให้วนัสต้องกลั้นหายใจตอบส่งๆไปก่อน เพราะเริ่มคิดอะไรไม่ออกเวลาไออุ่นจากอีกฝ่ายเข้ามาโอบล้อมรอบตัวเอง
ลมหายใจอุ่นเป่ารดใบหน้าขาวจนร่างบางต้องหลุบตามองต่ำ ด้วยไม่อยากสบตาที่สะท้อนความหมายบางอย่างที่เขาแปลไม่ออก
เมื่อแกล้งทอดเวลามองใบหน้าขาวจนเจ้าตัวเริ่มจะวางมือไม่ถูก ภูผาจึงดึงตัวออกห่าง
“แล้วอย่างแรกที่จะทำให้ฉันอารมณ์ดีตอนนี้ก็คือ เธอไปขึ้นรถกับฉันได้แล้ว”
สิ้นสุดคำบอกกล่าววนัสก็รีบลุกขึ้นทันที เพราะใบหน้าคมเข้มที่ลอยอยู่ใกล้ๆทำให้เขาหายใจหายคอไม่ค่อยจะออก ใจมันจะลอยออกนอกตัวอยู่เรื่อย ก็ชอบพูดหยอกให้เขาได้กระอักกระอ่วนใจอยู่ร่ำไปนั้นละ
อีกอย่างขืนนั่งอยู่ต่อ เป็นได้มีข้อแม้แปลกๆเพิ่มขึ้นมาอีกแน่ๆ คนพิลึก
TBC
มาต่อเเล้วจ้า
:impress2:ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากเลย เดี๋ยวจะบวกหนึ่งให้ค่ะ