-10-
วันนี้นับเป็นวันที่สองแล้วตั้งแต่ที่ฝนตกลงมาจนทุกคนต้องหลบอยู่ในบ้านของตัวเอง คงยกเว้นแค่ผมกับภามที่ดันมาติดอยู่ที่กระท่อมของไม้ หลังจากเราพากันมาดูอาการน้องลมตอนเช้า ไม่ใช่สิ...นอกจากผมกับภาม ยังมีหญิงสาวไม่ได้รับเชิญอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย คุณไฟบอกผมว่าถ้าร้ายใส่ตั้งแต่ตอนนี้ เห็นทีปลาคงหนีไปก่อน ดังนั้นอีกฝ่ายเลยแกล้งให้อภัย ทำเพียงกีดกันไม่ให้ปลาเข้าใกล้น้องลม แต่เมื่อไหร่ที่เข้าเกาะ เขาบอกผมว่าปลาต้องเจอดีแน่นอน
เอาเถอะ เรื่องในครอบครัวผมไม่อยากยุ่ง
“คุณ...ทานไหมคะ”
แต่เรื่องนี้เนี่ย...
หากใครมาได้ยินเข้าคงคิดว่าปลากำลังเอาอกเอาใจคุณไฟเต็มที่ แต่ถ้าได้มานั่งอยู่กับผมตอนนี้ ทุกคนจะต้องกลอกตาแรงๆ เหมือนกันชัวร์ เพราะคนที่ปลากำลังยิ้มหวานและพยายามดันขนมให้กินไม่ใช่คุณไฟซึ่งกำลังอุ้มน้องลมอยู่...แต่เป็นภามต่างหาก
“เอาจริงดิ” ผมพึมพำแล้วยกมือตบหน้าผากตัวเองแบบหน่ายๆ จะว่าขำมันก็ขำ แต่สงสารมากกว่า
ไม่ได้สงสารภามนะ...สงสารปลา
เจ้าของใบหน้าปลาตายไม่แม้แต่จะเหลือบตาไปมองคนที่พูดด้วย เขาเอาแต่มองไปทางหน้าต่างซึ่งถูกปิดสนิท ไม่ได้เปิดอ้าเหมือนปกติ ผมไม่รู้ว่าภามกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนเขาจะอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่าหันมาพูดคุยกับคนอื่น ถึงอย่างนั้นแววตาว่างเปล่าที่ดูประหลาดไปกลับทำให้ผมยิ้มไม่ออก
“ภาม” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอื้อมมือไปแตะฝ่ามือเย็นเฉียบของเขา คราวนี้ภามไม่ได้เมินเหมือนตอนทำกับปลา แต่เขาหันหน้ากลับมาหาผมช้าๆ สีหน้าและแววตาเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว หากสิ่งที่เปลี่ยนไปคือฝ่ามือที่พลิกหงายขึ้นเพื่อจับมือผมกลับ
“ไม่เป็นไร”
ไม่เชื่อ...
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมจากคนที่ตอนแรกนอนหลับตาอยู่บนฟูกทำให้ผมรู้สึกตัวและดึงมือที่ถูกจับกุมไว้เมื่อครู่ออกมาทันควัน ไม้ยกมือเหมือนจะขอโทษทั้งที่ปากกำลังยิ้ม “โทษๆ ไม่ได้อยากขัดนะ แต่แม่นั่นมองพวกเอ็งตาจะถลนอยู่แล้ว”
ผมหันไปมองปลาแล้วแทบจะหลุดหัวเราะออกมา เพราะตอนนี้เธอเบิกตากว้างจนแทบถลนออกมาตามที่ไม้พูดจริงๆ แต่เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองก็รีบเก็บอาการแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่ทันแล้วแม่คุณ...
จะว่าไปก็น่าสนุกอยู่นะ ดูแววตาไม่ยอมแพ้ของเธอสิ
“ฉันง่วง” ผมหันไปทำตาปรือใส่หน้าภามแบบจงใจ ขณะที่สายตาสอดส่องเหมือนพยายามมองหาที่นอน ติดอยู่ตรงที่ตอนนี้บนฟูกมีคุณไฟกับน้องลมนั่งอยู่ ทั้งยังมีไม้นอนเอนกายอยู่ก่อนแล้ว แน่นอนว่ามันย่อมไม่เหลือที่ตรงไหนของฟูกให้นอนได้อีก...ซึ่งผมก็รู้อยู่แล้วแหละ
ฝ่ามือใหญ่ของคนไม่ชอบพูดมากยื่นเข้ามาหา ก่อนเขาจะออกแรงไม่มากนักเพื่อดันหัวผมให้นอนลงบนตักตัวเอง ผมแอบขำเมื่อเห็นปลาทำหน้าตกอกตกใจหนักกว่าเดิม รู้สึกสบายใจขึ้นมากจนเผลอขยับตัวขยุกขยิกเพื่อจัดท่า เมื่อสบายตัวแล้วก็เริ่มง่วง จากที่คิดว่าจะแกล้งคน กลับกลายเป็นง่วงจริงๆ ตามที่พูดเสียอย่างนั้น
ยิ่งถูกลูบหัวแบบนี้...เป็นใครจะทนไหวกัน
“ไหนบอกว่าไม่ให้นอนเกินแปดชั่วโมงไง” ผมชวนภามคุยโดยไม่สนใจปลาอีก ตอนนี้รู้สึกหนักที่หนังตาทั้งสองข้างจนแทบไม่ได้ยินเสียงคุณไฟที่กำลังคุยกับไม้อยู่ด้วยซ้ำ ลองเป็นแบบนี้อีกไม่นานต้องหลับแน่
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
สัมผัสของฝ่ามือที่ลูบหัวจางหายไปช้าๆ ก่อนจะกลายเป็นความรู้สึกจั๊กจี้ที่คางแทน ผมส่งเสียงอืออาเมื่อโดนกวน แต่ก็นั่นแหละ...ไปๆ มาๆ กลายเป็นรู้สึกสบายจนต้องเอียงหน้าเข้าหาอีกแล้ว
ในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าสู่โลกแห่งความฝัน ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแหลมสูงของใครสักคนพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็มีคนตะคอกกลับด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน มันน่ารำคาญมากเสียจนต้องย่นคิิ้วด้วยความไม่พอใจ
“เงียบ” เสียงออกคำสั่งสั้นๆ ซึ่งเป็นเพียงเสียงเดียวที่ผมจับใจความได้ดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เสียงงุ้งงิ้งน่ารำคาญหยุดชะงักลง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดดังรบกวนการนอนของผมอีกเลย
ฝนตกแล้วสบายจังเลยนะ...ชักชอบฤดูฝนแล้วสิ
วันนี้ฝนไม่ได้ตกนานเท่าเมื่อวานที่กินเวลาตั้งแต่เช้ายันเย็น ถึงอย่างนั้นท้องฟ้าก็ยังมืดครึ้มไม่มีทีท่าว่าแดดจะออกเลยแม้แต่น้อย ผมออกมาเดินเล่นด้านนอกเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฝนหยุดตกพอดี แน่นอนว่าภามตามติดมาด้วยเหมือนเป็นเงาตามตัว แต่เห็นแก่ที่เขาสละตักให้นอนอยู่นานสองนาน ผมเลยคิดว่าจะหยุดกวนตีนและหยุดหาเรื่องก่อนสักวันสองวัน
“ถ่ายอะไรน่ะ” ผมเดินไปนั่งยองๆ ข้างช่างภาพติดกล้องซึ่งกำลังจับจ้องไปที่ผืนทรายและชะงักค้างอยู่อย่างนั้นนานนับนาทีโดยไม่ยอมหันมาตอบ จนกระทั่งลูกปูตัวเล็กๆ ผุดขึ้นมาจากกองทราย เสียงกดชัตเตอร์ถึงได้ดังขึ้นพร้อมกับคำตอบ
“ปู”
“แล้วนาย..."
“ทำอะไรเหรอคะ”
ลืมไปเลยว่ามีตัวแถม...
ผมถอนหายใจเหนื่อยหน่ายขณะชันตัวลุกขึ้นยืน แม่นางคนนี้ไม่ยอมแพ้เลยจริงๆ ถึงขนาดทิ้งโอกาสออดอ้อนเจ้านายให้หายโกรธเพื่อมาเดินตามผู้ชายคนอื่น ไม่รู้ว่าท่าทีที่ผมแสดงกับภามในกระท่อมไม่ช่วยให้เธอคิดได้บ้างเลยหรือไง
เอาเถอะ...แล้วแต่เลย
คิดได้แบบนั้นผมเลยตั้งท่าจะเดินไปที่อื่น หากข้อมือกลับถูกรั้งไว้โดยคนด้านหลังซึ่งหยุดถ่ายปูแล้วลุกขึ้นตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“จะไปไหน”
“อา…” ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อรู้สึกคันยุบยิบที่ใจ ได้แต่บอกตัวเองว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบปลาผมคงไม่รู้สึกรำคาญและหงุดหงิดมากเท่านี้ แต่เพราะเป็นปลาซึ่งทำตัวไม่ดีกับเด็กน้อยตัวเล็กๆ ผมถึงได้อยากจะเหวี่ยงเธอออกไปให้ห่าง
นั่นแหละ...ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ขมวดคิ้วจนหน้าย่นยามเห็นมือข้างหนึ่งของเธอกำลังจะแตะแขนภาม และคงไม่เผลอดึงแขนอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามาหาตัวเองเพื่อไม่ให้มือเล็กๆ ของเธอโดนตัวเขา
ผมรักเด็ก เพราะรักเด็กถึงได้เกลียดคนที่ทำร้ายเด็กสุดๆ ใช่...นั่นแหละเหตุผล
“คุณปลามีอะไรหรือเปล่าครับ” เมื่อตอบคำถามในใจตัวเองได้แล้ว ผมเลยเดินไปยืนอยู่หน้าปลา บังภามเอาไว้ด้านหลัง ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะยอมให้เธอมายุ่งกับเพื่อนร่วมเดินทางของผมไม่ได้
“เอ่อ...ปลาก็แค่อยากคุยด้วยน่ะค่ะ” เธอยิ้มหวาน แต่คนช่างสังเกตอย่างผมมีหรือจะมองไม่เห็นความไม่พอใจที่เผลอแสดงออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็นะ...ใครๆ ก็ชอบคนหน้าตาดี ถ้าผมไม่ได้ดูเหมือนเต้าหู้นุ่มนิ่มขี้โรคขนาดนี้เธอต้องมีลังเลบ้างละ เพราะความหล่อของเราสูสีกัน
“อา...แต่ผมว่าคุณปลากลับไปพักดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“แล้วคุณไม่กลัวตัวเองไม่สบายเหรอคะ”
“กลัวสิครับ แต่ผมไม่อยากปล่อยให้ภามเดินถ่ายรูปคนเดียว” ผมยิ้มอย่างนึกสนุกแล้วเกาะแขนอุ่นๆ ที่อยากเอากลับไปซุกนอนไว้ เพียงเท่านั้นคุณเธอก็กัดฟันกรอดในทันที หากยามหันไปมองภามกลับเปลี่ยนสีหน้าได้ไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี
“คุณชอบถ่ายรูปเหรอคะ ยังไงรบกวนถ่ายให้ปลาทีได้ไหมคะ”
พลาดแล้ว...
“พูดเลย” ผมแซะไหล่ภามแล้วกระซิบบอกเขาเบาๆ ไม่ลืมพยักหน้าสำทับอีกทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมองเป็นเชิงถามว่าแน่ใจเหรอ
“คุณ...”
“ไม่”
สั้น ง่าย ได้ใจความ
คิดอยู่แล้วว่าเขาต้องตอบอะไรกลับไปแบบเจ็บแสบ แต่เพิ่งรู้วันนี้เองว่าคำว่า ‘ไม่’ คำเดียวมันมีพลังทำลายล้างมากขนาดไหน ดูหน้าปลาเหวอไปเลย เอาเข้าจริงผมคิดว่าปลายังเด็กอยู่เลยนะ อายุน่าจะพ้นวัยมหา’ลัยมาไม่นาน คุณไฟบอกว่าเธอเป็นหลานสาวของคนงานในบ้าน เห็นว่าเรียนเกี่ยวกับเด็กมาโดยตรง มีใบประกอบวิชาชีพพร้อม เขาถึงไว้ใจยอมให้ดูแลน้องลม
ไม่คิดว่าจะกล้าทำร้ายเด็ก แถมยังจ้องจะจับพ่อเด็ก หนักสุดคือคิดจะเปลี่ยนใจมาจับคนข้างกายผมแทนเนี่ยแหละ
“ไปกันเถอะ” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วดึงแขนภามให้เดินออกมาจากตรงนั้น ปลาคงอับอายมากอยู่เหมือนกันถึงได้หมุนตัวรีบเดินจากไป ไม่ตามมาเกาะแกะพวกเราอีก
บรรยากาศเย็นๆ จากฝนที่เพิ่งตก ทั้งยังมีลมทะเลสำทับทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ แม้จะหนาวอยู่บ้าง แต่ก็ยังชอบมากกว่าอากาศร้อนๆ เวลาเหนียวหรือรู้สึกไม่สบายตัวผมจะหงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษ จำได้ว่าตอนทำงานที่โรงพยาบาลแรกๆ เคยถอดกาวน์ ถือกระเป๋าสตางค์เดินออกไปนอกโรงพยาบาลเพื่อหาอะไรกินท่ามกลางอากาศร้อนๆ ในเวลาเที่ยงตรงของวันจันทร์ แค่แดดก็จะเป็นลมตายอยู่แล้ว มาเจอฝูงชนเบียดเสียดซ้ำเข้าอีก วันนั้นผมยอมเดินกลับโดยไม่ได้ซื้ออะไรไปเลยแม้แต่อย่างเดียว
“คิดอะไรอยู่” เสียงทักราบเรียบทำให้หลุดออกจากภวังค์ได้อย่างง่ายดายเหมือนเช่นทุกครั้ง ผมอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองจะแคร์ภามมากเกินไปหน่อย จะเมินยังไม่เคยเลยสักครั้ง
“นึกถึงอากาศในเมือง” ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือกตอบไปตามตรงอยู่ดี
“ยิ้มหน่อย”
ปากฉีกยิ้มตามคำบอกโดยอัตโนมัติ รู้ตัวอีกทีก็ถูกกล้องส่องหน้าแล้วกดชัตเตอร์ไปแล้ว
แชะ!
“หันข้าง ไม่ต้องมองกล้อง”
หมุนตัวตามโดยไม่ถามอะไร
แชะ!
เนี่ย...ก็เป็นซะอย่างนี้
ก่นด่าตัวเองในใจเรียบร้อยแล้วถึงได้สติกลับมา ผมเดินเข้าไปทำหน้าตึงใส่กล้อง หน้ายื่นเข้าไปจนชิดเลนส์ซึ่งเจ้าของถือแนบใบหน้าตัวเองอยู่ ก่อนจะทำตาโตๆ ใส่ ไม่คาดคิดว่าจะ...
แชะ!
“ต้องขอบคุณไหมที่ไม่เปิดแฟลช” ผมถามทั้งที่ยังรักษาสีหน้าให้ดูไม่พอใจอยู่
“ทำหน้าอะไร...ผมระวังอยู่แล้ว ไม่ทำคุณตาบอดหรอก” ว่าแล้วก็ใช้มือใหญ่ๆ ของตัวเองยื่นมาลูบหัวผมเหมือนจะปลอบทั้งที่หน้ายังเป็นปลาตายไม่เปลี่ยนแปลง โคตรของความไม่เข้ากันสุดๆ
“ไม่ต้องมาหลอกเล่นหัวเลย”
“ไม่ได้หลอก ขนคุณนุ่ม”
“เดี๋ยวนะ...ขน?”
แน่นอนว่าผมเป็นผู้ชายทั่วไปที่มีขนเป็นปกติ อาจจะบางจนถูกเพื่อนบอกว่าเป็นผิวจิ้งจกบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดถึงขั้นมีขนใดๆ ขึ้นอยู่บนหัวเหมือนที่ถูกกล่าวหา หากสัมผัสที่กำลังลูบหัวกันอยู่ไม่เลิกนั้นกลับบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาหมายถึงอะไร
ผม = ขน
ดูเหมือนจะถูกมองเป็นสัตว์ไปแล้ว...
“เหมือนแมว” ภามยังคงพูดออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจสีหน้าของคนโดนกระทำอย่างผมเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะเผลอให้เกาคางไปสองที แอบเอาหน้าถูมือไปสองที หรือแม้แต่ยอมให้ลูบหัวอยู่อย่างตอนนี้สอง...สองหรือสามทีนี่ละ แต่ผมก็ยังเป็นคนอยู่เถอะ ไม่ใช่แมว
“เอามือออกไปเลย” เมื่อตั้งสติได้แล้วผมเลยปัดมือภามออกเบาๆ ยังคงไม่กล้าลงแรงเยอะเพราะกลัวโดนเอาคืน
หลังจากรู้จักกันมาสักพัก ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นพวกไม่ยอมคน และจะไม่ยอมแบบกระทำออกมาให้เห็น เป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก เพราะงั้นเวลาจะทำอะไรคงต้องคิดดีๆ ขืนทำให้เจ็บคงมีแต่โดนเอาคืน ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ไม่น่าลองทั้งนั้น ยิ่งเป็นผมด้วยแล้ว ไม่รู้ทำถึงคิดว่าเจ้าบ้านี่ต้องเอาคืนเป็นสองเท่า
“ไปนั่งเล่นกันไหม”
“นั่งเล่น?” ผมหันไปมองคนพูดด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าภามจะชวนไปทำอะไรแบบนั้นมาก่อน อีกอย่าง... “อากาศแบบนี้เนี่ยนะ”
ถึงฝนจะหยุดตกไปแล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังขมุกขมัวไม่มีทีท่าว่าจะสว่างขึ้น ขืนเดินไปไกลๆ แล้วฝนตกขึ้นมาคงเปียกแบบไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือกล้องราคาแพงที่เขาคล้องคออยู่
“คุณชอบอากาศแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
“รู้…” ได้ยังไง
เกือบกลืนประโยคที่อยากถามลงไปไม่ทันแล้วไง หากพูดออกไปแล้วได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดตอกกลับมา คงมีแค่ผมคนเดียวที่ทำตัวไม่ถูก ช่วงนี้เขาชอบแสดงท่าทีแปลกๆ อยู่ด้วย
“มาเถอะ” ภามดันหลังผมให้เดินตามไปข้างหน้า เราออกห่างจากบริเวณที่อยู่อาศัยของพวกชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาก็หยุดเท้าลงเมื่อมองกลับไปแล้วพบเพียงรอยเท้าสองคู่ที่เดินเคียงข้างกันมาเป็นทางยาว
ด้านหน้าคือท้องฟ้ามืดครึ้มตัดกับขอบทะเลไกลสุดสายตา ด้านหลังคือป่าไม้แน่นขนัดจนมองแทบไม่เห็นอะไรด้านใน ทว่าจุดที่ช่างภาพข้างกายผมเลือกนั่งลง กลับเป็นบริเวณหาดทรายขาวซึ่งมีคลื่นน้ำทะเลพัดมากระทบ จากที่คิดว่าจะโดนฝนจนเปียกคงไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะเขาเล่นนั่งนิ่งปล่อยให้น้ำทะเลไหลมาหาจนกางเกงเปียกชุ่มไปทั้งตัวอย่างจงใจ
“ทำไมนั่งตรงนี้” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ขยับถอยไปด้านหลังเล็กน้อยแล้วค่อยนั่งลงเพื่อไม่ให้เปียกไปด้วย
“มานี่สิ” ภามหันมาเรียก แต่เมื่อเห็นผมไม่ขยับ เขาเลยถอนหายใจ ก่อนจะถอยหลังมาอยู่ข้างกัน “รู้ไหมทำไมคนชอบมาทะเล”
“ก็ต้องเพราะอยากเล่นน้ำทะเลสิ” ถามอะไรแปลกๆ
“คิดตื้น” เขาว่าแล้วผลักหัวผมเบาๆ เกลียดตัวเองจริงๆ ที่ไม่ได้รู้สึกแย่เวลาถูกเล่นหัว
“แล้วเพราะอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“…” ขนาดคิดคำด่าในใจยังคิดไม่ออกเลย ให้ตายเถอะ
“แต่สำหรับผม เวลาที่ร่างกายได้สัมผัสธรรมชาติกับอากาศบริสุทธิ์ มันทำให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ไปได้ชั่วขณะ” ดวงตาที่จับจ้องไปยังท้องฟ้ามืดครึ้มยังคงว่างเปล่าดั่งเช่นทุกครั้ง มันไม่ได้สะท้อนภาพของสิ่งใดอยู่ในนั้นเลยนอกจากความเงียบสงบ
ผมหงุดหงิด...ที่ตัวเองยังคงรู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอยู่เหมือนเดิมไม่ต่างจากครั้งแรกที่เราเจอกัน และหงุดหงิด...ที่จู่ๆ ก็ขยับกายไปด้านหน้า ปล่อยให้ร่างกายได้สัมผัสกับน้ำทะเลทั้งที่ไม่อยากเปียก แค่เพียงเพราะได้ฟังคำพูดประโยคหนึ่ง
“เย็น” จากที่ว่าจะทำเท่ กลับต้องพูดออกมาด้วยความตกใจเมื่อได้สัมผัสน้ำทะเลเย็นเฉียบผิดคาดไปไกล
“หึ”
หัวเราะแบบนี้คือรู้อยู่แล้วแน่ๆ
“มานี่เลย” ผมหันไปดึงแขนคนด้านหลังให้ขยับมานั่งข้างกัน ลำพังเรี่ยวแรงของตัวเองคงไม่สามารถเคลื่อนรูปปั้นอย่างภามได้ ดีที่เจ้าตัวยอมขยับมาหาอย่างว่าง่ายโดยไม่คิดขัด รอบกายเรามีเพียงความเงียบเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพียงปล่อยให้กายท่อนล่างโดนน้ำทะเลอยู่แบบนั้น
ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับบรรยากาศดีๆ อดคิดตามคำพูดที่เขาบอกไม่ได้
เวลาร่างกายได้สัมผัสธรรมชาติกับอากาศบริสุทธิ์ มันทำให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ไปได้ชั่วขณะ
คงจะจริง...
ผมเคยถามตัวเองว่า ถ้าเกิดไม่ได้เป็นหมอตามที่คิดฝันไว้ในวัยเด็ก ไม่ได้เป็นนายแพทย์อนาคินอย่างที่เป็นทุกวันนี้ ชีวิตของผมจะเป็นอย่างไร คนที่กลัวความเจ็บปวดจนไม่อยากเล่นกีฬา ใช้เวลาสองปีเพื่อคิดว่าจะลองเสี่ยงเข้าฟิตเนสไปเล่นกล้ามดีไหม หากไม่ใช่หมอแล้วจะอยากทำอะไร
คำตอบคือว่างเปล่า...คิดอะไรไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว
“ภาม ตอนเด็กๆ นายเคยฝันอยากเป็นอะไรไหม” ความคิดไม่ตกถูกกลั่นกรองออกมาเป็นคำถาม ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคาดหวังจะได้รับคำตอบแบบไหน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนคนอายุน้อยกว่าข้างกายน่าจะรู้อะไรมากกว่าที่คิด เผลอๆ อาจจะรู้มากกว่าผมเสียอีก
“ผมจำไม่ได้”
ถอนคำพูด...ขอถอนคำพูด
“เอ่อ...งั้นถ้าโตขึ้นมาหน่อยล่ะ” อยากจะยกมือปาดเหงื่อเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าอากาศมันเย็นจนไม่มีเหงื่อไหลออกมาสักหยดละก็นะ
“อยากเป็นนักเดินทางมั้ง” ภามตอบเสียงเรียบ
“นายเรียนจบอะไรมา” ผมถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจมาโดยตลอด มีโอกาสถามหลายครั้งแล้วลืมทุกที มานึกออกก็ตอนนี้
“ภาษาไทยเรียกว่า...นิเทศ”
“ไม่แปลกใจเลย”
“แล้วคุณล่ะ”
“ฉันก็เรียนหมอไง...” จากที่คิดว่าจะตอบแค่นั้น ไม่รู้เพราะอะไรยามหันไปสบตาเขาผมถึงได้พูดต่อ “ฉันอยากเป็นหมอมาตั้งแต่เด็ก เป็นเป้าหมายและความฝันเพียงอย่างเดียวมาโดยตลอด ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าไม่ได้เป็นหมอแล้วจะเป็นอะไร”
ฝ่ามืออุ่นร้อนที่วางทับลงมาไหล่ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกปลอบโดยไร้คำพูด ทั้งที่สิ่งที่พูดไปไม่มีอะไรบ่งบอกว่าผมกำลังเสียใจหรือกังวลอยู่เลยสักนิด เจไดคนนี้ควบคุมสีหน้าและน้ำเสียงได้ดีมาตลอด แม้จะหลุดไปบ้างตอนอยู่กับภาม แต่ผมก็มั่นใจว่ายังไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรน่าเป็นห่วงให้เขาเห็น
แล้วทำไม...ทำไมถึงได้ทำเหมือนรู้ทันไปหมด ตั้งแต่ที่เจอกันบนรถไฟจนถึงตอนนี้
“มันไม่ได้สำคัญที่ถ้าไม่ใช่หมอแล้วจะเป็นอะไร คุณควรคิดว่าต้องทำยังไงถึงจะมีเป้าหมายต่อมากกว่า” เสียงพูดด้วยความเข้าอกเข้าใจปนหงุดหงิดหน่อยๆ ทำเอาผมเหวอไปชั่วขณะ “บอกแล้วใช่ไหมว่าต้องหาวิธีแก้ไขความรู้สึกที่เป็นอยู่ มันคือเรื่องเดียวกันนั่นละ”
“อะ…”
“ลองพูดสิ่งที่อยากทำมาสิ อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้”
ผมโคลงหัวไปมาแล้วพยายามนึกตามคำพูดของเขา อะไรที่อยากทำงั้นเหรอ ถ้าเอาที่นึกออกตอนนี้ก็คงเป็น...
“นอน”
“…”
“มองแบบนั้นทำไมเล่า ก็ตอนนี้คิดออกแค่นี้” ไม่ได้โกหกสักหน่อย แค่คิดว่าอยากทำอะไรมันก็ว่างเปล่าไปหมดแล้ว ไม่ได้ตั้งใจกวนตีนเลยสักนิด มองเหมือนจะเข้ามาฆ่ากันงั้นแหละ “กลัวนะเนี่ย”
“…ผมอยากตีคุณจริงๆ”
“ห้ามนะ!” อดถลึงตาขู่ไม่ได้เมื่อเห็นภามจ้องมองมาเหมือนอยากจะทำแบบนั้นจริงๆ แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม
จากตอนแรกที่เข้าสู่ช่วงเครียดกันแบบไร้เหตุผล จู่ๆ ก็เหมือนบรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นคนละขั้ว ผมได้แต่ถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ได้ ในขณะที่ภามเงียบไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จวบจนท้ายที่สุด...ในตอนที่ผมกำลังจะชวนเขากลับ ภามก็พูดออกมาช้าๆ จนผมที่กำลังจะลุกขึ้นต้องนั่งลงเหมือนเดิม
“ผมชอบดูภาพธรรมชาติจากในคอมฯ ตอนนั้นไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีคืออะไร รู้เพียงว่าเวลามองพวกมัน ผมรู้สึกสบายใจ...สบายใจทั้งที่ไม่ได้ไปจริงๆ เลยด้วยซ้ำ บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตของตัวเองตลอดมามันมืดมนมากจนมองแทบไม่เห็นแสงสว่าง แค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้สบายใจได้แล้ว”
“แล้วทำไมนายไม่ไปล่ะ” ผมหันไปถามอย่างสนอกสนใจ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินภามพูดถึงเรื่องของตัวเอง แม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากถามเรื่องอดีตของเขาก่อน แต่ใจผมกลับบอกว่าทำถูกแล้ว ให้เขาพูดออกมาเองอาจจะดีกว่า
“ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไร ไม่เคยคิดว่าอยากไปด้วยซ้ำ” ภามกะพริบตา ดวงตาคู่นั้นทอประกายอ่อนแสงลงเล็กน้อยยามพูดประโยคถัดไป “เก้ากับพี่เป็นคนบอกให้ผมลองตั้งเป้าหมาย ให้ลองคิดว่าอยากทำอะไรดู หลังจากผ่านไปสักพัก ผมถึงได้รู้ว่าการเดินทางคือคำตอบ”
“งั้นก็ดีแล้วนี่”
“แต่มันยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด” น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้ผมเผลอเม้มปากโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อถูกหันมามองด้วยแววตาและสีหน้าที่สื่อความหมายบางอย่าง ผมยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ “ผมเคยอิจฉาพี่ที่มีเก้าอยู่ข้างกาย...”
“นี่นาย...นายเคยชอบเก้าเหรอ!”
“…” ภามทำสีหน้าปลาตาย “ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกที คุณเจ็บตัวแน่”
“เอ้า...” อะไรล่ะ เป็นใครก็ต้องเข้าใจแบบนั้น...รึเปล่า
“ผมแค่อิจฉาที่พี่มีเก้าอยู่ด้วยแล้วดูมีความสุข เพราะงั้นเลยคิดมาตลอดว่าถ้าตัวเองมีบ้างก็คงจะมีความสุขเหมือนกัน มันไม่ได้หมายความว่าผมชอบเก้าเสียหน่อย”
“รู้แล้วๆ หยุดทำท่าเหมือนจะฟาดกันสักทีเถอะน่า” เห็นไหมเนี่ยว่ากลัวขนาดไหน ถ้าไม่ติดว่าอยากเผือกต่อคงลุกหนีไปแล้วแน่ๆ
“ไม่แปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนกันได้ ผมถามจริงๆ เถอะ จะสามสิบอยู่แล้วทำไมพวกคุณถึงนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” เขาขมวดคิ้วเหมือนจะจริงจังแล้วพูดคำที่ทำให้ผมอยากเอาหัวโขกกำแพงตาย “เหมือนเด็ก”
“ฉันไม่เปลี่ยนที่ไหนเล่า นอกจากนายแล้วฉันก็...”
ผมกัดริมฝีปากไว้เมื่อเกือบเผลอพูดอะไรออกไปตามที่ใจคิด จะให้พูดได้ยังไงว่าตัวเองเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่ได้เจอเขา ขืนพูดออกไปแบบนั้นไม่เท่ากับเป็นการบอกว่า...
“ผมพิเศษเหรอ”
“คิดไปเอง!”
“ตอบไวแสดงว่าโกหก” ดวงตาว่างเปล่าคล้ายมีประกายระยิบระยับ ดูน่ามองจนเผลอจ้องค้างอยู่นาน กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าริมฝีปากเรียบเป็นเส้นตรงนั้นยกขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มมุมปากไปแล้ว
“อะแฮ่ม...” ผมกระแอมเรียกสติแล้วรีบหันหน้าหนีเพราะไม่อยากขายหน้าไปมากกว่านี้ “แล้วคิดไว้ยังว่าจบทริปนี้แล้วจะไปไหนต่อ”
ดูเหมือนภามจะรู้ว่าผมจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่หันหน้ากลับไปมองท้องฟ้าแล้วตอบออกมา
“ยังไม่ได้คิด เพราะบางทีถ้าเจอสิ่งที่ทำให้อยากหยุดลงหลักปักฐานอยู่ที่ไหนสักที่ ผมอาจจะไม่ไปไหนแล้ว”
“อ้อ…”
หลังจากไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ เราต่างก็จมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าภามกำลังคิดอะไร แต่ตัวเองกลับนึกถึงเรื่องที่เขาพูดออกมาก่อนหน้านี้
อยากทำอะไรนะ...นอกจากนอนแล้วยังอยากทำอะไรอีก
“คุณได้แหวนวงนั้นมายังไงเหรอ” คำถามที่ไม่คาดคิดดังขึ้นจากปากของคนที่เงียบไปนาน ผมหันหน้าไปมองเขาด้วยความงุนงง แต่ก็ยังควักแหวนออกมาจากใต้เสื้อเพื่อพิศมอง
“มีคนให้มา”
“…”
“เขาเป็นเพื่อนทางไกลของฉันเอง ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ผมลูบแหวนในมือเบาๆ สัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อนจากการแกะสลักที่คงไม่ใช่ฝีมือของช่างทั่วไป “สมัยยังเรียนอยู่ฉันเคยทำโครงการร่วมกับมหา’ลัย ให้นักศึกษาแพทย์พูดคุยกับคนไข้ที่อยู่คนละซีกโลก จนวันหนึ่งคนคนนั้นบอกว่าเขาจะเดินทางไปเที่ยวรอบโลก คงไม่ได้ตอบอีเมลบ่อยๆ อีก เราเลยตกลงแลกของขวัญกันเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วเขาก็ส่งแหวนนี่มาให้ แต่จนถึงตอนนี้ฉันยังอ่านข้อความบนแหวนไม่ออกเลย”
“ตั้งใจมองสิ”
“นายพูดเหมือนตัวเองอ่านออก”
“…” มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยคือคำตอบของคำถาม
“จริงดิ!” ผมเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น เคยให้เพื่อนและใครหลายคนช่วยกันอ่านแล้วก็ยังไม่พบคำตอบ อย่าบอกนะว่าคนข้างกายผมอ่านออกจริงๆ “บอกหน่อยสิว่ามันสลักไว้ว่าอะไร”
“คุณต้องหาคำตอบเอง” ภามส่ายหน้า ชัดเจนว่ายังไงก็ไม่มีทางบอกแน่ๆ
“โธ่…” จากที่ตื่นเต้นกลับต้องถอนหายใจแบบเซ็งๆ แล้วห่อไหล่ลงอย่างหดหู่ “ไอ้บ้านั่นจะรู้ไหมว่าฉันต้องทนเก็บความสงสัยไว้นานกี่ปี มาเจอคนที่อ่านออกแล้วยังไม่ยอมบอกอีก ของที่ให้ไปก็ไม่รู้จะเก็บรักษาไว้หรือเปล่า บางทีอาจจะไม่สนใจ เผลอๆ โยนของของฉันทิ้งไปแล้วมั้ง”
“ไม่มีทาง”
“มั่นใจจังนะ” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นภามเถียงทันควัน เขาจะไปรู้อะไร ไม่ใช่ว่าคนทั้งสองฝ่ายจะต้องคิดแบบเดียวกันเสียหน่อย บางทีคนคนนั้นอาจจะไม่ได้คิดว่าของที่ผมให้เป็นสิ่งสำคัญก็ได้
“ถ้าเขาไม่สนใจ คุณคงไม่ได้แหวนวงนั้นมา”
จะว่าไปก็...
“จริงของนาย” ลืมไปเลยว่านี่มันของแพง คงเป็นอย่างที่ภามพูด เจ้านั่นต้องคิดว่าผมเป็นเพื่อนบ้างแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ของแบบนี้มา “ถ้าได้เจอต้องขอโทษสักหน่อย เผลอมองในแง่ลบไปเยอะเลย”
ภามจ้องหน้าผมนิ่งก่อนจะส่ายหน้าหน่าย นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาถอนหายใจออกมาโดยไม่คิดปิดบัง
“บื้อจริงๆ เลย”
“อะไรนะ” ผมขมวดคิ้ว เมื่อกี้เสียงคลื่นกระทบฝั่งพอดี ไม่ได้ยินเลยว่าพูดอะไร
“เปล่า”
“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพูด ยังจะมาตอแหลอีก” อดบ่นพึมพำเบาๆ ไม่ได้ คิดว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ได้ยินเหมือนกัน แต่ผมลืมไปเลยว่าภามมันผิดปกติ
“จำได้ไหมว่าผมพูดว่าอะไร” เจ้าของเสียงหรี่ตาลงแล้วจ้องมองมาด้วยแววตาว่างเปล่าที่ดูเข้มขึ้นเล็กน้อย
“อะ...อะไรเหรอ”
‘ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกที คุณเจ็บตัวแน่’
ฉิบหาย...
ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินนี่หว่า ทำไมต้องมาหูดีเอาตอนนี้ด้วยวะเนี่ย
“อยู่นิ่งๆ” คำสั่งสั้นห้วนได้ผลชะงัก เมื่อร่างกายผมแข็งค้างไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะกลัวคำสั่งของเขา หรือเพราะใบหน้าคมคายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้โดยเจตนา ลมหายใจคล้ายจะฉุดกระชากไป พร้อมๆ กับที่หัวใจ...
งับ...
หัวใจยังไม่ทันได้เต้นแรง
“โอ๊ย!” ผมกุมหูตัวเองไว้แล้วจ้องมองใบหน้าปลาตายด้วยแววตาโกรธเคืองทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า
“ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกที คุณเจ็บตัวคูณสองแน่” รอยยิ้มร้ายปรากฎขึ้นบนริมฝีปากบางเฉียบอย่างหาได้ยาก ไหนบอกไม่รู้จักความสุขไงวะ แล้วรอยยิ้มสะอกสะใจ มีความสุขเสียเต็มประดาของมึงคืออะไรหา!
ไอ้บ้าภามมันกัดหูผม!
———————————
TALK : อนาคินก็จะเป็นแนวเรื่อยเปื่อย แฮปปี้ ชีวิตดี โดยเต๊าะไปวันๆ พัฒนาความสัมพันธ์ของหมอแก่กับช่างภาพหน้าตายไปเรื่อยๆ ประมาณนี้ค่ะ เวลาเขียนนี่ผ่อนคลายมาก อยากจะไปเที่ยว ฮือออ อีกพักใหญ่ก็จะออกจากเกาะ(ตอนยี่สิบนู่น) ไปผจญชีวิตในเมือง หวังว่าจะชอบความชิวๆ ลมพัดเย็นดีนี้น้า