บ้านดูโทรมกว่าครั้งสุดท้ายที่ผมมา
ก็นะ ครั้งสุดท้ายมันคือหกปีก่อน
เอื้อมมือเตรียมกดกริ่ง ชะงักไปชั่วครู่ยามเห็นรอยจางของรูปวาดกระดิ่งโย้เย้ รูปที่ให้ใครมาทายก็ไม่มีทางเป็นกระดิ่งไปได้
นี่ติ๊งหน่อง พอกดแล้วประตูจะเปิดครืดดด ตอนนั้นยังต้องให้ ‘ผู้ชายสารเลว’ คอยอุ้มไว้เพราะความสูงยังมีเพียงนิดเดียว
สะบัดหัวไล่ภาพวันวานสีขุ่น ผมระบายลมหายใจออกเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง กดกริ่งหน้าประตูเป็นสัญญาณให้เจ้าของบ้านรู้ว่ามีคนมาเยือน
“ค่าาา มาแล้วค...”
เป็นไปตามคาดว่าผู้อาศัยในเวลากลางวันจะต้องเป็นสตรี หล่อนพูดไม่จบประโยคหลังจากที่เห็นว่าผู้มาเยือนคือผม
นอกจากบ้านทรุดแล้วคนก็โทรมไม่ต่างกัน ผู้หญิงตรงหน้าไม่มีเค้าความสวยงามระคนความร้ายกาจหลงเหลืออยู่เลยแม้สักเล็กน้อย ผมเผ้าไร้การดูแลมัดขึ้นไปลวกๆ ไม่มีเครื่องสำอางตกแต่งบนใบหน้า เสื้อผ้าสวมใส่ก็เป็นเพียงเสื้อยืดตัวโคร่งที่แจกตามงานการกุศล พอเห็นอย่างนี้แล้วรู้สึกหัวใจพองโตแปลกๆ
กรรมที่ก่อไว้มันตามคุณทันแล้วนะ
“มาทำไม” ปลายเสียงตวัดขึ้นอย่างไม่พอใจต่างจากการต้อนรับเมื่อกี้ลิบลับ
“เอาของนิดหน่อย เปิดประตูสิ”
“ไม่เปิด”
“อยากได้หมายศาลแบบคราวที่แล้ว?”
ข้อดีของการเป็นคนหน้านิ่งคืออีกฝ่ายไม่มีทางรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ใจจริงผมอยากใช้คำที่แรงกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่กลัวมันจะต่อความยาวไม่จบไม่สิ้น ผมมีนัดกับคิวไปลองกินร้านอาหารเปิดใหม่แถวนี้ต่อ
อีกฟากของรั้วส่งสายตาแววโรจน์มาให้ ผมยืนสบายๆ ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรกับท่าทีของเธอ ในเมื่อตอนนี้ตัวเองไม่ใช่เด็กน้อยแสนอ่อนแออย่างวันนั้นอีกแล้ว วันที่เธอเข้ามาครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรเป็นของผม
“ว่าไง?” มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดเบอร์ที่คุ้นเคย
“อย่านานล่ะ!”
แสยะยิ้มในใจ ผมจงใจใช้สายตาพยักเพยิดไปทางประตูทางเข้าที่อยู่ติดกันเพื่อบอกให้เธอเป็นคนเปิดประตูให้ ยามก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปแล้วร่างกายของผมก็เกิดรู้สึกโหยหายขึ้นมา ที่นี่เคยเป็นโฮมสวีทโฮมของพ่อ สนามหญ้าที่เคยใช้เล่นวิ่งไล่จับกลายเป็นพื้นที่โล่งเตียน อ่างปลาหางนกยูงแห้งคอดไม่มีน้ำหลงเหลืออยู่ สวนดอกไม้ที่แม่เคยชอบถูกแทนที่ด้วยรูปปั้นไร้รสนิยม
รก สกปรก เละเทะ อย่างที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ได้รับการดูแลเลยสักนิด เครื่องเรือนราคาแพงที่ใช้ประดับตกแต่งหายไปหมดสิ้น ผมยกมือขึ้นปิดจมูกยามที่ได้กลิ่นเน่าของขยะลอยโชยมาจากส่วนหลังของบ้าน เขย่งเท้าหลบหลีกของใช้ที่วางกระจัดกระจายอยู่ทุกพื้นที่ โชคดีที่ช่วงหลังผมดูแลร่างกายอย่างดีไม่อย่างนั้นโรคแพ้ฝุ่นคงได้ถามหา
เป้าหมายเดียวที่ผมมาในวันนี้คือห้องทำงานที่อยู่ชั้นสอง ห้องที่โดนปิดตายนับตั้งแต่มีการจดทะเบียนหย่ากับเจ้าหน้าที่อำเภอ และผมเป็นคนเดียวที่มีกุญแจห้องนั้น แม่ประกาศกร้าวไว้ว่าถ้ามีใครยุ่งกับห้องนั้นเมื่อไหร่การอโหสิกรรมทั้งหมดที่มีจะเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
ผมไม่ใส่ใจที่จะจำชื่อผู้หญิงที่อยู่ด้านล่าง ถึงเธอจะเคยได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงของผมก็ตามที่เถอะ พอจะเดาเรื่องออกแล้วใช่ไหม พ่อกับแม่หย่ากันตอนผมเจ็ดขวบ ด้วยเหตุผลแสนคลาสสิคว่าพ่อไปทำเธอท้องหลังจากเมาในงานเลี้ยงปลายปีของบริษัท ส่วนแม่ของผมเป็นผู้จัดการบริษัทใหญ่โต สวย เก่ง เต็มไปด้วยความสามารถ และความสำเร็จทั้งหมดที่เธอได้รับมันต้องแลกมาด้วยความสุขภายในครอบครัว
ตั้งแต่จำความได้ผมไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวกับครอบครัวอย่างที่เพื่อนๆ คนอื่นทำ แม่มีงานยุ่งตลอดเวลาส่วนพ่อก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการวิ่งไล่ตามตำแหน่งของภรรยาให้ทัน ผมเคยเข้าใจว่าบ้านของผมคือโรงเรียนชั้นอนุบาลด้วยนะ เพราะวันธรรมดาผมจะอยู่เป็นคนสุดท้ายเสมอ บางทีเขายังเคยลืมมารับผมด้วยซ้ำไป เสาร์อาทิตย์ก็มาอาศัยบ่อยครั้งตามแต่จำนวนงานในช่วงนั้นของทั้งคู่
ความรักของแม่คืองานและความสำเร็จ
ความรักของพ่อคือศักดิ์ศรี
ผมไม่เคยเห็นแม่อ่อนแอแม้กระทั่งในเวลาที่เธอเดินเข้ามาบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟัง บางคนอาจคิดว่าเด็กเจ็ดขวบไม่ควรที่จะรับรู้โลกด้านมืดของผู้ใหญ่แต่ผมกลับขอบคุณเสมอที่แม่เล่าความจริงให้ฟัง เธอมั่นใจว่าผมจะเข้าใจว่าเพราะอะไรการหย่าถึงต้องเกิดขึ้น
บ้านหลังนี้แม่ยกให้กับพ่อเป็นของรับขวัญให้ ‘ผู้หญิงคนใหม่’ โดยแม่ขอเพียงว่าห้ามมีใครยุ่งกับห้องทำงานของเธอจนกว่าผมจะโตพอที่จะดูแลรักษาทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้ได้ และบ้านนี้จะเป็นของพ่อโดยสมบูรณ์ต่อเมื่อผมประกาศว่าไม่ต้องการห้องนี้อีกต่อไปแล้ว
โยนรูปครอบครัวเปื้อนฝุ่นบนโต๊ะทำงานลงกับถังขยะ มันเป็นอดีตที่ผมลบทิ้งไปแล้ว วันนี้ผมมาเอาเอกสารเกี่ยวกับหุ้นที่แม่เคยซื้อเก็บไว้ตั้งแต่เธอเริ่มต้นทำงาน ผู้หญิงที่คลอดผมออกมาฉลาดพอที่จะโยนฐานะการเลี้ยงดูหลังจบการสมรสให้ฝ่ายชายทั้งหมด ทุกวันนี้ผมเลยยังมีเงินจำนวนหนึ่งโอนเข้าบัญชีอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด ประกอบกับแม่จะย้ายไปทำงานที่สิงคโปร์และคงไม่กลับมาเหยียบประเทศนี้อีกแล้วเธอถึงอยากให้ผมเอาหุ้นพวกนี้ไปขายให้จบเรื่องจบราว
“อยู่ไหนนะ...”
แม่บอกว่าอยู่ในลิ้นชักที่สอง มันมีเอกสารสำคัญหลายอย่างของผมรวมอยู่ด้วยอย่างพวกใบสูติบัตรหรือไม่ก็ใบเปลี่ยนนามสกุล ผมตั้งใจว่าจะตรวจสอบเอกสารทั้งหมดในคราวเดียวให้เสร็จสิ้นไปจะได้ไม่ต้องเฉียดมาใช้อากาศหายใจร่วมกับหล่อนอีก
ห้องอับไม่ต่างจากความรู้สึก ผมวางเอกสารทั้งหมดที่คิดว่าจำเป็นต่อการนำไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงไว้บนโต๊ะแล้วเอนตัวลงบนเก้าอี้หมุนตัวนุ่มที่เคยแอบมาเล่นสมัยยังคึกคะนอง
เขาว่ากันว่าลูกคือโซ่คล้องความรักของพ่อแม่
ทำไมผมถึงไม่รู้สึกว่าตัวเองได้รับความรักอะไรเลยนะ...
ที่ผมไม่ถูกชะตากับแม่เลี้ยงไม่ใช่แค่ว่าเธอเข้ามาแทรกกลางระหว่างครอบครัวของเรา แต่มันเป็นเพราะเธอตีสองหน้าอย่างที่มักจะเกิดขึ้นในนวนิยายรัก บอกพ่ออย่างหนึ่งแต่มากระทำกับผมอีกอย่าง เธอไม่เคยรักพ่อ
สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้รักคือเงินของพ่อ
‘คอยดูเถอะกูจะไม่ให้มึงสักแดง!’ ยังจำประโยคนี้ได้ไม่มีลืม ตอนนั้นผมยังเด็กเกินไปที่จะรู้ว่าพ่อไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวอะไรมากนัก เกือบทั้งหมดเป็นเงินจากฝั่งแม่ที่เป็นตระกูลเก่าแก่ ช่วงแรกที่เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านหลังนี้ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรมากเพราะแม่บอกว่าอย่าไปสนใจ จนช่วงมัธยมต้นที่ผมเริ่มจัดการอะไรทุกอย่างได้ด้วยตนเองแล้วความเน่าเฟะที่อยู่เบื้องหลังความสัมพันธ์ถึงโผล่ขึ้นมา
พ่อบอกว่าจะไม่ส่งลูกคนเล็ก (ผมไม่อยากนับว่ามีน้องน่ะ) เรียนต่อในโรงเรียนอินเตอร์แล้ว เพราะเงินไม่พอหมุน มันก็ควรจะไม่พออยู่หรอกเล่นสปอยตามใจเสียขนาดนั้น เธอเลยเสนอให้แบ่งเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนส่วนของผมไปโปะเข้ากับเงินรวม พอแม่รู้เท่านั้นแหละยกทีมทนายมานั่งอ่านข้อสัญญาที่ทำขึ้นหลังการหย่ามาตอกย้ำว่าไม่มีใครมีสิทธิ์แตะต้องเงินก้อนนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องทั้งหมดเลยล้มเลิกไป
ผมไม่เคยรู้สึกผูกพันอะไรกับบ้านนี้อยู่แล้วไม่ว่าจะก่อนหรือหลังการแต่งงานใหม่ของพ่อ ตอนขึ้นชั้นมอสี่เลยขอย้ายไปอยู่คนเดียวในหอพักแถวโรงเรียนโดยมีแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้ นั่นผมเลยบอกว่าครั้งสุดท้ายที่ผมกลับมาที่นี่มันนานเหลือเกิน
ความสำเร็จ ศักดิ์ศรี เงิน
ความรักนี่แปรเปลี่ยนไปได้กี่รูปแบบกัน
เสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า ผมเปิดโปรแกรมแชตคู่รักอย่างบีทวีน (Between) เพื่ออ่านข้อความที่เพิ่งส่งมา
QP : หิวแล้ว
QP : อีกนานรึเปล่า
ไล่สายตาจนจบตัวอักษรสุดท้ายก็เก็บมันลงกับกระเป๋ากางเกงอย่างเดิม พลิกแผ่นกระดาษทวนอีกสักทีกันข้อผิดพลาด เมื่อมั่นใจว่าได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง จัดการปิดล็อคไว้อย่างเดิม
ถึงไม่มีเอกสารอะไรสำคัญในห้องนี้อีกแล้วแต่ผมก็จะไม่ยอมส่งห้องให้ใครทั้งนั้น ให้เขารู้ว่าความรักที่เขาใช้อ้างกันมันไม่ได้มีแค่ความสวยงามเสมอไป
นี่จะเป็นการมาเยือนครั้งสุดท้าย
แต่มันจะต้องเป็นหนามยอกที่อยู่ในใจของคนสองคนไปจนตาย
‧:❉:‧‧:❉:‧‧:❉:‧‧:❉:‧‧:❉:‧
รถบีเอ็มดับบลิวสีกรมท่าพร้อมป้ายทะเบียนประมูลดับเครื่องลงหลังจากจอดเข้าซองเรียบร้อย ตั้งแต่เขาบอกว่าผมผอมไปมื้อเย็นของเราเลยมาจบที่ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์บ่อยครั้ง คิวบอกชื่อที่ใช้จองให้กับพนักงานหน้าร้าน คราวนี้เป็นร้านปิ้งย่างอาหารทะเลพร้อมชีสไม่อั้นอย่างที่กำลังนิยมกันอยู่
“อยากเล่าไหม?”
แฟนผมเขาอ่านความคิดได้ ขนาดอินทร์ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กบางครั้งถ้าผมจงใจซ่อนความรู้สึกดีๆ แล้วก็ยังไล่ไม่ทัน ต่างจากคิวที่ต่อให้ผมนิ่งเฉยมากเพียงไหนเขาก็รู้อยู่ดีกว่าตอนนี้อารมณ์ของผมไม่ปกติ
“ไม่” ผมไม่ได้ปิดบังเรื่องราวในครอบครัว ถ้าคิวอยากรู้เรื่องไหนผมก็เล่า
มันเลยกล้าพูดไง ...ว่าไม่มีใครรักผมเลย
“เวลามึงโกหกตีนกาจะขึ้น”
“ครีมมึงมันไม่ได้เรื่องมากกว่า”
เขามันผู้ชายรักษาสุขภาพ ดูแลตัวเองเป็นเยี่ยม ผมมีใบขั้นตอนการดูแลหน้าในแต่ละวันติดไว้อยูหน้าโต๊ะกระจกในห้องนอนด้วย ทั้งหมดเสกขึ้นมาโดยเภสัชกรคิว ผมก็ใช้บ้างไม่ใช่บ้างแล้วแต่อารมณ์ จะต้องทำทุกขั้นตอนจริงจังต่อเมื่อเขามายืนคุมเท่านั้นแหละ
“ไซ กูรอฟังอยู่”
“นี่เรามากินข้าวกันไม่ใช่เหรอ”
“เกินเวลาเดี๋ยวกูจ่ายเอง”
“กูไปเอากุ้งนะ”
ตัดบทเสียอย่างนั้น ผมลุกขึ้นไปหยิบกุ้งแม่น้ำขนาดกำลังดีจนเต็มจาน เอ้อระเหยเดินดูของสดอย่างอื่นไปทั่วเพื่อฆ่าเวลา ผมยังไม่มีอารมณ์เล่าเรื่องในตอนนี้ ตอนที่ผมยังคงมีคำถามติดค้างในใจอยู่...
ได้น้ำผลไม้สดกลับมาด้วยอีกแก้ว วางทุกอย่างลงกับโต๊ะในขณะที่ด้านหน้าของอีกฝั่งว่างเปล่าไม่มีแม้แต่ถ้วยน้ำจิ้ม คิวนั่งกอดอกอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน
“ได้กุ้งแล้วก็เล่ามา”
“กลับห้องก่อน”
“ตอนนี้” ข้อเสียที่หนึ่ง ถ้าคิวสั่งต้องทำตาม “ไปคุยอะไรมาบ้าง”
ผมโยนกุ้งลงไปในตะแกรงเหล็ก เขี่ยให้เรียงเป็นระเบียบด้วยเหล็กคีบขนาดใหญ่
“มันจะไม่ให้เข้า เลยเอาทนายมาขู่”
“แค่นั้น?”
“อืม”
“มองหน้ากู ไซ” สายตาจ้องมองสีหม่นของกุ้งค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มน่าทาน “รู้ไม่ใช่เหรอว่าเงียบแล้วจะเจออะไร”
คิวเกลียดเวลาผมเงียบใส่ เกลียดขนาดที่ว่าเคยขว้างโล่ห์ประกาศเกียรติคุณนักกิจกรรมดีเด่นใส่กำแพงเพราะผมไม่ยอมตอบ อย่างที่อินทร์บอก เราชอบทะเลาะกันบ่อยด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเท่าไหร่ กุ้งตรงกลางที่ได้รับไฟแรงสุดเป็นสีส้มเสมอกันทั้งตัวแล้ว ผมคีบมันไว้ในจานของตัวเองสองตัวเตรียมแกะ
ตะเกียบที่ยังไม่ได้แกะเขวี้ยงมาจากฝั่งตรงข้าม ผมชะงักไปเล็กน้อย หยิบมันออกจากจานแล้วส่งคืนไปให้
ลูกชายคนโตของบ้านนี่เอาแต่ใจชะมัด
“อย่ามาทดสอบความอดทนของกู”
“มึงควรจะรอให้เป็นซะบ้าง”
ยื่นกุ้งที่แกะเรียบร้อยแล้วให้ชิดริมฝีปากของอีกฝ่าย ขยับปากแบบไม่มีเสียงว่าให้อ้าปาก เด็กเภสัชที่เป็นกุ้งเลิฟเวอร์อย่างเขาปฎิเสธไม่ได้หรอก
ก็อย่างที่คิดไว้ เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกนิดเพื่อให้รับโดยถนัดถนี่
“คิว!”
เอาใหม่ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อที่จะกัดนิ้วผมได้ถนัด
ถึงว่าทำไมยื่นหน้าเข้ามามากผิดปกติ เขาไม่งับตรงบริเวณเนื้อกุ้งแต่เลยมากัดตรงนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของผม แรงบดของฟันบนล่างบอกให้ผมร้องออกมาเพื่อลดความเจ็บปวดโดยอัตโนมัติ ข้อเสียที่สอง มันชอบกัด แขนผมนี่เคยมีรอยช้ำเป็นสัปดาห์เลยก็มี
“ถ้ามึงกลับไปแล้วไม่เล่านะไซ มึงเจอแน่”
“พี่คิวสวัสดีค่ะ”
ยังไม่ทันทีผมจะโต้กลับอะไรเสียงใสก็แทรกเข้ามา ผมหันไปทางต้นเสียงที่ยืนอยู่ทางด้านขวาของตัวเอง เป็นผู้หญิงที่จัดว่าสวยเลยล่ะ
“อ้าวแจน มากินร้านนี้เหมือนกันเหรอ”
“พอเห็นพี่คิวแชร์ไปที่วอลล์พี่ไซเมื่อคืนก็รีบมาพิสูจน์เลยล่ะค่ะ พี่ไซสวัสดีนะคะ”
เด็กเภสัชเอกกิจกรรมโทโซเชียลเน็ทเวิร์ค คิวเล่นแอพพลิเคชั่นออนไลน์ทุกชนิด ถ้ามีโปรแกรมใหม่ตัวไหนที่ฮอตฮิตเดี๋ยวหมอยาจะไปเปิดไอดีโดยพลัน ต่างจากผมที่ไม่ค่อยชอบเข้าไปยุ่งวุ่นวายในโปรแกรมพวกนี้มากเท่าไหร่นัก ถึงอย่างนั้นก็ไม่แปลกใจอะไรที่อีกฝ่ายรู้ชื่อของผมเป็นอย่างดี ใครที่รู้จักคิวก็รู้จักไซทั้งหมดนั่นแหละ เขาชอบอัพเดตรูปคู่ (ที่ผมไม่เต็มใจให้ถ่าย) ของเราลงเสมอ ถ้าอยากจะเรียกเรตติ้งมากกว่านั้นก็แค่อัพเดตสเตตัสเลี่ยนๆ แล้วแท็กผมมา
ล่าสุดก็แชร์เพลงรักฉันเรียกว่าเธอมาให้พร้อมแคปชั่นว่า รักฉันเรียกว่าไซ
“ไซ นี่น้องแจน ปีสามไออาร์ เป็นเลขาสภาปีนี้”
ผงกหัวให้เพราะยังง่วนอยู่กับการแกะกุ้งอยู่ พอมันสุกพร้อมกันก็ต้องรีบเอาขึ้นมาก่อนที่จะกลายเป็นกุ้งไหม้ไป
“นี่เพิ่งมาถึงกันเหรอคะ เพื่อนแจนเริ่มจัดของหวานล่ะ”
“จานแรกเอง นี่ชิมมาหมดรึยัง มีอะไรแนะนำบ้างป่ะ”
ดูท่าแล้วการสนทนาจะยาวกว่าที่คาดไว้ แจนเลยนั่งลงบนเก้าอี้ตัวถัดจากคิว
“พวกอาหารทะเลเลยค่ะพี่คิว สดมากกก เดี๋ยวกลับไปต้องวิ่งอย่างด่วน ฮ่าๆ”
“ผอมขนาดนี้ไม่ต้องวิ่งแล้ว”
“พี่คิวยังไม่เห็นพุงน่ะสิคะ นี่นึกว่าตัวเองท้องอยู่”
“...”
คำว่าท้องเรียกความรู้สึกขุ่นมัวได้มากโข หวนไปคิดถึงวันที่พ่อเดินเข้ามาบอกว่าผมกำลังจะมีเพื่อนเล่นแล้วนะ ไม่เหงาคนเดียวอีกแล้ว...
“ผอมไปก็ไม่ดีนา ยิ่งปีนี้พี่ใช้งานหนักแน ...ขอบคุณครับไซ”
จิ้มตัวต่อไปยัดเข้าปากเขาทั้งที่อีกฝ่ายยังคุยกับคนอื่นอยู่ อารมณ์ที่คุกกรุ่นจนวูบหนึ่งเกิดอยากพาลด้วยการโยนทุกอย่างทิ้ง
“พี่ไซน่ารักจังเลย อิจฉาอะ”
“แจนก็เลิกโสดสิ นี่ได้ข่าวมาว่าหนุ่มๆ ในสภาหลายคนเร่งทำคะแนนอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“โฮ้ย อย่าพูดเลยค่ะ ถ้าไม่ดีเท่าพี่คิวแจนไม่สนหรอกนะ”
“...”
มือที่ยังคงแกะกุ้งอยู่ค้างชะงัก ถึงตลอดการคบกันจะได้ยินคำพูดทำนองนี้ไม่ขาดหูก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะชินชากับมันเสียเมื่อไหร่ ผมวางกุ้งที่แกะได้แค่เพียงส่วนหัวลงแล้วเปลี่ยนไปพลิกตัวอื่นที่ยังคงอยู่ในเตา
ชักจะรำคาญแล้วล่ะ
“อย่างพี่นี่มีหนึ่งเดียวครับ”
“นี่แจนจริงจังนะ ถ้าไม่ได้อย่างพี่หนูขอเกาะคาน”
“งั้นก็ต้องโสดต่อไป”
“หึ คอยดูแล้วกันค่ะ”
“กูไปห้องน้ำ”
เดินออกจากโต๊ะตามทางไปยังป้ายที่เขียนว่า Toilet ยกมือขึ้นดูรอยเปื้อนสีแดงที่เริ่มลามไปทั้งนิ้ว ผมไม่น่าเผลอไปฟังพวกเขาคุยกันจนลืมสนใจความคมของหัวกุ้ง เป็นไงล่ะ โดนทิ่มเลือดอาบเลย
ถึงล้างจนมั่นใจได้ว่าไม่มีสิ่งสกปรกอื่นใดปะปนอยู่แล้วผมก็ยังไม่เดินออกไปสักที ดันตัวเองขึ้นไปนั่งบนขอบอ่างลายหินอ่อนอย่างด้วยความอ่อนล้าแปลกๆ ไม่อยากจะออกไป ไม่อยากได้ยินเสียงเขาคุยร่าเริงกับใครอื่นโดยที่ตัวเองทำได้แค่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ราวกับไร้ตัวตน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเด็กที่ชื่อแจนชอบคิวอยู่ไม่น้อย อาจจะดูว่าผมมองโลกในแง่ร้ายไปนะ แค่ที่น้องเล่าว่ามากินเพราะเห็นเขาแชร์มาให้ผมดูมันก็บอกอยู่แล้วว่าชีวิตของผมได้รับการตามติดมากอยู่เหมือนกัน
เฮ้อ วันนั้นผมควรปฎิเสธเขาไปจริงๆ
พอได้อยู่ตัวคนเดียวเสียบ้างมันก็ช่วยให้มีเวลาคิดทบทวนตัวเองอยู่มากพอควร ไม่ชอบที่ตัวเองว้าวุ่นอย่างนี้เลยสักนิดเดียว อาจเป็นเพราะเมื่อเช้าผมดันกลับไปเอาของที่บ้านหลังนั้นด้วยเลยทำให้อ่อนไหวมากกว่าปกติ ชักเกลียดตัวเองซะแล้วสิ เรื่องแค่นี้ยังเก็บเอามาคิดไม่จบไม่สิ้น
ตอนที่กลับมาที่โต๊ะเหลือแค่เขาคนเดียวแล้ว ไม่มีวี่แววของใครอีกคน
“เนื้อไหม้หมดแล้ว ทำไมมึงไม่เอาขึ้นมา” ผมคีบเนื้อสีดำขึ้นมาไว้ในจานแยก นี่เขาไม่คิดจะขยับตัวหน่อยรึไง
“ไม่อยากกิน”
“อะไรของมึง?”
“กลับห้องเรากัน”
คำว่า ‘ห้องเรา’ มันอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“นี่กูยังไม่ได้กินสักคำเลยนะ”
“ไว้พามาใหม่”
ไม่พูดเปล่าเขาลุกมาจับมือผมไว้ให้ขยับตามแรงดึง แรงบีบแน่นบอกผมว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก นี่ข้อเสียที่เท่าไหร่แล้ว?
เขายัดผมลงตรงที่นั่งข้างคนชับ ปิดประตูเสียงดังจนปวดหัว ใช้เวลาไม่กี่วินาทีเขาก็พาตัวเองไปนั่งอีกฝั่ง ถึงจะสตาร์ทรถแล้วแต่เขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนเกียร์สักที
“ไซ มานี่” นี่ที่เขาว่าคือพื้นที่ว่างตรงหน้าตักหลังจากที่เขาปรับเบาะให้เลื่อนไปด้านหลังจนสุด
ผมนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ คิวโหมดเอาแต่ใจเป็นอะไรที่ผมไม่ชอบและเราทะเลาะกับด้วยเรื่องนี้มากที่สุด ส่วนสาเหตุที่สองที่ตามมาติดๆ คือเขาชอบหาเรื่องผมว่ากำลังนอกใจเขาอยู่ บางทีแค่ตอบไลน์เพื่อนในกรุ๊ปทำงานยังโดนเลย
“หรือมึงอยากให้กูไปหา?”
อยู่กับเขาแล้วประสาทจะพัง!
ย้ายไปตามที่เขาสั่งอย่างทุลักทุเลพอสมควร แม้พื้นที่จะไม่เอื้ออำนวยมากเท่าไหร่สุดท้ายผมก็ทิ้งตัวลงบนหน้าตักของเขาสำเร็จ แขนสองข้างต้องคล้องคออีกอีกฝ่ายไว้ตามสภาพ
มือซ้ายของเขาจับข้อมือขวาของผมไว้ เลื่อนมันให้อยู่ในระดับสายตาพอที่จะให้เห็นรอยบาดที่กดลึกจนเป็นรอย
“โดนเมื่อกี้ใช่ไหม”
“เปล่า”
“ตีนกามาแล้วนั่น”
“...”
“ขอโทษ เจ็บมากรึเปล่า กลับไปทายานะ”
มือของเขาสอดประสานเข้ากับร่องนิ้วของผมจนแนบสนิท คิวจ้องหน้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรต่อสักคำจนผมเองต้องเอ่ยปากออกมาก่อน
“กูเกิดมาทำไมวะ”
“...?”
“ทำไมกูต้องมาเจออะไรเฮงซวยแบบนี้ด้วย”
ความคิดทั้งหมดที่ผมเคยกดมันให้ลึกลงไปมากที่สุดในหัวใจถูกคุ้ยขึ้นมา ผมคงเป็นเด็กขี้อิจฉาตั้งแต่เด็กแล้ว อย่างเวลาวันพ่อหรือวันแม่เพื่อนรอบข้างก็จะมีผู้ปกครองมาร่วมกิจกรรมเสมอ ต่างจากผมที่ต้องแยกไปกับอีกรวมกลุ่ม ไม่เคยมีงานวันเกิดอย่างใครเขา บางปีพวกเขาลืมวันเกิดผมก็มี
จนผมถามตัวเองเสมอ
ว่าพวกเขาให้ผมเกิดมาทำไม
“ไหนใครบอกว่าลูกคือความรักของพ่อแม่ไง...”
“ไซ...”
“ทำไมกูไม่เห็นความรักของพวกเขาในตัวกูสักนิด”
มืออีกข้างที่ไม่ได้กุมผมไว้ยกขึ้นปาดหยดน้ำตาข้างแก้ม ผมปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่เข้าไปฝืนบังคับอะไรทั้งนั้น คำพูดที่เคยทำได้เพียงแค่ถามตัวเองพรั่งพรูออกมาจนหมดสิ้น
“กูก็อยากไปเที่ยวพร้อมหน้ากันบ้าง ชมกูหน่อยตอนที่กูทำคะแนนสอบได้ดี สุดท้ายก็ได้แค่อยากเพราะไม่เคยมีใครสนใจกูจริงเลยสักคน”
“พูดมาให้หมดครับ คิวฟังอยู่นะ”
“ที่นั่นไม่เคยเป็น Home สำหรับกู มันก็แค่ House ที่กูมีไว้นอนเท่านั้นแหละ ความอบอุ่นในครอบครัวเหี้ยห่าอะไรนั่นมันเหลวไหลทั้งเพเลย ฮึก” ผมไม่ชอบการทำงานของร่างกายเวลาร้องไห้เลย ทำไมต้องสะอื้นด้วยก็ไม่รู้ “กูก็แค่อยากรู้ว่าความรักมันเป็นยังไงก็เท่านั้นเอง...”
“ครับ เข้าใจ”
“มึงแม่งก็อีกคน เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวดีเฟรนลี่กับคนอื่นไปทั่ว มึงเป็นแฟนกูไม่ใช่เหรอ”
“อ้าว ไหงเข้าตัวซะงั้น” เขาร้องเสียงหลง อ้อมมือไปกดท้ายทอยของผมให้ซบลงตรงไหนของเขา น้ำตาที่ยังไม่หยุดไหลเลยเปื้อนเต็มบ่าเสื้อ “หึงเหรอ?”
“มึงเป็นแฟนกู”
“เราไม่หึงคนที่ไม่รักหรอกนะ” เสียงเขาช่างอบอุ่นไม่ต่างกับกับอุณหภูมิของร่างกาย “แต่ช่างมันเถอะ ไม่รักก็ไม่รัก มีแค่กูที่รักมึงคนเดียวก็ได้”
ทั้งที่มีแค่มือของเขาที่กำลังกอบกุมผมไว้ ไม่มีการรุกล้ำทางร่างกายอย่างอื่นแม้สักเล็กน้อย ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ล่องหน ตีตรวนเอาไว้ไม่ให้บินหนีออกไปจากพื้นที่นี้ได้
“ต่อให้วันหนึ่งมึงเกลียดกูสุดหัวใจ กูก็ไม่ให้มึงไปจากกู” ‧:❉:‧‧:❉:‧‧:❉:‧‧:❉:‧‧:❉:‧