11
มาอยู่ที่เมืองหยางได้หนึ่งสัปดาห์กว่าจนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้ก้าวขาออกจากจวนเลยแม้แต่ครึ่งก้าว เหตุเพราะพี่ใหญ่บอกว่าจะเป็นผู้พาไปแล้วดูสิ ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แม้จะปลายเส้นผมยังไม่เห็นพี่ใหญ่ที่จวนเลยสักนิด ส่วนบุรุษอีกผู้หนึ่งนั้นก็หายเงียบไม่ได้ข่าวคราวเช่นเดียวกัน ส่วนบิดานั้นออกไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษาของเมือง เหลือเพียงผมที่อยู่ว่างๆ นั่งถอนหายใจทิ้ง แม้จะบอกว่าทุกคนวุ่นวายแต่ทำไมถึงมีเวลามากินกับข้าวที่ผมทำเล่า
เบื่อ
เบื่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
“ข้าทนไม่ไหวแล้วซื่อจู” ผมผุดลุกนั่งพร้อมกับร้องบอกคนสนิท
“อะ.อะไรหรือขอรับนายน้อย”
“ข้าเบือ ข้าจะออกไปข้างนอกเจ้าไปกับข้านะ” ผมจะไม่ทนต่อไปอีกแล้ว ซื่อจูทำท่าจะพูดอะไรแต่เมื่อเห็นว่านายน้อยนั้นท่าทางหงุดหงิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนก็เงียบเสียงทั้งยังรีบลุกขึ้นมาช่วยผมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าห้อยป้ายหยกเรียบร้อยผมก็หยิบถุงเงินใส่ในอกเสื้อ คิดไว้ว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดเผือว่าจะมีอะไรให้ผมทำแก้เบื่อได้และไปตลาดก็ต้องระวังกับการถูกวิ่งราว เมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยผมกับซื่อจูก็พากันเดินออกจากจวน ไม่ได้ที่จะขัดคำสั่งหรอกนะ ผมแจ้งให้ท่านบ้านส่งคนไปแจ้งแก่พี่ใหญ่และท่านพ่อไว้แล้วเพราะหากกลับมาไม่เจอผมต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ แต่สิ่งที่ผมลืมคิดไปคือแค่ผมก้าวเท้าออกจากจวนก็เป็นเรื่องใหญ่ของบุรุษทั้งสองแล้ว
แววตากลมฉายแววซุกซนกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น บุรุษร่างสูงโปร่งแต่งกายด้วยอาภรณ์สีฟ้าครามขับผิวขาวให้โดดเด่น ใบหน้างดงามสมวัยนั้นประดับรอยยิ้มที่เรียกสายตาจากทุกผู้
“นั่นคุณชายน้อยจวนไหนกันข้ามิเคยเห็นหน้า”
“ช่างรูปงามนัก”
“จะใช่คุณชายน้อยตระกูลไป๋หรือเปล่า”
“คงจะใช่” แม้จะมีเสียงซุบซิบลอยตามลมมาหากแต่คนที่ตกเป็นเป้าก็ไม่สนใจเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ในมือของซื่อจูตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารจากร้านข้างทาง นี่ยังเดินได้ไม่ถึงครึ่งข้าวของก็เต็มมือไปหมดแล้ว
“เจ้าไหวรึไม่ซื่อจู”
“บ่าวไหวขอรับหากแต่คุณชายจะซื้ออะไรอีกหรือไม่ขอรับ” ผมหันไปมองสองมือของซื่อจูที่เต็มไปด้วยของกิน ถ้าหากจะซื้ออีกคงจะลำบากซื่อจูเกินไป แต่ก็ช่วยไม่ได้ผมมองไปทางไหนก็มีแต่อาหารและขนมแปลกตาเลยเผลอซื้อมากไปหน่อย กวาดสายตามองรอบๆ เมืองหยางแม้จะยังมิใช่เมืองท่าแต่ในตัวเมืองก็ยังคลาคล่ำไปด้วยร้านค้ามากมาย หากเป็นเมืองท่าที่ห่างไปไม่ไกลนั้นจะคึกครื้นแค่ไหนกัน เมืองหยางและเมืองท่าจะห่างกันราว 10 ลี้ (ราวๆ 5 กิโลเมตร) เพราะองค์ฮ่องเต้ไม่อยากให้ชาวต่างชาติมาวุ่นวายกับเมืองหยางจึงสร้างเมืองท่าเพื่อรับรองไว้ หากจะเข้าเมืองหยางต้องทำเรื่องเข้าเมือง เหมือนด่านต.ม.เลย แต่ก็เป็นเรื่องดีที่จะกันความวุ่นวายเพราะต่างภาษาและวัฒนธรรม ผมเลือกเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุด
“นั่งลงสิซื่อจู”
“ไม่ได้หรอกขอรับ” ซื่อจูยังคงหอบของยืนอยู่ข้างโต๊ะ ผมถอนหายใจก่อนที่จะออกคำสั่งให้ซื่อจูนั่งลงด้วยกัน เมื่อเป็นคำสั่งซื่อจูก็ยอมทำตามโดยดี ข้าวของถูกวางไว้ ผมนั่งอยู่บนชั้นสองของเหลาอาหารโต๊ะหลังฉากกั้นเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว มองบรรยากาศของตลาดด้านล่างด้วยความสุขใจ เมื่อเสี่ยงเอ้อมาผมก็สั่งอาหารขึ้นชื่อมาสามสี่อย่างพร้อมกับน้ำชาหนึ่งกา รอไม่นานนักอาหารก็ถูกยกขึ้นมา
“อ๊ะ รสชาติดียิ่ง”
“แต่บ่าวว่าอาหารของคุณชายก็ไม่เป็นรองนะขอรับ” แหม อยู่เป็นจริงนะซื่อจู ผมไม่ได้ว่าอะไรตอนนี้นั่งอยู่ที่เหลาอาหารอันดับหนึ่งแต่จะมาโอ้อวดว่าตัวเองมีฝีมือยอดเยี่ยมไม่ได้หรอกนะ อาหารดี บรรยากาศดี ทำให้ผมอารมณ์ดี
“เจ้าเอาของไปเก็บที่จวนก่อนดีกว่าซื่อจู ข้าจะรอเจ้าที่นี่” แม้จะลังเลแต่เมื่อเห็นว่าอยู่บนเหลาอาหารทั้งยังเป็นที่ส่วนตัว
“คุณชายรออยู่ที่นี่นะขอรับ” ผมพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ซื่อจูรีบหอบของแล้วรีบจากไป ผมก็นั่งจิบน้ำชาทานขนม อ่า ช่างเป็นชีวิดง่ายๆ ที่ผมใฝ่ฝันถึง ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องเครียดหัวปั่น
“ถ้าได้หนังสือสักเล่มก็คงดี” พูดพึมพำกับตัวเองสายตากลมยังคงมองเบื้องล่าง
ครืด
“ท่านเป็นใคร” ผมที่กำลังเพลิดเพลินกับความคิดในหัวต้องหยุดลงเมื่อมีใครก้าวเข้ามาขัดความสุนทรี แววตากลมฉายแววขุ่นเคือง
“ขออภัยคุณชายข้าเพียงแต่อยากทำความรู้จักกับท่านเท่านั้นเอง” บุรุษเบื้องหน้าแม้ปากจะบอกว่าอยากทำความรู้จักหากแต่ทั้งสายตาและการกระทำกลับคุกคามจนน่ารังเกียจ
“ข้าไม่อยากรู้จักกับท่านเชิญท่านออกไปเสีย” ผมลุกขึ้นจากที่นั่งยื่นประจันหน้ากับผู้บุกรุก แม้จะไม่ได้หล่อเหลาเท่าพี่ใหญ่แต่ก็ดูภูมิฐานจากชุดที่สวมใส่ก็ดูเป็นคุณชาย ผมมองบุรุษตรงหน้าอย่างระแวดระวังเพราะอยู่ลำพัง
“ข้ากั่วหลงเป็นเจ้าของเหลาอาหารแห่งนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยมีนามว่ากระไร” นี่มีหูไว้ทำไมก็บอกว่าไม่อยากรู้จักยังมาเซ้าซี้หากแต่นี่ก็ถิ่นเขาจะเปรี้ยวมากไม่ได้
“ข้าอวี้หลิง” ผมตอบเสียงเรียบไม่กล่าวถึงแซ่ตัวเอง
“ข้าอยากเชิญคุณชายไป๋ไปร่วมดื่มชาได้รึไม่”
“ข้าไม่สะดวกต้องขออภัยด้วย” ร่างบางก้าวถอยหลังเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาชิด
“เจ้างามยิ่ง หากได้ดื่มชาและเสวนากับท่านคงดียิ่ง” ไอ้.... ทำไมถึงมีผู้ชายขี้ตื้อแบบนี้อยู่ในโลกนี้ด้วยนะ เพราะท่าทีคุกคามทำให้ผมมองหาทางหนีทีไล่
คุณชายกั่วหลงเป็นที่ล่ำลือทั่วทั้งเมืองหยางหากแต่ไม่ใช่ในเรื่องราวที่ดีนัก ทั้งที่เป็นคุณชายตระกูลวาณิชแต่กับทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญมิทำงานทำการระรานคุณหนูคุณชายที่ต้องตา และมิมีผู้ใดห้ามปรามยิ่งทำให้คุณชายกั่วนั้นลำพองใจด้วยเพราะเป็นหลานชายของเจ้าเมืองที่แม้ทำสิ่งใดผิดเมื่อไปร้องเรียนก็จะถูกไล่ออกมา
“ข้าไม่ไปท่านจงออกไปซะ” สถานการณ์ที่ผมเผชิญตอนนี้ต่อให้หลับตาก็รู้ว่าผมนั้นตกเป็นรองบุรุษเบื้องหน้าก้าวขยับเข้ามาใกล้ผมก็ถอยจนชิดราวระเบียง ถ้าหากเขาอยู่ร่างเดิมไอ้ผู้ชายตรงหน้านี้คงจะไม่คณามือ “เจ้าจะทำอะไร อย่าเข้ามานะ”
“ข้าเชิญท่านไปดีๆ แล้วนะ” น้ำเสียงข่มขู่พร้อมกับมือที่เอื้อมหมายจะจับข้อมือเล็ก ผมมองซ้ายมองขวาอย่างหาทางออก และทางออกเดียวคือระเบียงอ่า ไม่ดีๆ อาจจะตายได้
พรึบ
“จงไสหัวสุนัขของเจ้าออกไปซะ” ขณะที่ผมกำลังจะหาทางหนีเบื้องหน้าก็ถูกบดบังด้วยบุรุษร่างสูงใหญ่สองคน มือที่ยืนมาหมายที่จะจับมือถูกหยุด
“พวกเจ้า!!” กั่วหลงตวาดลั่นพลางขยับถอยห่างด้วยความหวาดกลัวเมื่อบุรุษที่มาขวางนั้นต่างสูงใหญ่แล้วกลิ่นอายไม่ธรรมดา
“ไสหัวไป” ว้าวแค่คำพูดก็น่าเกรงขามเพราะรู้ว่าตัวเองนั้นปลอดภัยแล้วผมก็โล่งใจ
“พวกเจ้าไม่รู้รึว่าข้าหลานผู้ใด” ต่อให้ยุคสมัยไหน โลกไหนก็จะมีพวกแบบนี้อยู่บนโลกสินะ
“หากเจ้ายังไม่รู้แล้วพวกข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร คุณชายกั่ว”
“เจ้า!!”
ฉึบ
ก่อนที่กั่วหลงจะได้ขยับเข้ามาใกล้กระบี่ในมือของทั้งสองถูกชักออกมาพาดคออย่างรวดเร็ว คุณชายเจ้าสำราญถึงขั้นขาสั่นขยับถอยหลังแล้ววิ่งหนีหัวซุกหัวซุน แหม กากจริง เมื่อคู่กรณีหนีไปก็เหลือผมกับบุรษปริศนาทั้งสองคน
“ขอบพระคุณท่านทั้งสองมากขอรับ”
“คุณชายไป๋อย่าขอรับ พวกข้าทำตามหน้าที่ขอรับ”
“เจ้านายของท่าน..”
“ชินอ๋องขอรับ”
“ถึงเช่นนั้นก็ยังต้องขอบคุณขอรับ” ทั้งสองคนยกมือประสานแล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดไปทันที อ่า พี่เว่ยถึงขั้นให้องครักษ์เงามาคอยดูแลเขาเลยเหรอ ช่างเป็นบุรุษที่ทุ่มเทจริงๆ
****************************
50 เปอร์