ตอนที่ 37
#เหนื่อยใจกับมึงจริงๆ
กลับมาแล้วตามคำสัญญา อ่านแล้วอย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจไรต์ด้วยนะครับ
หลังจากที่ผมกับมิกซ์ทำเซอร์ไพรซ์พ่อกับแม่ด้วยการเปิดตัวแฟนที่เป็นผู้ชายพร้อมๆ กัน ดูทั้งสองคนจะตกใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ห้ามหรือกีดกัน กลับเอ็นดูภาคกับช้อปเหมือนกับได้ลูกชายเพิ่มมาอีกสองคน
คงเพราะสองคนนั้นรู้จักประประแจงพ่อกับแม่ผมละมั้งครับ ไอ้ภาคนี่เข้าทางแม่ผมทั้งช่วยทำกับข้าวถึงแม้จะเก้ๆ กังๆ ก็เถอะแต่ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจแม่ผมมาก ส่วนช้อปคนนั้นเข้าทางพ่อและดูเหมือนพ่อจะชอบแฟนลูกชายคนเล็กมาก ก็ทั้งเรียนเก่งทั้งรวยแถมยังหล่ออีกต่างหาก ต่างกับภาคที่กลัวพ่อผมเอามากๆ เห็นหน้าทีไรต้องหดคอทำหน้าหงอยตลอด เห็นแล้วก็อดสงสารมันไม่ได้
วันนี้ถึงเวลาที่พวกเราต้องกลับมหาลัยกันแล้ว เราสี่คนช่วยกันหิ้วของฝากที่พ่อกับแม่เตรียมไว้ให้ใส่หลังรถ ผมกับมิกซ์เข้าไปกอดและรับพรจากพ่อกับแม่รวมถึงรับคำสั่งว่าให้ดูแลน้องชายตัวดีไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง เรื่องนั้นคงต้องให้ช้อปเป็นคนจัดการแทนแล้วล่ะครับ จากเสือมิกซ์จะกลายเป็นแค่ลูกแมวเหมียวทันทีเมื่อมันอยู่ในมือช้อป
“แม่ฝากสองคนนี้ด้วยนะ” แม่หันไปพูดกับลูกชายคนใหม่ของบ้านที่ยืนรออยู่ด้านหลัง ทั้งสองคนตกปากรับคำเป็นอย่างดี
หลังจากที่ร่ำลาพ่อกับแม่รถหรูของช้อปก็เคลื่อนตัวมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศในทันที
“ม่อน มึงว่ากูซื้ออันนี้ดีไหม” ภาคยื่นโทรศัพท์ที่เปิดแค็ตตาล็อกของเล่นกามของมันให้ผมดู มันนี่หื่นไม่เลือกที่จริงๆ เงินค่าแรงที่มันทำงานจะพอค่าเทอมรึเปล่าก็ยังไม่รู้ ยังมีหน้าสั่งของแบบนี้มาอีก ผมว่ากลับไปถึงห้องคงต้องคุยเรื่องนี้กับมมันหน่อยแล้ว
ผมนั่งมองวิวสองข้างทางที่กำลังเปลี่ยนจากต้นไม้สีเขียวเป็นตึกสูง ผมนั่งหลับเกือบสามชั่วโมงโดยมีไหล่ของคนข้างคอยเป็นหมอนให้ตลอดทาง
“เมื่อยแล้วทำไมไม่ปลุกกู”
“แค่นี้เอง ไม่เมื่อยหรอก” ถึงมันจะตอบแบบนั้นแต่ผมแอบเห็นมันขยับไหล่ตัวเองอยู่หลายครั้ง
“มานี่ เดี๋ยวกูนวดให้” ผมช่วยบีบคลายความเมื่อยให้
“ขอบคุณนะครับ” มันยิ้มกว้างตอบกลับมา
การจราจรในกรุงเทพฯ ยังคงติดขัดอย่างต่อเนื่อง เราติดอยู่บนถนนหลักกว่าจะเข้ามาถึงตัวมหาลัยก็ใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมง
ช้อปขับรถมาส่งเราสองคนที่คอนโด หลังจากนี้ผมคงต้องหอบข้าวหอบของมาอยู่กับภาคอย่างเป็นทางการเพราะห้องที่เคยอยู่ได้ตกเป็นของมิกซ์ไปเรียบร้อย
ส่วนเรื่องไอ้นัทรูมเมทของผมนั้นคงไม่ต้องเป็นห่วง มันสนิทกับน้องชายมากกว่าตัวผมที่เป็นรูวิดีโอเมทมันซะอีก ก็ดีแล้วละครับนัทมันจะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาคอยดูไอ้น้องตัวแสบของผมอีกทาง
ผมหอบข้าวของที่พ่อกับแม่ให้ขึ้นมาบนห้อง อย่างที่ผมเคยบอกผมต้องคุยกับภาคเรื่องการใช้เงินของมัน หลังจาที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยผมก็เรียกมันมาคุยทันที
“ภาคมานี่หน่อย” ผมตบโซฟาเรียกอีกคน
“มีอะไรรึเปล่า” มันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
“กูคำนวณดูแล้ว เงินที่มึงทำงานคงไม่พอจ่ายค่าเทอม”
“อื้ม กูรู้แล้ว”
“มึงเอาของกูออกก่อนก็ได้นะ” ผมพอมีเงินเก็บเหลืออยู่บ้างคงพอช่วยมันจ่ายของเทอมนี้ได้
“เฮ้ย...ไม่เป็นไร”
“แล้วมึงจะเอาเงินที่ไหนจ่าย”
“ไม่ต้องห่วงกูคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว” สีหน้ามันดูมั่นใจมากแต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดห่วงไม่ได้
เหลืออีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะเปิดเทอมแล้ว ค่าเทอมมันก็ยังขาดอีกตั้งหลายพันมันจะมาที่ไหนมาจ่ายได้ทัน
“ถ้าไม่พอมึงต้องรีบบอกกูนะ”
“ขอบคุณนะ” ผมปล่อยให้มันกอดให้มันอ้อนอย่างที่เคยทำ
ตลอดที่ผ่านมาผมมีความสุขมากที่รู้ว่ามีใครคอยอยู่ข้างๆ ถึงจะมีเรื่องให้ปวดหัวบ้างแต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดี
แต่ครั้งนี้ผมเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เราสองคนทำอยู่มันถูกต้องรึเปล่า ผมดึงภาคมันลงมาลำบากกับผมรึเปล่า ยิ่งคิดผมยิ่งรู้สึกผิดแต่จะให้ผมปล่อยมือจากมันอีกผมคงทนรับความเจ็บปวดแบบนั้นไม่ไหว
ผมนั่งมองมันเดินไปเดินมาหยิบของฝากที่พ่อกับแม่ผมเตรียมไว้ให้เดินเข้าไปในครัว เสียงตะหลิวกระทบกับกระทะดังออกมาหลังจากที่มันเดินเข้าห้องครัวได้ไม่นาน
ผมแอบตามเข้าไปโดยไม่ให้มันรู้ตัว ภาพที่เห็นคือแฟนผมกำลังยืนจับตะหลิวอยู่หน้าเตาในชุดกันเปื้อนสีขาว กลิ่นไหม้ลอยเตะจมูกจนผมต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“มึงทำอะไร” ผมถามคนที่ยืนเหงื่อตกแต่ใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
“ทำข้าวเที่ยงให้มึงไง” ผมอดยิ้มกับท่าทีของมันไม่ได้
ผมมองไข่เจียวในกระทะที่ตอนนี้มีทั้งควันและกลิ่นไหม้ลอยคลุ้งไปทั่ว แต่เชฟมือใหม่ของผมเหมือนจะยังไม่รู้ว่าอาหารที่ตัวเองตั้งใจทำนั้นไหม้ซะแล้ว
“กูได้สูตรเด็ดมาจากแม่มึงเลยนะ” ผมเพียงพยักหน้าปล่อยให้เชฟมือใหม่ทำงานต่อไป
กลิ่นไหม้ยังลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานตะหลิวในมือของมันก็เริ่มขยับ มันพลิกไข่เจียวที่อยู่ในกระทะอย่างเก้ๆ กังๆ แต่สุดท้ายก็ทำสำเร็จ
มันยืนมองไข่เจียวที่ไหม้เกรียมอยู่สักพักก่อนรอยยิ้มบนใบหน้ามันจะจางหายไป
“เฮ้อ…” มันถอนหายใจเสียงดังก่อนจะเทไข่เจียวในกระทะลงถังขยะ
“ทำไมไม่เหมือนตอนที่ทำกับแม่มึง” มันหันมาทำหน้าหงอย คงจะผิดหวังที่ทำไข่เจียวให้ผมทานไม่ได้
“มา เดี๋ยวกูเป็นลูกมือให้” ผมไม่อยากให้มันเสียกำลังใจ มันอุตส่าห์ตั้งใจทำถึงขนาดนี้
มันเริ่มตอกไข่และใส่ส่วนผมใหม่ทั้งหมด กระทะใบเดิมถูกนำมาตั้งบนเตาอีกครั้ง มันเอื้อมมือไปเปิดเตาด้วยท่าทางไม่มั่นใจ
“เมื่อกี้มึงเปิดไฟแรงไปไข่เลยไหม้ ทอดไข่เจียวใช้ไฟกลางก็พอ” ผมยื่นมือไปจับมือของมันหมุดเปิดเตาที่ไฟกลาง
“ต่อไปก็เทน้ำมันใส่” มันหยิบขวดน้ำมันเทลงกระทะ
“พอแล้ว! ทอดไข่ห้ามใส่น้ำมันเยอะเพราะมันจะอมน้ำมันเข้าใจไหม” มันหันกลับมาพยักหน้าตอบ
“รอให้น้ำมันร้อนแล้วก็ใส่ไข่ลงไป” มันจ้องกระทะสักพักก่อนจะหยิบไข่ที่เตรียมไว้เทลงไป ดูเหมือนมันจะทำขั้นตอนนี้ได้เป็นอย่างดี คงเพราะได้วิชาการทำครัวจากแม่ผมมาบ้าง
“กูพลิกเลยได้ไหม”
“ลองเขย่ากระทะดูก่อน ถ้าไข่ไม่ติดก็แสดงว่าสุกแล้ว” มันเขย่ากระทะอย่างตั้งใจตามที่ผมบอก
“ไม่ติดแล้ว งั้นกูพลิกเลยนะ” มันค่อยๆใช้ตะหลิวพลิกไข่เจียวอย่างพิถีพิถัน กว่าจะพลิกได้ผมก็ต้องลุ้นเอาใจช่วยมันอีกแรง
เมื่อเห็นว่าผลงานเป็นที่น่าพอใจ เชฟสุดหล่อของผมก็กระโดดโลดเต้นดีใจอย่างกับเด็ก จนผมอดขำกับท่าทางของมันไม่ได้
“มึงไปรอที่โต๊ะนะ เดี๋ยวทำเสร็จกูจะยกไปให้”
อาหารสำหรับมื้อเที่ยงถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ กลิ่นหอมจากไข่เจียวลอยเตะจมูกผมอยู่เนืองๆ
“เดี๋ยว!” คนตรงหน้าร้องห้ามก่อนที่ช้อนจะถึงเนื้อไข่เจียวฟู ภาคลุกจากเก้าอี้วิ่งอ้อมหลังเข้าไปในห้องนั่งเล่น ไม่นานมันก็กลับมาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ
แช้ะ!
เสียงลั่นชัตเตอร์ดังติดต่อกันหลายครั้ง มันนั่งเลือกรูปสักพักก่อนส่งโทรศัพท์มาให้
“อะไร” ผมรับมาอย่างงงๆ บนหน้าจอโทรศัพท์มีเพียงรูปถ่ายที่พร้อมจะอัพลงเฟชบุค
“คิดแคปชั่นให้กูหน่อย”
ผมว่าผมคิดแคปชั่นสำหรับอาหารมื้อนี้ได้แล้ว
ข้อความที่คิดไว้ถูกพิมพ์ลงไปอย่างตั้งใจ ผมกดปุ่มโพสต์ก่อนส่งโทรศัพท์กลับให้เจ้าของ
‘ไข่เจียวสูตรพิเศษกับคนพิเศษ’
คนตรงหน้าฉีกยิ้มเมื่ออ่านข้อความในโทรศัพท์ คงไม่มีแคปชั่นไหนที่เหมาะไปกว่านี้แล้ว จะมีอะไรพิเศษไปกว่าการได้ทานอาหารฝีมือของคนที่เรารักได้
“เป็นไงบ้าง” ไข่เจียวคำแรกถูกตักเข้าปาก สีหน้าของเจ้าของเมนูจับจ้องปากผมตาไม่กะพริบ แม้แต่ตอนกลืนมันยังทำท่าทางตาม สงสัยจะลุ้นว่าฝีมือตัวเองจะออกมาเป็นยังไง
ผมแกล้งทำสีหน้าเรียบให้คนตรงหน้าตกใจเล่น ขอแกล้งมันหน่อยละกัน
“ไม่อร่อยสินะ” แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด มันหน้าหงอยไปเลยเมื่อผมเงียบหลังจากกลืนไข่เจียวลงคอ
“กูคงไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้จริงๆ” คราวนี้มันวางช้อนลง ลุกออกจากเก้าอี้หันหลังเดินคอตกกลับเข้าไปในครัว สีหน้ามันดูผิดหวังมาก
ผมแกล้งมันแรงไปไหมเนี่ย
ผมเองก็รู้สึกผิดที่แกล้งมันแบบนั้น มันคงเสียความมั่นใจมาก ผมรีบวิ่งตามหลังมันไป ก่อนจะเห็นว่ามันกำลังทำบางอย่างอยู่
กาน้ำร้อนถูกยกออกมาเสียบ ในมือของมันถือซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่
“มึงจะทำอะไร”
“ก็จะทำบะหมี่ให้มึงไง” ประโยคนี้ทำผมรู้สึกผิดกับมันมาก ทั้งที่มันตั้งใจทำอาหารให้แต่ผมกลับแกล้งมัน
“ภาคกูขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“เรื่องไข่เจียวไง กูแค่อยากแกล้งมึงเล่นๆ” มันเงียบไม่พูดอะไรกับผมอีกเพียงวางซองบะหมี่แล้วเดินสวนผมออกจากห้องครัวเท่านั้น มันงอนผมแล้วแน่ๆ
“ภาคกูขอโทษ” มันเดินหนีผมเข้าไปในห้องนอน ผมพยายามเคาะเรียกหลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนข้างใน งอนแล้วเงียบแบบนี้ไม่ดีแน่
“ภาคออกมาคุยกันก่อน” ทำยังไงมันก็ไม่ยอมตอบ
ผมเดินคอตกกลับมาที่โต๊ะอาหาร ทิ้งตัวลงนั่ง มองไข่เจียวที่เริ่มเหี่ยวลงเรื่อยๆ ไม่ต่างกับหัวใจผมตอนนี้
โทรศัพท์ของใครสักคนดังอยู่ไม่ห่าง ใช่สิ โทรศัพท์มันยังอยู่ตรงนี้แต่ผมจะทำยังไงเจ้าของของมันยังอยู่ข้างในไม่ยอมคุยกับผมเลยด้วยซ้ำ
‘ฮัลโหล ว่าไงมึง’ ผมคิดอะไรไม่ออกจึงตัดสินใจโทรหาไอ้นัทเผื่อว่ามันจะช่วยได้
“นัทมึงช่วยกูด้วย”
‘มึงเป็นอะไร’ เสียงมันดูตกใจมาก
“ช้อปมันงอนกู”
‘ไอ้สัส! ผัวงอนแล้วโทรมาหากูว่างั้น’
“เออ มึงช่วยกูหน่อยนะ”
‘พวกมึงช่วยมันหน่อย มันทะเลาะกับผัวมา’ เหมือนว่ามันไม่ได้อยู่แค่คนเดียวเพราะเริ่มมีเสียงจอแจดังขึ้นหลังจากที่มันพูดจบ
“พวกมึงกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”
ตั้งแต่แยกย้ายกันกลับบ้านช่วงปิดเทอมผมก็ไม่ได้เจอกับพวกมันเลย มีบ้างที่วีดีโอคอลคุยกันแต่ก็นานๆ ครั้ง ไม่รู้เลยว่าพวกมันจะกลับเข้ามหาลัยเร็วขนาดนี้ซ้ำยังนัดกันโดยไม่มีผมอีก งอนซะเลยดีไหม
เรื่องงอนพวกมันคงต้องเอาไว้ก่อนเพราะยังมีอีกคนนั่งงอนผมอยู่อีกห้อง นัทเปลี่ยนจากการโทรเป็นวิดีโอคอลมาหาผมแทน
‘ไปทำอีท่าไหนล่ะผัวถึงงอน’ หน้าเฟิร์นโผล่ขึ้นมาคนแรกพร้อมกับคำถามแทงใจดำ
ผมจะเล่าเรื่องไข่เจียวให้พวกมันฟังดีไหม ถ้าเล่าไปนอกจากพวกมันจะไม่ช่วยแล้วคงซ้ำเติมผมแน่ เอาเป็นว่าผมไม่เล่าเรื่องนี้ให้พวกมันฟังดีกว่า
“กูแค่แกล้งมันนิดหน่อย” ผมโกหกคำโตกลับไป
‘แล้วตอนนี้ภาคเป็นไงบ้าง’ ผมเล่าท่าทีของคนงอนไป ทั้งขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมพูดไม่ยอมจา
เพื่อนแต่ละคนต่างช่วยกันออกความคิดเห็นจนสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปวิธีการง้อในครั้งนี้
“เอาจริงหรอวะ”
‘มึงไม่อยากให้ภาคมันหายงอน?’ สิ้นเสียงนัท ผมรีบพุ่งตัวไปจัดเตรียมอุปกรณ์ตามคำแนะนำ
กระดาษ A4 กับปากกาไฮไลต์สีเหลืองนีออนถูกเตรียมออกมา ผมทิ้งตัวลงหน้าห้องนอนแนบหูกับบานประตูฟังเสียงคนข้างใน
[ภาค] ผมเขียนตัวอักษรตัวโตลงในกระดาษก่อนสอดมันผ่านช่องว่างใต้ประตู
วิธีง้อแบบนี้ผมเคยเห็นในเอ็มวีเพลงยุค 90 มันดูตลกยังไงไม่รู้ ไม่คิดว่าวันหนึ่งต้องใช้วิธีนี้ง้อแฟน แต่มันคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ หวังว่าคนข้างในจะยอมใจอ่อนนะ
ก๊อกๆ ผมเคาะประตูหลังจากสอดกระดาษเข้าไป
ผมแนบหูกับบานประตูอีกครั้งเพื่อเช็กว่าภาคมันอ่านข้อความที่ผมส่งไปให้ เสียงเท้าดังเข้ามาใกล้ ผมกำลังลุ้นให้เจ้าของเสียงเท้าหยิบกระดาษแผ่นนั้น
และก็เป็นอย่างที่หวัง ผมเริ่มเขียนข้อความถัดไปทันที
[ขอโทษนะ]
[ยกโทษให้เค้าได้ไหม]
[เค้าแค่แกล้งเฉยๆ] ผมวิ่งกลับไปที่ห้องครัวยกจานไข่เจียวกลับมานั่งหน้าห้องนอนตามเดิม
[ไข่เจียวที่ตัวเองทำอร่อยที่สุดเลย] ผมตักไข่เจียวเข้าปากโดยใช้ช้อนกระทบจานเสียงดังให้คนข้างในได้ยิน
[จะหมดแล้วนะ]
[หมดแล้ว] ผมทานไข่เจียวจนหมดแต่ท่าทีของมันยังไม่เปลี่ยน ยังคงเงียบไม่ตอบกลับผมเหมือนเดิม
[อยากกินไข่เจียวฝีมือแฟนอีกจัง] จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับจากมันเลยสักนิด
ผมเก็บกระดาษที่วางเกลื่อนอยู่บนพื้นห้อง บางส่วนเขียนข้อความไว้แต่ยังไม่ส่ง มันคงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
ผมเดินกลับมาเก็บจานข้าวที่เหลือบนโต๊ะอาหาร ในขณะที่กำลังเก็บจานอยู่เหมือนมีใครบางคนเดินผ่านหลังเข้าไปในห้องครัว ผมวางทุกอย่างที่อยู่ในมือลงสาวเท้าวิ่งตามคนๆ ไป
“มึงจะทำอะไร” ผมถามคนขี้งอนที่กำลังยืนอยู่หน้าเตา
“ก็เห็นบอกว่าอยากกินอีก” ผมคลี่ยิ้มวิ่งตรงเข้าไปกอด ซุกหน้าเข้ากับหลังกว้าง
“ขอโทษนะ หายงอนได้แล้ว”
มันหันตัวกลับมาจับไหล่ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“น่ารักขนาดนี้กูจะงอนได้ไงละ”
“จริงนะ มึงหายงอนกูแล้วจริงๆ นะ” ผมมุดหน้าซุกอกแน่น
“แต่มึงต้องสัญญากับกูก่อน” มันว่าสีหน้าจริงจัง ผมรีบพยักหน้าตอบเพราะกลัวว่ามันจะเปลี่ยนใจ
“นอกจากกู มึงห้ามอ้อนใครแบบนี้เข้าใจไหม”
“กูจะอ้อนมึงแค่คนเดียว สัญญา” รอยยิ้มหล่อๆ กลับมาบนใบหน้ามันอีกครั้ง
“มึงก็เหมือนกัน ห้ามยิ้มหล่อให้ใคร ถ้ากูรู้มึงตายแน่” ผมก็ไม่ชอบให้มันยิ้มแบบนี้ให้ใครเหมือนกัน
“ครับๆ ผมจะยิ้มให้คุณแฟนแค่คนเดียวเลยครับ”
แล้วบทง้องอนครั้งนี้ก็จบลงด้วยไข่เจียวสูตรพิเศษจานใหม่ ต้องขอบคุณวิธีง้อยุค 90 ของพวกมันมากๆ ไม่คิดว่ามันจะเวิร์คแต่กลับใช้ได้ผลเป็นอย่างดี เดี๋ยวคงต้องรายงานผลให้พวกมันรู้ซะหน่อยแล้ว
วันทั้งวันผมกับภาคขลุกอยู่ในห้องกันสองคน เรียกได้ว่าตัวติดกันตลอดเวลา มีแค่ครั้งเดียวที่ภาคมันออกไปคุยโทรศัพท์แต่สักพักก็กลับมานั่งขลุกกับผมต่อ
“พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยนะกูจะพาไปข้างนอก”
“ไปไหน”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้” จะบอกก็ไม่บอกมาทั้งหมด ไม่ชอบเลยพูดเป็นปริศนาแบบนี้
“ไม่บอกจริงๆ หรอ” ผมใช้ลูกอ้อนเข้าสู้ เกยคางกับหน้าท้องลีนๆ ของมัน ดูซิจะทนได้สักกี่น้ำ
“ไม่เอาอย่าเล่นแบบนี้” มันดิ้นพล่านเมื่อผมซุกหน้าเข้าไปในเสื้อ ผมใช้ไรหนวดที่เริ่มขึ้นเป็นตอไซร้วนทั่วหน้าท้อง
“พะ...พอแล้ว ยอมแล้ว”
“งั้นก็รีบบอกมา”
“กูจะพาไปหาคุณย่า”
“ห๊ะ! เมื่อกี้มึงบอกว่าไปหาใครนะ” หวังว่าที่ได้ยินเมื่อกี้แค่หูฝาด มันคงไม่คิดจะพาผมไปย่ามันจริงใช่ไหม
“กูจะพาไปหาคุณย่า”
“ไม่ไป!” ผมตอบเสียงแข็ง เรื่องของพ่อมันยังเคลียร์ไม่จบจะให้ผมไปเจอย่ามันอีกเนี่ยนะ พ่อมันยังโหดขนาดนั้นแล้วแม่ของพ่อมันจะโหดขนาดไหน ผมไม่อยากมีปัญหากับผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกเราอีก
“กูถึงไม่อยากบอกมึงก่อนไง”
“แล้วทำไมต้องพากูไปเจอย่ามึงด้วย”
“กูจะไปขอร้องให้ท่านช่วยคุยกับพ่อเรื่องของเรา” ผมเองก็อยากให้พ่อของมันยอมรับเรื่องของเรา แต่ผมไม่มั่นใจว่าย่าของมันจะเห็นด้วยกับความรักของเรา
“แล้วถ้าท่านไม่เห็นด้วยล่ะ”
“กูพยายามทำทุกอย่างเพื่อเราสองคน แล้วมึงจะยังกลัวอะไรอีก ถึงท่านจะไม่เห็นด้วยกูก็ไม่มีทางปล่อยมือมึง” มือหนาเอื้อมมาจับ สายตาที่ส่งมาช่วยเพิ่มความมั่นใจได้เป็นอย่างดี
ถึงจะเกิดอะไรผมก็ไม่มีทางปล่อยมือมันเหมือนกัน
“เชื่อกูนะ” ผมถูกดึงเข้าไปกอดไว้แน่น ถึงจะไม่มั่นใจกับใครก็ตามแต่ผมมั่นใจในตัวมัน เรากระชับกอดกันแน่นขึ้น ผมปล่อยให้หัวใจทำงานด้วยตัวของมันเองส่วนร่างกายผมตอนนี้กำลังมีอีกคนควบคุมมันอยู่ บทจูบอันเร่าร้อนกับท่าต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ความสุขของเราสองคนพร้อมที่จะล้นเอ่อออกมาได้ทุกเมื่อ
“มึงไม่เบื่อกูบ้างหรอ” ผมซุกหน้ากับอกเปลือย
“ถามแบบนี้มึงเบื่อกูแล้วงั้นหรอ” มันทำหน้างอเหมือนพร้อมจะงอนผมอีกรอบ
“กูไม่ได้หมายความแบบนั้น กูกลัวว่ามึงจะเบื่อกูมากกว่า” ผมทำเสียงงอนมันบ้าง
“มึงนี่จริงๆ กลัวนั้นกลัวนี่อยู่เรื่อย ถ้ากูเบื่อมึงกูจะนอนกอดมึงแบบนี้ทุกวันทำไม” มันกระชับกอดแน่น กดจมูกลงที่หน้าผาก
“นอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย”
เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการอ่อนเพลีย ผมหลับๆ ตื่นๆ เกือบทั้งคืน ก็เพราะความตื่นเต้นนั่นแหละครับที่เป็นเหตุ ผมคิดมากเรื่องย่าของภาคมันจนเก็บไปฝัน ภาพหญิงแก่หน้าดุถือปืนไล่ยิ่งจนผมสะดุ้งตื่นหลายต่อหลายครั้ง
ย่าของมันคงดุไม่เหมือนในความฝันใช่ไหม ผมเริ่มรู้สึกกลัวๆ ขึ้นมาแล้ว
ผมมัวแต่คิดมากจนลืมสังเกตว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ หายไป ผมเดินตามหาจนทั่วห้องแต่ก็ไม่เจอ มันออกไปไหนตั้งแต่เช้า
กว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่มันหายไปยังไม่นับรวมกับตอนที่ผมหลับอยู่ มันออกไปไหนโดยที่ไม่บอก ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์โทรหามัน
แกร๊ก!
ยังไม่ทันจะกดโทรออกคนที่ผมตามหาก็เปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมกับถุงพลาสติกในมือ
“มึงหายไปไหนมา” ผมยืนกอดอกมองดุคนตรงหน้า
“กูไปเอารถที่คอนโดไอ้ช้อป” มันชูรีโมตรถหรูขึ้นมายืนยัน
“แล้วทำไมไม่บอกก่อน”
“ขอโทษ ช้อปมันมีธุระกูเลยต้องรีบออกไปเอารถ” ที่มันหลบออกไปคุยโทรศัพท์เมื่อวานคงเป็นเรื่องนี้ แต่ก็น่าจะบอกผมสักคำปล่อยให้ผมเป็นห่วงอยู่ได้
“แล้วทำไมต้องยืมรถช้อปด้วย”
“มึงจะได้นั่งสบายๆ ไง”
“ทีหลังออกไปไหนให้บอกกูก่อนเข้าใจไหม”
“ครับๆ” มันพยักหน้าหงึกๆ เดินเข้ามาจูงมือผมเข้าไปในครัว เราทานโจ๊กหมูที่ภาคซื้อติดมือมาด้วยเป็นมื้อเช้า
ผมยืนเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่วันนี้อยู่นาน ตัวนั้นก็ไม่ดีตัวนี้ก็ไม่เหมาะ ผมแทบจะรื้อตู้สู้ผ้าออกมาทั้งหมดแล้ว ทั้งกลัวทั้งประหม่าแม้แต่เลือกเสื้อผ้ายังไม่รู้จะใส่ตัวไหน สุดท้ายผมก็ได้เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนที่ดูสุภาพที่สุดมาใส่ หวังว่ามันจะดูดีในสายตาย่าของภาคมันนะครับ
เราออกเดินทางจากย่างกลางกรุงมุ่งหน้าตามถนนเส้นหลักออกสู่ย่านชานเมือง รถบนถนนเริ่มบางตาหลังจากเราติดอยู่บนถนนกลางเมืองอยู่นาน คงเพราะเวลาที่เราออกมาตรงกับช่วงเร่งด่วนของชาวกรุง
อาการประหม่าเริ่มกลับมาอีกครั้งเมื่อภาคหันมาบอกว่าใกล้จุดหมายแล้ว ผมตื่นเต้นจนเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ มือสองข้างชุ่มด้วยเหงื่อและเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าผากทั้งที่แอร์ภายในรถยังทำงานอยู่