มาต่อแล้วค่ะ
***************
เพลงรัก
บทที่ 2
“หวัดดีคร้าบ” น้ำต้นยกมือไหว้ทีมงานทุกคนอย่างร่าเริงเช่นเคย
“น้องต้นมาแต่เช้าเชียว วันนี้มีอะไรหรือครับ” เสียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามไถ่เขาอย่างเป็นกันเอง เหมือนกับที่ต้นบอกใครต่อใครว่า ชั้นสามสิบเหมือนบ้านแห่งที่สองของเขา “ประชุมครับพี่”
เมื่อวานเมษโทรถามไถ่เขาเรื่องการถ่ายปกกับนิตยสารแฟชั่นผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นนิตยสารที่มาแรงที่สุดในขณะนี้
“สบายมากพี่เมษ ถ่ายนานหลายชั่วโมงเหมือนกัน แต่เสื้อผ้าสวยมาก แล้วก็พี่ทีมงานทุกคนน่ารักหมดเลยครับ” ต้นส่งเสียงไปยังปลายสาย เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องห่วง เมษไม่ห่วงอยู่แล้ว เพราะนิตยสาร Men Fash! แอบกระซิบอย่างไม่ปิดบังว่า เป็นแฟนเพลงของน้ำต้นกันทั้งทีม จึงไม่น่าแปลกใจที่น้ำต้นจะถูกเจาะจงตัวให้เป็นปกของนิตยสารที่ว่าสำหรับฉบับเดือนหน้าไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“พี่รู้หรอกน่า น้องพี่ไม่ทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว ทางโน้นเค้าก็ชมเราใหญ่เลยว่าต้นทำงานด้วยง่ายมาก วันหลังอาจจะขอตัวไปถ่ายอีก เออ... เกือบลืม พี่นอให้พี่โทรมาเตือนว่าพรุ่งนี้อยากให้ต้นมาเข้าประชุมด้วยแต่เช้า ซักสิบโมง ไหวมั้ย พี่เช็กดูแล้วพรุ่งนี้ต้นไม่ติดอะไร”
“ไหวสิพี่ พอจะรู้มั้ยครับว่าประชุมเรื่องอะไร”
“เห็นพี่นอบอกว่า อยากจะแนะนำให้รู้จักกับทีมงานสักหน่อย หนนี้เรามีการเปลี่ยนแปลงอะไรนิดหน่อย แล้วก็ได้คนใหม่ๆมาช่วยงานด้วย พี่นออยากให้ทำความรู้จักกันไว้น่ะ”
ทำความรู้จักงั้นหรือ จู่ๆภาพของชายหนุ่มที่เขามักจะเจอในลิฟต์แว่บเข้ามา ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกถูกชะตากับคนคนนั้นเหลือเกิน อะไรบางอย่างติดอยู่ในหัว สลัดอย่างไรก็ไม่หลุดเสียที
“พี่เมษครับ ต้นถามอะไรหน่อยนะพี่”
“ว่ามา” เมษเองก็ชักสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาแล้ว จากน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังของเด็กหนุ่ม
“พี่รู้จัก เอ... จะว่าไงดี ผู้ชายยังไม่แก่นะ ตัวเล็กๆ หน้าเด็กๆ... ในตึกเราอ่ะครับพี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร ที่ไหน ชื่ออะไร”
เมษถึงกับเอามือกุมศีรษะที่ปลายสาย “ต้นครับ... แล้วพี่จะรู้มั้ยเนี่ย คนในตึกเรามีเป็นร้อยเป็นพัน!” พลางหัวเราะ
“เอ่อ...” น้ำต้นหัวเราะเก้อๆ “นั่นสิพี่ งั้นไม่เป็นไรครับ”
“ทำไม มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรครับ ต้นแค่สงสัยเฉยๆ เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้เช้านะพี่” ว่าแล้วน้ำต้นก็วางสายทันที ทำเอาปลายสายงงว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำต้นจึงได้เสียอาการถึงเพียงนี้
น้ำต้นเสียอาการจริงอย่างที่เมษคิด เขาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่ติดอกติดใจนี่เท่าไหร่ แค่ตลกตัวเองนิดหน่อยที่กล้าถามอะไรเพี้ยนๆออกไปแบบนั้น พี่เมษจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า เขาเกาศีรษะตัวเองอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรนัก แต่ก็เลือกที่จะหยุดคิดมันไปเสียดีกว่า ตอนนี้ขอคิดถึงเรื่องงานเพียงอย่างเดียว น้ำต้นยกให้งานเป็นอันดับหนึ่งก่อนอย่างอื่นเสมอ จนเพื่อนฝูงที่มีอยู่ในกรุงเทพฯไม่กี่คนบ่นกระปอดกระแปด “ต้นน่ะ พอเป็นเรื่องงานทีไร ทิ้งเพื่อนทุกที” จนน้ำต้นอดหัวเราะไม่ได้ เขารู้ดีว่าเพื่อนๆของเขาเองก็ให้การสนับสนุนเขาเต็มที่ และยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนๆไม่เคยปฏิบัติตัวกับเขาต่างไปจากเดิม เขาเองก็ไม่ได้ทำตัวต่างไปจากเดิมแม้จะมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น นอกจากเวลาที่มีให้กันอาจจะลดน้อยลงเท่านั้นเอง
เมื่อคืนเมื่อพอจะมีเวลาว่างบ้าง น้ำต้นจึงพาตัวเองไปฟิตเนสที่อยู่ใกล้ๆกับคอนโดของเขานั่นเอง ก่อนที่จะกลับมาหลับเป็นตาย และตื่นมาประชุมได้ตรงเวลาพอดี
เมื่อเดินเข้าห้องประชุมที่วันนี้ดูหนาตากว่าเมื่อวันก่อนเพราะเก้าอี้ทุกตัวถูกครอบครองเอาไว้หมด ยกเว้นที่ว่างที่เป็นของเขาเพียงตัวเดียว น้ำต้นก็ยกมือไหว้กราด ทำเอาทุกคนในห้องรับไหว้แทบไม่ทันพร้อมกับหัวเราะไปที่เด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู
“สวัสดีคร้าบบบบ”
“ต้นมาตรงเวลามากเลย มานั่งก่อนมา... ไม่ต้องห่วง พวกพี่ยังไม่ได้เริ่มหรอก แค่พุดคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” พี่นอว่าอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะดึงเก้าอี้ข้างๆตัวให้น้ำต้นนั่ง
ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่คุ้นหน้าเหลือเกินนั่งอยู่ด้วย “เฮ้ย... “ เขาอุทานกับตัวเองเบาๆ แต่ก็เบาพอที่ทุกคนจะหันหน้าไปมองเขาอย่างสนใจ
“มีอะไรต้น” พี่นอถามอย่างสงสัย
“ง่า... เปล่าครับพี่ นึกว่าลืมของ” ปากว่า แต่สายตากลับไปจับจ้องอยู่ที่วงหน้าของตัวต้นเหตุของท่าทาง ‘เสียอาการ’ นั้น
“งั้นมาเริ่มแนะนำตัวกันก่อนมั้ย” พี่นอว่า “ทุกคนรู้จักน้ำต้นแล้วนะครับ ชื่อเล่นเต็มๆของน้องคือน้ำต้นครับ แต่ทุกคนเรียกต้นจนติดปากกันหมดแล้ว ไช่ไหมเรา” นอหันไปถามเจ้าตัว
“เรียกต้นหรือน้ำต้นก็ได้ครับพี่”
“ส่วนคนนี้ พี่มิ่ง ทำหน้าที่เป็นมิวสิกแล้วก็ลีริกไดเร็กเตอร์อัลบั้มชุดใหม่ของเรา เรื่องดนตรีกับเนื้อเพลงพี่มิ่งจะคอยดูแลให้เกือบทั้งหมด ส่วนนั่น โจ เป็นซาวนด์เอ็นจิเนียร์ คนนี้เรื่องซาวนด์หายห่วง พี่เชื่อมือมาก ส่วนถัดไปเป็นสไตลิสต์ซึ่งต้นคุ้นเคยดีอยู่แล้ว ทุกคนนั่นเชนครับ” นอแนะนำอย่างไม่ติดขัด “แล้วก็เพชร คนนี้รู้จักคุ้นเคยกันดี พีอาร์สาวสวยของเรา นักร้องจะเกิดไม่เกิดอยู่ที่พี่เพชรคนเดียว”
“แหม พี่นอ... ชมเกินจริงค่ะพี่” เพชรว่าอย่างติดตลก
“แล้วก็เมษ เมษเป็นเออาร์ของต้นครับ ถ้าจะเช็กคิวงานหรืออะไรก็ให้เช็กกับเมษได้เลย”
“แล้ว พี่อีกคนล่ะครับ” น้ำต้นถามอย่างกระตือรือร้น จนฝ่ายที่ถูกพาดพิงถึงอดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้
“แหมใจร้อนจริงน้องเรา คนนี้ชื่อนนท์ เป็นผู้ช่วยพี่มิ่งนะ ในเนี้ย นนท์น่าจะอายุใกล้เคียงกับต้นที่สุด น่าจะคุยกันเข้าใจง่ายกว่าแก่ๆอย่างพวกเรา หรือว่าไง” นอถามอย่างติดตลก เรียกเสียงหัวเราะและเสียงประท้วงจากเชนสไตลิสต์หนุ่มที่น่าจะเรียกว่าสาวมากกกว่า “พี่นอ... เป็นอะไรคะ ชอบย้ำเรื่องอายุ” เชนบ่นกระปอดกระแปด
“แหม กับน้องเชนนี่ต้องขอยกให้คนนึง” นรเศรษฐ์แหย่กลับทันควัน ทำเอาเชนค้อนแทบไม่ทัน เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างสนุกสนาน
“นนท์ ไม่พูดอะไรหน่อยหรือเรา” มิ่งพะยักเพยิด
นนท์อมยิ้มก่อนจะว่าด้วยเสียงทุ้มต่ำไม่สมตัวสักเท่าไร “สวัสดีทุกคนครับ ยังไงฝากตัวด้วยนะครับ ผมมือใหม่กว่าใคร ประสบการณ์ก็น้อย ยังไงอาจจะต้องรบกวนทุกคนมากหน่อย”
“โอ๊ย... น้องนนท์ถ่อมตัว” เพชร พีอาร์สาวเปรี้ยวถึงกับออกปาก “พี่เห็นใครๆก็ชมว่านนท์เก่งออก”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับพี่ ได้พี่มิ่งคอยช่วยตลอด จะเรียกว่าเก่งคงไม่ได้อ่ะครับ”
“พี่มิ่ง ว่าไง น้องให้เครดิตขนาดนี้แล้ว” นอหันไปถามมิ่งที่ดูจะอาวุโสที่สุดในห้อง
“คนนี้เก่งจริง ไม่งั้นพี่ไม่ผูกขาดขนาดนี้หรอก นนท์เขาเก่งเรื่องเปียโนครับ แล้วก็มีเซนส์ในการแต่งเพลงดี ทางถนัดเขาเป็นอาร์แอนด์บี พี่ก็เลยดึงตัวมาช่วยงานนี้ด้วย เพราะคุยกับนอแล้ว นอบอกว่าไม่อยากให้งานใหม่ของต้นมีแต่ซาวนด์ป๊อปอย่างเดียว อยากจะให้ดนตรีเติบโตขึ้นตามตัวนักร้องด้วย” มิ่งว่าอย่างเป็นการเป็นงาน “แล้วนี่เขาแต่งเพลงให้หลายคน ที่ดังๆติดชาร์ตหลายเพลงก็เป็นผลงานของนนท์เขา”
นนท์ฟังพี่มิ่งของน้องบรรยายสรรพคุณตัวเองแล้วได้แต่ยิ้มเขินๆ พร้อมกับบอกว่า “แต่ผมยังแต่งเพลงมาไม่กี่เพลงครับ ยังอีกนานกว่าจะเก่งได้อย่างพี่มิ่ง”
“น้องนนท์เรียบร้อยดีจัง อายุเท่าไหร่แล้วคะ” เมษถามอย่างใคร่รู้
“ย่างยี่สิบห้าแล้วครับ”
“อะไร หน้ายังเด็กอยู่เลย ต้นยังดูเหมือนคนย่างยี่สิบห้ากว่าอีก” น้ำต้นว่าอย่างเปิดเผย นนท์ทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มไม่ปิดบัง ส่วนคนอื่นๆหัวเราะให้กับความใสซื่อกับเจ้านักร้องตัวดี ที่ไม่เหลือมาดนักร้องสุดเท่เอาเสียเลยเวลาที่ได้มานั่งพูดคุยอย่างเป็นกันเองแบบนี้
“เอาล่ะ ไหนๆพี่ก็เกริ่นมาบ้างแล้ว พี่ยังไม่ได้ถามต้นเลยว่า โอเคไหม ถ้าพวกพี่เห็นว่าอยากเพิ่มความเป็นอาร์แอนด์บีให้กับงานชุดใหม่ของต้น ชุดที่แล้วมันป๊อปมากซึ่งก็เหมาะกับศิลปินหน้าใหม่และงานชุดแรก เพราะมันติดหูง่ายที่สุด ตัวต้นเองก็มาสายป๊อปด้วย ตามพี่ทันใช่ไหม” นรเศรษฐ์หันไปถามน้ำต้น
“ที่ว่าเพิ่มนี่ เพิ่มมากน้อยอะไรยังไงเท่าไหร่หรือครับพี่” น้ำต้นพยักหน้า พร้อมกับถามอย่างสนใจใครรู้ขึ้นมาบ้าง
“ครึ่งต่อครึ่งเลย หนนี้พวกพี่มองว่าอยากจะให้เพิ่มเพลงช้าลงไปมากหน่อย เพราะเสียดายเสียงเรา ชุดที่แล้วเพลงเร็วเยอะเน้นสนุกสนานเป็นหลัก แต่ไม่ค่อยได้โชว์พลังเสียงเท่าไหร่” มิ่งเสริม
“แต่พี่อยากจะให้ต้นได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยว่า จะเอาด้วยไหม หรืออยากจะลดจะเพิ่มอะไรบ้าง ก็บอกพวกพี่ได้” นอว่าอย่างเปิดใจ ตามปกติแล้ว น้อยถึงน้อยมากที่ตัวนักร้องจะมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นในผลงานของตัวเอง ยิ่งเป็นงานชุดแรกๆด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปได้ยาก นักร้องส่วนใหญ่ที่ออกมาบอกว่า ได้มีส่วนร่วมตรงนั้นตรงนี้ เอาเข้าจริงถ้านับเป็นสัดส่วนแล้ว แทบจะไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ หากไม่ใช่วงดนตรีที่ทำเพลงกันเองมาก่อนแล้ว โอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมจริงๆนั้นถือว่าน้อยเหลือเกิน
แต่สำหรับนรศรษฐ์แล้ว ไม่เพียงแต่จะได้ชื่อว่าเป็นโปรดิวเซอร์มือทอง แต่ในเรื่องของน้ำจิตน้ำใจอันเปิดเผยของเขาก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน นรเศรษฐ์มีวิธีที่จะดึงเอาศักยภาพในตัวของนักร้องที่เขาโปรดิวซ์ออกมาได้ชนิดคาดไม่ถึง เอาเป็นว่าลงเขาได้เลือกแล้วว่าจะทำงานให้ใคร ผลงานชุดนั้นต้องมีอะไรที่มากกว่าอัลบั้มหนึ่งชุดที่มีเพลงครบสิบหรือสิบสองเพลงอย่างแน่นอน ยิ่งกับน้ำต้น นรเศรษฐ์รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นและความกระตือรือร้นของตัวเองที่ขาดหายไปนานแล้วทุกครั้งที่ได้ทำงานกับเด็กหนุ่มคนนี้ เขามั่นใจเหลือเกินว่าจะได้เห็นพัฒนาการที่จะเกิดขึ้นกับน้ำต้นในแบบที่เขาจะไม่ได้เห็นจากใครบ่อยนัก
นักร้องหนุ่มที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในห้องประชุมในตอนนี้ คลี่ยิ้มออกมาในที่สุด ดวงตากลมโตเป็นประกาย เขายกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างขัดเขินก่อนที่จะบอกออกไปในที่สุด “ต้นดีใจเลยล่ะครับพี่” เท่านั้นเอง ทุกคนจึงยิ้มออกมาได้อีกครั้ง
“ต้นเองก็คิดอยู่ครับว่า อัลบั้มที่สอง ถ้ายังเป็นป๊อปใสๆอย่างเดียวแบบนี้ คงเหมือนย่ำอยู่กับที่ แต่ยังไม่มีโอกาสได้บอกพี่นอซักที ใจต้นอยากลองร้องแบบอาร์แอนด์บีดูบ้างมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ พอพวกพี่ๆชี้โพรงให้อย่างนี้ ต้นไม่มีปัญหาเลยครับพี่”
เมษที่ยิ้มกว้างกว่าใครเพื่อนจึงหันไปทางนรเศรษฐ์บ้าง “เห็นมั้ย พี่นอ เมษบอกพี่แล้วว่าต้นต้องชอบ ถ้าซื้อหวยถูกไปแล้วพี่” ว่าแล้วเมษก็ชูมือขึ้นอย่างมีชัย
“เออ ไอ้เมษ เอ็งแน่มาก... สมแล้วที่คอยดูแลกันมา” นรเศรษฐ์ว่าอย่างเห็นด้วย
“ดีมาก ก็ถือว่าเราก็คงจะเริ่มงานกันได้เสียทีนะ เจ้าตัวเขาโอเคแล้วนี่” ว่าแล้วมิ่งก็หันไปทางชายหนุ่มที่นั่งฟังเงียบๆอยู่ข้างๆ ทันที “งั้นงานนี้พี่บอกนนท์ได้เลยว่า คงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว”
“อ้าว ยังไงครับ” นนท์ถามกลับอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก น้ำต้นที่สังเกตอยู่นานแล้ว รู้สึกแปลกใจกับสีหน้าของสมาชิกใหม่เล็กน้อย ปกติเขามักจะเห็นแต่หน้านิ่งๆเป็นส่วนใหญ่เวลาที่เดินสวนกันไปมา เมื่อได้เห็นสีหน้าแปลกใจของนนท์เวลาทำตาโต และเลิกคิ้วขึ้นแบบนี้ จึงรู้สึกแปลกตาไม่น้อย ดูท่าเขาจะเพลิดเพลินกับการสังเกตสังกาเพื่อนร่วมงานคนใหม่คนนี้มากอย่างชนิดที่ตัวเองยังคาดไม่ถึง
“ก็นนท์ถนัดทางนี้พอดีไง ที่ผ่านมานนท์ยังไม่ได้เข้าไปลุยแบบเต็มตัวกับงานของใครเลย พี่ก็มีคิดอยากให้ต้นได้ทำงานเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ไปเลยเพื่อที่จะเป็นเครดิตที่ดีของเราต่อไปได้ด้วย วันนี้เหตุผลนึงที่พี่พานนท์มาด้วยก็เพราะเรื่องนี้แหละ ถ้าต้นรับปากจะทำ พี่ก็จะได้ยกหน้าที่หลักในการทำดนตรีกับเนื้อร้อง รวมไปถึงแนะนำการร้องให้กับนนท์เลย แต่พี่จะคอยดูให้ด้วยไง”
สีหน้าของนนท์ยิ่งประหลาดใจหนักขึ้นไปอีกเหมือนกับตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ชั่วอึดใจนั้น นนท์ยกมือไหว้มิ่งอย่างซึ้งน้ำใจที่สุด “ขอบคุณครับพี่มิ่ง ที่ให้โอกาสผม แต่พี่มิ่งแน่ใจเหรอครับ ผมไม่เคยจับงานใหญ่แบบนี้มาก่อนเลย” ตอนนี้สีหน้าของเจ้าตัวชักเริ่มแฝงความกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
“พี่เชื่อมือนนท์นะ เอางี้... ต้น เจ้าของผลงาน ว่าไง? เราจะโอเคไหมถ้ามีนนท์มาคอยดูให้แทนพี่ แต่ก็อย่างที่บอก พี่เองก็จะดูแลภาพรวมให้อยู่เหมือนเดิม ไม่ได้หนีหายไปไหน”
น้ำต้นยิ้มน้อยๆ ก่อนจะว่า “ถ้าพี่มิ่งว่าดี ต้นก็เชื่อครับ อีกอย่างผลงานที่พี่นนท์เคยทำมา ต้นก็ชอบอยู่หลายเพลง เพราะงั้นต้นไม่มีปัญหาครับ ถ้าพี่นนท์โอเค ต้นก็โอเค”
“งั้นเคาะ!” มิ่งหยิบปากกาเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆลักษณะคล้ายปิดการประมูลอะไรซักอย่าง เรียกเสียงฮาครืนจากผู้เข้าร่วมประชุมได้อย่างถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่นนท์ที่เมื่อครู่เพิ่งขมวดคิ้วเป็นกังวลกับหน้าที่ใหญ่ที่เพิ่งได้รับมอบหมายแบบไม่ทันรู้ตัว เมื่อหันไปทางน้ำต้น นนท์ ก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มกว้างให้อย่างไม่ปิดบังพร้อมกับพยักหน้า ราวกับจะขอบคุณที่ยอมรับและให้โอกาสเขา สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มกว้างที่ใสซื่อและจริงใจอย่างยิ่ง
“มีอย่างนึงที่อยากจะบอกทุกคนเอาไว้นะครับ” นอประกาศ “พี่ไม่รู้นะว่าโปรดิวเซอร์ของทีมทำงานทีมอื่นเป็นยังไงกันบ้าง แต่กับพี่รวมถึงพี่มิ่ง เราเปิดกว้างสำหรับความคิดเห็นของทุกคน และพี่อยากจะให้ทุกคนแชร์ความคิดของตัวเองออกมาอย่างเปิดเผยที่สุด คิดอะไร รู้สึกยังไง ให้พูดกันมาได้เลยตรงๆ พี่ชอบการทำงานที่ทุกคนมีโอกาสได้รับรู้ทุกเรื่องเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเพลง ภาพของน้อง ขั้นตอนการทำงานทุกอย่าง อย่าคิดว่าเราดูตรงนี้ก็รู้แค่นี้ก็พอ ของคนอื่นไม่ยุ่ง แบบนั้นไม่ได้ นั่นไม่ใช่การทำงานในแบบของพี่” เขาว่าด้วยสีหน้าจริงจัง ในแบบที่คนภายนอกมาเห็นทีไร เป็นต้องรู้สึก แหยง ทุกทีไป
“อย่างถ้าเมษมีไอเดียเรื่องของดนตรี เมษก็เอามาแชร์ได้ หรือถ้านนท์เห็นว่าการแต่งตัวสไตล์ไหนจะเหมาะกับต้น นนท์ก็พูดได้ หรือถ้าเชนมีช่องทางการพีอาร์เพิ่มเติมก็บอกได้เช่นกัน พี่บอกได้เลยว่าจะไม่มีการก้าวก่ายเรื่องหน้าที่รับผิดชอบกันแน่นอน อันนี้ไม่ต้องห่วง พี่เพียงแต่อยากให้ทุกคนเปิดกว้างเอาไว้ แต่ที่สุดแล้ว ทุกคนต้องรู้ว่างานในแต่ละส่วนมีความก้าวหน้ายังไงแค่ไหนแล้วบ้าง ทุกคนโอเคไหม”
ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้โดยทั่วกัน
“ดีมากครับ และขอบคุณที่ทุกคนเปิดใจรับ ที่สำคัญใครมีปัญหา ติดใจอะไร มาคุยกับพี่ได้เลยโดยตรง พี่ไม่ชอบอะไรที่วุ่นวายเป็นทางการ มือถือพี่เปิดตลอด โทรหาพี่ได้”
“แล้วภรรยาไม่ว่าไรเหรอพี่ ถ้าโทรไปตอนพี่อยู่กับครอบครัวอ่ะ” เสียงหนึ่งแซวขึ้นมาบ้าง
“เฮ่ย เคลียร์กันด้ายยย” ว่าแล้ว เขาก็ทำท่าล่อกแล่กหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวังเต็มที่ เรียกเสียงหัวเราะได้อีกครา
การประชุมดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีการลงรายละเอียดในเนื้องานมากนัก เพราะการประชุมครั้งนี้ถือเป็นการแนะนำตัวกันอย่างคร่าวๆ และบอกว่าใครดูแลอะไรในภาพรวมเท่านั้น การประชุมครั้งต่อๆไปนั่นต่างหากที่จะถือเป็นการเริ่มลงมือทำงานอย่างแท้จริง
“เอาล่ะ เลิกประชุมได้” นรเศรษฐ์ประกาศ “ขอโทษนะครับที่เลยเวลาไปเยอะเลย ตาย... พี่มีต้องไปข้างนอกต่อ นี่ถ้าไม่ติดอะไรจะพาไปเลี้ยงข้าวแล้วเนี่ย เอาไว้คราวหน้านะทุกคน เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว”
“พี่นอ คิวแน่นยังกะเป็นศิลปินซะเอง” เชนแซวอย่างอดไม่ได้ตามวิสัยสาวช่างเหน็บ
“หรือน้องเชนจะเปลี่ยนจากสไตลิสต์มาเป็นเออาร์ของพี่ล่ะครับ” นอสวนกลับไปบ้าง
“วุ้ย... ไม่ล่ะค่ะพี่... หนูขอวุ่นวายกับเสื้อผ้าแบบนี้ ดีกว่าวุ่นวายกับผู้ชายมีพันธะอย่างพี่ค่ะ” ทุกคนจึงพร้อมใจกันหัวเราะออกมาอีกนั่นแหละ จึงได้ลุกขึ้นเก็บเอกสารเตรียมแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองกันเสียที
“นนท์กับน้ำต้น มีเวลาก็ทำความรู้จักพูดคุยกันให้เยอะๆนะ เราสองคนต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานเลย”
“ครับพี่มิ่ง”
“รับทราบคร้าบบบบ”
น้ำต้นยังคงไม่ละสายตาจากหนุ่มร่างเล็กท่าทางคงแก่เรียนที่นั่งอ่านอะไรอย่างตั้งใจ ขณะที่คนอื่นๆทยอยลุกเดินออกไปจากห้องบ้างแล้ว หน้านิ่วเชียว ปกติจะเป็นคนซีเรียสอย่างที่เห็นไหมนี่ นนท์ยังคงตั้งอกตั้งใจอ่านเอกสารในมือต่อไป มืออีกข้างจับปากกาขีดเขียนอะไรขยุกขยิก โห ผู้ชายอะไรมือสวยยังกับผู้หญิง อย่างนี้ล่ะมั้งที่เค้าเรียกมือศิลปิน ท่าทางเรียบร้อย นิ่งๆ เงียบๆแบบนี้ จะคุยกันได้ไหมนี่ ปกติน้ำต้นก็คิดว่าตัวเองไม่ใช่คนช่างพูดอะไรมากมายอยู่แล้ว นี่มาเจอคนไม่ช่างพูดยิ่งกว่าอีก จะไหวมั้ยน้อ
“ต้นครับ”
เออ แต่ก็แปลกคนอะไรตัวก็ไม่ใหญ่ แต่เสียงทุ้มดีจริง เสียงหล่อนะเนี่ย ชักอยากรู้แล้วว่าถ้าร้องเพลงแนวอาร์แอนด์บีแล้ว จะออกมาเพราะแค่ไหน
“น้ำต้นครับ”
เจ้าของชื่อที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงกับสะดุ้งกับเสียงเรียกที่ไม่ค่อยคุ้นหูนั้น
“ครับผม”
คราวนี้คนเรียกถึงกับหัวเราะออกมาบ้าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเลิกลั่กหันซ้ายหันขวาเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว นอกจากตัวเองกับคนที่อยู่ตรงหน้าแค่สองคน
“อ่า... ครับ” น้ำต้นเกาหัวแกรกด้วยเขินในความเปิ่นของตัวเอง
“พี่เห็นน้ำต้นนั่งเหม่ออยู่นานแล้ว เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบรับซักที ไม่ไปหาอะไรทานเหรอครับ” นนท์ถามอย่างเป็นกันเอง น้ำต้นเพิ่งเคยได้ยินประโยคยาวๆจากปากของนนท์เป็นครั้งแรก จึงออกอาการเหวอไปเล็กน้อย ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะแว่บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เอาวะ...
“พี่นนท์ ต้นเรียกพี่นนท์นะครับ... งั้นไปกินข้าวด้วยกันมั้ยพี่ ข้างล่างตึกนี่ก็ได้” น้ำต้นถามอย่างกระตือรือร้น
“ไปกินกับพี่เนี่ยนะครับ” นนท์ไม่ทันตั้งตัว
“พี่ติดอะไรรึเปล่า ต้นลืมถาม”
“เปล่าครับไม่ติดอะไร”
“งั้นไปกันป่ะ...” คนชวนลุกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจจะรอคำตอบ ทำเอานนท์ต้องวางมือจากเอกสารตรงหน้า และเก็บข้าวของเดินตามออกไปงงๆ แต่ก็ไม่ขัดข้องอะไร
“พี่ไปรอต้นที่ลิฟต์แป๊ปนึงนะครับ เดี๋ยวต้นถามคิวอะไรพี่เมษนิดเดียว เดี๋ยวตามไป” เขาหันมาสั่งเสร็จสรรพ ก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาเมษ
ครู่เดียวก็ตามมาสมทบนนท์ที่ยืนรอลิฟท์ที่ใครๆในบริษัทต่างก็รู้กันว่า ลิฟต์ที่นี่ต้องรอกันนานกว่าจะเปิดประตูรับใครสักที แต่วันนี้ในความรู้สึกน้ำต้น ทำไมไม่รู้สึกว่านานเหมือนทุกทีก็ไม่รู้
********************
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ