18th Lies : แค่มีพี่ปราณก็พอ
คามินไปถึงโรงเรียนอนุบาลในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา เขาวิ่งกระหืดหระหอบไปยังห้องพักครูอย่างร้อนใจ และเมื่อไปถึงก็ได้เห็นปุณณกันต์และปัณณธรนั่งอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่ง ส่วนที่โต๊ะครูประจำชั้น มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่กับผู้ปกครองที่น่าจะเป็นแม่ ซึ่งกำลังนั่งโวยวายใส่ครูประจำชั้นไม่หยุด
“คุณครูครับ เกิดอะไรขึ้นครับ?” ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียดขึ้นมาทันตา เมื่อเหลือบเห็นว่าที่หัวเข่าของปัณณธรมีผ้าพันแผลปิดอยู่ บนใบหน้าจิ้มลิ้มของเจ้าแฝดคนเล็กเต็มไปด้วยคราบน้ำตา โดยมีปุณณกันต์นั่งจับมือน้องชายไว้ไม่ห่าง แต่ต่างกันที่ตรงเจ้าแฝดคนพี่มองตรงไปที่โต๊ะครูประจำชั้นด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว ไม่มีความหวาดกลัวอยู่ในแววตากลมนั้นเลย
“คุณคามิน” ครูประจำชั้นหันมาทางคามินอย่างโล่งใจ โดยมีสายตาของผู้ปกครองของเด็กอีกคนมองตามมาอย่างไม่พอใจ
“ฮึก.. พี่คราม” คามินหันไปทางเสียงสั่นเครือเล็กๆ ที่ร้องเรียกเขา เลยทันเห็นว่าปัณณธรพยายามจะลงจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาตน คามินเห็นแบบนั้นเลยถลาเข้าไปหาเด็กทั้งสองก่อนจะอุ้มปัณณธรขึ้นมากอดปลอบไว้ในอ้อมแขน
“ฮืออ พี่คราม ปัณณ์เจ็บ.. ฮึก” ดูเหมือนว่าพอเห็นคามินปัณณธรก็เริ่มร้องไห้งอแงอีกครั้ง คามินเลยต้องกอดไปปลอบไปให้เจ้าหนูหยุดร้องไห้ ยอมรับตามตรงว่าเขารู้สึกไม่พอใจเลยที่เห็นปัณณธรเป็นแบบนี้ และร้องไห้หนักขนาดนี้ และยิ่งคามินไม่รู้เรื่องทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นเขายิ่งร้อนใจ
คามินหันไปข้างตัวก็เห็นปุณณกันต์ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ข้างๆ เขาจึงตัดสินใจจะเอ่ยถาม แต่เสียงของผู้ปกครองของเด็กอีกคนดังแหวกอากาศขึ้นมาก่อน
“นี่คุณ!” เสียงแหลมๆ ของคนแม่ดังขึ้น “คุณเป็นพี่ชายของไอ้เด็กเกเรนี่ใช่ไหม” ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองชี้ไปที่ปุณณกันต์อย่างเอาเรื่อง “มันผลักลูกชายฉัน คุณต้องรับผิดชอบ!”
คามินที่พอได้ยินแบบนั้นก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นกับคุณครูที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ “ผมอยากทราบเรื่องทั้งหมด” ก่อนจะหันไปย้ำเสียงแข็ง เสียงที่แม้แต่เมธัสได้ยินก็ยังต้องเกรงใจใส่ผู้หญิงคนนั้น “และคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาเรียกน้องชายของผมว่า ‘
ไอ้’ ด้วย ผมไม่ชอบ”
ผู้หญิงคนนั้นนิ่งไปเมื่อได้ยินคามินพูดจบ และค่อยๆ ถอยหลังมานั่งที้เก้าอี้ตามเดิมอย่างเกรงๆ
“เอ่อ.. เชิญนั่งก่อนนะคะคุณคามิน” ครูประจำชั้นเชื้อเชิญ ก่อนที่คามินจะอุ้มปัณณธรและจูงปุณณกันต์เดินไปที่โต๊ะ และนั่งลงข้างผู้ปกครองอีกคน
“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นครับ” คามินถามขึ้นอย่างสงบ ถามด้วยท่าทีนักธุรกิจที่ติดตัวเขามาตั้งแต่จำความได้
“คืออย่างนี้ค่ะ ปัณณธรเล่นอยู่กับธีภพอยู่ที่สนาม แล้วยังไงกันก็ไม่ทราบ มีเด็กวิ่งมาหาครูบอกว่าปุณณกันต์ผลักธีภพ พอครูไปถึงก็เห็นธีภพนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนปุณณกันต์ก็นั่งกอดปัณณธรอยู่อีกทาง แล้วก็เอ่อ.. ที่หัวเข่าปัณณธรมีเลือดออก ครูเลยพาไปทำแผล แกร้องไห้งอแงถามอะไรไม่รู้เรื่องเลย แล้วพอครูมาถามปุณณกันต์แกก็เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดจนถึงตอนนี้นี่แหละค่ะ ครูเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้นเหมือนกัน”
คามินหันไปมองปุณณกันต์ที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ข้างเขา คามินมั่นใจมากว่าเด็กที่ชื่อธีภพต้องแกล้งอะไรปัณณธรแน่ๆ ไม่งั้นปุณณกันต์คงไม่ลุกขึ้นมาผลักเด็กนั่นแบบนี้หรอก
“ปุณณ์ครับ บอกพี่ครามได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูถึงไปผลักเพื่อนแบบนั้นครับ” คามินถามอ่อนโยน ปุณณกันต์เหลือบมองหน้าคามิน ก่อนที่คามินจะมองเลยไปที่ปัณณธรที่ตอนนี้กำลังสะอื้นเบาๆ เพราะเพิ่งหยุดร้องไห้
“ธี...” ปุณณกันต์พูดขึ้นในที่สุด “เขาผลักปัณณ์ก่อน ปุณณ์เห็นปัณณ์จะเดินหนีธี เพราะธีพูดจาไม่ดี ปัณณ์เลยไม่อยากเล่นด้วย แต่ธีไม่ยอมให้ปัณณ์ไป เลยแกล้งผลักปัณณ์ล้ม” ปุณณกันต์เล่านิ่งๆ
“ปุณณ์เห็นปัณณ์ล้มเลยวิ่งไปหา แล้วปุณณ์ก็เห็นปัณณ์หัวเข่าเลือดออก เลยบอกให้ธีขอโทษปัณณ์ เพราะธีทำปัณณ์เป็นแผล แต่ธีไม่ยอมขอโทษแล้วธียังเรียกเราสองคนว่า...”
ปุณณกันต์เงียบไป ก่อนที่คามินจะสังเกตเห็นว่าในดวงตากลมโตของเจ้าแฝดคนพี่ มีน้ำตาคลออยู่
“ธีเรียกพวกหนูสองคนว่าอะไรครับ”
“ธีเรียกว่า ไอ้เด็กกำพร้า ไอ้เด็กไม่มีพ่อมีแม่ครับ ธีบอกว่าไม่ขอโทษเด็กกำพร้าหรอก ปุณณ์ไม่ชอบที่ธีพูด ไม่ชอบที่ธีรังแกปัณณ์ ปุณณ์เลยผลักธีคืนบ้าง ให้รู้ว่าเวลาผลักคนอื่นล้มมันเจ็บยังไง”
น้ำใสเม็ดเล็กๆ ไหลออกมาจากดวงตากลมโตของปุณณกันต์เงียบๆ เจ้าหนูไม่ได้สะอึกสะอื้น เพียงแต่น้ำตาไหลออกมาเฉยๆ แล้วพอปัณณธรเห็นปุณณกันต์ร้องไห้ เจ้าแฝดคนน้องก็ร้องไห้ตามอีก
ตอนนี้คามินโกรธมาก เขาหันไปมองเด็กที่ชื่อธีภพกับแม่ของเด็กด้วยสายตาแข็งกร้าว
“นี่ใช่เรื่องจริงรึป่าวครับ ลูกชายของคุณเรียกน้องชายผมแบบนั้นจริงๆ รึป่าว?” เสียงทุ้มถามอย่างไม่พอใจ
“มะ.. ไม่จริงหรอก ลูกฉันไม่ใช่เด็กเกเร น้องคุณน่ะโกหก”
แม่ของธีภพยังคงเข้าข้างลูกชายตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้จะมั่นใจเท่าไหร่ ว่าลูกชายเธอไม่ได้แกล้งปัณณธรก่อน
คุณครูประจำชั้นเห็นท่าไม่ดี เลยตัดสินใจถามธีภพขึ้น
“ธีภพครับ ที่ปุณณกันต์พูดจริงหรือเปล่าครับ ถ้าธีภพไม่บอกครู ครูจะไปถามเพื่อนคนอื่นนะ ว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง”
ธีภพก้มหน้ามองพื้นนิ่ง ก่อนจะค่อยพยักหน้ารับช้าๆ แล้วรับสารภาพ
“ธีผลักปัณณ์ แล้วก็เรียกสองคนนั้นว่าเด็กกำพร้าจริงๆ ครับ” แม่ของธีภพหน้าซีดเหลือสองนิ้ว และด้วยความเสียหน้า เธอจึงฟาดมือไปที่แขนของธีภพไม่หยุด ก่อนจะตวาดลูกชายตัวเองอย่างเกรี้ยวกราด
“ใครสอนให้แกเป็นแบบนี้ ห๊ะ? ใครสอนให้แกเรียกคนอื่นแบบนั้น” แม่ของธีภพยังตีลูกตัวเองไม่หยุด
“ก็ม๊านั่นแหละ!” ธีภพตะโกนขึ้น “ม๊าชอบบอกธีว่าพวกเด็กไม่มีพ่อมีแม่คือเด็กกำพร้า ถ้าธีไม่ทำตามที่ม๊าบอก ม๊าจะปล่อยให้ธีเป็นเด็กกำพร้า ฮือออ”
ธีภพโวยวายลั่นทั้งน้ำตา นั่นทำให้แม่ของธีภพหน้าซีดลงกว่าเดิม แต่เธอก็ยังคงวางท่า และไม่ได้มีความสำนึกว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะเธอสอนลูกไม่ดี หนำซ้ำยังพูดในสิ่งที่ไม่สมควรใส่คามินอีก
“คุณจะเรียกค่าเสียหาย ค่าทำแผลเท่าไหร่ก็ว่ามา เดี๋ยวฉันจ่ายให้”
คามินโมโหมาก หลังจากได้ยินคำพูดดูถูกจากปากอีกฝ่าย
“ผมไม่ต้องการเงินของคุณ แต่ที่ผมต้องการคือ คุณต้องให้ลูกชายของคุณขอโทษฝาแฝดของผม ไม่งั้นผมจะเอาเรื่องและไม่หยุดแค่นี้แน่”
คามินขู่เสียงเย็น และผู้หญิงคนนั้นก็รู้ดีว่าคามินพูดจริง เธอจึงกระชากลูกชายขึ้นมายืนข้างหน้าคามินและฝาแฝดอย่างเสียไม่ได้
“ขอโทษเขาซะ จะได้จบๆ ไป”
“ขอโทษครับคุณอา ขอโทษนะปุณณ์ปัณณ์” เจ้าหนูน้อยขอโทษด้วยท่าทีสำนึกผิด ต่างจากคนแม่ลิบลับ
“จบเรื่องแล้วใช่ไหมคะ” แม่ของธีภพลุกขึ้นยืน ก่อนจะกระชากแขนลูกชายตัวเองมายืนข้างๆ “งั้นฉันกลับล่ะค่ะ ขอตัว”
พอพูดจบแม่ของธีภพก็จูงลูกชายแล้วเดินออกไปเลย โดยไม่ได้เหลียวหันมามองแต่น้อย
ครูประจำชั้นเห็นแบบนั้นเลยรีบหันมาขอโทษคามินด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก
“ครูขอโทษแทนธีภพด้วยนะคะคุณคามิน แกยังเด็ก คงไม่ได้ตั้งใจ”
คามินส่ายศรีษะ ก่อนจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม “ไม่เป็นไรเลยครับคุณครู เรื่องเล็กน้อย เด็กๆ ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็คืนดีกัน แต่ยังไงก็ฝากดูปัณณ์หน่อยนะครับ แกคงจะเจ็บน่าดู”
คามินพูดพร้อมกับกระชับอ้อมกอดที่กอดปัณณธรไว้ให้แน่นขึ้น โดยไม่ลืมที่จะยื่นมือไปลูบศรีษะกลมๆ ของปุณณกันต์อย่างปลอบใจ
.
.
.
ตอนนี้คามินนั่งอยู่กับปุณณกันต์และปัณณธรที่สนามเด็กเล่น ปัณณธรน้อยเกาะคามินไม่ยอมห่าง ส่วนปุณณกันต์นั้นแตกต่าง เจ้าหนูคนพี่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคามินด้วยซ้ำ
คามินเองก็สังเกตความผิดปกตินี้อยู่เงียบๆ ก่อนจะเรียกปุณณกันต์มายืนใกล้ๆ
“ปุณณ์ครับ มาหาพี่ครามตรงนี้มา” คามินนั่งลงที่เก้าอี้ม้าหินตัวหนึ่ง โดยมีปัณณธรนั่งอยู่บนตักคามิน ปุณณกันต์จึงค่อยๆ มาหยุดยืนตรงหน้าคามินช้าๆ
“ไม่เป็นไรนะครับคนเก่ง พี่ครามเข้าใจว่าทำไมปุณณ์ทำแบบนั้น” คามินรู้ดีว่าปุณณกันต์กำลังรู้สึกผิด เขาเองก็ไม่อยากจะซ้ำเติมอะไรเด็ก เลยเลือกที่จะปลอบโยนมากกว่าดุด่า
ปุณณกันต์เหลือบมองหน้าคามิน ก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดพี่ครามแน่น ปัณณธรเองก็กอดปุณณกันต์ไว้เช่นกัน ก่อนจะพูดเสียงใสอย่างน่ารักให้พี่ชายฝาแฝดของตัวเอง
“ขอบคุณมากนะพี่ปุณณ์ ขอบคุณที่ดูแลปัณณ์เป็นอย่างดี”
เจ้าหนูทั้งสองยิ้มให้กันอย่างสดใส จนคามินที่เห็นแล้วก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“ไปครับ ฝาแฝดต้องเข้าเรียนแล้ว” คามินอุ้มปัณณธรขึ้น ก่อนจะจูงปุณณกันต์ไว้อีกมือ จากนั้นก็พาเด็กทั้งสองไปส่งที่ห้องเรียน
“ปัณณ์ครับ ถ้าเจ็บแผลต้องบอกคุณครูประจำชั้นนะ” พอถึงห้องเรียน คามินก็บอกลาเด็กทั้งสอง “ส่วนปุณณ์ครับ ดูแลน้องนะ”
“ครับ/ครับ” เด็กสองคนรับปากแข็งขัน คามินจึงเตรียมกลับออกมา
“งั้นพี่ครามไปนะครับ แล้วเย็นนี้พี่ครามจะมารับ” คามินเดินจากออกมาหลังจากมองเด็กทั้งสองเดินเข้าห้องเรียนไปเรียบร้อยแล้ว
.
.
.
“เด็กกำพร้าหรอครับ”
ตอนนี้คามินอยู่บนรถกำลังจะขับกลับออฟฟิศ เขาเลยใช้เวลาช่วงนี้โทรหาปราณันต์เพื่อเล่าเรื่องฝาแฝดให้ฟัง เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยไว้นานแล้วปราณันต์จะยิ่งเป็นห่วง
และหลังจากที่เล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ปุณณกันต์ผลักเพื่อนให้คนปลายสายฟัง ก็ดูเหมือนว่าปราณันต์จะตกใจไม่น้อย
“ใช่ครับ เด็กคนนั้นเรียกฝาแฝดแบบนั้น ผมเลยเข้าใจได้ว่าทำไมปุณณกันต์ถึงโมโห”
คามินได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ มาตามสาย เสียงทุ้มเลยตัดสินใจเอ่ยอยากปลอบโยน
“ผมรู้นะว่าคุณปราณกำลังโทษตัวเอง” คามินพูดดักคอ “ไม่เอาแบบนี้สิครับคนดี เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณปราณสักหน่อย”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะครับ” ปราณันต์เถียง “ผมน่าจะพูดให้น้องเข้าใจมากกว่านี้ พวกแกจะได้ไม่หงุดหงิดเวลาโดนเพื่อนล้อ”
“โถ่ คุณปราณ ฝาแฝดยังเด็กนะครับ ไม่แปลกหรอกที่จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้” คามินปลอบ “อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ”
“ขอบคุณคุณมากนะครับคุณคราม ถ้าวันนี้ไม่ได้คุณ ผมคงแย่” เสียงหวานเลือกที่จะตัดบท และพูดขอบคุณให้เขาอย่างน่ารัก
... อ่า และดูเหมือนว่าเสียงใสๆ นั่นจะกระตุ้นเขาได้ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะตอนนี้ภาพปราณันต์เมื่อคืน กำลังแล่นเข้ามาในจินตนาการของเขาเป็นฉากๆ
“ว่าแต่วันนี้คุณปราณเลิกกี่โมงครับ” คามินรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่สติเขาจะเตลิดไปมากกว่านี้
“เลิกห้าโมงครับ เพราะวันนี้ช่วงบ่ายไม่มีใครอยู่ ผมเลยต้องอยู่คนเดียว ถึงได้ไปโรงเรียนอนุบาลไม่ได้” ปราณันต์อธิบาย
“อ่า... จริงด้วย”
“ช่วงเย็นวันนี้หัวหน้าเลยให้กลับเร็ว” ปราณันต์พูดต่อ ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ “แต่ก็ดีครับ ผมอยากเจอฝาแฝดจะแย่แล้ว”
“โอเคครับ งั้นเย็นนี้ผมไปรับเหมือนเดิมนะ” คามินนัดแนะ
“ครับ เจอกันเย็นนี้นะครับ” ปราณันต์เตรียมจะวางสาย
“ผมคิดถึงคุณปราณนะ” คามินหยอดคำหวาน ก่อนจะได้ยินฝั่งตรงข้ามตอบกลับมาให้ได้ชื่นใจ
“ครับ ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน” เสียงหวานเองก็ตอบกลับมาอายๆ
ปราณันต์วางสายไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคามินจะยังหยุดยิ้มไม่ได้เลย
.
.
.
ตกเย็นหลังจากที่รับฝาแฝดทั้งคู่กลับจากโรงเรียน ทั้งสี่ก็ตรงกลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ ปุณณกันต์กับปัณณธรนั่งเงียบมาตลอดทาง แม้แต่ปราณันต์เองก็ด้วย คามินเองก็เลยพลอยเงียบไปด้วย วันนี้บรรยากาศในรถเลยไม่ครึกครื้นเหมือนที่ผ่านมา
พอมาถึงห้องหลังจากเก็บของเรียบร้อย ปราณันต์ก็ตัดสินใจพูดขึ้น โดยที่มีคามินก็นั่งสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
“ปุณณ์ ปัณณ์ครับ ทำอะไรเรียบร้อยแล้วมาหาพี่ปราณด้วยนะ”
เจ้าหนูทั้งสองเดินคอตกมาหาพี่ชายตัวเองช้าๆ คามินเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ แต่นี่เป็นเรื่องของครอบครัวปราณันต์ เขาไม่ควรเข้าไปยุ่ง ถ้าปราณันต์จะสอนน้อง
“ปุณณ์ครับ วันนี้รู้ใช่ไหมว่าตัวเองทำผิด” ปราณันต์ถามเสียงเครียด ก่อนที่ปุณณกันต์จะพยักหน้ารับช้าๆ
“รู้ครับ ปุณณ์ไม่ควรทำร้ายเพื่อน” ปุณณกันต์ยอมรับผิดโดยไม่โต้แย้งใดๆ นั่นทำให้ปราณันต์พอใจมาก
“พี่ปราณครับ” และก่อนที่ปราณันต์จะได้พูดต่อ ปัณณธรก็พูดขึ้นมาก่อน “ปัณณ์ผิดเองครับ ถ้าปัณณ์ไม่ล้ม พี่ปุณณ์ก็คงไม่โกรธ แล้วก็คงไม่ผลักธีแบบนั้น”
ปราณันต์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ฝาแฝดคู่นี้รักกันมากเหลือเกิน ที่จริงเขาก็ไม่ได้จะทำโทษอะไร เพียงแต่ต้องพูดให้น้องเข้าใจว่าจะทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะความไม่พอใจไม่ได้
“ปุณณกันต์ ปัณณธรครับ ฟังพี่ปราณนะ” ปราณันต์จับมือฝาแฝดทั้งคู่ไว้ ก่อนจะอธิบายช้าๆ
“ก่อนอื่น วันนี้พี่ปราณต้องขอบคุณปุณณ์มาก ที่ดูแลปัณณ์อย่างดี ขอบคุณที่ไม่ปล่อยให้ใครมารังแกน้อง พี่ปราณภูมิใจในตัวปุณณ์เสมอปุณณ์รู้ใช่ไหม”
“ครับ ปุณณ์รู้ครับ” ปุณณกันต์ตอบรับ
“แต่ที่พี่ปราณจะบอกฝาแฝดคือ เราจะทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะเราไม่พอใจเขาไม่ได้ เข้าใจไหมครับ ตอนที่ธีภพผลักปัณณ์ล้ม ปุณณ์ไม่ชอบถูกไหมครับ”
“ถูกครับ ปุณณ์ไม่ชอบให้ปัณณ์เจ็บ ปุณณ์ไม่ชอบคนเกเร” ปุณณกันต์ตอบซื่อๆ ให้พี่ชายฟัง
“เพราะฉะนั้นถ้าปุณณ์ไปผลักธีภพคืน ก็เท่ากับปุณณ์กำลังทำแบบเดียวกับที่ธีภพทำ แล้วแบบนี้ปุณณ์จะต่างจากธีภพยังไงล่ะครับ ถ้าเราไม่ชอบ เราก็ต้องไม่ทำแบบเค้า เราจะได้ไม่เป็นเหมือนเค้า ปุณณ์เข้าใจที่พี่ปราณพูดใช่ไหม”
ปุณณกันต์จ้องหน้าปราณันต์นิ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ ปราณันต์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าน้องชายเข้าใจอะไรไม่ยาก
“แต่ธีภพเรียกเราว่า เด็กกำพร้า เด็กไม่มีพ่อมีแม่” ปัณณธรพูดหงอยๆ ทำเอาหัวใจคนเป็นพี่กระตุกทันทีที่ได้ยิน
“คราวหน้าถ้าธีภพหรือเพื่อนคนอื่นพูดแบบนี้กับฝาแฝดอีก หรือแม้แต่รังแกแกล้งผลักอะไรก็แล้วแต่ ปุณณ์กับปัณณ์ต้องไปบอกคุณครูนะครับ อย่าไปทำร้ายเพื่อนกลับเด็ดขาด อย่างที่พี่ปราณบอก อะไรที่เราไม่ชอบให้คนอื่นทำกับเรา เราก็อย่าไปทำตอบ โอเคไหมครับเด็กๆ”
ปราณันต์สอนอย่างใจเย็น คามินเองพอได้ยินก็อดอมยิ้มไม่ได้ เขายอมรับเลยว่าเรื่องสอนน้องนี่ปราณันต์ทำได้ดีมากจริงๆ ถ้าเป็นเขาเองเขาไม่สนใจหรอก รังแกมาก็ต้องรังแกกลับ จะได้หายกัน แต่ปราณันต์กลับไม่เป็นแบบนั้น คนตัวเล็กนั่นสอนน้องๆ ได้ดีเสมอ
“โอเคครับพี่ปราณ ปุณณ์กับปัณณ์เข้าใจแล้ว” ฝาแฝดคนพี่ตอบรับด้วยความเข้าใจ ส่วนเจ้าแฝดคนน้องเองก็พยักหน้าหงึกหงักเพื่อสนับสนุนคำพูดของแฝดคนพี่เป็นอย่างดี
ปราณันต์ยื่นมือไปลูบศีรษะกลมๆ ของเจ้าหนูทั้งสองอย่างเอ็นดู รอยยิ้มบางๆ ปรากฎอยู่ที่ริมปากอิ่ม
“เก่งมากครับเด็กๆ พี่ปราณภูมิใจในตัวพวกหนูมากเลยนะ” ก่อนที่ปราณันต์จะจับเด็กๆ กลับหลังหัน แล้วไล่ไปเข้าห้องน้ำ “อ่ะ! แต่ตอนนี้ปุณณ์กับปัณณ์ต้องไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวจะได้มาทานข้าวกันเนาะ”
“ครับพี่ปราณ” เจ้าตัวน้อยทั้งสองรับคำ ก่อนจะวิ่งตื๋อเข้าห้องน้ำไป
พอเห็นเด็กทั้งสองวิ่งเข้าห้องน้ำไปเรียบร้อย ปราณันต์ก็เดินเหนื่อยๆ ไปหาคามินที่นั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง
และเมื่อเดินไปถึงตัวคนรัก คนตัวเล็กก็เข้าไปซบที่ไหล่คามินเบาๆ หน้าผากมนถูกวางพักอยู่บนไหล่กว้างอย่างต้องการจะหาที่พึ่ง
คามินอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะวาดมือโอบเอวบางแล้วรั้งเข้ามาหาตัว
“ผมทำถูกแล้วใช่ไหม?” ปราณันต์ถามอย่างสับสน มีความลังเลและวิตกกังวลจนคามินสัมผัสได้
“เก่งมากครับที่รัก คุณปราณทำดีแล้วนะ สอนน้องแบบนั้นน่ะถูกต้องแล้ว ผมภูมิใจในตัวคุณปราณมากเลย”
คามินกระซิบเสียงเบาให้กำลังใจ พลางลูบศีรษะกลมเบาๆ อย่างปลอบโยน
“คืนนี้คุณค้างที่นี่ได้ไหมครับ” ปราณันต์กลั้นใจข่มความอายชวนคามิน แต่คืนนี้เขาอยากมีคนอยู่ด้วยจริงๆ
“ได้สิครับ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปราณเอง” คามินกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เพื่อเป็นการรับปากให้ปราณันต์มั่นใจ
“ขอบคุณคุณมากนะครับ ขอบคุณจริงๆ”
.
.
.
พอถึงเวลาพาเด็กๆ เข้านอน ปราณันต์นอนอ่านนิทานให้ฝาแฝดฟังอยู่บนเตียงเดียวกับเด็กๆ และหลังจากอ่านจบ ปัณณธรที่นอนอยู่ตรงกลางก็ถามขึ้น
“พี่ปราณ คุณพ่อกับคุณแม่ของพวกเราอยู่บนสวรรค์หรอครับ”
ปราณันต์ชะงักมือที่กำลังจะวางหนังสือนิทานไว้บนหัวเตียง เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเจอคำถามนี้จากเด็กๆ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ปุณณกันต์กับปัณณธรไม่เคยถามเรื่องพ่อกับแม่เลย อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนเขาเองก็ไม่ได้มีเวลาให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองมากขนาดนี้ แต่พอมาถึงวันนี้เด็กๆ อาจจะเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว แล้วยิ่งถูกเพื่อนล้อมาแบบนี้ คงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกมา
ปราณันต์สูดลมหายใจเล็กๆ เข้าปอด ก่อนจะตอบคำถามน้องๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ใช่ครับ คุณพ่อกับคุณแม่ของพวกเราไปพักผ่อนอยู่บนสรวรรค์แล้ว” คนตัวเล็กตอบคำถามน้องพลางลูบศีรษะกลมๆ ทั้งสองด้วยความสงสาร
“แล้วทำไมคุณพ่อกับคุณแม่ถึงไม่อยู่กับพวกเราล่ะครับพี่ปราณ ปัณณ์คิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่ ปัณณ์ไม่อยากเป็นเด็กกำพร้า”
ปราณันต์มองน้องทั้งสองที่จ้องมายังตัวเองด้วยดวงตากลมใสไร้เดียงสา ปุณณกันต์และปัณณธรยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าความตายเป็นยังไง เขาเองก็จนใจจะอธิบาย ได้แต่ค่อยๆ พูดเลี่ยงไป
“คุณพ่อกับคุณแม่อยู่กับพวกเราไม่ได้ครับ บนสวรรค์มันไกลมากเลย พอไปแล้วก็กลับมาลำบาก” ปราณันต์ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะพูดต่อ
“คุณพ่อกับคุณแม่ก็เลยสั่งไว้ว่าให้พี่ปราณดูแลกับปุณณ์ปัณณ์ให้ดีๆ ถ้าไม่มีคุณพ่อกับคุณแม่ มีแค่พี่ปราณได้ไหมครับ”
ปุณณกันต์มองหน้าปราณันต์ก่อนที่จะยื่นมือเล็กๆ ไปลูบแก้มคนเป็นพี่เบาๆ
“พี่ปราณเป็นเหมือนคุณพ่อกับคุณแม่ของเราสองคน พี่ปราณดูแลเราสองคนดีมากๆ เลย” ปราณันต์ยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดของน้องชาย
“ใช่ๆ ที่จริงถึงไม่มีคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีพี่ปราณคนเดียวก็พอแล้ว” ปัณณธรพูดก่อนจะยื่นมือไปโอบรอบคอพี่ชายคนโตไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ ก้มซุกไซ้อยู่ที่อกปราณันต์ไม่ห่าง
“ปัณณ์ทนคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่ได้ แต่ปัณณ์ทนคิดถึงพี่ปราณกับพี่ปุณณ์ไม่ได้หรอก”
เจ้าตัวน้อยพูดอ้อนเสียงใส เรียกเอารอยยิ้มเอ็นดูจากปราณันต์ได้ไม่ขาด
“ใช่ๆ เราสามคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไปเลย” ปุณณกันต์พูดสำทับ ก่อนที่เจ้าตัวน้อยทั้งคู่จะหัวเราะคิกคัก แล้วพูดประโยคต่อมา
“มีพี่ครามอีกคนด้วย ว่าแต่พี่ครามอยู่กับพวกเราได้ใช่ไหมครับพี่ปราณ” ปราณันต์หัวเราะทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น
“ปุณณ์กับปัณณ์ชอบพี่ครามมากเลยหรอครับ” พี่ชายคนโตตัดสินใจลองหยั่งเชิงถาม
“ชอบครับ เราสองคนชอบพี่ครามมากเลย พี่ครามใจดี แล้วพี่ครามก็ดูแลพวกเราดีมากๆ ด้วย” ปัณณธรรีบตอบเสียงดัง
“ใช่ครับ ปุณณ์อยากให้พี่ครามอยู่กับพวกเราไปนานๆ เลย” ปุณณกันต์เองก็ด้วยหน้าตาสดชื่นทันทีพอพูดถึงคามิน หลงพี่ครามกันทั้งบ้านรวมถึงตัวปราณันต์ด้วยนั่นแหละ
“งั้นต่อไปนี้เราจะมีกันสี่คนเนาะ เพราะพี่ปราณเองก็ชอบพี่ครามมากเหมือนๆ กัน” ประโยคหลังปราณันต์กระซิบให้น้องๆ ฟัง ก่อนจะกำชับกับเด็กๆ ว่า “แต่เป็นความลับของเราสามคนนะ ห้ามบอกพี่ครามเด็ดขาด”
“คิก คิก คิก” เด็กๆ หัวเราะคิกคัก ก่อนจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ
"โอเคเลยครับพี่ปราณ”
พี่น้องทั้งสามคนหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่ปราณันต์จะนึกขึ้นได้
"โอ๊ะ! ดึกแล้วเด็กๆ นอนได้แล้วครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปโรงเรียนสายนะ”
ปราณันต์จัดการห่มผ้าให้ฝาแฝดให้เรียบร้อย ก่อนที่เด็กๆ จะหลับตาลงเตรียมนอน ปราณันต์ยื่นมือไปลูบหลังเบาๆ ให้เจ้าหนูทั้งสอง จนเวลาผ่านไปไม่นาน ก็ดูเหมือนว่าฝาแฝดจะเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว
ปราณันต์นั่งมองภาพเด็กทั้งสองที่กำลังหลับด้วยสายตาหลากอารมณ์ ทั้งรัก ทั้งเป็นห่วง ทั้งสงสาร พวกแกคงคิดถึงพ่อกับแม่มาก ไม่งั้นคงไม่ถามออกมาแบบนี้ น้องๆ ของเขาช่างโชคร้ายที่พอเกิดมา ก็ได้ใช้เวลาอยู่กับท่านทั้งสองไม่นาน นั่นยิ่งทำให้ปราณันต์สัญญากับตัวเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลฝาแฝดของเขาเป็นอย่างดี จะไม่ให้น้องๆ ของเขาต้องขาดเหลือหรือลำบากอะไรอีกต่อไป
ปราณันต์เอื้อมไปปิดโคมไฟที่หัวเตียงของเด็กๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปช้าๆ เพื่อกลับห้องตัวเอง
.
.
.
(อ่านต่อด้านล่าง)