00.05 am.
ก็แค่นอนกอดก็แค่นอนกอดเหมือนทุกที แต่คราวนี้ผมกลับนอนไม่หลับ ทว่าตัวการกลับหลับปุ๋ย ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดผมไปแล้ว ผมลอบดมกลิ่นกายของคนข้างๆ จ้องมองเพดานมืดสนิท พยายามหาคำตอบให้ตัวเองว่าทำไมถึงยอมให้เขามาอยู่ในสภาพนี้ ทำไมถึงเปิดประตูให้เด็กขี้เมานี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมถึงปฏิเสธลัลไม่เคยได้เลยสักที
เจ้าแมวขี้เมาขยับตัวเล็กน้อย ส่งเสียงครางในลำคอเหมือนแมวบิดขี้เกียจ แต่ก็ไม่ได้ลืมตาตื่น ดูท่าคงหลับลึกน่าดู
ผมลูบเส้นผมสีดำสวยของเขาไปเพลินๆ ตอนนี้เกือบเช้าแล้ว เพราะกว่าผมจะเข้านอนก็ปาไปตีสี่กว่าๆ อันที่จริงมันเป็นเวลาทำงานอยู่ แต่เพราะเด็กขี้เมาเอาแต่เรียกร้องให้ผมไปนอนด้วยอยู่นั่น และนั่นแหละ...ผมปฏิเสธเขาจริงๆ จังๆ ไม่เคยได้เลย
ลัลซุกอยู่ในอ้อมกอดผม หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ลมหายใจอุ่นๆ รดต้นคอผมอย่างน่าจั๊กจี้ และในที่สุด ผมก็ผล็อยหลับไป
เที่ยงวันเป็นเวลาตื่นของผม แสงอาทิตย์ร้อนแทรกตัวเข้ามาในห้อง แม้ว่าผมจะเปิดเครื่องปรับอากาศอยู่ก็ตาม แต่ก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากข้างนอก
ลัลยังคงนอนหลับสนิท
ส่วนผมก็ค่อยๆ แกะมือเขาออกจากแขน ก่อนพยายามลุกออกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เพราะกลัวรบกวนแมวหลับ
ครั้นจะออกไปซื้อข้าวกินก็กลัวแมวหนีกลับไปอีก... ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงกลัวว่าลัลจะหายไป หรือไม่ก็เข้าใจแล้วนั่นแหละ...แค่ไม่อยากจะยอมรับ
ผมตัดสินใจเดินไปห้องสตูดิโอหรือห้องทำงาน นั่งจ้องเฟรมผ้าใบขนาดกลางที่มีสีฟ้าแต้มอยู่ ตั้งแต่คราวนั้นที่ผมพยายามกักเก็บดวงตาของเขาไว้ในรูปภาพ แต่มันก็ไม่สำเร็จ ผมก็ไม่ได้ไปแตะต้องมันอีก จนคราวนี้เกิดนึกครึ้มในใจ หยิบเฟรมอันนั้นมาตั้งบนขาตั้งกระดานอีกรอบ พยายามจรดพู่กันที่แต้มสีฟ้าลงไปใหม่อีกครั้ง ค่อยๆ ปาด เกลี่ย ตวัดพู่กันไปเรื่อยๆ
ไม่ได้วาดตามหลักการ แต่วาดตามความรู้สึก
คราวนี้สีฟ้าที่ปรากฏในภาพไม่ใช่ทั้งท้องฟ้าและน้ำทะเล มันกลายเป็นสีฟ้าขุ่นมัวรูปอะไรก็ไม่รู้จนผมอยากขว้างมันทิ้งอย่างไม่พอใจในผลงานชิ้นเลว
“ให้ผมช่วยอะไรมั้ย”
ผมสะดุ้งกับต้นเสียง เมื่อหันไปก็พบว่าแมวเซาตื่นแล้ว ลัลสวมเสื้อตัวหลวมโคร่งเหมือนเมื่อคืน พร้อมกับกางเกงบ็อกเซอร์ เขาถอดกางเกงยีนส์รัดรูปไว้ก่อนเข้านอน แม้จะเห็นสภาพของเขาก่อนเข้านอนแล้วก็ตาม แต่เรียวขาเปลือยเปล่าของเขาก็ทำให้ผมอดจ้องมันอีกครั้งไม่ได้
ก็แค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมผมรู้สึกว่าเขาผิดแปลกจากทุกคน
“ตื่นแล้วหรือ”
“อืม คุณทำอะไร?”
“เปล่าหรอก” ผมว่า ถอนหายใจ หยิบเฟรมภาพที่ไม่ได้เรื่องนี่ไปตั้งพิงผนังห้องแทน
“งานเหรอ ผมช่วยได้นะ”
“ช่วยอะไร อยากล้างพู่กันหรือไง”
เขามุ่ยหน้า มองเหมือนว่าผมกำลังดูถูกเขาอยู่ “ผมเห็นคุณมีภาพสีน้ำอยู่บนโต๊ะ...ผมลงสีน้ำเป็นนะ”
“งั้นหรือ” ผมไม่คิดว่าเขาจะทำงานศิลปะเป็น จึงค่อนข้างตกใจในคำตอบของเจ้าตัวสักหน่อย งานสีน้ำนั่นผมทำตอนกลางวัน เป็นอีกงานที่ช่วยเพิ่มรายได้ ผมรับวาดรูปประกอบตามนิตยสาร หรือตามเว็ปไซต์ เพียงแต่ผมมันหัวโบราณ มีความคิดที่ว่างานศิลปะของผมจะทำลงบนกระดาษเท่านั้น ไม่ใช้คอมฯหรืออุปกรณ์ดิจิตอลอะไร
อันที่จริงมันก็แคข้ออ้างเท่านั้น ผมใช้อุปกรณ์สมัยนี้ไม่เป็น เมาส์ปากกา โปรแกรมวาดภาพในปัจจุบันคงสะดวกแก่การวาดมากกว่าการวาดมือ แต่ผมไม่ถนัด ครั้นจะพยายามฝึกก็คิดว่าตัวเองก็มีความสามารถในการวาดด้วยมืออยู่แล้ว เลยไม่ได้สนใจ ลูกค้าที่ติดต่อมาก็เป็นคนที่ต้องการงานฝีมือมากกว่างานดิจิตอลด้วย ผมเลยไม่ได้ลำบากมากมาย
“หรือจะให้ผมเป็นแบบ”
“หือ”
ในระหว่างที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง ลัลก็พูดออกมาทำลายความคิด จนผมต้องนึกย้อนถึงบทสนทนาของเราเมื่อครู่ แต่ดูท่าจะไม่ทันใจเด็กวัยรุ่น
“ก็คุณเคยขอให้ผมเป็นแบบวาดรูปไม่ใช่หรือไง”
“อ่า...” นึกออกแล้ว “นั่นมัน...” ไม่ต้องหรอก
แต่ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยปฏิเสธเขาไป อะไรบางอย่างภายในใจมันกลับพลุ่งพล่าน เรียกร้องให้ผมทำตามคำบอกของคนตรงหน้า ผมจ้องและจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา จนสุดท้ายก็รีบลุกขึ้นยืน เดินไปเก็บของที่วางเกะกะอยู่บนโซฟาไม้ พลันเปิดตู้เก็บของ หยิบเอาผ้าคลุมโต๊ะผืนใหญ่สีขาวออกมาปูโซฟาไม้ที่เริ่มมีฝุ่นเกาะ มุมตรงนี้อยู่ใกล้หน้าต่างพอดีทำให้มีแสงพาดผ่าน แม้ว่าแสงแดดในตอนนี้ออกจะจ้าไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย
ผมเพยิดหน้าให้เขาไปนั่งตรงที่ผมจัดเตรียม และเขาก็ยอมทำตามแต่โดยดี
“ต้องทำยังไงบ้าง”
“นั่งเฉยๆ ไม่ต้องเกร็ง”
ผมบอกเขาพลางหยิบสมุดสเก็ตช์อันใหญ่ขึ้นมาแทนเฟรมวาดภาพ เมื่อมองไปยังหุ่นต้นแบบ ผมเห็นเขาออกอาการเกร็งอย่างชัดเจน
“ไม่ต้องเกร็ง”
“ก็ผมไม่เคยเป็นแบบให้ใครวาดนี่”
“นั่งเฉยๆ เหมือนคุยกันทั่วไปนั่นแหละ”
“คุณก็ชวนคุยสิ”
ผมยอมแพ้ให้กับการต่อล้อต่อเถียงผู้ใหญ่ของไอ้เด็กนี่ ถอนหายใจ เริ่มลงมือร่างเส้นดินสอคร่าวๆ
“นายจบจากไหนมา” ผมจำอายุเขาได้ และคาดคะเนว่าจากอายุเท่านี้เขาน่าจะเรียนจบแล้ว
เขาตอบ พูดชื่อมหาลัยชื่อดังประจำจังหวัด
“คณะอะไรน่ะ”
เขายักไหล่ พูดชื่อคณะที่ว่าด้วยการออกแบบบ้าน มิน่าล่ะ เจ้าตัวถึงบอกว่าลงสีน้ำได้ แต่นั่นงานผม ให้ใครยุ่งไม่ได้หรอก
“แล้วทำงานที่ไหน”
คำตอบของเขาคือชื่อร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ผมขมวดคิ้วสงสัย ตวัดดินสอจนจบเส้น ถึงได้เอ่ยถามเขาต่อ
“ทำไมไม่ทำงานให้ตรงสายล่ะ”
เขาบอกว่าไม่ชอบ ผมยักไหล่ตอบ ผมก็มีเพื่อนๆ ที่จบคณะเดียวกันแต่ไปทำอย่างอื่นก็มาก รูปสเก็ตช์แรกใกล้เสร็จแล้ว ผมตวัดขีดดินสอเป็นเส้นเงาคร่าวๆ ก่อนเปิดกระดาษไปหน้าถัดไป เขาเริ่มผ่อนคลายลงมากแล้ว
“ทำอะไรที่ร้านเหล้า เด็กเสิร์ฟเหรอ”
“เปล่า อันนั้นงานรอง”
“แล้วงานหลักคือ?”
“...เป็นมาสคอต”
คำตอบของเขาทำให้ผมหยุดตวัดดินสอในมือ เงยหน้าขึ้นมามองเขาใหม่ ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังถูกไหม
“อะไรนะ”
“เป็นมาสคอต”
“ห้ะ มันคืออะไร”
“มาสคอตไง ไม่รู้จักหรือ”
“หมายถึงนายไปใส่ชุดตัวอะไรสักอย่าง นั่งอยู่ร้านเหล้าคอยเรียกแขกน่ะนะ?”
เขายักไหล่ “เกือบถูก ติดแค่ผมไม่ต้องใส่ชุดตัวอะไร แค่ไปนั่งอยู่ร้านเหล้าเฉยๆ”
“มีงานแบบนี้ด้วย?”
“จริงๆ ก็ไม่ แต่ร้านนี้เป็นของเพื่อนผม เขาให้ผมไปนั่งเรียกแขก แต่ถ้าวันไหนคนเยอะผมก็จะไปช่วยเขาเสิร์ฟ”
“เรียกแขก อย่างนายน่ะหรือ?”
ผมถามอีกครั้ง ไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะมีปฏิสัมพันธ์ให้ใครต่อใคร คนอย่างเขาดูไม่ใช่คนพูดเก่ง หรือพูดจาหว่านล้อมให้ใครต่อใครคล้อยตามได้...
รึเปล่านะ
จบความคิดตัวเอง ผมหันไปสบตากับดวงตาสีฟ้าที่สะท้อนแสงอาทิตย์ ดูสวยงามไม่แพ้ยามต้องแสงจันทร์
“ผมแค่ไปนั่งเฉยๆ คนก็เข้าร้านแล้ว...คุณเชื่อไหมล่ะ”
อา ผมเชื่อ
ถ้าผมเป็นหนึ่งในลูกค้าที่ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ผมคงต้องมนต์สะกดของเขาเหมือนคนอื่นๆ ว่ารุปร่างหน้าตาทั่วไปของเขาน่าดึงดูดแล้ว ยิ่งสีของดวงตาที่ไม่เหมือนคนทั่วไปทำให้เขายิ่งน่าสนใจ น่าค้นหามากกว่าขึ้นไปอีก และคงไม่แปลกถ้าใครต่อใครต้องการจะมาที่ร้านเพื่อพบเจอเขาแม้เพียงครู่เดียวก็ตาม
ไม่ต่างจากดอกไม้สวยกับแมลง
ผมยังไม่ตอบอะไรกลับ ลงมือสเก็ตช์รูปเขาอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนพลิกไปหน้าถัดไป
“แสดงว่าที่เมากลับบ้านทุกวันนี่ก็เพราะที่ทำงาน?”
“อืม...เพื่อนผมให้กินเหล้าเบียร์ฟรี”
“แทนค่าจ้าง?”
“เปล่า ได้ค่าจ้างแยก”
“ไม่ขาดทุนแย่หรือนั่น” จ้างให้เขามานั่งกินเบียร์ฟรีๆ ในร้านเหล้า และดูท่าน่าจะเป็นปริมาณเยอะพอควร เพราะเขาเมากลับบ้านแทบทุกครั้ง
“ผมเข้าร้านเพื่อนผมทีลูกค้าก็ตามมาเต็ม” เขายกยิ้มหวาน “ฮ็อตไหมล่ะ”
จบประโยคชื่นชมตัวเองของเขาทำเอาผมหัวเราะในลำคอ ไม่รู้จะว่ายังไงกับหมอนี่ดี มันก็ถูกที่เขาดูดีมีเสน่ห์ แต่มันใช่เรื่องที่จะต้องชมตัวเองหรือไง
“ไม่เชื่อคุณก็ลองไปดู ไม่ไกลหรอก”
“ฉันไม่มีรถ”
“ไว้ไปพร้อมผมก็ได้”
ผมเห็นรถมินิคูเปอร์จอดอยู่ในโรงรถบ้านเขา แต่ไม่เคยเห็นเขาเอามันออกไปใช้ เอาเถอะ ผมจะเก็บคำเชิญของเขาไว้ก่อนแล้วกัน
พลิกหน้ากระดาษ ผมเสก็ตช์รูปเขาคร่าวๆ ได้สามสี่รูปแล้ว ก่อนจะเริ่มวาดรูปถัดไป ผมเปิดกระดาษย้อนกลับมาดูผลงานเพื่อพบว่ารูปสเก็ตช์ของผมไม่มีใบหน้าเขาด้วยซ้ำ หรือถ้ามีก็จงใจละส่วนดวงตา... ผมรู้ตัวว่าตั้งใจ แต่ถึงยังก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ที่ทุกรูปมันเป็นเช่นนี้...
“วาดเสร็จแล้วเหรอ ผมดูได้มั้ย”
“เปล่า ยัง”
ผมบอกเขาก่อนที่เจ้าตัวจะลุกมาหา ใจจริงอยากจะตั้งใจวาดรูปเขามากกว่านี้ แต่ผมรู้ว่าผมในตอนนี้วาดเขาให้สมบูรณ์แบบไม่ได้ จึงทำใจปิดสมุดเสก็ตช์ลง
“ช่างเถอะ หิวหรือยัง ไปหาข้าวกันกิน”
ตัดบท เก็บของ ไม่ให้เขามาเห็นรูปที่เว้าแหว่งของตัวเอง
วันนี้เขาอยู่ที่บ้านผมทั้งวัน ทำตัวเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของผมได้อย่างแนบเนียน ลัลออกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านเขาตอนที่ผมออกไปซื้อข้าว และหลังจากนั้นเขาก็วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมอย่างนี้
ลัลไม่ติดมือถือเหมือนวัยรุ่นทั่วไปหรือคนสมัยนี้ ผมแทบไม่เห็นเขาจับโทรศัพท์มือถือของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ขนาดที่ผมว่าตัวเองไม่ติดโซเชี่ยลแล้ว แต่เขายิ่งกว่าผมอีก ใช้ชีวิตยังกับคนรุ่นก่อน ลัลเดินหาหนังสือในบ้านของผมเพื่อขอยืมไปอ่านแทนการฆ่าเวลา ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือเท่าไหร่ ที่มีก็มีแต่หนังสือรวมภาพวาด อาร์ตบุ๊คของศิลปินที่ชอบ แต่ก็ยังดีที่พอมีนวนิยายติดมาอยู่สามสี่เล่ม พอให้เขายืมไปอ่านได้ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ในห้อง
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่กล้าไล่เขากลับบ้าน
อย่างไรเสีย เขาก็ไม่ได้ทำตัววุ่นวายด้วย ผมถึงได้ปล่อยให้เขาวนเวียนอยู่ในบ้านเช่นนี้
จวบจนเวลาใกล้เย็น ผมเบื่องานแล้วจึงออกมาจากห้องสตูดิโอ เห็นเขานอนยาวอยู่บนโซฟารับแขก และยังคงอ่านหนังสือที่ผมให้ยืมไปอย่างใจจดใจจ่อ
“จะเย็นแล้ว กินไร”
ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบและดึงให้เขาหลุดออกมาจากโลกของการอ่าน ลัลหันมาที่ผม แต่ไม่มีคำตอบใดออกจากปากเด็กหนุ่ม
ผมเดินไปหาเขา และเจ้าแมวหง่าวก็ชันตัวลุกให้มีพื้นที่ให้ผมนั่งลงข้างๆ
“กินอะไรก็ได้ แล้วแต่คุณ”
“มาม่าได้มั้ย ขี้เกียจออก” ผมตอบตามความต้องการของตัวเอง อดีตซินเดอเรลล่าที่ตอนนี้แปลงร่างเป็นแมวขี้เกียจพยักหน้ารับ ดูไม่มีปัญหากับการกินใดๆ
เดี๋ยวสักห้าหกโมงค่อยลุกไปต้มมาม่าแล้วกัน
ผมคิดในใจ พลางหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กรับแขกมาดู ก่อนเปิดอ่าน เป็นหนังสือที่ผมเอาให้เขายืมนั่นแหละ เพียงแต่ตัวเองก็เริ่มจำเนื้อหาในนั้นไม่ได้แล้วถึงได้หยิบมันมาปัดฝุ่นความทรงจำ
ทันทีที่ผมเปิดหนังสืออ่าน เจ้าแมวข้างๆ ก็เอนตัวมาพิงผม
“นั่งให้มันดีๆ”
“คุณอ่อยผมอ่ะ”
“ฉันไปทำอย่างนั้นตอนไหน”
“ก็เนี่ย มานั่งเบียดผม”
ไม่ว่าเปล่า เขาพลิกตัวใหม่อีกรอบ จัดท่าให้ตัวเองนอนนาบกับตัวผม สองแขนเรียวเกาะเอวผมแน่น ช้อนดวงตาอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาขึ้นมาราวออดอ้อน
“ก็บ้าแล้ว โซฟามันมีอยู่ตัวเดียวเนี่ยไม่เห็นหรือไง”
ถึงจะเรียกว่าเป็นโซฟารับแขกในห้องรับแขก แต่เพราะผมไม่มีแขกที่ไหนมาเยี่ยม ถึงได้ปล่อยให้ห้องนี้มีเพียงโซฟายาวตัวเดียวตั้งอยู่กับโต๊ะวางของเล็กๆ ไว้สำหรับนั่งพักผ่อนดูทีวีคนเดียว การที่ผมมานั่งข้างๆ เขาก็ไม่ได้แปลว่าอ่อยไอ้เด็กนี่ มันไม่มีที่นั่งอื่นและผมแค่ทำตามความคุ้นชินของตัวเอง
แต่ลัลเหมือนจะไม่สนใจคำพูดผม เมื่อเขายังคงนอนแนบตัวผม ช้อนตามองอยู่เช่นเคย
“ขยับออกไปเลย”
เด็กเวรส่ายหน้า พร้อมกับเลิกแข่งจ้องตากับผม เขาซุกหน้าลงที่หน้าอกผม จนผมต้องเป็นฝ่ายยอม ขยับตัวหันไปทางเขา ปล่อยให้เด็กขี้เมาที่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป็นขี้เซานอนซบดีๆ กลายเป็นว่าเราเบียดตัวนอนกันอยู่ในโซฟาแคบๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงทำตัวอย่างนี้ หาคำตอบให้ไม่ได้พอๆ กับการที่ยอมเปิดประตูบ้านให้เขา
พอลัลเห็นว่าผมให้ความร่วมมือ เจ้าตัวก็คลายกล้ามเนื้อ ทิ้งน้ำหนักตัวมาที่ผมเต็มๆ สองแขนยังคงเกาะเอวผมไว้กันตก ทว่าลมหายใจเขาเริ่มสม่ำเสมอ คล้ายกับจะหลีกโลกแห่งความจริง พาตัวเองเข้าไปในห้วงของนิทรา
ผมลูบเส้นผมสีดำนุ่มมือไปพลางๆ
หลับสักตื่นก่อนค่อยต้มมาม่าก็คงไม่สาย
❍
พี่เริ่มตกหลุมแมว
ไม่รู้ว่าเรื่งเอื่อยไปมั้ย จะเบื่อกันรึเปล่า
ยังไงติชมได้นะคะ ;-;
#ณพระจันทร์