บทที่ 10 : ปะทะ
จินหลง เมืองหลวงของต้าเสียง "ถอย? เจ้าบอกว่าถอยงั้นรึ?" น้ำเสียงแสดงความแปลกใจของใครบางคนดังขึ้น ดวงตาสีดำคู่คมจ้องไปยังผู้นำสารที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแฝงแววคาดคั้นอย่างชัดเจน
"ข่าวนี้จริงแน่หรือ มิใช่ว่าพวกเจ้าหูเบาโดนลู่ซือเหยียนเป่าเข้าอีกกระมัง?" ประโยคนี้คนพูดปล่อยออกมาจากริมฝีปากด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเสียดกระดูก คนฟังสั่นสะท้านเล็กน้อย ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้เป็นนาย ทำได้เพียงก้มหน้าให้ต่ำกว่าเดิม แล้วรายงานว่าจริงแท้แน่นอน ข่าวนี้สายที่แฝงตัวอยู่ในกองทัพเป็นผู้ส่งมาด้วยตนเอง
"ถอย... ลู่ซือเหยียนผู้นั้นถึงกับสั่งให้ถอยทัพ..." เมื่อแน่ใจว่าข่าวมิใช่ข่าวลวงแน่แล้ว รอยยิ้มบางๆก็ฝุดขึ้นบนเรียวปากได้รูป มือไล้ไปบนตัวอักษรไม่กี่ตัวราวกับว่ากลัวมันจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา
ไม่ใช่ถอยไม่กี่ลี้เพื่อตั้งหลัก แต่เป็นการถอยกลับไปอยู่ในจุดเริ่มต้น มิต่างกับการพ่ายแพ้สงคราม หึ ดูเหมือนว่าเทพแห่งโชคลาภในที่สุดก็เบื่อหน้าของเจ้าแม่ทัพน่าชังนั่นเสียที
"แม่ทัพของอีกฝ่ายเป็นใคร?"
"เหอจิ้งจงแห่งเมืองโจวพ่ะย่ะค่ะ"
"เหอจิ้งจง แม่ทัพบรูพาผู้นั้นสินะ" คนฟังทวนชื่อที่ได้ฟัง นิ่งใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่โดยที่ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวน ปลายนิ้วเคาะลงบนที่วางแขนรูปมังกรสี่เล็บเบาๆ เสียงกระทบเป็นจังหวะช่วยให้ความคิดปลอดโปร่งขึ้นไม่เบา
"ข้าจำได้ว่าเหอจิ้งจงผู้นั้นเคยมาเยือนจินหลงของเราครั้งหนึ่ง ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะต้อนลู่ซือเหยียนได้เลย" ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นพวกแม่ทัพเถรตรงผู้หนึ่ง ถึงจะแก่ประสบการณ์แต่กลับยังไม่เข้าขั้น ไม่เช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมาเหตุใดต้าซางถึงไม่ส่งคนผู้นั้นกุมทัพหน้ามาท้าชนกับลู่ซือเหยียนซึ่งๆหน้าเล่า?
เรื่องนี้เห็นทีจะมีเบื้องลึกเบื้องหลัง
"เจียงหลัน" ปลายนิ้วเรียวยาวหยุดการเคลื่อนไหวในที่สุด เขาหันไปเรียกสาวใช้ข้างกายเข้ามากระซิบบางอย่างข้างหู ก่อนจะพยักหน้าให้นางล่าถอยออกไปจากห้อง
ต้นเหตุของเรื่องครานี้คงต้องสืบให้กระจ่าง หากเคลื่อนไหวอันใดไร้ความรอบคอบเกรงว่าจะเหยียบเจอตะปูเอาได้
ต้องไม่ใช่เหอจิ้งจงแน่ แต่จะเป็นใครนั้น... สหายที่แนวหน้าคงจะช่วยหาคำตอบให้เอง ชื่อของคนที่อยู่เบื้องหลัง อย่างไรเขาก็ต้องได้มาไว้ในมือ
************
หลายเดือนก่อนหน้านี้ ถนนทุกสายในเมืองหลวงของต้าซางเต็มไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ พ่อค้า คหบดีจากต่างแดนล้วนมุ่งหน้ามาแสวงหาความร่ำรวยก้าวหน้าจากเมืองนี้ มาถึงยามนี้ทั่วทุกหัวถนนกลับเงียบเหงาร้างผู้คน ประตูจวน คฤหาสน์ต่างถูกหับปิดแน่นหนา เพิงขายของถูกทิ้งไว้ไร้ร่างผู้เป็นเจ้าของ คนเดินถนนไม่กี่คนที่ออกมาจับจ่ายหาของเข้าบ้านต่างก็มีสีหน้ามืดหม่นไร้ชีวิตชีวา เจอหน้าไม่สบตา พบปะไม่ส่งเสียงทักทาย บรรยากาศหม่นหมองแทรกซึมไปทั่วทุกสถานที่
นี่เองเป็นบรรยากาศของผู้ที่พ่ายสงคราม ไม่มีผู้ใดออกมาต่อต้าน ไม่มีผู้ใดออกมาเรียกร้อง เพียงพวกทหารต้าเสียงไม่ลงมือปล้นฆ่าผลาญชีวิตผู้คนในเมือง พวกเขาก็ต้องคุกเข่าขอบคุณสวรรค์แล้ว
สิบห้าวันหลังจากสั่งถอนกำลัง ทัพใหญ่ของต้าเสียงก็เคลื่อนพลกลับมายังอดีตเมืองหลวงแห่งต้าซางอีกครั้ง ทันทีที่กลับมาถึงลู่ซือเหยียนสั่งให้รองแม่ทัพนายกองของตนไปทำงานต่อไปทันที ส่วนหนึ่งโยกพลไปยังกำแพงเมืองและรับช่วงคุ้มกัน บางส่วนก็กระจายกำลังไปยังทุกตรอกซอกซอย ยิ่งกดความตรึงเครียดไว้บนบ่าของชาวเมืองมากกว่าเดิม
พวกที่ลุกขึ้นมาต่อต้านก่อนหน้าจำนวนไม่น้อยถูกจับตัวเอาไว้ได้และถูกประหารทันที หัวและร่างถูกนำมาแขวนประจานที่หน้าลานประหาร สภาพศพอันน่าสยอดสยองยิ่งทำให้ความกลัวแทรกลึกเข้าไปในใจของชาวต้าซางมากกว่าเดิม ตอนที่ได้ข่าวว่าลู่ซือเหยียนกำลังนำทัพกลับมา ต่างพากันสวดภาวนาว่าอย่าให้มีการล้างบางเกิดขึ้นเลย
เคราะห์ดีที่หลังจากทัพใหญ่เดินทางมาถึงแล้วนอกจากการจัดเวรยามแน่นหนามากขึ้นกว่าเดิมก็ไม่มีการนองเลือดเกิดขึ้น เลี่ยงหรงจึงคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
....
เสียงฝีเท้าหนักแน่นที่ไม่ได้ยินมานานแว่วเข้ามาในหูอีกครั้ง หลิวช่างหลินยังคงเงียบสงบ เปิดฝาถ้วยชาเป่าไปบนผิวชาไล่ไอร้อนสีขาวก่อนจะยกขึ้นจิบอย่างเยือกเย็น ผิดกับคนสนิทข้างกายที่สูดหายใจลึกด้วยความกังวล
"ฝ่าบาท...คนผู้นั้น..." จางเหลียนเอ่ยเตือนผู้เป็นนายอย่างร้อนรน ยิ่งเห็นทีท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวยิ่งราวกับมีไฟมาเผาเบาะรองจนนั่งไม่ติด น้ำเสียงนี้ของจางเหลียนทำให้ร่างบนตั่งไม้ขยับเปลี่ยนอิริยาบทในที่สุด วางถ้วยชาลงข้างตัวพร้อมกับยืดหลังตรงขับให้บรรยากาศสูงศักดิ์แผ่ออกมาล้อมรอบกาย
หลิวช่างหลินเบือนหน้าไปยังบานประตูที่เสียงเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีด้วยใบหน้าเฉยชา ปากสั่งคนสนิทข้างกาย "เจ้าออกไปก่อน"
"ฝ่าบาท" จางเหลียนทำท่าจะแย้งทันที ทว่าถูกสีหน้าไร้อารมณ์ของเจ้าชีวิตกดดันให้หุบปากลงเสียก่อน บัณฑิตหนุ่มหยิบถ้วยชามาใส่ถาดแล้วขยับตัวลุกขึ้นย่อตัวทำความเคารพก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง
ในจังหวะที่จางเหลียนกำลังก้าวออกจากห้อง ชายในชุดเกราะที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและไอสังหารก็ก้าวสวนเข้ามาในห้อง ใบหน้าคมสันฉายประกายถมึงทึงดูเอาเรื่อง จางเหลียนเม้มปาก ลอบมองกลับไปเข้าห้องอีกครั้งแต่ก็ทำได้เพียงออกห่างจากห้องอย่างยอมจำนน
ภายในห้องลู่ซือเหยียนเดินเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าตั่งที่ร่างโปร่งนั่นอยู่ หรี่ตาลงพิจารณาร่างตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ สีหน้าเรียบตึงก็เคร่งขึ้นมากกว่าเดิม แม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงก็แค่นเสียงหึออกมาคำหนึ่ง
"ดูเหมือนข้าจะปฎิบัติต่อท่านดีเกินไปกระมัง ท่านถึงได้หาญกล้ากระทำการเยี่ยงนี้"
"ข้าไม่เข้าใจว่าท่านเอ่ยถึงเรื่องอะไร" หลิวช่างหลินตอบเสียงเรียบเฉย
"ท่านคงไม่บอกว่าตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง?" น้ำเสียงของลู่ซือเหยียนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต่อให้เขากล่าวออกมาว่าไม่เกี่ยวข้องก็จะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด และน้ำเสียงเช่นนี้เองที่ทำให้สีหน้าของคนเป็นองค์ชายเคร่งขึ้นหนึ่งระดับ แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง
"หากใจท่านฟันธงไปแล้วว่าข้าเกี่ยวข้อง ข้าจะทำอันใดได้เล่า" หลิวช่างหลินเหยียดยิ้มท้าทายขึ้นมาเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นเพียงมุมปากที่โค้งขึ้นเล็กน้อย ทว่ากลับแสดงความแข็งกร้าวออกมาได้อย่างชัดเจนยิ่ง ท่าทีที่ผิดแปลกนั้นทำให้คนมองชะงักไปเล็กน้อย ความประหลาดใจแล่นเข้ามาแทนที่ความโกรธขึงก่อนหน้า จิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมาก่อนหน้านี้ถูกสลายไปโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ความเงียบของคู่สนทนาหาได้ทำให้หลิวช่างหลินหวาดหวั่น ตรงกันข้าม ความทระนงที่มีอยู่เต็มสายเลือดนั้นกลับทำให้ร่างโปร่งยืดหลังขึ้นตรงมากกว่าเดิม "ท่านให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็อยู่ ท่านบอกให้ข้าทำตัวดีๆ ข้าเคยพยายามหนีไหมเล่า?"
ช่างยอกย้อนนัก ลู่ซือเหยียนสบถในใจ พยายามข่มโทสะที่ถูกร่างเบื้องหน้ากวนให้ขุ่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างยากเย็น สองมือตบเข้าที่พื้นตั่งไม้สีแดงข้างตัวของอดีตรัชทายาทแห่งต้าซาง ใบหน้ายื่นเข้าไปเสียชิดกระซิบเสียงเคร่งลอดไรฝัน "ท่านอย่าพยายามท้าทายความอดทนของข้านัก ข้าเป็นชนชั้นทหาร ความอดทนไม่สูงมากเท่าไหร่หรอกนะ" พูดถึงตรงนี้มือแกร่งก็พุ่งเข้าไปคว้าข้อมือขาวขึ้นมากำแน่น
"ข้าอาจจะไม่ลงมือกับชาวเมืองไม่ได้ แต่ขุนนางและเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่ หากฆ่าไปคนข้าก็สบายปลดภาระที่ต้องดูแลไปได้หนึ่งคน" ดวงตามืดดำเรืองวาบ สุ้มเสียงทั้งเย็นชาทั้งเยียบเย็น ผลักให้คนฟังจมลงสู่ความหนาวเหน็บเสียดกระดูก "ครั้งนี้ถือว่าข้าพลาดที่ไม่ได้จับตาดูท่านให้ดี แต่ครั้งต่อไป ข้าจะทำอะไรบ้างก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน" พูดถึงตรงนี้ลู่ซือเหยียนก็ปล่อยมือออก แล้วกลับมายืดตัวตรงอีกครั้ง
"จริงๆ หากท่านจะฆ่าข้า ก็สามารถลงมือได้ตั้งแต่แรก เหตุใดจึงต้องทำอะไรยุ่งยากเยี่ยงนี้ด้วย?" หลิวช่างหลินขยับข้อมือของตนด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไร้ความหวาดกลัว "ไม่ต้องพูดถึงการควบคุมข้า หากฆ่าข้าตั้งแต่แรก ต้าเสียงก็จะสามารถควบคุมทุกอย่างได้ทั้งหมด เช่นนี้แล้ว ท่านทำไมถึงได้ไว้ชีวิตข้า?"
นี่คือสิ่งที่ไม่ว่าจะพยายามครุ่นคิดเท่าไหร่ ก็ขบไม่แตก
คำถามนี้ ลู่ซือเหยียนเพียงใช้ความเงียบ แทนคำตอบ เสียงลากเก้าอี้บ่งบอกว่าเจ้าตัวมานั่งอยู่ข้างกายของเขาแล้ว
"เหตุใดจึงไม่ตอบเล่า?" ครานี้หลิวช่างหลิวมิได้ปล่อยให้อีกฝ่ายเลี่ยงประเด็นโดยง่าย กระทู้ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่ง "ท่านมีความจำเป็นอะไรถึงได้ไว้ชีวิตข้า?"
"นั่นเป็นเรื่องของข้า ข้าจับเชลยได้ ย่อมอยากนำร่างที่มีชีวิตกลับไปเพื่อรับรางวัลที่ต้าเสียง" เสียงของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงเรียบเป็นเส้นตรง ขัดกับคำพูดที่พ่นออกมาเสียจริง หลิวช่างหลินมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย ประโยคต่อไปที่เอ่ยออกจากปากจึงแข็งกระด้างเป็นทีสุด
"ท่านมิได้พูดความจริง" หลิวช่างหลินเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่าลู่ซือเหยียนกลับยิ่งยียวนมากกว่าเก่า
"ข้าพูดความจริงไปแล้ว เหตุใดไม่ยอมเชื่อข้าเล่า"
"ท่านพูดความจริงหรือไม่ ท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจกระมัง"
"หากใจท่านฟันธงไปแล้วว่าข้ามิได้พูดความจริง ข้าจะทำอันใดได้เล่า" ประโยคที่เขาเป็นเจ้าของก่อนหน้า ถูกตีโต้กลับมาได้อย่างเจ็บแสบ อดีตรัชทายาทแห่งต้าซางหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
"ท่าน!"
"ท่านถาม ข้าก็ตอบแล้ว แต่จะตอบตามความจริงหรือไม่ มันก็เป็นสิทธิ์ของข้ามิใช่หรือ?" ลู่ซือเหยียนส่งเสียงหัวเราะต่ำๆในลำคอ ดวงตาสีดำดุจน้ำหมึกจับจ้องไปบนสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคู่สนทนา รู้สึกสนุกสนานเล็กน้อยอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ความหงุดหงิดในใจถูกบั่นทอนลงไปอีกครั้ง
"ลู่ซือเหยียน!" คราวนี้อดีตรัชทายาทผู้สุขุมเยือกเย็นเรื่อยมาก็ถูกโทสะครอบงำในที่สุด สีหน้าตึงเขม็ง "จะอย่างไรข้าก็เป็นเชื้อพระวงศ์ของต้าซาง ถึงไม่มีแผ่นดินให้ปกปักรักษา ทว่าชีวิตก็ยังเป็นชีวิตของข้าอยู่ ถึงจะหนีออกไปไม่ได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถจบชีวิตตัวเองด้วยวิธีที่สร้างความเดือดร้อนให้ท่านอย่างที่สุดได้!"
ลู่ซือเหยียนตาลุกวาบผุดลุกขึ้นทันที คำรามต่ำในลำคอว่าท่านกล้ารึ หลิวช่างหลินขยับตัวลุกขึ้นเช่นกัน เดินมาประจันหน้าโดยอาศัยเพียงเสียงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย หยุดในตำแหน่งที่ห่างจากคู่สนทนาเพียงหนึ่งฉื่อ*(1) ใบหน้าไร้ตำหนิประดุจหยกก็เหยียดรอยยิ้มหยันออกมา
"คนที่สูญเสียทุกอย่างไปแล้วเช่นข้า ยังมีอันใดไม่กล้าอีกเล่า?
ลู่ซือเหยียนสีหน้าเครียดขึง จับจ้องคู่สนทนาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นเพียงความแข็งกระด้างอยู่บนนั้น ผ่านไปครึ่งก้านธูป แม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงจึงแค่นเสียงออกมา สะบัดผ้าคลุมเดินจากไป
เมื่อเสียงฝีเท้าห่างออกไป ท่าทางขึงขังของหลิวช่างหลินก็ถูกแทนที่ด้วยความโล่งอก ร่างทั้งร่างเซไปด้านหลังแล้วทรุดลงนั่งบนตั่งไม้อีกครั้ง ใบหน้าฉายแววอ่อนล้า หลังจากผ่อนลมหายใจลึกยาว เขาก็เคาะพื้นไม้ข้างเตียงเป็นจังหวะเรียบเรื่อยสามสี่ครั้ง คนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดจึงเดินออกมาคุกเข่า จนสั่งบางอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยโบกมือไล่คนออกไป
เคราะห์ดีที่คราวนี้ยั่วโมโหจนไล่อีกฝ่ายกลับไปได้
แต่อย่างไรรอจนอีกฝ่ายใจเย็นลง ต่อไปคงลงมือได้อย่างยากเย็น
สิ่งที่ต้องทำ ต้องเร่งมือเสียแล้ว...
....
........
นกตัวหนึ่งกระพือปีกโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบ ทะยานลับหายไปในความมืดยามราตรี กระบอกไม้อันจ้อยถูกผูกติดกับท่อนขา ปีกสีขาวหาได้เตะสายตาของทหารยามคนใด สามารถนำพาข่าวสารใหม่จากไปอย่างรวดเร็ว
************
"ตกลงสืบได้ความอย่างไร?" ชายหนุ่มในชุดปักลายมังกรสี่เล็บ สีน้ำเงินเข้มถามผู้ติดตามที่เพิ่งรับจดหมายม้วนเล็กๆจากขันทีหน้าห้อง ใบหน้าทรงเสน่ห์ปรากฎรอยยิ้มสบายๆดูเป็นมิตร เข้าถึงได้ง่าย การแสดงออกล้วนนุ่มนวลอย่างปัญญาชน แต่คนที่ติดตามมานานกลับไม่กล้าชักช้า เปิดกระบอกออกแล้วเทจดหมายไปยื่นส่งให้ผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม
มือเรียวยาวที่ถูกถนอมดูแลอย่างดียื่นมารับม้วนกระดาษนั้นไปคลี่ช้าๆ ดวงตากวาดผ่านตัวอักษรอย่างรวดเร็ว
"หึ ข้าว่าแล้วไหมล่ะ" รอยยิ้มบนหน้าของชายหนุ่มกว้างขึ้นทันที พับกระดาษม้วนโยนเข้าเตาไฟที่อยู่ใกล้ตัว เปลวไฟไหวระริกอยู่ในดวงตา รอจนแผ่นกระดาษไหม้หมด ร่างในชุดหรูหราก็ยันตัวลุกขึ้น
ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ ที่แท้ก็เป็นท่าน
"ฝ่าบาท เรื่องนี้..." คนสนิทข้างกายเอ่ยเบาๆ
"ยังก่อน ข้ายังไม่สนใจจะมีเรื่องกับแม่ทัพลู่ตอนนี้ รอให้พวกนั้นกลับมาที่นี่ก่อนเถอะ" ชายหนุ่มตอบเรียบง่าย ถึงแม้ว่าความคิดในสมองจะกำลังหมุนวนอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่พริบตา รอยยิ้มน่ามองก็ปรากฎขึ้นมาพร้อมๆกับแววตาพราวระยับ เขาหันไปกวักมือเรียกคนสนิทของตนเขามาหา ลดเสียงลงสั่งการ "หาคนไปกระจายข่าวนี้ให้ฉีอ๋อง เขาต้องอยากยินข่าวนี้เป็นแน่"
หากคนผู้นั้นได้ข่าวแล้วยังไม่เคลื่อนไหว ก็นับว่าเขาเสียทีที่เกิดมาเป็นพี่น้องกันชาติหนึ่งแล้ว
ที่เหลือก็เพียงแค่นั่งอยู่บนภู รอดูเสือกัดกันก็พอ
************
"เจ้าตั้งใจจะทรยศอีกครั้งงั้นรึ?"
เสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลัง เรียกความสนใจของคนที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้าหันกลับมามอง ดวงตาอันมืดหม่นที่เบือนมาสบนั้นทำให้ผู้ที่ส่งเสียงทักนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินมายืนเคียงข้างร่างสูงใหญ่ของหานหลงซาน
"หากเจ้าภักดีต่อต้าเสียงจริงๆ ก็ควรเหนี่ยวธนูยิงนกตัวนั้นทิ้งเสีย หรือเพราะเจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานเกินไป จนหลงลืมไปเสียแล้ว ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่" ผู้มาเยือนยังคงเอ่ยด้วยท่าทางราวกับเนื้อหาเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ
"ภักดี?" หานหลงซานเพียงเอ่ยทวนประโยคหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงหยามหยัน สีหน้าและดวงตาทอประกายมืดหม่นยิ่งกว่าเดิม "คงมีแต่ท่านที่คิดเช่นนั้น เหตุใดข้าจะไม่รู้ ว่าแววตาของแม่ทัพนายกองที่อยู่ในห้องประชุมมีความหมายเช่นไร"
ไม่ใช่ความเป็นมิตร มิใช่สิ่งที่สื่อว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน
"ข้ารู้ดีว่าทั้งฐานะและตัวตนของข้าไม่มีวันได้รับการยอมรับจากพวกเขา เฒ่าสือ ท่านอย่าใช้คำว่าภักดีมารังแกข้าเลย"
ผู้ที่ถูกเรียกว่าเฒ่าสือมองคนหนุ่มข้างกาย ใบหน้าฉายแววเวทนาออกมาชั่วพริบตาก่อนจะหายวับไป "เจ้าคิดมากไปแล้ว จบงานนี้ ฝ่าบาทต้องทรงพระราชทานอภัยโทษให้กับสกุลของเจ้าแน่ ไม่นานเจ้าก็จะได้กลับมาเป็นชาวต้าเสียงเต็มตัวอีกครั้ง"
ชาวต้าเสียง... จุดมุ่งหมายแรกที่ทำให้เขายอมรอนแรมมาถึงที่นี่ บัดนี้ไม่ต่างกับหนามทิ่มแทงใจ ตอนที่มาถึงต้าซาง ถูกรับตัวมายังวังหลวงแห่งนี้ นอกจากความไว้เนื้อเชื่อใจของรัชทายาทองค์นั้นที่มอบให้อย่างไร้ข้อกังขา ความอบอุ่นที่ได้รับจากคนรอบข้าง รวมทั้ง...สิ่งได้รับจากคนผู้นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มานั้นทำให้เคยนึกจะล้มเลิกอยู่หลายครั้ง...
แต่เขากลับรู้ดี แม้จะอยากล้มเลิกแผนการสักเพียงไหน เขาก็ไม่อาจทำได้ ทันทีที่เขาล้มเลิก ผู้ที่ส่งเขามาย่อมไม่มีทางปรานีให้เขามีชีวิตอย่างสุขสงบโดยไม่เปิดเผยตัวตนของเขา ทันทีที่ทุกคนรู้ความจริง ความไว้วางใจที่ได้รับย่อมไม่มีทางเหมือนเดิม
สายลับที่ทรยศผู้เป็นนายย่อมไม่มีพื้นที่ที่จะยืนอีกต่อไป
"ข้ารู้ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ อย่างไรข้าก็ไม่มีทางทรยศต้าเสียง ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล" หานหลงซานตอบกลับเพียงประโยคเดียว ก่อนจะหันมาประสานมือบอกลาผู้อาวุโส แล้วหันหลังเดินจากไป มีเพียงสายตาเวทนาของผู้มากวัยที่มองส่งไปจนลับตา
บางครั้งโชคชะตาก็โหดร้ายกับมนุษย์เสียเหลือเกิน เห็นๆอยู่ว่าคนไม่ต้องการจะเดินไปในเส้นทางนั้น ก็ยังต้องฝืนเดินเข้าไป
สิ่งที่ไกลเกินไขว่คว้า กลับกลายมาเป็นสิ่งที่คนผู้นั้นต้องการที่สุด
น่าเสียดาย น่าเสียดาย...
ผู้ชรารำพึงกับตัวเอง มือลูบไปบนดาบคู่กาย ทอดสายตามองไปยังความมืดมิด ถอดถอนใจแผ่วเบา ดวงตาก็เปลี่ยนไปเป็นคมกล้าดังคมดาบ
"ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่เลือกเดินทางผิด หานหลงซาน..."
*************************************
*(1) ฉื่อ chi : คือมาตรวัดของจีน โดยที่ 1 ฉื่อ = 10 นิ้วจีน = 22.7 - 23.1 เซนติเมตร
มาต่อแล้วค่ะ อ่า หายไปนาน(มากกกกกกกกกกกกกกก) ในที่สุดก็ได้มาต่อเสียที(...กราบขออภัยผู้ที่ติดตามอยู่ทุกท่านจริงๆค่า)
ยิ่งแต่ง ก็ยิ่งยาก ข้อมูลที่ต้องหาก็ชักเยอะ ฮา แต่ก็เพลินจริงๆ ยิ่งตอนพระนาง(??) เขาตีฝีปากกันก็ยิ่งเพลิน อืม พิมพ์เองก็คิดเองว่า สองคนนี้จะมารักกันได้จริงๆรึ?... เอาเป็นว่ามาร่วมลุ้นไปกันผู้แต่งแล้วกันค่ะ ตอนนี้จะแง้มส่วนของประวัติหลงซานและตัวละครใหม่เล็กน้อย อีกไม่กี่ตอนก็จะได้พบตัวจริงเสียงจริงแล้วค่ะ
ต้องขอบคุณทุกคอมเม้น และคนอ่านทุกท่านที่ยังเข้ามาติดตามอยู่นะคะ จากที่เฟลๆเพราะมรสุมชีวิตเหมือนได้แรงใจกลับมาเลย ขอบคุณมากๆค่ะ //v\\