บทที่5 เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้มันเป็นเรื่อง
ตากลมดำใสแจ๋วตัดกับขนสีขาวสวยของเจ้าเมลิคจ้องมองบุคคลแปลกหน้าที่หอบข้างหอบของพะรุงพะรังวิ่งเข้ามาในห้องของเจ้านายตน ด้วยสัญชาติญาณของสัตว์เล็กทำให้มันสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร(?)ที่คุกรุ่นแผ่ขยายออกมาจากร่างผู้มาเยือนคนนี้
กระตายน้อยกระโดดผล็อยเข้าไปซุกกับตักอุ่นๆของพัด ด้วยสัญชาติญาณของสัตว์เล็กอีกเช่นกันที่ทำให้มันเชื่อว่าหากอยู่ที่ตรงนี้จะปลอดภัยไร้กังวล
พัดที่นั่งอยู่กับพื้นเอนหลังพิงโซฟาแก้เมื่อยก่อนเอื้อมมือมาลูบขนสีขาวๆนั่นอย่างเอ็นดูขณะที่สายตายังไม่ละไปจากร่างของอินที่ก้มๆเงยๆอยู่หน้าโต๊ะกระจกเตี้ยหน้าโซฟาสองมือต่อปลั๊กต่อสายลำโพงเข้ากับโน๊ตบุคของเจ้าตัว...เมื่อไม่ถึงนาทีที่แล้วอินโพล่งถามขึ้นมาว่าจะดูหนังด้วยกันมั้ย นั่นเป็นการกระทำที่ทำให้เขานึกประหลาดใจครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้นับจากวินาทีแรกที่ได้พบกัน
ตอนแรกเขานึกว่าอินจะชวนออกไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ข้างนอก เกือบบอกปฏิเสธไปแล้วด้วยซ้ำแต่เป็นเจ้าตัวนี้อีกนั่นแหละที่ผลุนผลันออกจากห้องไปไม่รอฟังคำตอบสักนิด...ก่อนจะกลับมาพร้อมอุปกรณ์ดูหนังในบ้านอย่างโน๊ตบุคและสั่งให้เขาเปิดไวไฟ
นอกจากจะดูหนังจากเว็บเถื่อนไม่อุดหนุนแผ่นแท้แล้วยังใช้คนอื่นเขาหน้าตาเฉยอีก...
ภาพหน้าจอปรากฏเว็บอากู๋ในตำนาน พัดจ้องจอตาไม่กระพริบความสงสัยอีกอย่างของเขาคือ...จะดูเรื่องอะไร แม้ว่าในใจจะมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอีกมากอย่างคิดยังไงถึงจะดู แล้วดูคนเดียวไม่ได้หรือไง
ช่องสำหรับพิมพ์ค้นหาถูกป้อนชื่อหนัง ตามด้วยคีย์เวิร์ดสำคัญอย่างคำว่า master DVD HD
...แอนนาเบลล่า...
รูปโปสเตอร์ภาพยนตร์แนวสยองขวัญชื่อดังโชว์หราบนหน้าจอ เรื่องราวตุ๊กตาที่เป็นที่โจษจันไปทั่วโลก เป็นหนังผีอย่างที่ผู้คลั่งไคล้สิ่งลี้ลับต้องชอบ “ก็น่าดูนะ” พัดเอ่ย...จะว่าไปตอนหนังนี่เข้าโรงก็ไม่ได้ไปดู ถือโอกาสนี้ดูไปเสียเลย
“นั่นสิ น่าดูออกเนอะ เห็นในกระทู้เขาว่าแต่งมาจากเรื่องจริงด้วย” อินตอบ รีบพูดไซโคความอยากของเหยื่อ(?)ให้มากขึ้นอีก
เป่าหูเพื่อบิ้วท์บรรยากาศ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งซึ่งใช้ตัวบังจากสายตาของพัดเอาไว้กดเปิดโปรแกรมอัดเสียงจากมือถือก่อนกดล็อคหน้าจอแล้วนำมันมาวางไว้ที่โซฟาด้านหลังอย่างแนบเนียน
เดิมพันของคนกลัวผีอย่างอินครั้งนี้แลกด้วยชีวิตเลยก็ว่าได้ รายละเอียดของแผนการคืออัดเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาของนายพัดฮีโร่ขวัญใจดีดีไปเปิดให้เจ้าตัวฟังทำลายศรัทธา...แน่นอนว่าคนอย่างอินต้องไม่ยอมให้มีเสียงของตัวเองเล็กลอดเข้าเครื่องไปเป็นแน่...
วิธีป้องกันคือ...พยายามกลั้นเสียงไว้...
แผนการฆ่าตัวตายเริ่มต้นเมื่อหน้าจอฉายหนังสยองขวัญเรื่องดังกล่าว...
“อินชอบดูหนังเหรอ” พัดเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นว่าคนข้างตัวนั่งตัวเกร็งจ้องหน้าจอเขม็งประหนึ่งกำลังกลัวจะพลาดจังหวะสำคัญอะไรสักอย่าไป
“ห๊ะ! อะไรนะ!? หนังเหรอ อ๋อออ ก็ดูเฉพาะเรื่องที่อย่างจะดูเท่านั้นแหละ”คนฟังสะดุ้งน้อยๆหลุดออกจากภวังค์
“เออน่า อย่าพูดมาก ตั้งใจดู”พูดจบก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาจ้องหน้าจอตาไม่กระพริบ ท่าทางแบบนั้นจะให้คนถามตีความเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร
ทั้งๆที่เพิ่งพบเหตุการณ์ฆ่าตัวตายมาเมื่อวาน วันนี้กลับมานั่งดูหนังผีที่ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวติดอันดับ...พัดมองอินด้วยสายตา
ชื่นชม...ช่างกล้าหาญชาญชัยเหลือเกิน เมื่อเห็นดังนั้นความตั้งใจที่จะดูหนังไปพลางกลัวไปพลาง(?)ต้องนำกลับมาพิจารณาใหม่
ในเมื่อคนชวนดูแข็งแกร่งขนาดนี้ตนจะแสดงด้านอ่อนแอออกมาก็ใช่ที่...พัดตัดสินใจดูหนังผีอย่างอดทน(?)...
ตามตำนานว่ากันว่าตุ๊กตาผีตัวนี้ถูกซื้อโดยคุณแม่เพื่อเป็นของขวัญให้ลูกสาว เธอซื้อมันมาจากร้านขายของเก่า เด็กน้อยเจ้าของตุ๊กตาวางมันไว้ที่หัวเตียง ชีวิตของเธอดำเนินไปตามปกติแต่แล้ววันหนึ่งเจ้าตุ๊กตาที่เธอใช้กอดนอนบนเตียงกลับปรากฏอยู่บน
โซฟาที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างของบ้าน
‘เปรี้ยง!!’เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างเต็มไปด้วยเมฆดำทมิฬ...อีกไม่นานฝนห่าใหญ่คงเทลงมา
เนตรสีดำขลับเหลือบมองปฏิกิริยาของเป้าหมาย ดูมาได้สิบกว่านาทีเหยื่อยังไม่มีทีท่าหวาดกลัว...
เรื่องราวดำเนินต่อไป เด็กน้อยเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของเจ้าตุ๊กตาดังกล่าว เมื่อเธอไม่อยู่มันสามารถย้ายตัวเองไปยังห้องต่างๆได้ บ้างครั้งท่านั่งของมันก็ผิดแผกไปจากเดิม บ้างก็นั่งกอดอกบ้างก็นั่งขัดสมาธิ หลายๆครั้งที่เธอวางมันไว้บนเตียงและล็อคประตูห้องเธอกลับพบว่ามันลงมานั่งในห้องอื่นอย่างห้องครัวหรือโซฟานั่งเล่น
ความกลัวเริ่มเข้าครอบงำผู้ชม เด็กหนุ่มผู้มีพื้นเดิมกลัวผีนำเรื่องราวที่ดูตรงหน้าไปผสานกับประสบการณ์ตรงที่เจอมาเมื่อวานเช้า
นายอัครินทร์เม้มปากแน่น เหงื่อเม็ดเล็กๆเริ่มผุดผลายตามไรผม แม้อุณหภูมิในห้องจะเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศและสายฝนที่โปรยปรายอยู่ข้างนอกก็ไม่ช่วยให้จิตใจอันร้อนรุ่มสงบลงได้...
ไอ้ควายอินเอ๊ยยยย อยู่ดีไม่ว่าดี กระแดะดูแอนนาเบลล่า พ่อมึงเถอะ ตอนไอ้ม่อนชวนไปดูมึงด่ามันเปิดเปิงประกาศลั่นว่าให้ตายก็ไม่ไปดู แล้วนี่มึงกำลังทำเหี้ยอะไรอยู่ ทำเหี้ยอะไร ทำเหี้ยอะไร...ทำเหี้.... “เห้ยยยยย!!!!!”
ในนาทีที่ 18ของภาพยนต์ คนที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะอดทนไม่ร้องจ๊ากก็หลุดเสียงออกมาในที่สุด
“โอ๊ยยยย กระต่ายเวร ไอ้เมลิค!!!”ต้นเหตุของการเสียฟอร์มครั้งนี้คือเจ้ากระต่ายน้อยบ้องแบ๊วนั่นเอง...
เมลิคกระโดดผลอยจากตักพัดข้ามมาเกาะขาของอินอย่างได้จังหวะ
เนื้อเรื่องดำเนินไปถึงจุดพีคแรกพอดี...เด็กน้อยนางเอกหนังพบข้อความเขียนในกระดาษว่าช่วยด้วยหรืออะไรทำนองนี้ ด้วยลายมือที่ไม่คุ้นเคยและกระดาษที่ไม่มีในบ้าน...
ฉากดังกล่าวไม่สร้างอิมแพคใดๆแก่อิน เพราะตอนนี้ร่างโปร่งเลิกให้ความสนใจกับหนังเป็นที่เรียบร้อย นักศึกษาสูงเกือบ180cm. ลุกขึ้นวิ่งไล่ตามลูกกระต่ายตัวจิ๋วที่กระโดดหนีเอาชีวิตรอดไปทั่วห้อง...
เหตุการณ์ชุลมุนขนาดย่อมกำเนิดขึ้นเมื่อเจ้าเมลิคกระโดดเข้าซอกเล็กซอกน้อย มุดเข้าใต้โต๊ะก่อนจะกระโดดขึ้นเก้าอี้ ตามมาติดๆด้วยร่างของคนเจ้าคิดเจ้าแค้น แม้แต่สัตว์กินพืชตัวกระจ้อยก็ไม่ละเว้น
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลเจ้าของห้องและเจ้าของกระต่ายถอนหายใจ ผู้ชายคนนี้แลดูชอบใช้ความรุนแรงนั่นคือสิ่งที่ดีดีเตือนเขาให้ระวัง “ซนจริงๆ คนอะไร”แต่ภาพที่เขาเห็นก็แค่เด็กดื้อคนหนึ่งที่ชอบเล่นอะไรแผลงๆ
ถ้าไม่จับมัดเอาไว้คงไม่มีทางอยู่เฉย...พัดคิดก่อนจะลุกขึ้นตามหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวไปอย่างใจเย็น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้หน้าขน มาให้จับซะดีๆ พ่อจะเอาแบตเตอเลี่ยนไถให้โกร๋นเลน” เสียงห้าวเอ่ยไล่หลัง แม้เมลิคจะฟังไม่ออกแต่สัญชาติญาณสัตว์เล็กของมันก็ร้องเตือนประหนึ่งไซเรนรถพยาบาล...ถ้าโดนจับได้ละก็ตายแน่ วี้หว่อหวี้ว่อๆ
ทันใดนั้นเจ้ากระต่ายตัวป่วนก็กระโดดตรงไปยังทิศที่เจ้านายของตนยืนอยู่
“ขี้โกงนี่หว่า หาพวกเหรอ แน่จริงตัวๆดิ!!”ถ้าคำนี้ใช้พูดกับคู่อริหรือพวกอันตพาลจะฟังดูหล่อมากแต่เมื่อมันถูกนำมาใช้กับสิ่งมีชีวิตที่ตัวเล็กกว่าสิบเท่าเลยให้ผลตรงกันข้าม...
ท่ามกลางห้องแคบๆคนที่ลืมตัวคิดว่าวิ่งเล่นกับกระต่ายอยู่บนทุ่งหญ้า มัวแต่แหกปากจึงสะดุดขาโต๊ะอย่างแรง ด้วยความเร็วที่วิ่งมาทำให้อินล้มลงทั้งตัว!!
หากแต่พระเอก(?)ยกแขนขึ้นมากันให้เสียก่อน “ระวัง!” ถึงแม้จะเป็นการโอบเพื่อป้องกันเฟอร์นิเจอพัง(?) แต่วงแขนที่พาดมาก็ทำให้ระยะห่างลดเหลือเหลือเพียง 0 เซนติเมตร
...กลิ่น...ที่ไม่เหมือนกลิ่นสบู่ที่เคยใช้....
กลิ่นน้ำหอม? กลิ่นหมึก? กลิ่นกระดาษ? กลิ่นแอร์ในที่ทำงาน? กลิ่นที่ติดตัวมาให้อารมณ์แตกต่างจากพวกเพื่อนจิ๊กโก๋(?)ของเขา เดี๋ยวสิ ทำไมเขาถึงทำตัวเหมือนกับตัวเองกลายเป็นหมาตัวน้อยๆแบบนี้ล่ะ จะไปสนใจเรื่องนี้ทำไม ตอนมีเรื่องชกต่อย ตอนเล่นกีฬาหรือตอนเรียนรด.ก็แทบจะกอดกันกลมกับคนอื่นแบบนี้...อินแน่นิ่งอย่างตกตะลึง...
ไอ้ฉากน้ำเน่าในละครรักนี่มันอะไรกัน!!!?
ดวงตาดำขลับจ้องมองไปตรงหน้า ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะอายุเท่ากันกับตน แต่บรรยากาศรอบตัวกลับเป็นผู้ใหญ่เสียจนหดให้เขาเหลืออายุแค่ 10ขวบ...พึ่งพาได้อย่างที่ดีดีเคยบอกไว้
“จะยืนค้างอีกนานมั้ย? ” น้ำเสียงทุ้มดึงอินให้สะดุ้ง เสียงที่ดังขึ้นใกล้หูกระซิบถาม เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็สบเข้ากับดวงตาอีกดวงที่มองมาที่ตนก่อนแล้ว ระยะห่างอันน้อยนิด...
...เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อบาทางามๆยันโคลมร่างของผู้มีพระคุณให้ถอย(กระเด็น)ห่างออกไปเกือบเมตร...
คนถูกถีบมองตามอย่างขำๆ ยักไหล่อย่างไม่ถือสาก่อนถามขึ้นว่า”แล้วยังจะดูต่อมั้ย?”
“ไม่ดูแล้ว!!”คำตอบที่ไม่ผิดคาดไปเท่าไหร่นักดังออกจากปากของคนที่เกลียดความพ่ายแพ้อย่างอินผู้พ่ายแพ้ให้กับสิ่งลี้ลับรอบที่ล้านแปด
คิ้วเรียวขมวดผูกกันเป็นโบว์เนื่องจากแผนพังไม่เป็นท่า นักศึกษาวิศวะก้มเก็บอุปกรณ์ดูหนังและอุปกรณ์บันทึกเสียงอย่างหัวเสีย เขาตั้งใจว่าจะกลับไปตั้งหลักคิดแผนเด็ดๆสำรองไว้อีกสักแผนสองแผน...
“ไปละบาย”อินโบกมือลาหยอยๆตามแบบฉบับ ก่อนจะปิดประตูเดินจากไป ทิ้งให้กระต่างน้อยและเจ้าของมองตามอย่างเหนื่อยใจ...คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ทำตัวเหมือนพายุฝนไม่มีผิด...
เมื่อพูดถึงพายุฝนแล้วพัดก็เดินไปเลิกผ้าม่านออก นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองหยดน้ำที่ร่วงกระหน่ำลงสู่พื้นดินเหมือนท้องฟ้ารั่ว...คงจะไม่หยุดตกง่ายๆแน่
.
.
.
อินวางของลงบนโต๊ะกินข้าวก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟาเจ้าเก่าอย่างเหนื่อยอ่อน...ดูหนังผีไม่ถึงยี่สิบนาทีก็โทรมราวกับไปออกรบ มือเรียวยกขึ้นมากระพือคอเสื้อคลายร้อน...เมื่อเจ้าของห้องไม่อยู่แบบนี้ผู้อาศัยอย่างเขาเองก็ไม่กล้าเปิดแอร์สุ่มสี่สุ่มห้า
การใช้ไฟฟ้าอย่างสิ้นเปลืองเป็นสิ่งที่ห้ามทำเมื่อเรามาขอเขาอาศัย...คือคำสอนอันน้อยนิดของมารดาที่หลงเหลืออยู่ในหยักขี้เลื่อยใต้สมองอิน
ร่างโปร่งตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดทีวีดูแก้เหงา...แม้ว่ามารดาจะเคยกล่าวว่าห้ามดูโทรทัศน์ตอนฝนตกไม่งั้นฟ้าจะผ่าก็ตาม...ท่ามกลางบรรยาศเหมาะสม(กับการออกโรงของสิ่งลี้ลับ)เช่นนี้อินไม่ลืมที่จะเปิดละครดูเพื่อให้พระเอกนางเอกอยู่เป็นเพื่อน(?)
ภาพที่ปรากฏบนจอคือสารคดีสัตว์โลกเกี่ยวกับงูเหลือบเขมือบกระต่าย สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาสร้างความพึงพอใจแก่คนที่มีความแค้นส่วนตัวกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์นี้อย่างอิน แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ไม่ใช่คนรักธรรมชาติ...ทนดูงูได้ไม่นานอินก็มองหารีโมทเพื่อเลื่อนช่อง
เนตรคมกวาดมองไปตามเบาะก็ไม่พบสิ่งที่ตามหา ระดับสายตาจึงเลื่อนไปยังโต๊ะเตี้ยๆด้านหน้าแต่บนโต๊ะกับว่างเปล่าไม่พบอะไรเลย...หายไปไหนวะ? จำได้ว่าตอนมานอนเล่นเมื่อบ่ายเห็นวางไว้บนโต๊ะ
หรือว่าเราจะเผลอหยิบไปวางทิ้งไว้ไหน เด็กหนุ่มไล่ความทรงจำลำดับความคิดในสมอง...เมื่อบ่ายเขามานอนแผ่ตรงนี้แล้วก็โดนฟิกเกอร์อาสึนะจังทิ่มหลังจากนั้นก็เอาไปวางไว้บนโต๊ะ พอตื่นมาก็ออกไปหาพัดที่ห้อง ในความทรงจำไม่กล่าวถึงการมีตัวตน
ของเจ้ารีโมทแม้แต่น้อย
ฟิกเกอร์อาสึนะจัง...!?
ทันใดนั้นอินก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่สำคัญกว่ารีโมท สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งนั้น!! หุ่นจำลองตัวละครหญิงที่ควรจะตั้งอยู่บนโต๊ะอันตทานหายไป!!
หรือว่า...ฉากในหนังที่เพิ่งดูจบ เอิ่ม...ดูไม่จบไปเมื่อครู่แล่นย้อนเข้ามาเป็นช็อตๆราวกับมีคนมาฉายรีรันในสมอง...จุดเชื่อมโยงบางอย่างที่คล้ายคลึงกันเล่นเอาเด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่...
เป็นไปไม่ได้หรอกอิน มึงใจเย็นๆสิ ฟิกเกอร์ตัวนี้ผลิตเมื่อ2เดือนก่อนนี้เองของใหม่ขนาดนี้จะไปมีอะไรได้ยังไง
ครืดดดด ครืดดดด...
ยังไม่ทันจะปลอบใจตัวเองเสร็จมือถือในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน ชื่อสายที่โทรเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนดีดีนั่นเอง
“มึงอยู่ไหนเนี่ย!! กลับห้องด่วนเลย!!อินรีบกลอกคำใส่ทันทีที่กดรับสาย
“โทษทีนะอิน ฮึก...คืนนี้เราต้องค้างบ้านลุงที่นครปฐม ฮือออ...พรุ่งนี้อาจจะเข้าสายหน่อย อึก...ฝากมึงอัดเสียงอาจารย์มาให้ด้วย”พูดคำสะอื้นคำ น้ำเสียงสั่นเครือจากปลายสายทำให้อินอดเป็นห่วงไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรให้ช่วยรึป่าว”นายอัครินทร์เอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง อีกฝ่ายเองก็จับกระแสอ่อนโยนในน้ำเสียงนั้นได้เลยรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย
“ลูกพี่ลูกน้องเราเสีย...เกิดอุบัติเหตุรถชนเมื่อเที่ยงนี่เอง เราเลยรีบออกมาโดยไม่ได้โทรบอกอินก่อน งานศพเพิ่งเลิกเลยได้โทรมาหาเนี่ย ฮืออออ พี่คนนี้เค้าใจดีมากๆเลยนะ ตัวเองไม่ชอบดูการ์ตูนแท้ๆแต่กลับหาซื้อฟิกเกอร์ให้เราตั้งหลายตัว...”ดีดีกล่าวแค่นั้นก็เงียบหายไป ดูเหมือนจะหันไปสั่งน้ำมูก
“เนี่ย...อาสึนะจังที่อยู่บนตู้หัวนอนของเราอะ พี่เค้าก็ซื้อให้ ฮึกๆ...เป็นตัวล่าสุดเลย...ฮือออออ แค่นี้ก่อนนะอินป้ามาตามให้ขึ้นรถแล้ว บาย”พูดจบก็วางสายไป...ทิ้งให้นายอินล่องลอยไปในความเวิ้งว้างอันใกล้โพ้น...
‘เปรี้ยง!!’ เอฟเฟ็คฟ้าฝ่าดังขึ้นประกอบฉากราวกับรู้งาน
พอได้ยินสิ่งที่ดีดีเล่าจบแม้แต่น้ำลายก็ระเหยออกทางหู...ร่างโปร่งค่อยๆลุกขึ้นยืนตัวแข็งทื่อ ออกแรงยกขาที่สั่นระริกพาตัวเองขยับไปข้างหน้าทีละน้อย...ที่ละน้อย...
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว...ก้าวที่สี่ก็มาถึงข้างตู้บรรจุหุ่นจำลองหลายสิบตัว...ตอนเห็นครั้งแรกก็ว่ามันสวยดี เห็นครั้งที่สองก็ยังว่าสวยอยู่ แต่พอมาครั้งนี้อินไม่แม้แต่จะหันไปเห็น...
‘เปรี้ยง!!’ฟ้าฝ่าออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ต่างออกไปจากครั้งที่แล้ว มันเป็นเหมือนเสียงปืนออกสตาร์ทวิ่ง...คำว่าเผ่นป่าราบเป็นอย่างไรอินได้ลองทำด้วยตัวเองก็วันนี้...
อดดดดดดดดดด!!!ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ออดเคราะห์ร้ายถูกนักศึกษาวิศวะตัวแสบคนนี้กดครั้งที่เท่าไหร่ก็นับไม่ถ้วน...ประตูห้องของเพื่อนบ้านเปิดออกอีกครั้ง เจ้าของห้องนามพัดโผล่หัวที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามนับล้านตัวออกมา ก่อนที่ร่างสูงจะได้ถามอะไรแขกยามวิกาลก็ตะโกนออกมาเสียดังลั่นว่า...
“นอนด้วยได้ปะ!!!!?”
...................................................................................
อินเอ๋ยอิน ไม่ด่าว่าโง่นี่อยู่ไม่ได้จริงๆลูก
จับฉลากเข้ามหาลัยรึป่าวคะเนี่ย 555555
แต่งเองยังเหนื่อยใจแทนคนรอบข้างจริงๆ หาเรื่องตลอด จับมาจิ้ม เอ๊ย ตีตูดซะให้เข็ด 555
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ ><