บทที่หนึ่ง บุตรแห่งเมดูซ่า
ภายในอาคารสูงซึ่งที่กินพื้นที่แถบชานเมืองไปเป็นจำนวนมาก ใครจะรู้ว่าภายในกระจกใสนั่นจะมีเทคโนโลยีชั้นสูงที่ได้งบจากรัฐบาลไปจำนวนมาก
องค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นหน่วยสืบสวนสอบสวนและคอยจัดการกับคดีพิเศษที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยจะคอยทำงานอย่างเงียบๆ และไม่แสดงตัวตนแต่ก็ถือเป็นที่ยอมรับในทั่วโลกเพราะในแต่ละประเทศมักจะมีองค์กรเช่นนี้และคอยติดต่อข้อมูลเพื่อส่งถึงกันตลอดเวลา
ส่วนใหญ่แล้วชื่อที่ใช้ในองค์กรจะไม่มีการบังคับแต่อย่างใดว่าจะใช้ชื่อไหนเพราะไม่มีใครสนใจเรื่องภูมิหลังแต่ละคนแต่ส่วนใหญ่แล้วจะตั้งชื่อตามที่ตนอยากเป็น ส่วนเรื่องความหลังน่ะหรือ ไม่ต้องพูดถึงเพราะยิ่งมีคนประเภทเดียวกันอยู่ด้วยกันมันต้องมีการแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ฮันเตอร์ผู้อำนวยองค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยมีใครสืบทราบได้เรื่องสถานะภาพ เบื้องหลังชีวิตหลังการทำงานเพราะเขาเป็นคนค่อนข้างเก็บความลับได้อย่างเยี่ยมยอด และไม่ค่อยบอกใครเกี่ยวเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน
วันนี้ก็คงจะเป็นวันที่องค์กรที่ประจำการในประเทศไทยต้องยุ่งวุ่นวายอีกครั้งเป็นแน่เมื่อมีนายตำรวจสองสามคนแบกวัตถุบางอย่างเข้ามายังห้องตรวจสอบภายในองค์กร
“ อีกรายแล้วเหรอเนี่ย” ชายวัยกลางคนผมยาวเหมือนนักร้องร็อกเกอร์ในตำนานพูดขึ้นหลังจากที่ยืนมองดูรูปปั้นหินของเด็กสาวผมลอนที่ถูกตำรวจพบแล้วพาเข้ามาในองค์กร
“ ครับท่าน ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอนเพราะทางเราได้กะเทาะหินพวกนี้ออกจากร่างแล้วแต่ภายในยังคงเป็นหินทั้งหมดอยู่” ตำรวจหนุ่มในเครื่องแบบพูดอธิบาย
“ เมดูซ่าน่ะสิเบน” เขาหันไปจ้องหนุ่มในเครื่องแบบ “ ผมคิดว่ามันกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่เพราะคนที่กลายเป็นหินส่วนใหญ่เป็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันหมด” เขาอธิบาย
“ แล้วคุณจะเอายังไง” เบนถาม
“ ผมขอไปปรึกษาทีมผมก่อนก็แล้วกันเพราะตอนนี้เรื่องประหลาดพวกนี้เกิดขึ้นทุกวันแทบไม่ได้พักกันเลย ต้องเข้าใจกันด้วยผมก็อายุมากแล้ว” เขาพูด
“ อย่าให้นานนักนะฮันเตอร์เพราะผมอยากปิดคดีนี้เร็วๆ ผมว่าหาคนเพิ่มได้แล้วมั้ง” เบนพูดทิ้งทวนก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องทิ้งไว้เพียงชายผมยาวที่หน้านิ่วคิ้วขมวดยืนจ้องร่างที่กลายเป็นหินอยู่ตรงหน้า
เลดี้ที่ยืนจ้องๆมองๆจากข้างนอกเมื่อเห็นว่าเบนเดินออกไปแล้วจึงเข้ามาหวังถามไถ่เรื่องราวเมื่อครู่เพราะฮันเตอร์ไม่เคยทำหน้าเครียดอย่างนี้มาก่อน
“ กาแฟค่ะท่าน” หญิงสาวผมบ็อบยื่นถ้วยกาแฟสีขาวให้คนตรงหน้า “ มีอะไรหรือเปล่าคะทำไมดูเครียดจัง”
“ ผมขออยู่คนเดียวก่อนเลดี้ แล้วกาแฟนี่เอาออกไปด้วยผมยังไม่ได้สั่ง” เขาดันถ้วยกาแฟกลับไปอย่างไม่แยแส
“ มีอะไรก็บอกกันดีๆก็ได้อย่ามาแสร้งทำเป็นมีความลับหน่อยได้ไหม” เธอพูด
“ เรื่องนี้ผมขอเอาไว้พูดในที่ประชุม” ฮันเตอร์ตอบกลับ
ใบหน้าของหญิงสาวบึ้งตึงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เราก็อุตส่าห์เป็นห่วงไปนั่งจิบเลือดต่อดีกว่า” เธอพูดก่อนจะก้าวออกไปอย่างไม่พอใจ
“ เดี๋ยว” เสียงทุ้มต่ำเอ่ย ทำให้ร่างบางหยุดลงในทันทีหล่อนหันกลับมาคลี่ยิ้มบางให้พร้อมกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกขัดด้วยคำสั่งของคนตรงหน้า “ เรียกประชุมด่วนให้ผมด้วย”
“ ค่ะ” เธอกระแทกเสียงแล้วก้าวออกไปทันที
ในการเรียกประชุมด่วนประจำองค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากหากใครมาช้าจะพลาดทันทีเพราะ
ประตูที่มีระบบรักษาความปลอดภัย จะปิดแล้วล็อคอัตโนมัติโดยห้ามคนในออกคนนอกไม่ให้เข้าจนกว่าการประชุมจะจบลง
“ มีอะไรหรือเปล่าท่านทำไมถึงได้เร่งด่วนขนาดนี้” ชายลูกครึ่งโทลภูเขาเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่พิเศษด้านข้างที่เตรียมไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ
“ ไม่มีอะไรเหรอกโทรตเขาก็แค่อยากเรียกแกมานั่งกินดินเนอร์เท่านั้นแหละ” เขาพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้เสริมความสูงพิเศษด้านข้างหนุ่มร่างยักษ์
“ พูดมากจังวะไซต์ เดี๋ยวจับขยี้เป็นลูกชิ้นเลย” โทรตพูดพร้อมกับบีบมือขนาดใหญ่อย่างจริงจังแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อคนเรียกประชุมเดินเข้ามา
“ เลดี้ตั้งระบบรักษาความปลอดภัย” ฮันเตอร์ที่กำลังเดินเข้ามาหันกลับไปสั่งหญิงสาวที่เดินตามหลังมาติดๆ
“ ค่ะ” เธอรับคำ ก่อนจะหันไปพูดกับระบบการติดตั้งที่อยู่ด้านข้าง “ ระบบรักษาความปลอดภัย” รูปแม่กุญแจเด้งขึ้นมาด้านหน้า มือเรียวยาวรูดไปจนสูดขอบก่อนจะได้ยินเสียงจากระบบตอบรับ ‘ระบบทำการสำเร็จ’ เขาจึงรีบเดินนั่งด้านข้างชายผมยาวที่หัวโต๊ะ
“ ทำไมวันนี้มากันแค่นี้ล่ะ” ฮันเตอร์พูดอย่างแปลกใจเพราะสมาชิกที่มาในวันนี้หายไปถึงสามคน
“ ก็จากการที่ไปสู้กับฝูงแมงมุมครั้งที่แล้ววิกซ์มันรู้สึกผิดที่ฆ่าเผ่าพันธุ์ตัวเองเลยถอนตัวไปส่วนน้องชายมันก็ออกไปตามพี่มันครับนายพล” โทรตตอบ
“ ส่วนดอกเตอร์แบรต” เลดี้เอ่ยพร้อมกับเลียริมฝีปากเมื่อนึกถึงดอกเตอร์หนุ่มที่เป็นเพียงมนุษย์คนเดียวขององค์กร “ ท่านโทรมาแจ้งว่าติดธุระมาไม่ได้ให้ประชุมก่อนเลย”
ฮันเตอร์พยักหน้าเชิงเข้าใจก่อนจะพูดขึ้น “ ตอนนี้เรื่องที่พวกเรากลัวมากที่สุดกำลังใกล้เข้ามาแล้ว” เขาเริ่มบทสนทนาอย่างจริงจัง “ เมื่อตลอดปีมานี้มีคนตายอย่างผิดธรรมชาติหลายอย่าง เลือดหายไปจนหมดร่าง บางคนถูกเขี้ยวกระชากจนไม่เหลือซาก แล้วที่บริเวณตอนเหนือก็เหมือนกันเกิดไฟไหม้ป่า ยังไม่นับรวมคนหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกและล่าสุด เลดี้” เขาเรียกชื่อส่งสัญญาณเพื่อให้หญิงสาวสั่งการระบบคอมพิวเตอร์ให้แสดงภาพสามมิติขึ้นมากลางโต๊ะฉายให้เห็นถึงรูปปั้นหินเสมือนวางอยู่จริง “ รูปปั้นหินพวกนี้ถูกพบจำนวนมากในแถบเขตพื้นที่เรา ฉันอยากให้พวกเราเตรียมพร้อม และช่วยกันหากำลังเสริม”
“ กำลังเสริม” โทรตทวนคำ “ แต่เราเป็นทีมที่ดีอยู่แล้วจะหาคนอื่นมาเพิ่มทำไม” เขายืดอกอยู่ภูมใจในทีม
“ จริงด้วยไหนจะต้องฝึก ไหนจะต้องซ้อมให้อีก” ไซต์เสริมขึ้น
“นั่นไม่ใช่เรื่องยากเพราะพวกเราจะช่วยกันสอนพวกเขาเอง” ฮันเตอร์แย้ง “ ส่วนเหตุผลที่ต้องหาเพิ่มนั้นก็เพราะว่าพวกเรามีจำนวนน้อยลงทุกวัน ผิดกับพวกมันที่เหมือนสร้างกองกำลังขึ้นทุกวัน ถ้าหากวันหนึ่งมันบุกมาจะได้พอสูสีกันบ้างไม่ใช่เราวิ่งเข้าไปตาย”
“ แล้วเราจะหาได้ยังไงล่ะ” ชายครึ่งโทรลถามอย่างสงสัย “ หรือว่าเราจะเอามนุษย์มาฝึก”
“ เราจะตามหาจากเครื่องตรวจจับ ดีเอ็นเอ ที่เลดี้กับด็อกเตอร์ช่วยกันสร้างขึ้นมา” สิ้นเสียงของฮันเตอร์ เลดี้ก็จัดการเปิดระบบภาพขึ้นมาฉายบนโต๊ะแทนรูปปั้นหินอันนั้น “ อธิบายเลดี้”
เธอพยักหน้ารับคำสั่ง “ นี่คือเครือข่ายหลักที่เราจะนำเข้าสัญญาณส่งไปยังโทรศัพท์พวกนี้” หล่อนยื่นสิ่งที่เหมือนโทรศัพท์แอนดรอยด์ทั่วไปให้กับสองคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจฟัง “ เมื่อเราเข้าไปที่เมนูแสดงตัวตน แผนที่จะระบุตำแหน่งจากเครือข่ายหลักที่สำนักงานไปให้หากเป็นจุดสีเขียวแสดงว่าพลังของคนๆนั้นยังไม่เคยถูกใช้ให้เข้าไปคุยอย่างประนีประนอมที่สุดเพราะเขาอาจมองว่าเราจิตไม่ปกติได้ แต่หากเป็นสีแดงแสดงว่าเขารู้ตัวตนที่กำลังเป็นอยู่แล้วให้มุ่งประเด็นทันที” หล่อนอธิบาย “ เอาล่ะฉันจะแสกนในพื้นที่แถวนี้ดูแล้วจะส่งไปเข้าเครื่องให้ขอให้ตามหาให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นพวกปีศาจอาจเจอพวกนั้นก่อน แล้วเราจะแย่” เขากำชับก่อนจะหันไปสั่งระบบ “ แสกนตัวตน”
‘แสกนตัวตน’ ลำแสงสีขาวสว่างจ้าบริเวณกลางโต๊ะ ‘สำเร็จ’
“ ดาวน์โหลดข้อมูล” เธอสั่งพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาในมือ
‘ดาวน์โหลดข้อมูล’ ระบบประมวลผลอยู่สักครู่เสียงข้อความในมือถือก็สั่นทันที ‘สำเร็จ’
“ นี่” เลดี้ยื่นไปให้ทั้งคู่ “ เอาไปลองใช้ดูหวังว่าคงจะหามาได้โดยเร็วและทันการณ์นะ”
เสียงดนตรีจังหวะเร้าใจดังไปทั่วทั้งห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เป็นสถานที่จัดงานประมูล รถหลากหลายรุ่นจากหลายบริษัทโดยเหล่าบรรดานักสะสมรถรุ่นที่ทำมาอย่างจำกัดจำนวนตบเท้าเข้ามาอย่างเนืองแน่นพร้อมกลับเงินในกระเป๋าที่แน่นไม่แพ้กันแต่ละคนจึงมีผู้ชายชุดดำยืนประกบไม่ต่ำกว่าสองคนแต่ยกเว้นชายหนุ่มที่เดินมากับเพื่อนในชุดสูทสีดำมีสีหน้าที่บอกบุญไม่รับ
“ เป็นไรของแกวะ ฉันอุตส่าห์พามาเปิดหูเปิดตาให้มาเจอกับโลกภายนอก และนี่ก็ไม่ใช่ห้องวิจัยหรือป่าที่อยู่กับซากหินซากดินอะไรนั่น ยิ้มหน่อยสิเพื่อน” ชายหนุ่มตี๋ในชุดสีแดงแสบตาหันมาบ่นใส่เพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์
“ ใครจะไปมีความสุขกันมีแต่คนรวยๆที่ชอบอวดรวยมาทั้งนั้น รถเขามีเอาไว้เป็นยานพาหนะจะมาประมูลอวดรวยกันทำไมก็ไม่รู้” ชายหนุ่มผิวสีแทนที่มาจากการถูกแดดเผาขยับริมฝีปากเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ
“ ฉันไม่ได้พามาดูรถโว้ย แต่ฉันพาแกมาดูโน่น” สายตารีเล็กมองไปยังหญิงสาวผมลอนยาวที่วาดลวดลายอยู่บนเวทีอย่างพลิ้วไหวเพราะท่อนขาสีขาวตัดกับชุดดำลายตาข่ายอย่างละสายตาแทบไม่ลง ดวงตาสีทรายที่กรีดด้วยอายไลน์เนอร์ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมาจนทำให้ผู้คนแถวนั้นนิ่งงันราวกับถูกสะกด
“ ไม่เอาว่ะ” เขาส่ายหัวปฏิเสธอย่างไม่ยี่หระ
“ เฮ้ย !” เขาส่งแววตาอย่างสงสัย “ ผู้ชายส่วนใหญ่เขาก็มาดูแบบนี้กันทั้งนั้นหรือว่า” ศอกหนากระทุ้งเข้าที่ท้องของชายหนุ่มอย่างจัง
“ ไม่ใช่อย่างที่แกคิดเว้ย” เขาอธิบายก่อนที่เพื่อนสนิทจะเข้าใจผิด “ ฉันแค่คิดว่าผู้หญิงดีๆเขาไม่ควรทำแบบนี้”
“ คิดมากหรือเปล่า” ชายเสื้อแดงย้อนกลับ
“ คนอย่างแกคิดน้อยน่ะสิ ผู้หญิงพวกนั้นก็เหมือนกันที่ทำเป็นดอกไม้ให้ผู้ชายมาดอมดมไม่มีใครเห็นพวกนี้มีค่าเหรอก” เขาเอ่ยพลางมองสิ่งที่พูดถึงอย่างระอา
“ ครับพ่อพระ” เขายกมือไหว้ “ ผมว่าไม่ต้องเป็นแล้วนักโบราณคดีไปบวชเถอะ จะได้เป็นหลวงพี่มิวส์” เขาแซว
“ เออถ้ารู้อย่างนี้ก็พากลับได้แล้ว ฉันรู้สึกเบื่อจะแย่อยู่แล้วอีกอย่างพรุ่งนี้ต้องเตรียมงานไปเสนอในที่ประชุมอีก” เขาพูด
“ได้ไงวะ มาแล้วอย่าเสียเที่ยวขออยู่จนจบเลยไม่ได้เหรอ” เขาพูดอย่างอ้อนวอน
“ ไม่ ถ้าจะอยู่ก็อยู่คนเดียวฉันกลับล่ะ” สิ้นเสียงชายหนุ่มก็พูดพร่ำทำเพลงที่เร่งฝีเท้าออกไปทันทีใน
วินาทีนั้นเสียงเพลงก็สิ้นสุดลง สาวผมลอนที่เต้นเสร็จลงตากเวทีไป ทีมงานชายที่ถือไมโครโฟนในมือเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเอ่ยทักทายคนในงานอย่างเป็นกันเอง
“ สวัสดีครับ ผมพีรพลหรือเรียกว่าน้องพีทก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” เสียงปรบมือดังสนั่น “ ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายคนนั้นที่กำลังก้าวออกไปจะรีบไปไหนครับ งานเพิ่งเริ่มเอง”เขาแซวหนุ่มชุดดำที่มุ่งจะออกไปที่ประตูทั้งๆที่มีแต่คนสวนเข้ามา “ กลับเข้ามาก่อนเถอะนะครับเรากำลังจะเริ่มประมูลแล้ว”
คนโดนทักถึงกับผงะเพราะคนที่เดินออกจากงานเพียงคนเดียวในเวลานี้คือเขากับชายเสื้อแดงที่กำลังก้าวตามไปเอ่ยขึ้นทันที
“เขาหมายถึงแกไม่คิดจะอยู่ต่อเหรอวะ ตอนนี้คนในงานจ้องมาที่แกคนเดียวเลยนะ” เขาขยับหลบสายตาเพื่อแสดงให้คนตรงหน้ามองและเชื่อในสิ่งที่เขาพูด “ เอาไง”
“ เอออยู่ก็อยู่” ใบหน้านิ่งตอบอย่างขอไปที
“ เอาล่ะครับ ในที่สุดคุณคนนั้นก็เปลี่ยนใจแล้ว เราจะมาเริ่มประมูลกันเลยดีกว่า” น้ำเสียงบวกกับแววตาที่จดจ้องของพีททำให้คนที่เขาส่งสายตาไปให้นิ่งไปทันที ในใจเขาคิดแค่เพียงว่าขอให้ได้ราคาเริ่มที่สูงๆเพราะหากเป็นเช่นนั้นเปอร์เซ็นต์ค่าตัวของเขาก็จะเพิ่มตามมาด้วยเขาเบนสายตามาที่ชายหัวโล้นด้านหน้า ‘ขอเริ่มสิบล้านนะครับคุณลุง’
“ สิบล้าน” ชายตรงหน้าพูดขึ้นตามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พีทที่ยืนอยู่บนเวทียิ้มร่ากับผลงานตัวเองแต่คนที่พูดมีสีหน้าที่ไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
“ มีใครให้มากกว่านี้ไหมครับ” เขาย้ำพลางส่งสายตาไปยังชายตัวโตที่ยืนอยู่ข้างผมชายหนุ่มใบหน้าขาวเด่นที่ยืนส่งยิ้มมาให้ ‘ผมขอซักสิบห้าล้านได้ไหมครับ’ เขานิ่งอยู่นานแต่กลับไม่มีการตอบรับจากชายผู้นั้นเลย เสียงค้อนตอกเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาประมูลทำให้เขาหลุดจากภวังค์ทันที ‘ทำไมไม่ได้ผลวะ’ เธอคิดในใจก่อนจะตัดบทเพราะเสียงระฆังตีให้สัญญาณแล้วว่าจบลงที่สิบล้าน “ ครับ รายการที่กำลังจ่อคิวอยู่ด้านล่างนั้นเป็นการโชว์ของบริษัทต่อไป สำหรับวันนี้ พีทขอขอบพระคุณทุกคนมากเลยนะครับ”เขาโบกมือก่อนจะหันหลังหายไปพร้อมกับเสียงเพลงและความแปลกใจเพราะเขาหันกลับไปมองชายคนที่เพิ่งส่งสายตาให้ตอนนี้มีเพียงความว่างเปล่า
“ จะกลับได้ยังวะ” มิวส์หันกลับมาถามอีกครั้ง “ ซื้อก็ไม่ได้ซื้อ ประมูลก็ไม่ได้ประมูล แล้วคุณเจมส์จะอยู่ทำซากอะไรครับ”
“ ก็เตี่ยฉันสั่งให้มาจองคิวทีมคุณพีทไปเป็นพิธีกรเปิดตัวสินค้าใหม่ของที่บ้านฉัน” เจมส์พูด
“ แล้วทำไมต้องเป็นทีมนี้ด้วยวะ” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ คนอย่างแกจะไปรู้อะไร แกรู้ไหมว่าถ้าน้องพีทได้ไปโปรโมทสินค้าตัวไหนหรือไปเป็นพิธีกรอะไรสินค้าทุกตัว จะเป็นที่รู้จักมาก” เขาอธิบายอย่างภูมิใจ “ เร็วรีบไปดักก่อนเดี๋ยวจะไม่ทันน้องเขากันพอดี”
ชายหนุ่มที่อยู่นุดลำลองพร้อมกลับบ้านกำลังยืนนับเงินในซองที่เพิ่งได้รับมาอย่างมีความสุขก่อนจะชะงักกับสีเสื้ออันร้อนแรงของชายตรงหน้า
“ ขอโทษนะครับ พี่ชื่อเจมส์ส่วนข้างๆนี่ชื่อมิวส์ครับ” เขาแนะนำตัวขึ้นอย่างลอยๆ
“ ขอโทษนะครับมีอะไรหรือเปล่าครับ แต่หากไม่ใช่เรื่องงานก็ต้องขอตัวนะครับ อ่อขอโทษที่แซวพี่บนเวทีด้วยนะครับ” เขายิ้มห้ก่อนจะหยิบแว่นตาสีชาขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออก
“ เวลาคุยกับลูกค้าพูดดีๆก็ได้มั้งคุณหรือจะโก่งค่าตัว” มิวส์พูดโดยไม่มองหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว
“ ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยโก่งค่าตัวเพราะเวลาทำงานผมจริงจัง แล้วอีกอย่างจู่ๆคุณก็พรวดพราดเข้ามา จะให้ผมยืนคุยโดยที่ไม่รู้จุดประสงค์ของพวกคุณจะรู้เหรอว่าต้องการอะไร” เขาให้เหตุผล “ หากเป็นเรื่องงานผมยินดีคุยครับ”
“ เหรอครับ ดีจังเลยเราจะไปคุยที่ไหนดีครับ” เจมส์แสดงท่าทางดีใจจนแทบตัวลอย
“ ตรงนี้แหละครับ ที่อื่นคงไม่สะดวก ทีมของผมมีแต่ผู้หญิง”
“ โชว์ถึงขนาดนี้ไม่ต้องอายต้องกลัวอะไรแล้วล่ะมั้ง” มิวส์กล่าวขึ้นมาลอยๆก่อนจะตามด้วยฝ่าเท้าของเพื่อนเขาเองขยี้ลงไปที่ปลายเท้าของเขา
“ ไม่ทราบว่าคุณมีปัญหาอะไรกับดิฉันหรือเปล่าเห็นพูดจาไม่เข้าหูมาหลายครั้งแล้วนะ” คนที่ยืนด้านหลังพีทจ้องไปยังคนตรงหน้า
“ไม่เป็นไร” พีทหันไปบอกเพื่อน “ ผมหมดความอดทนแล้ว บอกเลยว่าพวกผมไม่รับงานนี้ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” สิ้นคำเขาก็กระแทกเท้าจากไปทันทีทิ้งไว้เพียงชายหน้าตี๋ที่แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ เป็นอะไรของแกวะ” เขาถามอย่างไม่สบอารมณ์
“ อะไร ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่” มิวส์ตอบอย่างมั่นใจ
“ เหรอฉันว่าแกควรไปผ่าเอาสัตว์เลี้ยงออกจากปากได้แล้ว” สิ้นคำเขาก็กระแทกเท้าจากไปอีกคนทิ้งไว้เพียงนักโบราณคดีที่ยืนอึ้งอยู่
หลังจากแยกตัวจากกลุ่มเพื่อนพีทก็เดินออกไปยังประตูเพื่อไปยังที่จอดรถพร้อมกับบ่นไปตลอดทาง“ อะไรกันวะ! วันนี้มีแต่เรื่องซวยๆ” แต่ฝีเท้าต้องหยุดชะงักลงเพราะสัญชาตญาณของชายหนุ่มได้บอกว่ามีคนกำลังจ้องมองเธออยู่ ขาเรียวยาวสาวไปข้าวหน้าโดยไม่เหลียวไปมองอย่างรวดเร็ว แต่อยู่จากโรงจอดรถธรรมดากลับแปรเปลี่ยนไปเป็นป่าดงดิบที่มีแต่ต้นไม้ปกคลุมหนาเต็มไปหมด“ อะไรกันวะเนี่ย!” เขาอุทานเบาๆก่อนจะค่อยๆหยุดเดินลง
“ สวัสดี” ผู้ชายคนที่ส่งยิ้มให้เขาในงานเอ่ยทักขึ้น
“ นายเป็นใครแล้วต้องการอะไร”เขาถามกลับพร้อมกับถอยหลังกรูดแต่ก็ต้องถึงทางตันเพราะโทรตยืนดักไว้อยู่
“ เราเป็นตัวแทนจากองค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์” ไซต์ที่อยู่ในเสื้อโทรตกล่าวพร้อมกับอธิบายรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน “ นายคือบุตรแห่งเมดูซ่า”
“ เป็นไปไม่ได้จะมาบอกว่าผมเป็นลูกของเมดูซ่าอย่างนั้นเหรอ นี่หลุดมาจากโรงพยาบาลบ้าเหรอถามจริง” เขาส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจกับคนตรงหน้าเท่าไหร่นัก ‘คนบ้าอะไร เมดูซ่าเหรอ เพ้อเจ้อหรือเปล่า’
“ แล้วนายจะอธิบายหลักพวกนี้ยังไง เรื่องที่นายสามารถสั่งใครก็ได้ให้ทำตามหรือสะกดให้หยุดนิ่งได้” โทรตพูดแทรก
“ มันก็แค่เป็นหลักนิเทศศาสตร์ที่ผมเรียนมาเรื่องการใช้สายตาอายคอนแทคกับการพูดหว่านล้อมน่ะเข้าใจไหม หลบ” เขาพยายามอธิบายพร้อมกับเดินหนี
“ เหรอแล้วทำไมกันนะคนพวกนั้นมักจะพูดตามที่ใจนายคิดเสมอเลย แล้วทำไมกันนะคนพวกนั้นกลับแสดงสีหน้าเหมือนโดนสะกดเวลาพูด แล้วทำไมกันนะพวกเขาแทบจะจำเรื่องที่พูดไม่ได้เลย” ไซต์เสริม
“ ยอมรับความจริงเถอะนะว่าเราแตกต่างจากคนอื่น มาอยู่กับเรามาช่วยเพื่อนมนุษย์ที่เราอยากใช้ชีวิตอยู่บนโลกของพวกเขากันเถอะ” เกรทเอาน้ำเย็นลูบ
“ แต่ตอนนี้มก็ยังใช้ชีวิตปกติได้อยู่เลยไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนแล้วก็ไม่เคยได้รับความเดือดร้อนจากปีศาจอะไรนั่นเลย” เขาพยายามบ่ายเบี่ยง
“ ตอนนี้ยังเหรอกเพราะนายยังไม่แสดงตัวตนมากหากถึงวันนั้นมันจะน่ากลัวมากเลยรู้ไหมเพราะฉันเคยผ่านจุดๆนั้นมาแล้ว” เกรทเอ่ย
“ คิดดูดีๆนะหากนายมาอยู่กับเราอย่างน้อยคนรอบข้างนายจะปลอดภัยเพราะหากคนอื่นรู้ว่านายเป็นใครพวกมันไม่เก็บไว้แน่” โทรตกำชับ
แววตาสีทรายเต็มไปด้วยความสับสน แต่ภายในใจก็มีความคิดที่ขัดแย้งกันเพราะหากตัวเขาไปอยู่กับองค์กร คนรอบตัวก็จะปลอดภัยแต่อีกใจคือเขาก็ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ทั่วไปได้อยู่
“ นายอาจได้พบแม่ของนายด้วยนะ” เสียงของไซต์ทำให้เขาหลุดจากภวังค์เพราะคำสั้นๆที่ถวิลหามานานนี่เอง
“ แม่เหรอ” เขาถามกลับพร้อมกับแววตาที่มีความหวัง “ ตกลง แต่ผมต้องส่งเงินไปให้โบสถ์ด้วยแล้วมจะหาเงินจากไหนล่ะ”
“ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น องค์กรเราทำงานให้รัฐบาลมีเงินเพียงพอแน่นอน” โทรตพูด
“ ตกลงแล้วจะเริ่มงานวันไหน” เขาถามกลับ
“ พรุ่งนี้” ไซต์พูด “ มีอะไรต้องสะสางไหม”
“ ไม่มี” เขาตอบแม้จะต้องโทรไปไล่ขอแคนเซิลงานก็ตาม
“ หวังว่าฮันเตอร์จะหาเพิ่มได้อีกนะ” โทรตพูดก่อนที่สัญญาจากโทรศัพท์จะดังขึ้น
ทุกอย่างรอบตัวของพีทกลับมาสู่สาวะปกติ ที่จอดรถกลับคืนสู่สภาพเดิม กลุ่มคนเมื่อครู่หายไปจะบอกวั่นกลางวันก็ไม่ใช่เพราะนามบัตรสีเงินในมือเป็นเครื่องยืนยันว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือความจริง และมันจะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล
มาค่ะ มาเริ่มต้นปฐมบทแห่งการต่อสู้ ความรัก และมิตรภาพกันกับวันดีๆ ในวันวาเลนไทน์นี้ เป็นกำลังใจให้กับหนุ่มพีทและมิวส์ของเราด้วยนะคะ
#THP