สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเลยขอโทษที่มาช้าค่ะ จริงๆต้องอัพตั้งแต่เมื่อวาน แต่งานยุ่งจริงๆค่ะ และจะยุ่งไปอย่างนี้ทั้งเดือนเลย เหนื่อยมาก วันนี้เลยแว่บมาลงให้ก่อนที่จะช้าไปกว่านี้ค่ะ อ่านกันให้สนุกนะคะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือคำผิดใดๆก็ขออภัยไว้ด้วยค่ะ สุดท้าย ขอบคุณที่ติดตามและให้กำลังใจกันตลอดมา หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ ไว้เจอกันค่ะ รัก +++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 26 Only you can.
No one else can feel it for you
ไม่มีใครรู้ถึงความรู้สึกของคุณได้
Only you can let it in
มีแค่คุณเท่านั้น
No one else, no one else
ไม่มีใคร ไม่มีใครทั้งนั้น
Can speak the words on your lips
ที่สามารถจะพูดแทนคุณได้
Drench yourself in words unspoken
ให้ตัวคุณชุ่มฉ่ำไปด้วยคำพูดที่เอ่ยไม่ได้
Live your life with arms wide open
ใช้ชีวิตด้วยอ้อมแขนที่เปิดกว้าง
Today is where your book begins
วันนี้หนังสือของคุณจะเริ่มต้น
The rest is still unwritten
ที่เหลือก็ปล่อยมันให้ว่างเอาไว้
อากาศยามเช้านั้นดีเสียจนพระพายต้องตื่นก่อนเวลานัดของไคที่บอกไว้เมื่อคืนนี้ แสงแดดอ่อนๆที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามานั้นบ่งบอกว่าน่าจะยังไม่ใช่ช่วงสาย พระพายบิดตัวช้าๆและพบว่ามีแขนของพิธานพาดอยู่ตรงช่วงเอว ใบหน้าเกิดรอยยิ้มขึ้นมาทันทีเพราะยังจำช่วงเวลาเมื่อคืนได้ ว่ามันช่างซาบซ่านในอกเหลือเกินกับการกระทำต่างๆเหล่านั้น
แต่เวลาเช่นนี้น่าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่พบได้ยากหากเมื่ออยู่ในเมือง พระพายจึงค่อยๆแกะมือของพิธานออก ก่อนที่จะลุกจากเตียงช้าๆเดินไปยังริมกระจกบานใหญ่ที่ทีมีสระว่ายน้ำส่วนตัวอยู่ข้างหน้า บรรยากาศและทิวทัศน์เวลานี้ช่างสวยงามเกินกว่าจะบันทึกภาพด้วยอุปกรณ์หรือเครื่องมือใดๆไว้หากแต่จดจำด้วยความรู้สึกและสายตาจะมีคุณค่าเสียมากกว่า
สูดลมหายใจพร้อมมองวิวอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะเดินไปยังชิงช้าสนามที่อยู่ใกล้ๆสระว่ายน้ำ นั่งลงพลางใช้เท้าดันพื้นให้ชิงช้าไกวไปมา อารมณ์เหมือนเด็กน้อยย้อนวัยที่ได้เล่นสนุกเพียงเท่านี้ก็รู้สึกมีความสุขแล้ว
นั่งไปเรื่อยพลางนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ เรื่องราวก่อนนอนและตอนอาบน้ำ พระพายยิ่งรู้สึกชัดเจนได้มากขึ้นว่าพิธานนั้นเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน การกระทำที่แสนจะอ่อนโยนนั้นอีกทั้งคำพูดที่เหมือนจะโอนอ่อนลงเมื่ออยู่ด้วยกัน ยิ่งทำให้พระพายนึกอยากจะบอกความรู้สึกออกไป อย่างที่เก้าเคยบอกไว้ว่าเวลามีไม่มากแล้ว เพราะหากเวลาสองเดือนสิ้นสุดลงแล้ว การเจอกันคงจะอยากขึ้นอีกทั้งไม่อาจจะกล้าหาญพอมาเจอกันเพราะไร้ซึ่งพันธะใดๆแล้ว
การเที่ยวในครั้งนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะลองบอกความจริงออกไป ถึงคำตอบที่ได้กลับมาอาจจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง สิ่งต่างๆที่พระพายคิดนั้นอาจจะทึกทักไปเองคนเดียวก็ได้แต่อย่างน้อยก็ได้บอกออกไป หากจะเสียใจแต่ก็ไม่ได้เสียโอกาสที่เข้ามาและปล่อยมันออกไปอย่างเสียเปล่า
เมื่อคิดได้อย่างนั้นพระพายจึงหมายมั่นจะบอกพิธานให้ได้ในวันนี้ แต่คงไม่ใช่เช้านี้อย่างแน่นอนเพราะยังทำใจให้กล้าหาญไม่ได้ แต่เชื่อว่าจะต้องมีเวลาสักช่วงที่สัญชาติญาณจะบอกเองว่าเวลานี่คือเวลาที่เหมาะสม
พระพายยิ้มออกมา ตอนนี้ได้แต่มองทุกอย่างให้สวยงามเข้าไว้ หากจะไม่เป็นดั่งหวังก็ต้องยอมรับความเสียใจนั้นไว้ อย่างน้อยก็มีเก้าอยู่อีกคน เก้าสัญญาแล้วว่าจะอยู่ปลอบใจ การมีเพื่อนมันดีอย่างนี้นี่เอง
นั่งเล่นอยู่อย่างนั้นจนแดดเริ่มแรงขึ้นแล้ว พระพายจึงเดินกลับเข้าไปในห้องพบว่าพิธานยังคงหลับอยู่ เวลานี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้านิดๆ พระพายกำลังคิดว่าจะปลุกพิธานดีหรือไม่แต่เวลานัดไม่เกินเที่ยงเลยให้เวลาพิธานนอนต่ออีกสักหน่อยก็คงดี
เมื่อเข้ามาในห้องก็ไม่อยากนอนต่อ เพราะอาจจะขยับจนพิธานตื่นได้ จึงเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือส่งข้อความหาเก้าและแน่นอนว่าเก้าเองก็ตื่นแล้ว พระพายบอกเก้าว่าอยากคุยด้วยอะไรสักหน่อยในระหว่างที่พิธานกำลังหลับ เก้าที่นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงก็รีบลุกขึ้นทันที
“จะไปไหน?” ไคที่นอนอยู่เอ่ยถามทั้งที่หลับตาอยู่อย่างนั้น
“จะไปหาพาย มึงนอนต่อเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน...” ไคลืมตาขึ้นมาทันที
“อะไรของมึง?”
“มาคุยกันหน่อยเรื่องที่จะทำต่อไปนี้” ไคบอก
“ว่ามาๆ” เก้ารู้ดีว่านี่คงเป็นเรื่องของพระพายเพื่อนเขาและพิธานเพื่อนของไค
“คืนนี้เราจะทำบาร์บีคิวปาร์ตี้กัน” ไคบอก
“เรื่องนั้นมึงบอกแล้ว” เก้าแคะหูอย่างเบื่อหน่ายที่ต้องมาฟังไคพูดซ้ำๆ
“ใช่บอกแล้ว แต่แค่จะย้ำ...คืนนี้ต้องทำให้สองคนนั้นพูดถึงความรู้สึกให้ได้”
“กูก็พยายามบอกพายมันแล้ว แต่จะให้พูดยังไงอีกล่ะ พายมันก็อายเป็นนะ”
“พิธานเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนโน้มน้าวได้ง่าย” ไคบอกอย่างคิดหนัก
“บางทีกูก็สงสารเพื่อนกูนะที่ต้องไปตกหลุมรักคนอย่างเพื่อนมึง” เก้าส่ายหน้าอย่างระอา
“ขอโทษที่เป็นแบบนี้ แต่พระพายเป็นงฝ่ายพูดก่อนจะง่ายกว่ามาก”
“ถ้ามันสำเร็จกูก็ดีใจ แต่ถ้าเพื่อนมึงปฏิเสธแล้วให้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น กูจะจัดการเพื่อนมึงทันที” เก้าขู่ไคทันที
“เอาเถอะ ให้มันเกิดขึ้นแล้วค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้นายต้องบอก ทำให้พระพายกล้าจะพูดมันออกมา” ไคย้ำอีกครั้ง
“เออ กูจะพยายามล่ะกัน แต่จะว่าไปไม่ยุติธรรมสักนิดที่ให้เพื่อนกูเป็นฝ่ายพูดก่อน” เก้าพูดตามที่คิด
“เรื่องอย่างนี้ใครจะบอกก่อนบอกหลังมันไม่เกี่ยวหรอก เพราะมันคือความรู้สึก” ไคพูดอย่างใช้เหตุใช้ผล
“แต่ถ้าเป็นกู กูจะไม่บอกถ้าอีกฝ่ายไม่บอกกูก่อน”
“เป็นหนุ่มซึนเหรอ?” ไคถามพลางหัวเราะ
“ซึนบ้าซึนบออะไร กูไปแล้ว” เก้าว่าก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องเพื่อไปหาพระพายที่รออยู่ที่ห้องอาหาร
พระพายรอเก้าด้วยการตักอาหารเช้าที่เป็นแบบบุฟเฟ่ห์ไปพลางๆ เมนูอาหารไม่ได้มากมายอย่างที่คิดแต่ก็ดูน่าทานอยู่เหมือนกัน พระพายตักมาสองอย่างเมื่อนั่งลงก็เห็นเก้าเดินมาหาพอดี
“กินเลยไหม?” พระพายถาม
“เออ กินเลยดีกว่า ขี้เกียจกินกับไอ้สองคนนั่น” เก้าว่าและรีบเดินไปตักอาหารในส่วนของตัวเองบ้าง เก้าตักมาเยอะกว่าพระพายมาก ก่อนที่จะลงมือทานและเริ่มพูดคุยกัน
“เมื่อคืนเป็นไงบ้าง?” เก้าเอ่ยถามขึ้นมา พระพายรู้ดีว่าเก้ากำลังจะถามเรื่องอะไร
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก แต่ว่า..” พระพายเงียบไป
“แต่ว่าอะไร?”
“ก็มีเหตุให้ตัดสินใจว่าจะบอกเรื่องที่อยากบอก” พระพายบอกกำกวม แต่เก้าเข้าใจในทันที
“มึงจะสารภาพรักใช่ไหม?” เก้าถามเพื่อยืนยันความคิดตัวเอง
“ใช่ อยากจะพูด..คิดว่าจะพูดให้ได้ในวันนี้ เพราะถ้าหลังจากวันนี้อาจจะไม่มีโอกาสดีๆแล้วก็ได้” พระพายบอก
“ว่าแต่เหตุผลอะไรวะ?” เก้าถาม
“รู้สึกเหมือน..เขาเปลี่ยนไป คิดว่าถ้าบอกไปน่าจะได้”
“เอาเถอะ เหตุผลอะไรก็แล้วแต่ กูขอให้มึงโชคดีนะ” เก้าว่า
“แต่ถ้ากูบอกเขาไปแล้ว มึงเองก็ต้องบอกกูเหมือนกันว่ามึงกำลังคุยอยู่กับใคร” จู่ๆหวยก็มาออกที่เก้าที่กำลังแทะขนมปังปิ้งอยู่
“เดี๋ยวๆ เกี่ยวอะไรกับกู?” เก้าถามอย่างสงสัย
“ก็เพราะกูอยากให้มึงบอกกูบ้าง ทีกูยังกล้าหาญที่จะพูดเลยทั้งๆที่มันยากขนาดไหนมึงก็รู้ กูเลยอยากให้มึงกล้าที่จะบอกกูเหมือนกัน” เหตุผลที่ฟังดูเหมือนจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลในความคิดเก้า
“เอาเป็นว่า ถ้ามึงกล้าบอก กูเองก็จะบอกมึงเหมือนกัน” ถึงฟังแล้วมันไม่เข้าท่าแต่เก้าก็ยอมในสิ่งที่พระพายขอ
“ตกลงนะ”
“เออ รีบกินเถอะ เดี๋ยวจะได้ไปอาบน้ำ”
ทั้งสองนั่งทานกันไปคุยกันไปถึงหลายๆเรื่องจนในที่สุดก็ทานจนหมดเกลี้ยง พระพายเป็นคนไปเก็บจานเองและพบว่าพิธานและไคเดินมาพอดี
“อิ่มกันแล้วเหรอ?” ไคเอ่ยถาม พิธานมองตามพระพายที่เดินไปเก็บจานตามที่ที่โรงแรมจัดไว้ให้
“เออ จะไปรอเวลาอาบน้ำ” เก้าตอบพลางแบมือของกุญแจห้อง ไคก็ยื่นให้ ด้านพระพายเดินกลับมายังโต๊ะหลังจากเก็บจานเสร็จ
“จะไม่นั่งเป็นเพื่อนกันหน่อยเหรอ?” ไคถามเก้าอีก
“เพื่อนมึงก็มี” เก้าว่า พิธานหน้านิ่งดูทั้งสองคนคุยกัน
“เอ่อ ขอกุญแจหน่อย จะไปอาบน้ำ” พระพายเอ่ยขอพิธาน
“ไปพร้อมกัน” พิธานบอกเช่นนั้น
“ให้พระพายไปเถอะ จะได้รีบอาบน้ำไม่ต้องมารอกันอยู่” ไคบอก พิธานชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนที่จะตัดสินใจยื่นให้
“ไปนะ” เก้าว่าเท่านั้นก่อนที่จะเดินไปกับพระพายไปยังห้องนอนของตัวเอง
“มึงก็รีบไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวจะได้ไปเดินดูอะไรแถวๆโรงแรมก่อนถึงเวลานัด” เก้าบอก
“เออ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะโทรหา”
พระพายกลับไปยังห้องของตัวเอง จัดการชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือจากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำในห้องฝักบัว กว่าสิบห้านาทีกว่าพระพายจะออกมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวและแต่งตัวเสร็จ ด้วยเสื้อลายฮาวายยอดฮิตในขณะนี้กับกางเกงยีนส์ยาวเท่าเข่า จากนั้นก็เดินไปจากห้องพบว่าพิธานกำลังเดินมาที่ห้องพอดี
“จะไปไหน?” พิธานเอยถามพลางมองพระพายหัวจรดเท้า คาดว่าคงแปลกตากับเสื้อผ้าที่พระพายแต่งในตอนนี้
“จะไปเดินดูรอบๆโรงแรม เดี๋ยวก็มา”
“อืม” พิธานพูดเท่านั้นก่อนจะแบมือขอกุญแจจากพระพาย
พระพายเดินออกมาได้เพียงนิดก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรบอกเก้าว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วและตอนนี้โทรศัพท์มือถือก็กำลังชาร์จแบตเตอรี่อยู่ พระพายจึงเดินกลับไปยังห้องและเคาะประตูสองสามครั้ง เพียงไม่นานนักพิธานก็มาเปิดให้
“ลืมอะไร?” ถามอย่างกับรู้ทัน
“ลืมโทรบอกเก้า” พระพายว่า จากนั้นก็เดินไปยังเตียงพลางนั่งลงและโทรหาเก้าทันที
“เออมึง กูพร้อมแล้ว” พระพายบอกจากนั้นก็ฟังเก้าพูดสองสามคำก่อนจะตอบกลับไป
“ได้ๆ”
พิธานยืนมองพระพายที่กำลังดึงสายชาร์จและเอาโทรศัพท์มือถือใส่ลงกระเป๋ากางเกง จากนั้นทำท่าจะเดินออกจากห้องแต่ไม่รู้ว่าพิธานคิดอะไรอยู่กลับเอื้อมมือไปรั้งแขนของพระพายไว้ พระพายชะงักทันทีที่ถูกรั้งไว้เช่นนี้
“มีอะไรรึเปล่า?” พระพายเอ่ยถามพลางมองมือของพิธานที่เกาะกุมแขนอยู่
“เปล่า...” พิธานพูดได้เท่านั้นก่อนที่จะปล่อยแขนพระพายทันที
“ไม่มีอะไรแน่เหรอ?” พระพายถามย้ำอีกครั้ง
“แค่จะบอกว่าอย่าช้า เดี๋ยวไม่ทันนัด” พิธานพูดเท่านั้นก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
“ไม่นานหรอก” พระพายพูดไล่หลังพิธานไป ก่อนที่จะเดินออกจากห้องเพื่อไปหาเก้าที่รออยู่ที่ลอบบี้
รอบๆโรงแรมมีแต่ทุ่งหญ้าและภูเขาเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากมาย ระหว่างทางที่เดินดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย พระพายก็เริ่มพูดถึงเรื่องที่พูดกันตอนที่ทานมื้อเช้า
“เก้า...พอคิดๆดูแล้วกูก็เริ่มกลัวว่ะ” พระพายพูดขึ้น
“กลัวอะไร?”
“ก็...ไม่รู้จะเริ่มยังไงดีนี่สิ” พระพายเริ่มคิดหนัก ลืมนึกถึงประโยคเกริ่นเริ่มต้นที่จะเอ่ยความในใจไปเสียได้
“ก็บอกตามความที่มึงรู้สึกสิ” เก้าแสดงความคิดเห็น
“แต่จะเรียบเรียงยังไงวะ มัน..เยอะแยะเหมือนกัน” พระพายว่าพลางก้มหน้าอย่างรู้อายขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องนี้เข้า
“เขินเป็นสาวน้อยเลยมึง” เก้าว่าพลางหัวเราะ
“เออ ชอบว่ากูสาวน้อยตลอดเลยมึง” พระพายเหลือบค้อนอย่างไม่ชอบใจ
“มีงอนด้วย เอาน่าเพื่อนรัก ถ้ามึงสมหวังเดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงซูชิร้านดังเลย” เก้าว่า
“เอาของกินมาล่อกูตลอด” พระพายบ่น
“กูนี่เป็นเพื่อนที่ดีขนาดไหนมึงลองนึกดูสิ ถ้ามึงอกหักกูก็พร้อมกินเหล้าเป็นเพื่อน ถ้ามึงสมหวังกูก็พร้อมจะพาไปเลี้ยงอาหารดีๆ เพื่อนสุดประเสริฐแบบกูนี่หาไม่ได้ง่ายๆนะ” พูดยกยอตัวเองจนพระพายต้องหัวเราะออกมาบ้าง
“ครับๆ ยกหางตัวเองซะ”
“กูไม่ใช่หมา” เก้าว่าพลางจะเตะพระพายที่รู้ตัวดีว่าต้องโดนจึงกระโดดหนีได้ทัน
ทั้งสองเล่นกันอยู่ได้ไม่นานกลับมีเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเก้าดังขึ้นมาเสียก่อน พบว่าเป็นไคที่โทรเข้ามา คงจะโทรตามให้กลับไปยังลอบบี้
“ไคมันโทรมาว่ะ ไปเหอะ” เก้าไม่ได้รับสายแต่รู้ดีว่าไคต้องโทรมาตามแน่นอน พระพายและเก้าเดินกลับไปยังลอบบี้ซึ่งพิธานและไคก็นั่งรอกันอยู่แล้ว
“จะไปกันเลยเหรอ?” เก้าถาม
“ใช่ ไปกันตอนนี้เลย” ไคตอบ ทั้งสี่คนจึงพากันเดินลงไปยังที่จอดรถและเดินทางไปยังไร่องุ่นที่อยู่ใกล้ๆตามที่ไคได้บอกไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงไร่องุ่น ซึ่งเป็นไร่องุ่นที่เปิดได้ไม่นานเท่าไหร่นัก แต่ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ดีและมีคนแนะนำกันมา ไคเองที่หาข้อมูลด้วยตัวเองและพบว่าน่าสนใจจึงเลือกจะมาที่นี่อีกทั้งอยากซื้อไวน์ไปชิมด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงก็เดินเข้าไปยังสถานที่รองรับ ซึ่งเจ้าของที่เป็นสามีภรรยานั้นให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และสิ่งแรกที่พาไปดูคือบริเวณไร่องุ่น แนะนำอะไรเล็กๆน้อยๆจากนั้นก็ปล่อยให้ทั้งสี่คนเดินดูตามอัธยาศัย
โชคยังดีที่อากาศไม่ได้ร้อนจนเกินไปนัก ทั้งสี่คนเดินดูองุ่นและทางไร่อนุญาตให้ชิมได้ในต้นที่สามารถเด็ดทานได้ พระพายเดินมองด้วยตาลุกวาว เพิ่งเคยเห็นต้นองุ่นเป็นครั้งแรกและยิ่งได้เห็นลูกองุ่นตึงๆสีเข้มๆยิ่งรู้สึกน่าสนใจ พระพายจึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปใกล้ๆพวงองุ่นและบรรยากาศไกลๆทั้งหมดทั้งมวลเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก โดยที่การกระทำทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของพิธานที่ดึงโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปพระพายไว้เช่นกัน
“ทำอะไร?” พระพายร้องถามขึ้นเพราะรู้สึกได้ว่าพิธานกำลังถ่ายรูปมาทางนี้
“ก็ถ่ายรูป” พิธานตอบตรงๆ
“ถ่ายรูปอะไรล่ะ?”
“ก็ถ่ายนายไง” ตอบตรงๆอีกครั้งจนพระพายทำหน้าตาเหรอหราอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“แต่ว่า..ผมไม่ได้ เอ่อ น่าถ่ายเลยนะ” พระพายตอบ
“มานี่” พิธานดึงพระพายเข้ามาใกล้ๆจนใบหน้าแนบชิดติดกันก่อนที่พิธานจะเปิดกล้องหน้าและถ่ายรูปนั้นไว้
“เดี๋ยวสิ มันดูตลก ลบเถอะ” พระพายร้องขึ้นเพราะสีหน้าเมื่อครู่นี้ยังดูงงๆและตกใจที่ถูกถ่ายรูปคู่กัน
“ไม่ลบ” พิธานบอก
“ถ้าอย่างนั้น...ขออีกรูปได้ไหม จะได้ตั้งใจยิ้ม” พระพายบอกพลางมองไปยังพิธานที่ดูเหมือนจะยอม
ครั้งนี้ตั้งตัวและตั้งใจทัน พระพายฉีกยิ้มกว้างเสียจนตาปิด พิธานที่เห็นใบหน้าของพระพายที่ดูมีความสุขจนเผลอยิ้มตามออกมาแต่ก็ไม่ได้เท่าคนข้างๆ ใบหน้าชิดติดกันเหมือนครั้งแรกจากนั้นก็กดปุ่มชัตเตอร์บันทึกภาพลงโทรศัพท์มือถือเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งสองคนที่ใกล้กัน ใกล้จนเผลอสบตากัน ริมฝีปากทำท่าจะดึงดูดเข้าหาราวกับมีแม่เหล็กไม่มีผิด ลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ตามลำพังและสถานที่ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ลับตาคน แต่เพราะมีเสียงคนเหยียบหญ้าแห้งดังขึ้นทำให้พระพายสะดุ้งตัวและนึกได้ทันทีว่าตอนนี้กำลังจะทำเรื่องที่ไม่สมควรทำ พิธานเสหน้าหลบอย่างรู้ตัวเช่นกันว่าเผลอตัวจะจูบพระพายไปแล้ว
คนที่ทำเสียงดังนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นเก้าที่เดินอยู่ใกล้ๆ และเห็นพอดิบพอดีว่าทั้งสองกำลังจะทำอะไรกัน เก้าอยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆที่เดินได้ผิดจังหวะและเวลาเหลือเกิน ไคนั้นได้แต่ส่ายหน้าและหัวเราะเบาๆเพราะรู้สึกว่าเก้าช่างเกิดเป็นมารคอหอยได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ
“ไปดูโรงทำไวน์กัน” ไคบอกเท่านั้นทั้งหมดจึงต้องเดินกันไปเงียบๆยังโรงทำไวน์ที่อยู่ห่างออกไปจากไร่องุ่น
หลังจากดูการทำไวน์แล้ว ก็พากันไปดูสัตว์ต่างๆที่ทางไร่เลี้ยงเอาไว้ ป้อนหญ้าอาหาร มีทั้งแกะ แพะ และอีกสองสามชนิด พระพายดูสนุกและตื่นเต้นกับทุกๆอย่างๆ ป้อนหญ้าและมีแอบแกล้งเอาหญ้าให้เก้ากินบ้าง แน่นอนว่าเก้าโวยวายจนไคได้แต่หัวเราะ วันนี้ทั้งวันไคเอาแต่หัวเราะเพราะไม่ค่อยได้เห็นเก้าในมุมแบบนี้มาก่อน
พิธานนั้นได้แต่มองเงียบๆแต่สิ่งหนึ่งที่พิธานทำคือการถ่ายรูปพระพายในท่าทางนั้นๆและบันทึกวิดีโอสั้นๆหลายคลิปโดยที่พระพายไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพิธานกำลังทำอะไร
“แบตใกล้หมดรึยัง?” ไคถามพลางเหล่มองเพื่อนที่แม้จะทำหน้านิ่งๆแต่ข้างในคงไม่ใช่
“ยัง” พิธานตอบสั้นๆก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์มือถือทันที
“พิธาน....ตอนนี้รู้สึกยังไงกับพระพาย?” จู่ๆไคก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ทำไมถึงถาม?” พิธานถามกลับ
“แค่อยากรู้ ว่าตอนนี้คิดยังไงกับพระพาย เพราะสายตาที่นายมองเขามันค่อยๆเปลี่ยนไป” ไคบอกอย่างที่เห็นและคิด
“ฉัน...ไม่แน่ใจ” พิธานนั้นไม่ค่อยจะเอ่ยถึงความรู้สึกต่างๆของตนเองเท่าไหร่นักแต่รู้ดีว่าเพื่อนนั้นรู้จักตัวตนของเขาดี
“ทำไมไม่แน่ใจ เคยถามพระพายบ้างรึยัง?” ไคถามต่อ
“ทำเรื่องไม่ดีไปขนาดนั้น อีกอย่าง..เขามีคนที่ชอบแล้ว” พิธานพูดก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้น ไคได้แต่ถอนหายใจ
“เป็นคนคิดมากไม่เปลี่ยนจริงๆ” ไคพูดเท่านั้นก่อนที่จะเดินไปทางพระพายและไคที่น่าเก็กท่าถ่ายรูปกันอย่างสนุก
ถ่ายรูปกันเยอะแยะจนเวลาก็เลื่อนมาถึงบ่ายแก่ๆ ทั้งหมดจึงไปยังร้านขายผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ทำจากองุ่น มีทั้งองุ่นสด น้ำองุ่น ไวน์และอีกหลายอย่าง รอบนี้พิธานเป็นคนจ่าย แม้พระพายไม่อยากยอมแต่ก็ต้องยอมเพราะโดนบังคับด้วยสายตา
สรุปสิ่งที่ได้มาคือไวน์องุ่นยกโหลซึ่งราคาก็สูงไม่ใช่เล่น รวมทั้งน้ำองุ่น แยมองุ่น และองุ่นสดอีกด้วย ซื้อกันเยอะแยะจนเก้าเองยังบ่น
“นี่จะเหมาหมดร้านเลยรึไงวะ” เก้าว่าพลางช่วยขนของพะรุงพะรังไปยังรถจนเต็มก่อนที่จะเดินทางกลับโรงแรมเพราะตอนนี้ทางโรงแรมโทรมาบอกว่าได้เตรียมชุดบาร์บีคิวไว้แล้ว...
Lyrics: Unwritten by Natasha Bedingfield.