ตอนที่ 23.5
ความในใจ (Part เนล)
(1/4)
(ขอย้อนเหตุการณ์)
[Nel Talk]
หลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมเดินออกมา ในสภาพเปลือยท่อนบน มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่ปกปิดส่วนล่างเอาไว้ เดินไปใส่เสื้อผ้าเสร็จสรรพก็หยิบกระเป๋าสตางค์เอาเงินออกมานับ รวม 18 ใบ ผมมองเงินในมือที่ไอ้ภีมของเบิกล่วงหน้า ก็หวนคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นขึ้นมา
.
.
“เห้ยๆ ไอ้เนล” ไอ้แจ็คเอานิ้วสกิดผมที่กำลังเปิดน้ำกินยิกๆ
“อะไรของมึง”
“นั่นใช่คนที่ขายบ้านให้มึงปะ ที่ไอ้ฟงบอกว่าติดพนันหนัก จนต้องขายบ้านตัวเองทิ้ง” ผมมองตามนิ้วที่ไอ้แจ็คชี้ไป เห็นคุณภัคพล ยืนคุยอยู่ไอ้ลูกหมาท่าทางเคร่งเครียด
“มาทำอะไรวะ…” ผมพึมพำ สองขารีบก้าวเข้าไปใกล้ๆ
“นั่นดิ อ่าวเห้ย ไอ้เนล มึงจะไปไหน” ไอ้แจ็คถาม ก่อนสาวเท้าตามมาติดๆ ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างต้นไม้ไม่ไกลจากสองคนนั้นมาก แต่ก็เป็นจุดอับสายตาพอสมควร
“พ่อขอโทษนะภีม”
“....”
“แต่พ่อขอร้องล่ะ ช่วยพ่อหน่อยนะ”
“....”
“พ่อขอร้องล่ะภีม พ่อขอร้อง” คุณภัคพลเข้าไปเขย่าแขนไอ้ภีมเบาๆ เมื่อเห็นมันยืนเงียบอยู่นาน “ถ้าพ่อหาไปคืนเขาไม่ได้ก่อนสิ้นเดือนหน้า พวกนั้นต้องส่งคนมาฆ่าพ่อแน่ๆ”
“สิ้นเดือนหน้า! เงินตั้ง 1แสน ลำพังผมคนเดียวคงหาไม่ไหวหรอกนะครับ” ไอ้ภีมเริ่มหน้าซีด เมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ออกจากปากคุณภัคพล
เงินตั้ง…1 แสน ยังไงไอ้ลูกหมามันก็หาไม่ทันอยู่แล้ว ลำพังเงินเดือนของพี่อ้อยมันก็ไม่ได้เยอะ ขนาดที่จะจ่ายหนี้ให้พ่อมันไหวหรอก ดูจากงาน Part Time เข้า 5 โมง ออก 2 ทุ่ม เงินต่อเดือนไม่ถึง 6,000 ด้วยซ้ำ
“พ่อขอผ่อนจ่าย 1 หมื่นก่อน แต่ต้องเอาไปจ่ายก่อนอาทิตย์หน้า ภีมพอไหวไหมลูก”
“…” ไอ้ภีมยืนเงียบ ท่าทางลำบากใจ 1 หมื่น ก่อนอาทิตย์หน้า ต้องเบิกเงินล่วงหน้า 2 เดือนติดเลยนะนั่น จะไหวเหรอวะ
“พ่อขอร้องล่ะ ช่วยพ่อหน่อย”คุณภัคพลเมื่อเห็นลูกชายยืนเงียบอยู่นาน ก็รีบเข้าไปจับแขนไว้ ปากก็พูดขอร้องเสียงสั่น
ไอ้ภีมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนกลั้นใจพูดออกไป “ครับ ผมจะพยายามหาเงินมาให้ทัน”
ไม่ทันหรอกมึง 1 หมื่น ภายในอาทิตย์เดียว ยกเว้นหางานทำเพิ่ม หามรุ่งหามค่ำ ชนิดที่ไม่ได้หลับได้นอน หรือไม่ก็ไปขายตัวอ่ะ ซึ่งอย่างหลังถ้ามึงเลือกทำกูจะโกรธมึงมาก
“ขอบคุณลูกมากนะ ขอบคุณจริงๆ”
“แต่พ่อสัญญากับผมได้ไหม ว่าจะไม่กลับไปเล่นการพนันอีก ส่วนเรื่องบ้านปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
“โอเคพ่อสัญญา”
ไอ้ภีมเดินแยกกับพ่อ ไปหาซานที่ยืนรออยู่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไหร่ เมื่อได้โอกาสผมก็รีบออกไปคว้าแขนพ่อไอ้ภีมที่กำลังจะเดินออกไปไว้ ท่านหันมามองผม ทำหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนส่งยิ้มมาให้ ผมจึงยกมือไหว้ตามมารยาท
“คุณศิรากรมีอะไรหรือเปล่าครับ?…” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักทาย ด้วยท่าทางสบายๆ
“เอ่อ…ครับ ผมจะถามว่าคุณติดหนี้อยู่เท่าไหร่” ผมถามออกไปตรงๆ จะได้ไม่เสียเวลา
เรื่องนี้เสี่ยงพอสมควร การที่คนๆหนึ่งต้องการใช้เงินจำนวนมากในเวลาที่จำกัด มีโอกาสสูงที่มันจะขายตัว เพื่อแลกกับเงิน ยิ่งหน้าตาแบบมัน เจอคนเปย์หนัก นอนด้วยคืนเดียว ก็ได้มากกว่าเงินเดือนที่มันต้องทำทั้งเดือนแล้ว งานสบายได้เงินมาง่ายๆ แบบนี้มีเหรอที่จะไม่ติดใจ
ถ้าเป็นอย่างนั้นชีวิตผมคงยุ่งยากแน่ๆ เพราะมันดันเป็นกุญแจสำคัญของผมด้วย เรื่องที่ปั้นแต่งกับแม่มาจะมาเสียเพราะมันไม่ได้ ฉะนั้นผมควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลม จะได้ไม่มีปัญหากันทีหลัง
“เอ่อ…” ท่านทำหน้าอึ้ง ผมจึงถามย้ำออกไปอีก
“ว่าไงครับ? ผมถามว่าติดหนี้อยู่เท่าไหร่”
“เอ่อ…มันก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ฮ่าๆ ลูกผมมันรับปากไว้แล้วว่าจะหาคืนให้ ลูกคนนี้มันเป็นเด็กกตัญญูครับ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทนเห็นพ่อลำบากไม่ได้ วันไหนที่ผมขัดสนเรื่องเงิน ภีมก็จะเป็นคนหาเงินมาช่วยผมเสมอ ล่าสุดผมก็เพิ่งเอารถกับโน๊ตบุ้กลูกชายไปขาย ภีมก็ไม่ได้โกรธอะไร พูดนิดพูดหน่อยก็เข้าใจแล้ว เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย คุณคงรู้จักลูกผมสินะ เห็นภีมบอกว่าจะพยายามหาทางเอาบ้านคืนจากคุณอยู่ ยังไงก็ช่วยเอ็นดูมันหน่อยนะ” ท่านพูดติดหัวเราะ เอามือมาตบไหล่ผมเบาๆ
“ครับ” ผมกัดฟันแน่น ฟังแล้วรู้สึกโมโหยังไงก็ไม่รู้ ทำไมถึงพูดเรื่องที่ทำให้ลูกตัวเองลำบากได้อย่างหน้าชื่นตาบานแบบนั้น มิน่าล่ะ ทำไมมันถึงไม่มีรถขับจนต้องอาศัยไอ้ซานตลอด เพราะรถตัวเองโดนคนเป็นพ่อเอาไปขายทิ้งนี่เอง
“เอ่อ ขอโทษนะครับ อย่าว่าผมยุ่งเรื่องของคุณเลย คุณพ่อไปทำอะไรหนี้ถึงติดตัวมากมายขนาดนั้นครับ พอดีผมบังเอิญได้ยินพอดี ไอ้ภีมก็เป็นเพื่อนผมคนหนึ่ง ไม่อยากเห็นมันฝืนตัวเองจนเกินไป เพราะปัญหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อน่ะครับ” ผมส่งยิ้มไปให้ท่าน
“อ๋อ ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ หนี้ทั่วไป” ท่านบอกปัด “งั้นผมไปก่อนนะครับ มีธุระต้องไปทำต่อ” พูดจบท่านก็รีบสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ผมจึงรีบตะโกนออกไป
“เดี๋ยวผมจ่ายคืนให้ทั้งหมดทบต้นทบดอก”
“อะไรนะครับ” ท่านหันกลับมา ทำหน้างง ผมจึงพูดย้ำไปอีกรอบ เพื่อตอกย้ำว่าที่ท่านได้ยินนั้นไม่ได้หูฝาด คุณภัคพลยกยิ้มอย่างดีใจ ก่อนเดินเข้ามาหาผม “จริงเหรอครับ”
“ครับ แต่ผมมีข้อแม้อย่างหนึ่ง คืออย่ามาขอเงินไอ้ภีมมันอีก ทำได้ไหมครับ” ให้มันหาเพื่อตัวเองบ้างเถอะ
“ครับ ทำได้ครับ” ท่านรีบผงกหัว
“ดีครับ หลังเลิกเรียนมาหาผมอีกที แล้วพาผมไปจ่ายหนี้ที่คุณภัคพลติดด้วย ผมจะไม่จ่ายเงินสดให้คุณแต่จะชำระผ่านเจ้าหนี้คุณโดยตรงเลย” ผมไม่เสี่ยงให้เงินสดไปหรอก ถ้าเอาไปจ่ายด้วยตัวเอง อย่างน้อยๆก็มั่นใจว่าเงินของผมชำระหนี้ให้ท่านแล้ว และมีใบเสร็จยืนยันด้วย
“เอ่อ..ได้ครับ”
“อย่าลืมไปบอกลูกคุณด้วยนะครับ ว่าไม่ต้องหาเงินมาคืนแล้ว ......อ้อ! แล้วอย่าบอกมันนะว่าเป็นเงินผม ผมไม่อยากให้มันมองว่าผมไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมันโดยไม่จำเป็น”
“ครับ ผมจะรีบไปบอกลูกภีมทันทีเลย ว่าหนี้ของพ่อมีคนใจดีจ่ายให้หมดแล้ว”
“ครับ อย่าให้ผมเห็นว่าคุณมาขูดรีดเงินจากลูกตัวเองอีก ถ้าคุณภัคพลต้องการเงิน ให้มาติดต่อที่ผมโดยตรง แล้วผมจะพิจารณาอีกทีว่าสมควรให้เงินคุณหรือไม่”
“ครับ”
.
.
ผมยืนมองไอ้ภีมนอนหลับปุ๋ย ไม่รู้เรื่องรู้ราวบนเตียง เอามือเกลี่ยเส้นผมที่ตกปรกหน้ามันออก ก่อนไล่ลงมาที่แก้มเนียน น่าแปลกทั้งๆที่เป็นผู้ชายแท้ๆ แก้มกลับนุ่มนิ่มน่าฟัด ออกแรงบีบเล่นจนเจ้าตัวขมวดคิ้ว มันครางในลำคออย่างรำคาญ มือก็พยายามปัดป่ายออก
ผมได้แต่ยืนขำกับท่าทางของมัน ก่อนเดินไปหยิบถุงเสื้อผ้าที่ตั้งใจเลือกให้ วางไว้ข้างๆตัว กับเงินสด หมื่นแปด วันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจคุณภัคพลหรอกนะ แต่ผมแค่แปลกใจว่าทำไมหลังจากที่จ่ายหนี้ไปแล้ว ไอ้ภีมถึงยังไปทำงานที่ Sun Pub แถมขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าอีก ถ้าคิดอย่างแย่ที่สุด คือ พ่อมันยังไม่ได้บอก เรื่องที่ผมจ่ายหนี้ให้แล้ว อยากถามเรื่องนี้กับมัน แต่เลือกเก็บไว้เงียบๆดีกว่า
ผมให้มันหมื่นแปด 1หมื่นเป็นค่าที่มันขอเบิก ส่วนอีก 8 พันเป็นค่ากิน ดูแล้วเงินหมื่นได้หมดไปโดยที่เจ้าตัวไม่มีเงินเก็บแน่ๆถ้าหากว่าเรื่องที่ผมคาดการณ์ไว้มันเป็นความจริง
ผมออกมาเก็บกวาดเศษกระจกที่ตัวเองเป็นคนทำแตก ที่ห้องของไอ้ภีมก่อน ตอนเย็นๆค่อยเรียกช่างมาเปลี่ยนกระจกให้ใหม่
ได้ยินเสียงกดกริ่งจึงเดินออกไปดู เป็นป้าร้านซักรีดที่เอาเสื้อที่ส่งซักเมื่อวานมาส่ง ผมรับแล้วจ่ายเงินให้ป้าแกไป เอามายัดใส่ตู้ของตัวเอง ส่วนของไอ้ลูกหมาก็เอาไปแขวนที่ราวตากผ้าห้องมัน บางทีผมก็คิดนะ ว่าผมจ้างมันมาทำอะไร ให้ดูแลแทบทุกเรื่องเลย
เดินลงมาเปิดตู้เย็นหาอะไรกิน หยิบแอปเปิ้ลออกมาสองลูก จัดการกินเพิ่มพลังงานหลังจากนั่งจัดผ้าให้ใครบางคนจนเหนื่อย ยกนาฬิกาขึ้นมาดู อีกครึ่งชั่วโมงเรียนคาบแรก ผมจึงทำตัวชิวได้ หยิบขวดน้ำออกมา เทน้ำใส่แก้ว แล้วยกขึ้นดื่ม
เหล่ตามองคนตัวเล็กที่เพิ่งลงบันไดมา มันใส่เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสามส่วน ยืนมองผมตาแป๋วอยู่ข้างตู้เย็น
บอกตรงๆ เรื่องที่มันพูดเมื่อวานทำให้ผมฉุกคิดได้ ว่าผมกำลังยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมันมากเกินไปจริงๆ ไอ้ข้อตกลงที่ผมสร้างขึ้นมา กลับทำมันไม่ได้สักข้อ มันพูดถูกทุกอย่าง ผมไม่ควรยุ่งกับชีวิตมันไปมากกว่านี้
นอกจากจะทำให้มันรําคาญแล้ว ช่วงนี้ผมยังรู้สึกว่ามันน่ารักขึ้น จนหวั่นไหวแปลกๆ ไอ้ภีมทำให้ตารางชีวิตผมรวนไปหมด จากที่เคยนัดผู้หญิงไปกินข้าว ดูหนังฟังเพลง และจบด้วยเรื่องอย่างว่า ผมต้องสละเวลาทั้งหมดมาดูแลคนอย่างมัน บางครั้งการกระทำเรียบๆ ของมันก็ทำให้ผมยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ยอมรับตรงๆ ว่าผมกลัว…
กลัวว่าความรู้สึกผมจะถลำลึกเกินไป จนสุดท้ายแล้ว ผมจะใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีมันไม่ได้
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ แย่แน่ๆ ต้องรีบพาตัวเองไปใช้ชีวิตแบบเดิมให้ได้
“เอ่อ..เสื้อผ้าในห้องผม พี่เป็นคนเอาไปซักเหรอครับ” มันถามออกมา หลังจากที่ยืนเงียบอยู่นาน ผมทำเป็นไม่สนใจมัน ดื่มน้ำต่อ
"เสื้อผ้าผม..."
คลื่น คลื่น
ผมวางแก้วลง มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมากดรับ
[ฮัลโหล ไอ้เนลรถกูแม่งเสียว่ะ ออกจากบ้านยัง มารับกูที่คอนโดหน่อยยยย ฮื้อออ อย่าเพิ่งจากพ่อไปนะลูกเอ้ยย] เสียงของไอ้แจ็คที่โอดครวญออกมา ได้ยินเสียงสตาร์ทรถติดๆดับๆ หลุดออกจากปลายสาย เอ่อ…รถอีแก่ใกล้ตายของมึงกำลังจะไปดีแล้วสินะ
“ครับน้องเนย พี่กำลังออกไป” ผมกลั้นใจพูด
[น้องเนยเหี้ยไร กูชื่อแจ็ค! รีบๆมารับกูล่ะ]
“ครับ รอพี่แปปหนึ่งนะ”
[สัด พูดไรของมึง สยองว่ะ! แต่รีบๆมารับกูนะโว้ย เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน]
“ครับผม”
[อี๋! มีครับพงครับผม ขนลุกครับ]
ผมยกยิ้ม กดวางสายไอ้เชี่ยแจ็คไป สองขารีบก้าวออกมา โดยพยายามไม่สนใจลูกหมาที่ทำหน้าเจื่อนอยู่ข้างตู้เย็น
ไอ้เนล ท่องไว้อย่าไปสนใจมัน
แบบนี้แหละมึงทำถูกแล้ว
.
.
.
ตอนเที่ยง ผมพาน้องโมวิทยาออกมากินข้าวข้างนอก เสียเวลาขับรถวนตั้งนาน กว่าจะเจอร้านที่ถูกใจ ร้านนี้คนค่อนข้างเยอะ ที่จอดรถเต็ม แถมที่เหลือยังจอดข้างทางยาวเป็นหางว่าว จึงเอาจอดไว้ที่หน้าร้านฟาสต์ฟู้ด ลงทุนเดินเอา
ใช้เวลาไม่นานกินเสร็จก็เดินกลับรถแต่สายตาดันไปเห็นคนตัวเล็กที่นั่งกินข้าวกับไอ้ซานผ่านกระจกใสของร้าน เท้าผมหยุดชะงักยืนมองมันนิ่ง เห็นมันคุยหัวเราะได้ผมก็ควรรู้สึกดีใจ แต่เปล่าเลย ผมกลับรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะคนที่ทำให้มันร่าเริงได้ขนาดนี้กลับไม่ใช่ผม แต่เป็นมัน..
ไอ้ซานเอากระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดปากไอ้ภีมที่กินเลอะเหมือนเด็ก พลางพูดอะไรสักอย่าง ก่อนดีดหน้าผากไอ้ภีม จนเจ้าตัวต้องเอามือมาลูบปอยๆ ไอ้ภีมลุกขึ้นมาดีดไอ้ซานบ้าง ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เห็นแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า แต่ผมทำได้แค่มองเฉยๆเท่านั้น เพราะผมไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวมัน
ไอ้ภีมหันมามองผมผ่านกระจก เราสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ สบตากับมันอยู่อย่างนั้นสักพัก สุดท้ายเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว รีบหลบตา แล้วหันมาสนใจคนข้างๆแทน
เอามือโอบไหล่มนไว้ “รีบกลับกันเถอะ พี่มีเรียนต่อ” ก้มลงไปจูบหน้าผากของเธอ ก่อนจับมือเล็กเดินตรงดิ่งไปที่รถ แล้วขับออกไปทันที
-----------------------------------------
รู้สึกหงุดหงิดทั้งวัน ในหัวมีแต่หน้าของไอ้ภีมจนรู้สึกหลอนไปหมด อยากออกไปตะโกนดังๆว่า เป็นเชี่ยไรของกูเนี่ย ตั้งใจว่าเลิกเรียนเสร็จจะไปแดกเหล้าสักหน่อย แต่ดันโดนไอ้เมฆชวนไปกินข้าวก่อน เลยต้องไปกับมัน ตอนแรกตกลงหาร้านกันอยู่นาน และหวยก็มาออกที่ร้านเจ๊อ้อยเหมือนเดิม ผมพยายามหาข้ออ้าง เพราะไม่อยากไปกินที่นั่น แต่สุดท้ายก็โดนบังคับมานั่งทำหน้าเซ็งอยู่ในร้านจนได้
ผมพยายามไม่สนใจสายตาไอ้ลูกหมาที่มองมา ทำเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ลึกๆผมจะรู้สึกอึดอัดในใจแค่ไหนก็ตาม นั่งกินอยู่สักพัก เจ๊หน้าสวยโต๊ะข้างๆก็เรียกไอ้ภีมไป เดินหน้ารุกจีบมันเต็มที่ ไอ้นี่ก็เหลือเกิน ยืนเอ๋อๆให้เขาแทะโลมเล่น ซึ่งกูที่นั่งฟังอยู่ตรงนี้ เห็นรู้สึกหงุดหงิดกว่าเก่าอีก ผมนั่งอดทนจนกระทั่งมันยื่นโทรศัพท์ให้เจ๊แกแอดไลน์นั่นแหละ ทนไม่ไหวจึงทุบโต๊ะระบายความโมโห ก่อนสาวเท้าเดินออกไปจากร้านฉับๆ โดยไม่สนใจสายตาที่มองมา
“ไอ้เนล เป็นไรวะ” ไอ้แจ็ควิ่งออกมา รั้งแขนผมไว้
“ไม่รู้” ผมพยายามข่มอารมณ์ไว้ ดึงแขนตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แค่หงุดหงิดฉิบหาย
“ทะเลาะกับน้องภีมมาเหรอ” มันถามด้วยใบหน้าจริงจัง สายตาฉายแววเป็นห่วง
“ก็ไม่เชิง”
“งั้นก็เข้าไปเคลียร์กันดีๆ ปัญหาจะได้ไม่คาราคาซัง” ไอ้แจ็คดึงแขนผม พยายามลากเข้าไปในร้าน แต่ผมหยุดเท้าเอาไว้ก่อน มันหันมามองผม คิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจ
“…”
“กูไม่รู้ว่าพวกมึงมีปัญหาอะไรกัน แต่ไปคุยกันดีๆเถอะ” ไอ้ฟงที่วิ่งตามมาติดๆพูดบ้าง “กูไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้”
“มันไม่มีประโยชน์หรอกฟง” จะให้ไปคุยอะไร? มันไม่มีเรื่องที่ต้องคุยด้วยซ้ำ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ไอ้ภีมต้องการ
“รู้ได้ไงว่ามันไม่มีประโยชน์ ทั้งๆที่มึงยังไม่ได้ลงมือทำเนี่ยนะ?”
“…”
“ไม่มีอะไรที่ลงมือทำแล้วมันไร้ประโยชน์หรอก คนที่บอกว่าไร้ประโยชน์คือคนที่ยังไม่ลงมือทำต่างหาก”
“เหมือนจะรู้เรื่อง แต่กูก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี” ไอ้ฟิวพูดออกมาเสียงดัง จนไอ้ฟงหันไป เอาหนังสือปรัชญาเล่มหนาตีหัวมันเบาๆ เจ้าตัวต้องเอามือลูบหัวตัวเองปอยๆ ปากก็ด่าไอ้ฟงไป
“รุงแรงจังวะ ตีกูทำไมเนี่ย!”
“ขัดกู”ไอ้ฟงพูดกับไอ้ฟิว ก่อนหันมาพูดกับผมต่อ “รีบๆไปสะสาง กูเบื่อสีหน้าอมทุกข์ของมึงจะตายห่าอยู่ละ”
“ใครหน้าอมทุกข์ กูออกจะสดใส” พูดพร้อมฝืนยิ้มยิงฟัน
“โอ้โห…ดูฝืนสัดๆ” ไอ้ฟิวบ่นออกมาเบาๆ แต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี
“…..” ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรมันไป ได้แต่มองหน้ามันนิ่งๆ
“ทำไมต้องทำหน้าดุด้วย” มันทำหน้าจ๋อย ไปหลบหลังไอ้เมฆ ก่อนค่อยๆโผล่ออกมาแค่เสี้ยวหน้า“แล้วจะเอาไงต่อ”
“ไม่รู้ ยังคิดไม่ออก”
“อืม ยังไงก็อย่าปล่อยทิ้งไว้นานละกัน”
“อืม” ผมตอบรับไอ้ฟิวไปสั้นๆ รู้สึกว่าร่างกายต้องการแอลกอฮอล์เป็นอย่างมาก เลยเอ่ยปากชวนพวกมัน “ไปแดกเหล้ากันเถอะ”
“เลิกเรียนเสร็จ มึงจะแดกเหล้าต่อเลยเหรอไอ้เนล”
“เออ! จะไปไหม กูเลี้ยง”
“ไปอยู่แล้ว ช่วงนี้เหงาปาก พี่ฟิวต้องการเหล้ามากระแทกปากแรงๆ”
-----------------------------------------
พวกเรามากินเหล้าที่ร้านไอ้แจ็ค ในร้านมีแต่กลุ่มพวกผมเท่านั้น เพราะเวลานี้ร้านมันยังไม่เปิด จัดการสั่งเหล้ามาประมาณ 7-8 ขวดได้ ตั้งใจจะกินจนตับแข็งตายไปข้างหนึ่ง ไอ้แจ็คเปิดเพลงคลอเบาๆให้ฟัง ผมก็นั่งฟังเงียบๆไป ส่วนพวกที่เหลือก็ผลัดกันเล่าปัญหาชีวิตของแต่ละคน ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง สายตามองไปที่โต๊ะมุมหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ที่ไอ้ภีมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เข้ามาต่อยผม ในวันที่ผมแย่งแฟนไอ้ทัศ ฉายมาในหัวเป็นฉากๆ
คิดแล้วอดขำไม่ไหว
ตัวก็แค่นั้น อวดเก่งเป็นบ้า ปากก็ร้าย แต่น่ารักฉิบหาย
ผมรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว คิดอะไรของกูวะ? พยายามทำใจให้ว่าง แล้วหันไปจดจ่อกับเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ แต่หน้าของใครบางคนกลับยังวนเวียนอยู่ในหัว จนรู้สึกหงุดหงิดใจไปหมด
ไอ้ภีม…มึงเป็นผีหรือไงวะ
รอไม่นานไอ้แจ็คก็เอาเหล้า และกับแกล้มเล็กๆน้อยๆมาเสิร์ฟ ผมหยิบขวดวอดก้าขึ้นมาจัดการเทใส่แก้ว แล้วกระดก ดื่มเพียวๆทีเดียวหมด ส่วนที่เหลือก็คอยๆริน แล้วเอามาผสมกับโซดาบ้าง โค้กบ้าง แล้วแต่ความชอบ
พวกเรานั่งกินไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาเปิดร้าน คนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น ไอ้ฟิวก็พยายามชวนผมไปหลีหญิง โต๊ะ 10 ที่หุ่นน่าปล้ำมาก อกเป็นอก ก้นเป็นก้น จับทีเดียวเต็มมือ แต่ผมเลือกที่จะปฎิเสธมันไป เพราะไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น ไอ้ฟิวทำหน้างอเดินลากแขนไอ้แจ็คไปแทน ส่วนไอ้ฟงก็นั่งเล่นโทรศัพท์ของมันไป ตอนนี้มีแต่ผมกับไอ้เมฆที่ยังนั่งดื่มอยู่
ขวดที่2 หมดไป ไอ้ฟิวเดินกลับมาพร้อมผู้หญิงหน้าตาสวยคนหนึ่ง ส่วนไอ้แจ็คก็ควงสาวนมโตเท่าลูกแตงโมมานั่งด้วย ตอนนี้ผมเริ่มมึนๆเบลอ แต่ยังสามารถประคองสติของตัวเองได้อยู่
ขวดที่3 ค่อยๆหมดไป สติเริ่มเลือนลาง ไอ้ฟิวตอนนี้ได้นอนหมดสติอยู่บนพื้นแล้ว ส่วนผู้หญิงที่มันพามาเริ่มขยับมานั่งใกล้ๆ มือไม้เริ่มเลื้อยไปตามตัวผมอย่างถือวิสาสะ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ยกแก้วดื่มต่อ
“ชื่อเนลสินะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียยั่วยวน มือค่อยๆไต่มาลูบต้นแขนผมเล่น
“ครับ” ผมตอบไปด้วยสภาพกึ่งหมดสติ
“หล่อจังเลยค่ะ มีแฟนรึยังคะ”
“ครับ”
“แย่จังเลย แต่ไม่เห็นพาแฟนมาด้วย แปลว่าวันนี้เราก็มีสิทธิ์สินะ”
“ครับ”
“งั้นก็พอก่อนเถอะค่ะ” เธอเอื้อมมือไปจับแก้วเหล้าออกจากมือผม มือบางก็ลูบต้นขาผมไปด้วย “อย่าดื่มเยอะ รินเป็นห่วง”
เป็นห่วงเหรอ…
‘ถ้าห่วงก็ช่วยอยู่ห่างๆจะดีต่อผมมาก’
‘ต่อจากนี้ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่อีก ยกเว้นพวกงานต่างๆที่เรามีสัญญาต่อกันเท่านั้น ส่วนพี่ก็เลิกยุ่งกับผมนอกจากเวลางานได้แล้ว’
หึ! การที่มีตัวตนของกูอยู่ในชีวิตมึง มันคงแย่มากสินะ ไอ้ภีม… การที่กูเป็นห่วงมึงเป็นเรื่องผิดมากเหรอ
‘หวังว่าพี่จะเคารพข้อตกลง’
ข้อตกลงบ้าอะไร!
ผมเอื้อมมือไปหยิบขวดที่ 4 ขึ้นมากระดกทั้งขวด เหมือนกับดื่มน้ำเปล่า น้ำสีอำพันไหลลงคอเป็นสาย แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงรสชาติของมันเลย
‘ฝันดีนะครับ เจ้านาย’
“พอไอ้เนล มึงเมาแล้ว” ไอ้ฟงรีบเข้ามาดึงขวดจากมือไป สบัดมือมันออก แล้วไปแย่งคืน ยกดื่มต่อ
‘ทำให้เด็กนั่นหลงรักเนล แล้วทิ้งเพื่อฟ้าหน่อย’
‘ทำเพื่อฟ้า พิสูจน์ให้ฟ้าเห็นว่าเนลรักฟ้าจริงๆ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ มันก็แล้วแต่เนล แต่ถ้าเนลไม่ทำฟ้าก็คงคบกับเนลไม่ได้ เพราะเนลไม่สามารถทำให้ฟ้าเชื่อได้ว่าเนลรักฟ้าจริงๆ’
‘เนลไม่อยากคบกับฟ้าแล้วเหรอ’
‘งั้นก็ทำเพื่อฟ้า’
ปึง!!
ผมกระแทกขวดเหล้าในมือลงกับโต๊ะ เสียงดัง ทำให้คนที่นั่งดื่มอยู่หันมามองกันเป็นแถบๆ
“แฮ่กๆๆ” หอบหายใจถี่รัว รู้สึกลมหายใจติดขัด เหมือนมีอะไรจุกแน่นอยู่ในอก เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึมออกมาตามรูขุมขน
“ไอ้เนล เป็นไรวะ” ไอ้เมฆเข้ามาจับไหล่ผม ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง ผมได้แต่โบกมือให้ เป็นการบอกว่า กูไม่เป็นไร
“กูว่ามันไม่ไหวแล้ว พามันกลับเถอะ” ไอ้แจ็คที่มองอยู่ พูดขึ้นมา
“เดี๋ยวกูพากลับเอง” เป็นไอ้ฟงที่อาสา มันหิ้วปีกผม ลากออกมาขึ้นรถอย่างยากลำบาก จริงๆกูยังไหวนะไอ้ฟง กูยังงงงงหวายยยยย ปล่อยยยยกู อย่าดูถูก คอกูแข็งจะตาย
ไอ้ฟงจับผมยัดเข้าไปในรถเสร็จ มันก็อ้อมไปฝั่งคนขับ และขับรถออกไปทันที ผมก็ได้แต่นั่ง สะลึมสะลือ พยายามประคองสติที่มีน้อยนิดให้ได้มากที่สุด อาจเป็นฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ผมตัดสินใจถามคำถามโง่ๆกับไอ้ฟงไป
“ไอ้ฟง…กู…สับสนว่ะ”
“หือ?”
“กูไม่รู้ว่าระหว่าง ยอมรับความพ่ายแพ้ โดยมีไอ้ภีมยืนรออยู่หลังเส้น กับได้รับชัยชนะโดยที่ต้องเสียมันไป แบบไหนมันดีกว่ากัน”
“อยู่ที่มึงเลือกมากกว่า ว่าระหว่างแพ้ แต่มีน้องมันยืนให้กำลังใจหลังเส้น มีคนอยู่เคียงข้าง คอยจับมือมึงเวลาล้มให้ลุกขึ้นมา กับ หลังเส้นชัยไม่มีใครเลย มีแต่ถ้วยรางวัล ที่ไม่สามารถตีค่าอะไรได้ ในความรู้สึก…”
“….”
“ลองถามใจดู ว่ามึงอยากได้อะไร”
“หึ มึงพูดไม่รู้เรื่อง หรือกูเมาวะ…ไม่เข้าใจว่ะ” ผมเอามือขึ้นมาเกาหัว พลางหัวเราะแห้งๆให้มันไป
“เดี๋ยวสักวันมึงจะเข้าใจเอง”
หลังจากนั้นก็เกิดความเงียบเข้ามาครอบงำ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว ผมก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งได้ยินไอ้ฟงคุยโทรศัพท์กับใครสักคน ก่อนขับมาจอดนิ่งอยู่ร้านอะไรสักอย่าง
“ไอ้เนล มึงรอกูแปปนะ เดี๋ยวไปซื้อข้าวต้มให้น้องอาร์คก่อน”
“อืม” ผมตอบมันส่งๆ สายตาก็พยายามเพ่งชื่อร้านที่อยู่ข้างหน้า ‘ข้าวต้มชงเทพ’
เอ่อ..ไอ้คนที่นั่งตรงนั้นทำไมหน้าคุ้นๆวะ แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จึงใช้สายตาเพ่งเล็งอีกครั้ง คราวนี้ชัดขึ้นมานิดหน่อย แต่ผมก็พอนึกได้แล้วว่าเป็นใคร
ไอ้ภีมนี่หว่า! ข้างๆนั่นก็คุณภัคพลพ่อมันไม่ใช่หรือไง?
คุณภัคพลมาหามันทำไมวะ?!