.•:*´¨`*:•.☆ ► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 2 : เ ผ่ า พ ง ศ์ 1-2
“ลงสิ” ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงตึกห้าชั้นขนาดไม่ใหญ่มากนัก ตั้งอยู่ในชุมชนที่มีรถราค่อนข้างน้อย บ้านเรือนแถวนี้ก็บางตาเหมือนเป็นที่ที่ไม่เจริญจนสร้างตึกแล้วเจ๊งอะไรเทือกนั้น
ชนม์แดนเดินลงจากรถและขึ้นลิฟท์ไปชั้นห้าพร้อมกับเผ่าพงศ์ ในใจเริ่มตุ๊มๆ ต่อมๆ ทั้งกลัวทั้งหิวแถมยังปวดหัวตุบๆ เนื่องจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
“กินอะไรเดี๋ยวจะทำให้” ร่างสูงถามเมื่อเข้ามาในห้องกว้างที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน
ชนม์แดนทำหน้าเหมือนไม่เชื่อจนอีกฝ่ายเปิดตู้เย็นทั้งสองประตูออกอว้างเผยให้เห็นอาหารแช่แข็งและผลิตภัณฑ์แบบ UHT เต็มตู้ไปหมด
“ที่บอกจะทำให้คือจะอุ่นแล้วแกะใส่ชามให้” เผ่าพงศ์ยักไหล่ ดูเหมือนเขาจะผ่อนคลายขึ้นกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ
เด็กหนุ่มเดินไปหาแล้วเลือกหยิบสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าของโปรดส่งให้เขา
“เอานี่ นี่ แล้วก็นี่ด้วย” หยิบโยเกิร์ตและน้ำผลไม้ส่งให้รัวๆ จนเขารับแทบไม่ทัน
ร่างสูงเขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่งโยเกิร์ตและผลไม้กลับคืนให้ “อันนี้เอาไปกินเลย กินรอไปก่อน ส่วนอันนี้ต้องอุ่นหลายนาที”
“คุณอยู่คนเดียวเหรอ” ชนม์แดนเดินไปนั่งโซฟารับแขกตรงมุมห้อง มือเรียวเปิดฝาโยเกิร์ตพลางกวาดตามองไปรอบๆ ดูเหมือนชั้นอื่นๆ ไม่น่าจะมีคนอยู่อาศัย อันที่จริง ไม่มีรถสักคันตรงที่จอดรถชั้นแรกด้วยซ้ำ
“ตึกนี้แม่ฉันยกให้เป็นของขวัญที่จะจบ ม.6 ที่โรงเรียนนายโดยไม่ต้องย้ายที่อีก”
ของขวัญบ้าอะไรให้ก่อนที่จะทำได้สำเร็จ เลี้ยงกันแบบนี้สินะถึงได้นิสัยเสีย
“แล้วไม่กลัวเหรอ เพิ่งจะอยู่ ม.6 แต่ขับรถเองแถมยังมีที่อยู่เองแบบนี้อะ” ชนม์แดนเริ่มซัก ปากก็อ้ากินโยเกิร์ตรัวๆ และแน่นอนว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของเผ่าพงศ์หมดแล้ว
“ต้องกลัวอะไร ที่นี่เคยเป็นบ้านเก่าของฉันมาก่อน แค่ครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่านี้แถมยังอยู่ใจกลางเมืองด้วย ที่นี่ก็เลยไม่มีคนอยู่แล้วฉันก็เลยขอมาอยู่เอง เวลาที่..” เขาเว้นระยะไว้ทำให้ร่างบางต้องรอฟัง
“เวลาอะไร”
“เวลาที่เบื่อๆ” เผ่าพงศ์ตอบแบบผ่านๆ ทั้งๆ ที่คำตอบจริงๆ อาจจะไม่ใช่คำตอบนี้
การสนทนายุติลงเมื่อเสียงเตาอบไมโครเวฟเรียกเตือน ร่างสูงยกสปาเก็ตตี้มาเสริฟ ไม่น่าเชื่อว่าแบ้ดบอยอย่างเขาจะทำอะไรให้คนอื่นเป็น
เมื่ออาหารมาอยู่ตรงหน้า ความคิดทั้งหมดก็หยุดลง ชนม์แดนลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง
“เลอะหมดแล้ว” มือหนายื่นมาเช็ดครีมซอสที่เปื้อนอยู่มุมปากไปดูดกินหน้าตาเฉย “นายนี่หลายบุคลิกดีนะ เหมือนจะเรียบร้อยแต่ก็สายไฝว้ ดูเหมือนจะหัวอ่อนแต่ก็ขี้ยั่วะ ดูเหมือนจะสวยหวานแต่ก็เท่ๆ โหดๆ ดูเหมือนจะไม่โก๊ะแต่ตลกดีนะ”
ความรู้สึกของชนม์แดนตอนนี้เหมือนกำลังถูกมองเป็นเด็กกะโปโลที่มีขี้มูกเปื้อนแก้ม
“คุณก็เหมือนจะนิสัยเสียแต่ก็โคตรแย่ เหมือนจะหล่อแต่ก็ขี้เหร่เหมือนกันแหละ” เบะปากใส่ปิดท้ายแล้วกินต่อไปไม่สนใจที่อีกฝ่ายทำหน้าเหลืออดอยู่ตรงหน้า
แต่เมื่อกำลังดูดเส้นเข้าปากกลับถูกเผ่าพงศ์ยื่นหน้าเข้ามางับเอาปลายอีกด้านของเส้นสปาเก็ตตี้แล้วดูดเข้าปากไป
“อ๊ะ!!” ชนม์แดนตกใจจนผงะ หัวใจเต้นตึกตักเมื่อถูกแย่งเส้นออกจากปากไปหน้าตาเฉย “ทำบ้าอะไรของคุณ!”
“ฉันก็หิวเหมือนกัน” ร่างสูงว่าแล้วแย้งส้อมไปตักเส้นเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“ผมจะกลับละ” ชนม์แดนลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินไปที่ประตู
“ห้องนี้ต้องใช้กุญแจไขถึงจะออกไปได้” มือหนาชูลูกกุญแจให้ดูแล้วหย่อนลงกระเป๋ากางเกง เด็กหนุ่มเบิกตาค้างแล้ววิ่งไปเปิดประตูแต่มันเป็นอย่างที่เขาว่าคือเปิดไม่ได้
“เปิดเดี๋ยวนี้นะ บอกให้เปิด!” ชนม์แดนตะโกนใส่ รู้สึกตกใจและกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆ
“มากินต่อเร็ว ฉันไม่ทำอะไรหรอกถ้านายไม่ยอมน่ะ” พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะขังคนไว้โดยไม่ให้เขาตื่นเต้นตกใจ “กินให้อิ่มแล้วทำเรื่องที่ฉันท้านายเมื่อกี้ให้จบ จบแล้วก็กลับ ไม่มีการผิดคำพูด รับประกันได้เลย” ว่าแล้วก็ตักกินสปาเก็ตตี้ของชนม์แดนเข้าปากอย่างใจเย็น
ร่างบางคิดแล้วคิดอีกก็จำใจกลับไปนั่งกินต่อ ยังไงก็ติดกับเข้ามาแล้วนี่ จะออกไปก็คงต้องใช้สติกันหน่อยล่ะ
“อ่ะ กินซะ” เขาตักเส้นยื่นมาตรงหน้าแล้วจ่อไว้อย่างนั้น “เร็วสิจะได้กลับเร็วๆ” เมื่อถูกเร่งปนขู่จึงต้องอ้าปากงับอย่างจำใจ
เผ่าพงศ์ตักอาหารป้อนให้อีกหลายคำสลับกับกินเอง มันทำให้ชนม์แดนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเพราะการกินช้อนเดียวกันมันก็เหมือนจูบทางอ้อมซึ่งเด็กหนุ่มยังไม่เคยแม้แต่จับมือใครด้วยซ้ำ
บ้าเหรอชนม์แดน จนนาซ่าค้นพบจักรวาลใหม่แล้วยังจะติงต๊องคิดเรื่องจูบทางอ้อมอยู่อีก ลบๆๆ
ศีรษะเล็กสะบัดสองสามทีไล่ความคิดประหลาดๆ แล้วตั้งอกตั้งใจกินอาหารต่อไป
เมื่อกินเสร็จ เจ้าของห้องก็เก็บขยะและกวาดเช็ดจนสะอาด ชนม์แดนมองการกระทำของเขาอย่างไม่เข้าใจ บางทีก็ดูร้าย บางทีก็ใจดี
จะมาไม้ไหนกันแน่นะ..
“มาเริ่มกันเลย” เผ่าพงศ์ว่าแล้วดึงชนม์แดนไปนั่งที่เก้าอี้ลากไปที่ข้างเตียง ส่วนตัวเขานั่งบนเตียงโดยหันหน้าเข้าหากัน “มองตากันเก้าเกม ถ้านายหวั่นไหวนายก็แพ้” เขาบอกกติกา
“ไอ้หวั่นไหวของคุณมันคืออะไรล่ะ มันไม่เป็นรูปธรรมแล้วจะวัดกันชัดเจนได้ยังไง” ชนม์แดนเถียง
“หวั่นไหวก็คือกระพริบตา ใครกระพริบตาก่อนแพ้ เล่นแล้วนับแต้ม ใครถึงห้าแต้มก่อนก็ชนะ”
ร่างบางถึงกับเงิบไปเลย พูดซะน่ากลัวแต่ที่จริงมันคือแข่งจ้องตาธรรมดาๆ เมื่อเข้าใจกติกาแล้วจึงกลอกตาก่อนจะตอบรับอย่างเสียไม่ได้
“มาๆ จะได้จบๆ ซะที” ว่าแล้วก็ตั้งท่าเอาจริงเอาจัง ซ้อมกระพริบตาแล้วหลับตารอที่จะเริ่มเกม
ทั้งคู่เริ่มมองตากันไปเรื่อยๆ ใช้เวลาแต่ละรอบก็นานทีเดียวเพราะชนม์แดนไม่ยอมง่ายๆ และตอนนี้ร่างบางก็กำลังนำอยู่ที่ 3:2
ไม่ให้เสียชื่อคุณหนูจอมหยิ่งหรอก เรื่องสู้ตาใครจะสู้ชนม์แดนล่ะ ไม่ใช่จะคุยนะ อันนี้เก่งจริงๆ
แต่เมื่อมาถึงรอบที่หกก็เริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นเพราะแววตาของอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไป จากธรรมดาที่ดูคมเข้มอยากเอาชนะเปลี่ยนเป็นสายตาของราชสีห์จ้องมองเหยื่อเหมือนตอนนั้นที่เขาจูบคนอื่นแล้วมองมาที่ตน
ชนม์แดนกลืนน้ำลายลงคอเผลอกระพริบตาจนแพ้ไปในรอบนี้
“สามต่อสาม” เขาขานแต้ม “ชนะอีกแค่สองเกมนะ ฉันชนะรวดให้ดู”
“อย่าฝันเถอะ” ชนม์แดนโต้กลับ “ผมนำมาตั้งนานอีกแค่สองเกมทำไมจะทำไม่ได้”
แล้วทั้งคู่ก็เริ่มจ้องกันอีกครั้งและครั้งนี้สายตาของอีกฝ่ายก็ยังทำให้ชนม์แดนใจสั่น รู้สึกหวั่นไหวเหมือนครั้งแรกที่ได้มอง ช่างน่ากลัวทว่ามีเสน่ห์ดึงดูดแบบแปลกๆ
ผู้ชายนิสัยเสีย เปลี่ยนแฟนไม่ซ้ำหน้า ถ้าคิดจะปราบเขาจะเป็นไปได้ไหมนะ
“สี่ต่อสาม” เขาขานแต้มออกมาทำให้ชนม์แดนไม่พอใจ
“ผมยังไม่ทันกระพริบตาเลย”
“นายกระพริบแล้ว” เขาเถียง
และชนม์แดนก็ไม่อยากจะเถียงอีกเพราะก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน
คิดฟุ้งซ่านไปแล้วนะชนม์แดน ตั้งสติสิ อย่าไปหลงกลเขา
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่กำลังจ้องมองแววตาคู่คมนั้นก็ดูเหมือนว่าเขากำลังขยับเข้ามาใกล้ทว่าชนม์แดนกลับไม่ถอยหนี ลมหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มแรงขึ้น ถึงตอนนี้จะเผลอกระพริบตาไปแล้วแต่เขากลับไม่ขานคะแนนออกมาแต่ยังคงจ้องอยู่แบบนั้นจนหัวใจเริ่มสั่นกระตุก
จากดวงตาที่ทรงเสน่ห์ลึกลับค่อยๆ ทอแสงอ่อนโยนขึ้นจนรู้สึกหวั่นไหว
“ฉันจูบได้ไหม” คำขอซื่อๆ ทำเอาใจเต้นระรัวแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
จะตอบอะไรดีล่ะ ตอบว่าไม่ได้เหรอ หรือจะลองตอบว่าได้..
“อืออ!?”
ในขณะที่กำลังคิดตัดสินใจทว่าร่างสูงกลับไม่รอ เขายัดเยียดกลีบปากเข้ามาพร้อมกับมือหนาที่เลื้อยเข้าโอบกอดอย่างคล่องมือ
ไม่นะ จูบแรก!!!!!!
มือเรียวดันร่างหนาสุดแรงและเมื่อรู้ว่าไม่เป็นผลก็เริ่มทุบ หยิก และข่วน ประเคนไปทุกกระบวนท่ารวมถึงพยายามยกเท้าขึ้นถีบ ทว่ามันไม่ง่ายแค่เขาล็อคขาหนีบเอาไว้ก็เลยต้องกลายร่างเป็นตุ๊กตายางหมดทางสู้
“อือ อืออ” เผลอส่งเสียงออกมาเมื่อริมฝีปากถูกดูดดุนหนักขึ้น ทั้งตกใจและหวั่นไหวโดยเฉพาะเมื่อถูกประคองท้ายทอยแล้วดึงเข้าไปจนเก้าอี้เลื่อนไปชิดติดเตียง กลายเป็นว่าร่างบางบดเบียดอยู่กลางหว่างขาของเขาในตอนนี้
“อือออ” เรียวลิ้นอุ่นชื้นเริ่มสอดแทรกเข้ามาทักทายไปทั่วอย่างไม่เร่งร้อน ร่างชนม์แดนอ่อนระทวยไปหมด มือไม้ปัดป่ายแบบไม่มีแรงจนในที่สุดก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียง
“อยู่ด้วยกันนะคืนนี้” คำขอของเขาทำให้เลือดในร่างแทบแข็งตัว
มันแปลว่าอะไรกันนะ ตอนนี้หูอื้อตาลายไปหมด แทบจะปะติดปะต่ออะไรไม่ได้เลย
ชนม์แดนอายุแค่ 15 แถมยังไม่เคยรักใคร อย่าว่าแต่จูบเลยแค่หอมแก้มก็ยังไม่เคย แต่นี่ถูกจูบแถมยังถูกชวนให้นอนด้วย แล้วเด็กน้อยจะทำอย่างไรดี
ในที่สุด ร่างบางก็ส่ายศีรษะช้าๆ มองอีกฝ่ายด้วยสติที่มีไม่ถึง 50%
“ถ้าจะปฏิเสธด้วยหน้าตาแบบนี้นายตอบว่า ‘ทำผมเถอะ’ ดีกว่านะ” เผ่าพงศ์ยิ้มเอ็นดูแล้วลูบไล้ไปตามผิวหน้าเรียบเนียน
ต้องหยุดตัวเองให้ได้นะชนม์แดน ต้องหยุดไม่อย่างนั้นแย่แน่
Rrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของชนม์แดนดังขึ้นปลุกสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
ขอบคุณสวรรค์ ระฆังช่วยชีวิต!
ชนม์แดนรีบผละออกมาจากร่างสูงแล้ววิ่งไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากดรับสาย ทั้งที่ยังไม่ทันได้ดูด้วยซ้ำว่าใครโทรมา
“ฮัลโหล”
“อยู่ที่ไหน!” เสียงผู้เป็นพ่อตวาดดังลั่นจนต้องดึงมือถือออกห่างจากหู “กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ! เรามีเรื่องต้องชำระความกัน!!”
ใบหน้าสวยแสยะยิ้มให้กับความเกรี้ยวกราดที่ได้รับ เด็กหนุ่มไม่ตอบคำถามและรอฟังว่าพ่อจะพูดอะไรออกมาอีก
“ทำไมแกใจดำอำมหิตแบบนี้ตาดอท! เจ้าดินมันเพิ่งสิบขวบแถมยังเป็นไข้แกยังผลักมันลงสระได้อีก นี่กะจะฆ่าน้องหรือไง!”
หึ..ที่แท้ก็เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องไอ้ลูกเมียน้อย
“แล้วมันตายหรือเปล่าล่ะ” ถามไปในใจก็เผลอลุ้น ลึกๆ แล้วไม่ได้อยากให้มันตายแค่อยากให้รู้ว่ามันถูกเกลียดมากแค่ไหนจะได้พากันออกไปจากบ้านเสียที
“ก็ยังดีที่น้องมันไม่ตาย ไม่งั้นแกก็ไม่พ้นคุกเพราะฆ่าน้องตัวเอง!”
จิตใจเมื่อถูกความริษยาเข้าครอบงำมักมองไม่เห็นถึงความผิดชอบชั่วดีใดใดและจะปักใจคิดอยู่เสมอว่าเป็นผู้ถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียว
“มันไม่ใช่น้องของดอท!” ชนม์แดนตะโกนกลับไปบ้าง ดวงตาร้อนผ่าวราวกับจะหลุดออกจากเบ้า “ดอทไม่มีน้อง ไม่เคยมีและจะไม่มีไปจนวันตาย!”
“นี่ยังไม่สำนึกอีกเหรอ! เกือบฆ่าคนตายแล้วยังไม่สำนึกอีก! ทำไมแกร้ายกาจได้ขนาดนี้ นี่ยังอยากเป็นลูกฉันอยู่ไหม!!!” เจ้าสัวตะเบ็งเสียงดังลั่นเหมือนยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่าถูกเกลียดชังมากขึ้นไปอีก
ดวงตาคู่สวยแสบร้อนหนักจนหยาดน้ำพรั่งพรูออกมามากมาย หัวใจที่แตกละเอียดกลับถูกฝ่าเท้าเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดี
“ถ้าป๋าไม่อยากให้เป็น! ดอทก็จะไม่เป็น! ต่อไปนี้ป๋าไม่มีลูกเลวๆ อย่างดอท เชิญไปโอ๋ไอ้ลูกเมียน้อยนั่นเถอะอย่ามายุ่งกับดอท!!!” ตะโกนสุดเสียงและปาโทรศัพท์ทิ้งจนมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย “ฮืออออออออ” ร่างเล็กทรุดลงพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ปริ่มจะขาดใจเพราะความลำเอียงของผู้เป็นพ่อ
เกลียด เกลียดทุกคนเลย เกลียด!!!
ชนม์แดนกองอยู่กับพื้นร้องไห้โฮจนเนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกจากรังจนเมื่อมีใครคนหนึ่งเข้ามาโอบกอดจึงได้โผเข้ากอดไว้แน่น
“ถ้าไม่มีที่ไปก็อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ” เผ่าพงศ์บอกด้วยเสียงอ่อนโยน
ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งสะอื้นไห้ เด็กหนุ่มซุกตัวเข้ากับอกแกร่งพลางปล่อยน้ำตาให้รินไหลจนเสื้อของอีกฝ่ายเปียกปอนไปหมด
“ร้องออกมาซะให้พอ ถ้าหายเศร้าแล้วเฮียจะทำให้ดอทมีความสุขนะ” ปลอบประโลมพรมจูบไปทั่วศีรษะหลังได้เห็นเหตุการณ์ต่อหน้า
ทั้งรอยมือบนแก้มใส ดวงตารีที่บวมฉ่ำ ปลายจมูกแดงแถมยังเสียงพูดแปร่งๆ เพราะผ่านการร้องไห้ ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของเผ่าพงศ์ตั้งแต่เขาชวนร่างบางขึ้นรถ ก่อนหน้าก็คิดไว้ว่าอยากเห็นตอนร้องไห้หนักๆ อยากรู้ว่าหยิ่งขนาดนี้เวลาเสียใจจะเป็นยังไงแต่พอได้เห็นกับตาถึงได้รู้ว่าชนม์แดนเหมาะกับใบหน้าเชิดหยิ่งมากกว่าเป็นไหนๆ
หัวใจดวงน้อยกระตุกเต้นผิดจังหวะอีกครั้งเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตน โดยเฉพาะชื่อเล่นที่ออกมาจากปากของเขาเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจที่แหลกละเอียด
ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยทว่าในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ น้ำแค่เพียงหยดก็สามารถชุบชีวิตของคนด้อยค่าให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้
“ดอท..อยู่ที่นี่ตลอดไปได้ไหม ฮึกก ฮืออๆๆ” ชนม์แดนเองก็เปลี่ยนคำเรียกตัวเองเช่นกัน ในเวลานี้แค่อยากให้ใครสักคนมาเข้าใจและได้เป็นคนที่มีตัวตนสำหรับเขาก็เพียงพอ
“เท่าที่ดอทจะต้องการเฮียเลยครับ” แววตาที่เคยดุดันแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นเอ็นดู ซึ่งร่างบางโหยหาจากผู้เป็นพ่อมาตลอดชีวิต อย่าว่าแต่ความเอ็นดู แม้แต่รอยยิ้มก็ยังไม่เคยได้รับ
เด็กน้อยเงยหน้ามองร่างหนาด้วยความรู้สึกตื้นตัน หัวใจสั่นไหวรุนแรงไปกับสรรพนามที่เขาแทนตัวเองและทุกคำพูดของคนตรงหน้า อย่างน้อยมีคนๆ นี้ที่ต้องการ
อย่างน้อยก็ยังมี..
“จูบดอทที..นะครับ” ร่างบางส่งสายตาอ้อนวอนอีก
ดวงตาคู่สวยที่หยาดเยิ้มไปด้วยหยดน้ำตาเป็นภาพที่กระตุ้นความสงสารให้ประทุขึ้นได้ไม่ยาก
ทุกความน้อยใจที่อัดแน่นในอกจนไต่ระดับไปถึงความเสียใจถึงขีดสุดขับดันให้หัวใจดวงน้อยกระสันที่จะกระโจนลงไปในห้วงเหวลึก ไม่สนอีกแล้วว่าอันตรายคืออะไร ความรู้สึกที่มีในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่า..เตลิดไปจนกู่ไม่กลับ
เผ่าพงศ์ยิ้มรับกับสิ่งที่ได้ยิน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงบรรจงมอบจุมพิตให้กับอีกฝ่ายแผ่วเบา ในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะยอมโอนอ่อนไปกับความทุกข์ร้อนของผู้อื่น แต่ในครั้งนี้ขอยอมสยบให้กับร่างอันสั่นเทาตรงหน้า เจ้าของใบหน้าสวยที่เคยเย่อหยิ่ง เจ้าของจิตใจที่เคยเด็ดเดี่ยวดื้อรั้นทว่าในตอนนี้กลับมีบาดแผลฉกรรจ์จนเจ็บหนักแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน
ร่างสูงไล้ริมฝีปากขึ้นจูบซับรอยน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ไม่มีทีท่าว่ามันจะแห้งเหือด เขาจึงปล่อยให้มันไหลอยู่เช่นนั้นเพราะอันที่จริงแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่างเป็นภาพที่งดงามจนแทบลืมหายใจ กลีบปากหยักลึกเคลื่อนกลับมาจุมพิตริมฝีปากบางอีกครั้ง ดูดดุนแทะเล็มแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ แทรกเรียวลิ้นเข้าไปกลืนกินความหวานจนเกินกว่าจะต้านทาน
“อ..อาห์” ชนม์แดนได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายช่วงชิมลิ้มรสผิวกายได้ตามอำเภอใจ กลีบปากสีซีดคอยดูดดุนขบเม้มไปทั่วและในที่สุดมือหนาก็ดึงเสื้อเชิ้ตเข้ารูปตัวบางให้หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นยอดอกเม็ดเล็กก็ถูกปลุกปั่นด้วยเรียวลิ้นจนมันแข็งเป็นไตอย่างห้ามไม่ได้ “อ้ะ.. อาห์ อาาห์”
“สีชมพูไปทั้งตัวเลย” ดวงตาคู่คมจ้องมองอย่างหื่นกระหายไปทั่วร่างกายบอบบาง มือหนาค่อยๆ ดึงกางเกงตัวน้อยนั้นออกแล้วยิ้มอย่างพอใจ “ตรงนี้ก็สีชมพู” เขาไล้นิ้วไปตามความยาวกลางลำตัวของอีกฝ่าย จากที่มันหลับใหลก็ตื่นขึ้นสู้มือของเขาอย่างน่าอาย
นิ้วแข็งแกร่งคอยขยับเคล้าคลึงส่วนที่แข็งขืนนั้นอย่างหนักหน่วง ไม่ได้รู้สึกเจ็บทว่ามันช่างซ่านเสียวจนเกินกว่าจะทนไหว
“ดอทชอบหรือเปล่า” ทุกๆ ประโยคจากร่างสูงแสดงออกถึงความอ่อนโยนแต่การกระทำนั้นแฝงเร้นไปด้วยความจาบจ้วงหยาบโลน ยิ่งเห็นความขัดแย้งของผู้กระทำมากขึ้นเท่าไร แรงกำหนัดของร่างบางก็ยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น
วินาทีนี้ชนม์แดนแทบจะไม่มีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่เลย ภายหลังจากถูกความเสียใจถาโถมเข้าใส่จนความทุกข์พีคสูงเสียดเพดานแต่ในเวลาต่อมากลับได้รับการปรนเปรอปรนนิบัติอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ความรู้สึกที่ถูกสวิงไปมาในเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้ทำให้ระดับเคมีในสมองเริ่มขาดความสมดุล จิตใจกระเจิดกระเจิงผลักดันให้ร่างกายเร่าร้อนด้วยแรงกำหนัดจนถึงขีดสุด
“ไปที่เตียงนะครับ” เผ่าพงศ์อุ้มร่างน้อยขึ้นไปวางลงบนเตียงที่สปริงตัวค่อนข้างดีและเมื่อเขาตามขึ้นมามันก็ยิ่งเด้งขึ้นลงมากขึ้น เขาคร่อมร่างบางไว้แล้วก้มลงไล้เลียไปตามริมฝีปากจนผู้อยู่ใต้ร่างต้องเผยอกลีบปากขึ้นให้เขาสอดลิ้นเข้ามา
“อ๊ะ!” หลุดเสียงครางเบาๆ เมื่อเขาขบกัดกลีบปากล่างแล้วดึงออกไปเล็กน้อย “อืออ..เจ็บ..” ส่งเสียงบ่นทว่ากลับเป็นเหมือนการเชื้อเชิญ
“อยากกัดให้หลุดออกมาเป็นชิ้นๆ” เขาส่งสายตาหื่นกระหาย มองโลมเลียและลูบไล้ไปทั่วจนเจ้าของร่างบิดเร่าด้วยแรงอารมณ์
“อยากกัดก็กัดสิครับ” ชนม์แดนตอบรับไร้ซึ่งความเขินอายใดใด ไม่มีความคิดอะไรอยู่ในหัวนอกจากอยากให้เขาพาไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่โลกแห่งความจริง “อ๊ะ! อือ อาห์..” เมื่อได้รับคำอนุญาต ร่างสูงจึงขบกัดสร้างรอยไปทั่วยังผลให้ผู้ถูกกระทำส่งเสียงครางระรัว
“เด็ดอย่างที่คิดไว้จริงๆ” ร่างหนาเอ่ยปากเมื่อพลิกร่างเล็กให้คว่ำลงก่อนจะขบกัดไปตามแผ่นหลังและบั้นเอวจนชนม์แดนครางรับและเลี้อยตัวไปตามแรงปรารถนา
“อาห์ อือออ อ้า.. อาห์”
รับรู้ถึงความเปียกชื้นบริเวณบั้นท้ายเป็นทางยาวเนื่องจากเขาไล้เลียไปทั่วจนรู้สึกเสียวซ่านสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“อ๊ะ อาาาห์” เกิดเสียงน่าอายขึ้นทุกครั้งที่ถูกเขาสัมผัส “อึ่ก.. อ่าห์” ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นแล้วหรี่ลงพร้อมกับครวญครางเมื่อถูกขบกัดบั้นท้ายและดูดดุนหนักหน่วงจนเกิดเสียงดังน่าเกลียดแต่มันกลับเพิ่มอารมณ์ให้ร่างบางมากยิ่งขึ้น
มือหนาดึงรั้งสะโพกผายให้โก่งขึ้นจากนั้นก็ควานหาความเป็นชายที่ไม่ใหญ่โตนักของร่างบางแล้วชักนำจนมันพ่นของเหลวออกมาในเวลาไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรอท่าอยู่ก่อนแล้วเพราะเมื่อสารคัดหลั่งลื่นหนืดพ้นออกจากร่างกายมันก็ถูกละเลงความฉ่ำแฉะไปทั่วบั้นท้ายจากนั้นก็ฟาดอย่างแรง
เพี้ยะ!
“อ๊า!!” ชนม์แดนร้องเสียงดัง อันที่จริงไม่ได้เจ็บนักแต่เป็นอาการสะดุ้งเพราะเสียงมันค่อนข้างหยาบโลนและเฉอะฉ่ำไปหมดจนทั้งอายและตื่นเต้นระคนปนเป
“ร้องดังๆ เลยครับ อยากร้องดังแค่ไหนก็ร้อง” น้ำเสียงบ่งบอกความพึงพอใจกับผลงานของตัวเอง มือหนาถูกฟาดลงมาอีกหลายครั้งจนเริ่มขึ้นรอยมือไปทั่ว
“อ๊า.. อ๊า.. อ๊าห์.. อาห์.. อื้อ อ้าห์” บั้นเอวคอดสวยโยกย้ายตอบรับแรงมือของอีกฝ่ายพร้อมกับเสียงครางกระเส่าอย่างถึงใจ
เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างทรมานจนพึงพอใจแล้ว ร่างสูงก็เปลี่ยนจากฟาดเป็นการลูบละเลงไปทั่วก่อนจะแบะอ้าบั้นท้ายกลมกลึงออกแล้วลูบช่องทางคับแคบนั้นแผ่วเบา
“ยังซิงอยู่เลย” นิ้วซุกซนพยายามชอนไชเข้าสู่ร่องหลืบที่ยังคับแน่น
“อ..อย่า..ฮ..เฮีย..” เสียงเรียกชื่อแผ่วๆ เพราะทั้งกลัวและเขินอายทว่าไม่ได้ขยับหนีหรือขัดขืนแต่อย่างใด
“เฮียจะทำเบาๆ นะ” เสียงทุ้มนุ่มให้คำรับรองจนร่างบางเริ่มผ่อนคลาย “ดอทอย่าเกร็งนะ ปล่อยตัวไปตามความรู้สึก ถ้าเจ็บก็ร้องดังๆ” รับรู้สึกถึงความเย็นวาบและลื่นหนืดอยู่ตรงช่องทาง กลิ่นหอมเย็นโชยแตะจมูกซึ่งเดาเอาว่าน่าจะเป็นตัวช่วยให้การทำรักครั้งนี้ไม่ยากจนเกินไป
“อ๊า อึ่ก.. อึก.. อื้ออ” ร่างสวยได้แต่หลับตาปล่อยความรู้สึกไปกับปลายนิ้วที่ไล้ไปมาแต่ไม่นึกว่าจะต้องสะดุ้งและร้องครางด้วยทั้งเจ็บและซ่านเสียวแค่เพียงเรียวนิ้วแกร่งชำแรกผ่าน
เผ่าพงศ์นอนลงและแทรกศีรษะเข้ามาจากด้านล่างจนใบหน้าจดจ่ออยู่ตรงตำแหน่งใจกลางความเป็นชายจากนั้นก็กดสะโพกผายลงเพื่อลิ้มลองความสดใหม่ และการกระทำเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นิ้วแกร่งหลุดออกไปจากช่องทางอุ่นร้อนแม้แต่น้อย
“อ้า อืออ อือ” ทุกอย่างเป็นครั้งแรก มันแปลกใหม่ ตื่นเต้นและหฤหรรษ์จนจิตใจกระเจิดกระเจิง
“อึ่ก อ้า อื้อ อึก อื้อ” ทั้งเจ็บตรงส่วนท้ายที่มีสิ่งแปลกปลอมเพิ่มจำนวนขึ้นปะปนกับความเสียวซ่านเพราะการปรนเปรอด้วยเรียวลิ้นช่ำชอง “ฮ..เฮีย เฮีย” ชนม์แดนเรียกเสียงปร่า
ไม่นานนักการสอดใส่นิ้วแกร่งของเขาก็ไหลลื่นขึ้น ชนม์แดนเริ่มปรับตัวได้และรู้สึกถึงความซ่านสยิวจนต้องขยับสะโพกตามการชักนำ
“ดอทเก่งจัง” เขาเอ่ยชม “เรียกเฮียอีกสิ เสียงดอทหวานที่สุดเลยรู้ไหม” ในตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงบั้นท้ายมองดูนิ้วของตัวเองเข้าออกในร่างที่บิดเร่าด้วยแรงปรารถนา ถ้าเป็นตอนปกติชนม์แดนคงกระดากอายจนทนไม่ไหว แต่ในห้วงอารมณ์เช่นนี้กลับรู้สึกท้าทายและตื่นเต้นไปกับคำชมและการกระทำที่หยาบโลน
“..เ ฮี ย อ้าาห์” เผ่าพงศ์แกล้งชักนำนิ้วให้เร็วขึ้นจนต้องร้องลั่น
“อย่างนั้นแหละ ร้องดังๆ เฮียชอบ” เสียงเขาฟังดูหื่นกระหายมากขึ้นทุกที “อยากหรือยัง”
“อือออ” ชนม์แดนครางรับแทนคำตอบ อยู่ดีดีก็ถามอะไรแบบนี้จะให้พูดออกมาได้ยังไง
“เฮียถามว่าอยากหรือยังครับ” นิ้วแกร่งชักนำรัวเร็วทุกครั้งที่เขาเร่งจะเอาคำตอบ
“อ..อยา ก..ครับ” ชนม์แดนตอบออกไปอย่างน่าอาย
“งั้นก็ขอสิ” เขาบอก
“อื้ออ ๆ” เมื่อไม่ตอบก็ถูกกัดลงไปที่บั้นท้ายและเร่งความเร็วเข้าออกเพิ่มขึ้นอีก “อ..เ อา เ อา ดอท เถอะครับ” ร่างบางร้องขอออกไปจนได้
ทำไมยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์มากขึ้นทุกที ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดแถมยังรู้สึกถึงปริมาณความเปียกแฉะตรงส่วนปลายและช่องทางด้านหลังมากขึ้น
“อย่าเกร็งนะ ปล่อยอารมณ์ปล่อยใจไปด้วยกันแล้วเฮียจะพาดอทไปให้ถึงสวรรค์” ร่างหนาพลิกตัวชนม์แดนให้นอนหงายแล้วก้มลมกระซิบที่ข้างหู เมื่อร่างบางพยักหน้าตอบรับเขาก็เริ่มขบกัดลำคอระหงส์พร้อมกับดันความเป็นชายของเขาเข้าไป
“อึกกก!!” ชนม์แดนเริ่มอึดอัดและกัดฟันแน่นแต่อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยให้ต้องเจ็บปวดมากเกินไปเพราะมือหนาที่คล่องแคล่วชักนำท่อนรักให้พร้อมรับการสอดใส่ “อา อื้ออ” ในที่สุดก็เริ่มไหลลื่นขึ้น
“เก่งจัง” เขาชมพร้อมกับโยกตัวเบาๆ เป็นจังหวะ “เสียวไหม” คำถามที่น่าอายถูกถามออกมาเรื่อยๆ ชนม์แดนเองก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างส่วนใหญ่ก็ได้แต่ร้องครางไปตามอารมณ์
จากนั้นอีกพักใหญ่เขาก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้นอีกจนในที่สุดก็ถึงปลายทาง
อาหห์ ที่เขาว่าการทำรักคือได้ขึ้นสวรรค์ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
แทบจะขาดใจตายเสียให้ได้ เผ่าพงศ์ทิ้งตัวลงทับร่างบางแล้วหายใจกระหืดกระหอบ
“สุดยอด..” คำชมมากมายที่เขาเคยพร่ำบอกมาก่อนหน้า เด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกเขินเท่ากับคำนี้
ชนม์แดนได้แต่เอียงหน้าไปอีกทางแล้วหลับตาหนีความกระดากอายเนื่องจากนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า และนั่นเป็นครั้งแรกกับประสบการณ์มีเซ็กส์ และอีกครั้งในตอนกลางคืนซึ่งไม่ได้โหดน้อยกว่าครั้งแรกเลย ครั้งที่ 3 ในตอนค่ำของอีกวัน ครั้งที่ 4 คือรุ่งสางของวันที่สามและปิดท้ายด้วยครั้งที่ 5 ก่อนออกจากตึกนั้น
“แน่ใจนะว่าอยากจะกลับ” ร่างสูงกอดตระกรองร่างน้อยไว้ไม่ห่าง ถามซ้ำเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้
“เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วงครับ” ร่างบางตอบแล้วหลบตาพยายามขยับหนีการสัมผัสเพราะร่างกายมักจะสนองตอบรับเขาไปโดยไม่รู้ตัว
ในคืนแรกนั้น ชนม์แดนใช้โทรศัพท์ของเผ่าพงศ์โทรหามารดาแล้วบอกว่าจะไปนอนบ้านเพื่อน กำชับผู้เป็นแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะจะกลับบ้านแน่นอนแต่ขอเวลาทำใจสักพัก ซึ่งคุณรุ่งฤดีเองก็เห็นว่าเป็นทางที่ดีกว่าจะให้ลูกชายกลับมารองรับความฉุนเฉียวของสามีที่จนป่านนี้ก็ยังไม่หายโกรธ
“ถ้าเฮียเรียก ดอทจะมาหาเฮียอีกไหม” เผ่าพงศ์ถามพร้อมกับส่งสายตาแห่งความหวัง
“ดอทก็ยังไม่รู้เลย เอาไว้ถ้าถึงเวลาแล้วค่อยว่ากันนะครับ” เด็กหนุ่มนิ่งคิดแล้วตอบเขาไปตามความรู้สึกจริงๆ ว่าแล้วก็ก้าวขึ้นรถแบบไร้เรียวแรง ร่างกายถูกใช้งานไปเยอะจนแทบจะไม่เหลือพลังงาน สามวันสามคืนกับ 5 ครั้งแต่ไม่รู้กี่รอบที่เสร็จสมเพราะนับแทบไม่ทันเลย
เผ่าพงศ์ขับรถค่อนข้างเร็วและไม่นานก็ถึงบ้าน ชนม์แดนยังนั่งอยู่ในรถ มองประตูรั้วด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากกลับมาเหยียบที่นี่ หากไม่ห่วงผู้เป็นแม่ก็คงเตลิดไปไหนต่อไหนตามใจอยากแล้ว
ต่อ..