● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 42 – พี่น้องที่ยังอยู่
อพาร์ทเมนท์สูงสี่ชั้นเร้นกายในเงามืด ตัวอาคารด้านนอกซึ่งเคยเป็นสีขาวกลับมีรอยเปรอะดำเป็นริ้ว ๆ จากการแผดเผาของไอแดดและแรงกัดเซาะจากเม็ดฝนเจือมลพิษนับร้อย ๆ ครั้ง ทางเข้าทึมทึบลึกลับด้วยกลิ่นอายประหลาดอันสร้างความรำคาญใจแก่ผู้อยู่อาศัยในบางคราว กระนั้นก็อยู่ในระดับที่พอรับได้ สภาพมันไม่ถึงกับทรุดโทรมนัก แม้จะผ่านการใช้งานมาหลายปี อาคารโดยรอบถูกทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงบรรยากาศของตัวเองไว้อย่างไม่แยแสโลกภายนอก
พวกเขาสวนทางกับหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งกำลังเดินออกไปด้านนอก นิ้วเรียวยาวกรีดกรายคีบบุหรี่มาร์ลโบโรออกจากริมฝีปากแดงคล้ำ พ่นควันสีเทาล่องลอยอ้อยอิ่งทิ้งท้าย กลิ่นบุหรี่เคล้าน้ำหอมฟุ้งกำจายชวนคลื่นเหียน เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นกึก ๆ ไปตลอดทางเดิน
สรัญเคยเห็นเธอแต่งกายด้วยชุดนักศึกษา ขยิบเปลือกตาฉาบอายไลน์เนอร์เส้นหนาโฉบเฉี่ยวมาให้ในบางครั้ง และเขาคลี่ยิ้มตอบรับอย่างรู้งาน หากแต่ความสัมพันธ์ดำเนินไปเพียงเท่านั้น ไม่ต้องการคำพูดใดอธิบายตัวตน เธอเองก็เคยเห็นเขาควงผู้ชายเข้าห้องบ่อยครั้ง เป็นการประกาศชัดเจนถึงรสนิยมทางเพศโดยไร้สุ้มเสียง
“สภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ชายหนุ่มยักไหล่น้อย ๆ เมื่อเห็นสายตาคนข้างกายซึ่งเหลือบมองไปรอบตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก “แต่ไม่อยากอยู่หอใน..แล้วที่นี่ก็ใกล้มอ ถูกด้วย”
รัญชน์พยักหน้า ปล่อยคำบอกเล่านั้นผ่านเลยไปโดยไร้ซึ่งการแสดงความเห็น เขาไม่ถนัดเอ่ยความรู้สึกตัวเองออกมาเป็นคำพูด บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่มักผิดหวังเสมอมา
เสียงฝีเท้าสองคู่กระทบพื้นเบา ๆ สะท้อนวังเวงในโถงทางเดินยาวเมื่อพวกเขาก้าวขา เป็นสิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่าที่กำลังเดินอยู่นี้มีสองชีวิต เพราะชายหนุ่มร่างเล็กผู้มาเยือนตามคำเชื้อเชิญของผู้อยู่อาศัยยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำตั้งแต่เข้ามาในตัวอาคาร
“ไม่มีลิฟต์” สรัญเอ่ยเรียบ ๆ เสียงสะท้อนไปมาบริเวณบันไดเชื่อมระหว่างชั้นสองและสาม “ลำบากหน่อย”
คนฟังพยักหน้าอีกครั้ง เดินตามชายหนุ่มผิวแทนจนไปหยุดอยู่หน้าประตูห้อง รอให้อีกฝ่ายไขแม่กุญแจและลูกบิดประตูเสร็จแล้วนำเข้าไปก่อน พยักหน้าเป็นเชิงเชื้อเชิญจึงได้ก้าวขาตามเข้าไป
หลอดนีออนกะพริบสองสามครั้งแล้วส่องสว่างในความมืด ทุกสิ่งดูแปลกประหลาดในประสาทสัมผัสไปหมด ราวกับเขาหลุดมาอยู่อีกโลกที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่มาก่อน
ภายในมีกลิ่นเฉพาะตัวแทรกในอณูอากาศ ไม่หอม ไม่เหม็น ลึกลับ จืดชืด หวือหวา ร้อนผ่าว และเย็นเยือก ปะปนกันคละคลุ้ง จนบางครั้งก็หนาวไปถึงไขสันหลังเมื่อสูดลมหายใจเอาความขัดแย้งที่มองไม่เห็นเข้าไปจนสุด ปล่อยมันเคลือบอยู่บนเยื่อบาง ๆ ของถุงลมปอด ทุกครั้งที่หายใจก็ราวกับเศษเสี้ยวตัวตนของสรัญแทรกซึมเข้าหลอดเลือดไปพร้อมกับออกซิเจนในอากาศ ไหลเวียนทั่วร่างเขาจนเหมือนกำลังถูกดูดกลืนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่แห่งนี้
“เบียร์ไหม?”
แม้คล้ายว่าจะเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกัน...แต่สรัญไม่เหมือนกับสามภพเลย
กระป๋องเย็นเฉียบจนหยดน้ำเกาะพราวถูกวางไว้บนโต๊ะ ชายหนุ่มจ้องมองมันเงียบ ๆ ก่อนจะย้ายไปเหลือบมองรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเจ้าของห้อง ริมฝีปากอีกฝ่ายวาดเป็นเส้นโค้งดูอบอุ่น หากแต่เขามองไม่เห็นรอยยิ้มที่แท้จริงในดวงตาคู่นั้นสัิกนิด
รัญชน์โคลงศีรษะ
“ไม่เป็นไร”
“พี่บอกว่าจะมาดื่มที่ห้องผม?”
“นั่นเพราะผมไม่อยากไปผับ”
แว่นตาเขาถูกดึงออกแผ่วเบา ภาพในลานสายตาพร่าเลือนลงฉับพลันเมื่อไร้ความช่วยเหลือจากเลนส์แว่น เห็นเพียงราง ๆ ว่าสรัญวางมันไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาดึงจุกเปิด ยกขึ้นกระดกอึกใหญ่โดยไม่ยอมกลืนลงไป แขนข้างหนึ่งค้ำไว้กับโต๊ะ อีกข้างวางบนไหล่เขาพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ห่างกันในระยะเพียงลมหายในอุ่นวาบเป่าถึง ภาพมัว ๆ ตรงหน้าเป็นริมฝีปากที่กำลังจะโฉบจูบ
แต่เขาหันหน้าหนีได้ทัน
กลีบปากอุ่นแนบลงกับแก้มแทน เบียร์เย็นเฉียบไหลลงมาอาบจนถึงปลายคาง สรัญยังไม่กลืนมันลงไปจริง ๆ ตั้งใจจะบังคับเขาดื่มในจูบอย่างนั้นหรือ?
“ทำไมล่ะ?”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วน้อย ๆ เป็นเชิงตัดพ้อต่อการกระทำของเขา
“เราไม่ควรจูบกัน”
“เพราะ?”
“เราไม่ได้รักกัน”
“พี่ไม่ได้รักผมหรอกหรือ?”
รัญชน์ส่ายหน้า
สรัญหัวเราะ ยกหลังมือขึ้นเช็ดมุมปาก ช่างเป็นการปฏิเสธที่ทั้งนุ่มนวลและเย็นชาอะไรเช่นนี้
“ผมก็ไม่ได้รักพี่” ชายหนุ่มยิ้มละมุม ก้มลงประทับริมฝีปากที่ซอกคอคนตรงหน้า ผิวเนียนละเอียดและกลิ่นหอมประหลาดช่างยั่วเย้าให้ใช้ฟันขบจนเป็นรอย เบียร์หกเลอะเทอะหยดลงมาถึงปกคอเสื้อซึ่งถูกปลดกระดุมออกว่องไว “แฟร์ไหม?”
“แฟร์ดี”
เสื้อผ้าหลุดร่วงไปทีละชิ้นในเวลาอันรวดเร็ว แต่รัญชน์กลับไม่รู้สึกถึงความเร่งรัดในการกระทำของสรัญสักนิด เจ้าตัวคงทำบ่อยจนรู้ว่าจะต้องเคลื่อนไหวอย่างไรไม่ให้เป็นการกรรโชก เพียงไม่นานก็เหลือเพียงแต่กางเกงชั้นในและถุงเท้าติดกายเขาซึ่งนอนแผ่อยู่บนเตียง ถุงยางอนามัยที่ซุกไว้ไม่ไกลมาอยู่ในมืออีกฝ่ายโดยไม่ต้องใช้ความพยายามควานหามากนัก
“สั่น?”
เขาอยากจะถามกลับว่า ‘งั้นหรือ?’ เพราะไม่เห็นรู้ตัวว่ากำลังสั่นอยู่ แต่ไม่มีเสียงใดหลุดจากปาก
“นี่ครั้งแรก?”
ยังคงมีเพียงความเงียบเป็นมิตรแท้ของเขา ด้วยกระดากใจเกินกว่าจะกล้าเอ่ยถ้อยคำยอมรับหรือปฏิเสธ
ยอดอกข้างหนึ่งถูกนิ้วหัวแม่มือบดขยี้หนักหน่วง ส่วนอีกข้างถูกครอบครองไว้ด้วยริมฝีปากและปลายลิ้นของคนตรงหน้า เขากลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว ปลายเท้าจิกเกร็ง สภาพสายตามัว ๆ มองเห็นสรัญกำลังสวมถุงยางอนามัยให้ตัวเองโดยยังใบหน้ายังไม่ละไปจากอกเขา
เขาเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังสั่น รู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
ใช่...นี่ครั้งแรก
และหากเพิ่งรู้สึกถึงความกลัวตอนนี้...จะเรียกว่าช้าไปไหม?
“...อึก....!” ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปาก กลั้นเสียงใดก็ตามที่เกือบเล็ดลอดออกมา
จากตรงนี้โดยไม่มีแว่นสายตา เขามองเห็นใบหน้าสรัญไม่ชัดเท่าไร ทว่ากลับคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นรอยยิ้มเช่นเดิมอีกแล้ว แบบที่อบอุ่นอ่อนโยนเฉพาะที่ริมฝีปาก แต่สายตากลับไม่ได้ยิ้มไปด้วย นั่นให้ความรู้สึกแปลกประหลาด โหวงเหวง เย็นชา และคล้ายจะย้ำชัดถึงความรักที่ไม่เคยได้รับ..ไม่ว่าจากใครก็ตาม
รัญชน์หลับตา บอกตัวเองว่ามองภาพมัว ๆ เช่นนี้นานเข้าจะทำให้รู้สึกคลื่นไส้
กางเกงชั้นในถูกดึงลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้า จากนั้นก็เลื่อนหลุดออกง่ายดาย ไม่รู้ว่าไปหล่นอยู่ตรงไหนแล้ว
“แยกขาสิ”
“.....”
“กว้างขึ้นอีก”
ชายหนุ่มทำตามเลื่อนลอย เหมือนคนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจสะกดจิต
“พี่จะไม่ลืมตาหน่อยหรือ?”
เขาลืมตาช้า ๆ อย่างว่าง่าย แต่มองอะไรแทบไม่เห็น นอกจากปัญหาเรื่องสายตาสั้นแล้ว คราวนี้ยังมีเรื่องหยดน้ำที่เอ่อคลอจนยิ่งมัวหนัก แม้แต่รอยยิ้มเสแสร้งอันเจิดจ้านั้นก็ยังมองไม่เป็นรูปร่าง
บางสิ่งดุนดันเข้ามาที่ช่องทางด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว ใช้ความพยายามอยู่ครู่หนึ่งจึงเบียดแทรกเข้ามาได้ เจ็บร้าวจนเหมือนร่างกายกำลังถูกฉีกออกจากกัน
“อย่าเกร็ง”
อีกฝ่ายโถมกายเข้าใส่เชื่องช้า สองมือละเลงบนแผ่นอกเขา พรมจูบไปทั่วแทบทั้งใบหน้าและเรือนร่าง ทั้งหมดเท่าที่จะสามารถสัมผัสถึง ยกเว้นที่ริมฝีปาก..ราวกับจะตอกย้ำความจริงว่าพวกเขาไม่ได้รักกัน เป็นแค่คนซึ่งบังเอิญเดินมาพบกันในจุดหนึ่งของชีวิต เป็นเส้นที่ลากมาตัดกันในช่วงเวลาและสถานการณ์อันวางอยู่บนความไร้เหตุผล ปราศจากความหมายลึกซึ้งอื่นใดให้รู้สึกอบอุ่นใจยามนึกถึง
เขาหลับตาอีกครั้ง นึกถึงภาพใบหน้าผู้ชายอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่ปรากฏในห้วงความคิดชัดเจนเสมอมา ทว่านั่นไม่ช่วยให้ลืมความเจ็บปวดเบื้องล่างอยู่ดี
น่าสมเพชนัก...หาเรื่องเองทั้งนั้น
เขาแค่นยิ้มบิดเบี้ยวกับตัวเอง.. หัวเราะและร้องไห้ให้กับความรักที่บิดเบี้ยวไม่แพ้กัน
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
“ครีม...”
วัสสานะร้องเสียงหลง ทันทีที่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นกับน้องชายเป็นครั้งแรกเมื่อเธอย่างเท้าเข้าบ้าน “ผมนั่น!?”
“แบบที่เจ้อยากให้เป็นมาตั้งนานแล้วไง” เขารับสมอ้าง แย้มยิ้มเริงร่าพร้อมกับกระโดดเข้าไปหา ทำตัวเป็นเด็กดีเต็มที่ ไม่บอกสักคำว่าโดนบังคับมา “เป็นไง หล่อเปล่า?”
“ดี นี่ถาวรเลยใช่ไหม? นึกว่าจะทำตัวเป็นฮิปปี้หัวทองจนเข้ามหา’ลัยซะแล้ว” หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก ลูบผมเขาไปมาด้วยความเอ็นดูอยู่ได้เพียงครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เริ่มส่งเสียงบ่น “แล้วกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่บ้านแต่ไม่ยอมลงไปเปิดประตูรั้วให้เจ้นะ ปิดไฟเงียบเชียว ไอ้เรารึก็นึกว่ายังเอ้อระเหยอยู่กับปิ่นหยก”
คิมหันต์ลอบมองไปทางอื่นพร้อมกับกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มแหยแวบหนึ่ง ในเมื่อเขาไม่ได้ไปค้างกับปิ่นหยกตามที่บอกกับเธอไว้ แต่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ตัวเขาเองรู้ที่ไหนว่าจะโดนหิ้วคอไปจากหอพักเพื่อนรักหน้าตาเฉย เพิ่งกลับมาถึงบ้านก็เกือบเย็นแล้ว ก่อกวนสามภพพอให้เจ้าตัวได้แง่ง ๆ ใส่อีกสองสามรอบจึงรีบไล่อีกฝ่ายกลับไปก่อนพี่สาวจะกลับบ้าน จากนั้นก็งีบยาวจนได้ยินเสียงรถเธอเข้าจอดเรียบร้อยนี่เอง
“แล้วนี่เอาเงินที่ไหนไปทำสีผมน่ะ”
“เนี่ยเหรอ..?” คิมหันต์ยิ้มแฉ่ง “เฮียเพี้ยน..เอ้อ...เฮียภพจ่ายให้อะ แบบว่า..” เขายักไหล่ ทำตาใสพร้อมปั้นใบหน้าสำนึกผิดนิดหน่อยให้เหมาะสมกับเรื่องที่กุขึ้นเอง ป้องกันพี่สาวสงสัยว่าอยู่ดี ๆ ทำไมต้องออกเงินให้ด้วย “แพ้พนันผม เรื่องสอบติด เลยให้พาไปเข้าร้านเลย”
“เที่ยวไปพนันกับคนโน้นคนนี้เรื่อยเปื่อยนะเรา”
“แหม..พนันเฉพาะอันที่ได้กำไรแล้วก็ชัวร์ว่าชนะหรอกน่า”
“จริงเลยเด็กคนนี้”
เด็กหนุ่มหัวเราะ เดินตามพี่สาวต้อย ๆ แต่ครุ่นคิดหนักหน่วงอยู่ในหัว เริ่มไม่แน่ในตัวเองแล้วว่าเขาจะพนันเฉพาะเรื่องที่ได้กำไรและรู้ว่าชนะแน่เท่านั้นจริงหรือ นึกดูที่เดิมพันกันสามภพก็ออกจะสุ่มเสี่ยงอยู่ไม่ใช่น้อย
“นายกินอะไรหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้ว” เขาลูบท้องตัวเอง ยังอิ่มอยู่ไม่หายด้วยซ้ำ กินทั้งวันเลยเชียว “เจ้หิวไหม อุ่นข้าวให้เอาปะ?”
วัสสานะวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ หันมาส่ายหน้าพร้อมร้อยยิ้มอ่อนใจ “อุ่นข้าว..ทำยากน่าดูเลยนะนั่น”
“มันต้องใช้ฝีมือ..เจ้ไม่รู้หรอก” เขาคุยโว ควานหาปลั๊กหม้อหุงข้าวเอาไปเสียบ จากนั้นก็เริ่มมุดตู้เย็น หยิบไก่ย่างในกล่องถนอมอาหารที่เดาว่าวัสสานะคงแช่ไว้ก่อนหน้านี้ไปเข้าไมโครเวฟ ปากก็เจื้อยแจ้วไปเรื่อยเปื่อย เพิ่งรู้ตัวว่าไม่เจอกันไม่กี่วันแต่เขาคิดถึงเธอมากทีเดียว “กลับบ้านไปป๊ากับม้าบ่นถึงเจ้ใหญ่ด้วยนะ เจ้สิอีกคน บอกว่าเรียนจบแล้วก็กลับบ้านบ้าง”
หญิงสาวพยักหน้าส่ง ๆ ให้เขา “สิกลับบ้านบ่อยกว่านายอีกเด็กน้อย เจ้ก็โทรหาป๊ากับม้าบ่อยย่ะ! มีแต่เรานั่นแหละที่เอาแต่ร่อน เดี๋ยวไปเรียนมหา’ลัยก็ไกลหูไกลตาอีก”
“ขี้บ่นจัง พี่โรจน์ทนได้ไงเนี่ย” เด็กหนุ่มครวญหงุงหงิง อ้างชื่อคนรักของพี่สาวให้เธอทำหน้ายุ่งปนเขินขึ้นมา “พี่เขาต้องหูหนวกแน่เลย”
“เอ๊ะเรานี่!”
“ฮ่า ๆ ๆ” เขาหัวเราะชอบใจ เริ่มต้นลูกอ้อนให้พี่สาวใจอ่อน “คิดถึงเจ้ใหญ่อ้ะ ฟังป๊าบ่นก็ไม่เหมือนฟังเจ้บ่น”
“ใช่สิ! ใครจะตามใจนายอย่างนี้ เลยพากันโดนป๊าหมายหัวไปด้วยตลอด”
“โดนหรือ?" เขาเลิกคิ้ว "คราวนี้ป๊าว่าไงอีกล่ะ?”
“เฮ่อ..”
คิมหันต์ฟังพี่สาวถอนใจยาว พรมนิ้วลงบนเคาน์เตอร์ นั่งมองถาดในไมโครเวฟหมุนวนกลางแสงไฟสีส้มด้วยความเร็วสม่ำเสมอ จนกระทั่งมันส่งเสียง
‘ติ๊ง’ เบา ๆ วัสสานะจึงได้พูดต่อด้วยสีหน้าประมาณว่าหลับหูหลับตาบอกไปเถอะ
“เรื่องเดิม อยากมีหลาน”
เขาหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งเฮือก รีบยุส่งทันที “เจ้ก็รีบแต่งดิ อายุอานามไม่ใช่น้อย”
เธอกลอกตา “เดี๋ยวเถอะ! ยังสาวอยู่เลย เจ้ว่าป๊าอยากให้นายแต่งมากกว่า”
เด็กหนุ่มเบ้ปาก ทำหน้าสยอง “ผมเพิ่งจบมอหก”
“บอกไปอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เขาบอกหาไว้ก่อนก็ได้ เรียนจบหกปีได้แต่งเลย อยากอุ้มหลานที่ใช้นามสกุลตัวเองจะแย่” เธอหัวเราะเหมือนสะอึก พูดเสียงแห้งเหือดแต่ยังอุตส่าห์ติดตลกแบบที่เขาขำไม่ค่อยออกนัก “ทำไงได้ ป๊าแก่แล้ว บ่นอยู่ทุกวัน นายไม่หาแฟนที่ป๊ากับม้าถูกใจเสียทีก็ไม่ต้องตกใจเลยถ้าวันดีคืนดีกลับบ้านแล้วเขาแนะนำสาวให้รู้จัก”
คิมหันต์อ้าปากหวอ “ไม่เร็วไปเรอะ”
“เร็วไป” วัสสานะยักไหล่ “แต่มาบอกอะไรกับเจ้ล่ะ”
“ทำไมโยนกันเฉยอ้ะ เจ้ทิ้งน้องชายลงคอหรือ” เขาโอดครวญเป็นหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ประจำบ้านตอนเห็นคนถือขนมโบกไปมาตรงหน้า “งี้เป็นแต๋วดีกว่า”
“ครีม!” เด็กหนุ่มใจหายวาบกับน้ำเสียงตระหนกของพี่สาว ฟังแล้วถึงกับหน้าซีดตามเธอไปด้วย ตระหนักได้ว่าเพิ่งเล่นตลกประเด็นอ่อนไหว รีบถามกลับเสียงเป็นปกติ
“อะไร?”
“นั่นล้อเล่นใช่ไหม?”
“ก็ต้องล้อเล่นสิ”
เธอถอนใจยาวเหยียด ยกมือขึ้นทาบอก “อย่าไปพูดอย่างนี้ให้ที่บ้านได้ยินเชียว”
คิมหันต์ก้มหน้าก้มตา ทำเป็นไม่รู้เรื่อง เขารู้ว่าไม่ควรเอ่ยเรื่องนั้น แต่ไม่นึกว่าวัสสานะจะถึงขั้นหน้าถอดสีไปเลยเมื่อครู่ ครั้งก่อนที่พูดกับป๊า อย่าว่าแต่ล้อเล่นโดยเอาตัวเองเป็นเหยื่อเลย แค่อ้างถึงเพื่อนที่เป็นเกย์(ปิ่นหยกผู้น่าสงสารโดนป๊าใส่ซะเละโดยไม่รู้ตัว)ป๊าก็หงุดหงิดแทบแย่แล้ว ขืนรู้เข้าว่าไปนัวเนียอี๋อ๋อกับผู้ชายร่างล่ำอย่างสามภพเขาคงโดนจับเชือดเป็นแน่
“ครีม..”
"..."
“คิมหันต์?”
“หา!?”
เขาหลุดจากภวังค์ เกือบปล่อยกล่องร้อน ๆ ซึ่งเพิ่งเอาออกจากไมโครเวฟหล่นกระจาย หันไปทำหน้าซื่อตาใสใส่พี่สาว “อะไรเล่า..เรียกซะเต็มยศเลย”
วัสสานะหรี่ตามองน้องชายด้วยสายตาครุ่นคิด ช่วยเขาซึ่งกำลังพยายามเทไก่ใส่จานอย่างเงอะงะจนทำหล่นพื้นไปชิ้นหนึ่ง
“เป็นอะไรไป? พักหลังนี้นายชอบทำอะไรแปลก ๆ เรื่อยเลย”
“เจ้ก็ว่าแปลกเป็นปกติไม่ใช่หรือ?” เขาหัวเราะกลบเกลื่อน ก้มลงเก็บไก่ชิ้นโตบนพื้นมาแยกไว้ ว่าจะเอาไปให้ดุ๊กดิ๊กลูกชายสุดที่รักทีหลัง
“ใช่..แต่ช่วงนี้แปลกกว่าปกติอีก”
คิมหันต์ยักคิ้ว “ผมเลเวลอัพอ้ะ”
“อย่ามากวนประสาท”
เด็กหนุ่มถอนหายใจ แสร้งทำท่ายอมแพ้ สารภาพออกมาช้า ๆ ด้วยท่าทางลังเลอย่างจงใจ
“ความจริงช่วงนี้ผมเครียดนิดหน่อย ใกล้เปิดเทอมแล้ว เดี๋ยวมีรับน้องอีก ไหนจะเรื่องย้ายไปอยู่หอกับใครก็ไม่รู้ เลยคิดมากบางที”
วัสสานะพยักหน้าตอบ บอกให้รู้ว่าเหตุผลที่ได้รับนั้นพอฟังขึ้นสำหรับเธอ เปลี่ยนจากระดับมัธยมเป็นอุดมศึกษาก็เป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวมากอยู่แล้ว จะเครียดบ้างคงไม่แปลก แม้ออกจะฟังดูอ่อนไปหน่อย สิ่งที่เธอยังครุ่นคิดคือพ่อน้องชายตัวแสบมักยึดหลักการเดิมซึ่งมักทำเวลาต้องการบ่ายเบี่ยง คือไม่โกหก แต่บอกไม่หมด อันพาให้ผลลัพธ์ออกมาชวนเข้าใจเป็นอื่น
คิมหันต์เกาท้ายทอยตัวเองเบา ๆ ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะถูกกดลงไว้อย่างเดิม เรื่องที่บอกนั่นก็ส่วนหนึ่ง...แต่เป็นแค่ส่วนน้อย สำหรับที่เหลือคงต้องละไว้ก่อน ดูสภาพแล้วเขาเชื่อว่าวัสสานะยังไม่พร้อมสติแตกตอนนี้
“อ๊ะ ข้าวเด้งละ”
เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง ก้ม ๆ เงย ๆ คว้าจานและทัพพีขึ้นมาเตรียมจะตักให้เธอ แต่หญิงสาวดึงมันออกไปจากมือเขาก่อน ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ จากนั้นก็เอาไปตักเอง
“เดี๋ยวนายทำเลอะเทอะ” เธออ้าง
“เจ้ก็” เขาร้องครวญ “ผมไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้น”
“ครีม”
“....”
“จำได้ไหม พวกเราพี่น้อง มีปัญหาอะไรก็จะคุยกัน”
คิมหันต์เลิกคิ้ว มองใบหน้าด้านข้างที่ดูเป็นกังวลของเธอ จากนั้นก็หลุบตาลงต่ำ ส่งเสียงกระซิบใต้ปลายจมูก
“จำได้สิ”
“เผื่อนานไป..นายอาจลืมว่าเราเคยคุยกันได้ทุกเรื่อง”
เขาจุกขึ้นมาในอก เหมือนมีอะไรอุดกั้นหลอดลมจนหายใจไม่ออกเมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น
“..ผมไม่ลืม”
“เจ้รักนาย..รู้ไหม” เธอวางจานและทัพพีไว้บนเคาน์เตอร์ มองเขาด้วยแววตาสับสนและเว้าวอนจนเหมือนจะต้อนให้จนมุมโดยไม่ต้องใช้ถ้อยคำต่อว่าสักพยางค์ “ทุกคนที่บ้านก็รัก”
“...ครับ..” เด็กหนุ่มตอบรับเซื่อง ๆ ยืนเงียบจนเธอพูดต่อ
“มีอะไรอยากพูด..อยากระบายบ้างหรือเปล่า?”
เขาอ้าปาก แต่ไม่สามารถเอ่ยเรื่องที่ยังปิดบังเธออยู่ได้ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
“...ไม่มี ผมโอเคดี”
หญิงสาวถึงกับถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง ความเป็นไปได้สำหรับกรณีเช่นนี้มีสองอย่าง ไม่น้องชายของเธอปากแข็งมาก ก็คงเป็นตัวเธอเองที่คิดเยอะเกินไป
“เอาเถอะ..ไม่มีอะไรจะพูดก็ไม่มี” เธอยิ้มน้อย ๆ แม้จะดูอ่อนแรง พร้อมกับพูดต่อให้ความมั่นใจ “เจ้อยู่ข้างเราเสมอ เหมือนที่เคยเป็นมาตลอดนั่นละ”
คิมหันต์พยักหน้า ช่วยเธอยกจานและแก้วน้ำไปที่โต๊ะอาหาร เขารู้ดีว่าวัสสานะเป็นเช่นนั้นจริงมาตั้งแต่เขายังเด็ก เธอมักอยู่เคียงข้างและคอยช่วยเหลือเขาเสมอ ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยอย่างตอนโทษป๊าลงโทษ ไปกระทั่งช่วงที่ทำตัวเกเรทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียนก่อนจะมาสนิทกับปิ่นหยก จนถึงตอนนี้ก็แทบส่งเสียเล่าเรียนแทนป๊ากับม้าได้ทั้งหมด เขานึกไม่ออกเลยว่าหากไม่มีพี่สาวอย่างเธอ เขาจะกลายเป็นตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้อย่างไร
“เจ้ใหญ่”
“หืม?”
“เจ้รู้เรื่องไอ้ปิ่นกับอาทิตย์ใช่ไหม?”
หญิงสาวเงียบไป สบตาน้องชายนิ่ง ราวกับกำลังค้นหาด้วยสายตาว่าเขาต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่ สุดท้ายก็เอ่ยสิ่งที่เธอรู้ออกมา
“...สองคนนั้นคบกัน”
“สองคนนั้นรักกัน” เขาช่วยแก้ให้ถูกต้องขึ้น
“แล้วยังไงหรือ?”
“เจ้เกลียดมันไหม? เหม็นขี้หน้า หรืออะไรที่มักเป็นบ่อย ๆ เวลานึกถึงคนที่รักเพศเดียวกัน”
“หมายความว่าไง?”
“เจ้เกลียดมันหรือเปล่า?” คิมหันต์ถามซ้ำ และท่าทางบอกชัดว่าไม่ได้เป็นเพียงคำถามลอย ๆ แต่เขากำลังคาดหวังคำตอบจากเธออยู่จริง ๆ
“...ไม่” วัสสานะโคลงศีรษะ “เขาเคยช่วยชีวิตนาย แล้วก็เป็นเด็กดี...จะเกลียดคนแบบนั้นได้ยังไง”
คิมหันต์คลี่ยิ้มบางบนริมฝีปาก เป็นนิสัยเขาที่มักเดิมพันเฉพาะเรื่องที่คิดว่าตัวเองจะชนะ แล้ววัสสานะจะทำให้เขากล้าวางเดิมพันครั้งนี้ได้หรือเปล่า
“เจ้ไม่ได้เกลียดใครเพราะเหตุผลว่าเขาชอบเพศเดียวกัน?” เด็กหนุ่มพยายามถามชี้นำ ขณะที่ผู้เป็นพี่สาวเริ่มขมวดคิ้ว
“อยากจะบอกอะไรหรือ?”
“แต่ที่พูดอย่างนั้นเพราะถูกป๊าฝังหัวมาตั้งแต่เรื่องของเฮีย”
“ครีม?” เธอร้องท้วง หยดน้ำเอ่อคลอนัยน์ตาเมื่อพูดถึงพี่ชายคนโตที่จากไปแล้ว “เฮียตายเพราะเขาไม่ฟังป๊า ป๊ายังเสียใจจนทุกวันนี้”
“เฮียตายเพราะป๊าไม่ฟังเฮียต่างหาก”
“....”
“เกลียดเฮียไหมที่เป็นเกย์?”
“คิมหันต์?”
“เกลียดเขาเหมือนที่ป๊าคอยบอกให้เกลียดคนพวกนั้นทุกคนหรือเปล่า?”
วัสสานะเงียบไปครู่ใหญ่ เธอเม้มปากแน่น ดวงตาแดงก่ำ ไหล่ทั้งสองข้างสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว
"เจ้?"
และหลังจากหลุดก้อนจะอื้นออกมาเป็นคราวแรก หญิงสาวก็ปล่อยโฮออกมาในที่สุด
“...ไม่...”
พี่ชายคนโตผู้อายุห่างกับเธอแค่ปีเดียว พี่ชายที่แสนดีของน้อง ๆ เขาใจดีที่สุด ทำงานหนักที่สุด ตั้งแต่สมัยครอบครัวยังไม่มีฐานะเช่นทุกวันนี้ แต่กลับอาภัพที่สุดในบรรดาพี่น้อง
ไม่เคยแม้แต่สักวินาทีที่เธอเกลียดเขา คิมหันต์เดินเข้าไปกอดเธอไว้แน่น ปล่อยให้เธอร้องไห้จนเสียงสะอื้นเริ่มเบาลงแม้ไหล่ยังคงสั่นระริก เขารู้ว่าเธอเสียใจกับเรื่องนั้นมากเพียงใด เพราะเธอเป็นน้องสาวที่คลานตามกันมาและสนิทสนมกับพี่ชายคนโตมากที่สุด
“พวกเราพี่น้องไม่มีใครเกลียดเฮียสักคน”
เขาพยักหน้า พึมพำแผ่วเบาข้างกายพี่สาว “ผมน่าจะรู้อยู่แล้ว..”
เขาส่งกระดาษทิชชูให้เธอเช็ดน้ำตา พร้อมกับส่งสายตาขุ่นเคืองน้อย ๆ ใส่เขาไปด้วย โทษฐานที่ทำให้นึกถึงความทรงจำเจ็บปวดเมื่อครั้งอดีต
“นี่นายชวนคุยเรื่องอะไรกัน?” เธอบ่นปนเสียงสะอื้นแผ่วเบา สั่งน้ำมูกฟืดฟาดใส่กระดาษที่เขาส่งให้เช็ดน้ำตา “ประท้วงเรียกร้องสิทธิเพศที่สามงั้นหรือ”
เขาก้มหน้า เอียงตัวเข้าไปกระแซะเธออีกครั้งเป็นเชิงออดอ้อน “ผมแค่อยากรู้ทัศนคติเจ้”
“แล้วไง..เพื่ออะไรเนี่ย?”
หญิงสาวลูบผมน้องชายอ่อนใจ เสียงน้ำตาไปเป็นกระบุงเพราะข้อสงสัยและการพิสูจน์สะเทือนอารมณ์ของเขาแท้ ๆ เลย นี่ทำเอาเธอเบื่ออาหารขึ้นมาทันทีจากที่เมื่อครู่ยังหิวแทบแย่ แล้วไหนยังคาใจกับเรื่องของเขาอีก แม้ตอนนี้มีแต่ต้องทำใจกับตัวเองว่าไว้อีกหน่อยหากเจ้าตัวพร้อมก็คงบอกเธอสักวันว่ากำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่กันแน่
“ผมรักเจ้ใหญ่ที่ขี้บ่น พูดมาก ช่างเซ้าซี้ บังคับให้พกถุงยางแล้วตัวเองก็ดันหน้าแดงเป็นลูกแตงโมหล่นพื้น” เขาไม่ตอบคำถามแล้วยังบ่นงึมงำ ซึ่งนั่นดูเหมือนจะยิ่งทำให้เธออารมณ์บูด
“เอ๊ะนายนี่!”
“แล้วก็ใจดีโคตร ๆ” วัสสานะเผลอยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย
เอาเถอะ..เขาเป็นน้องชายตัวแสบ ตัวยุ่ง ตัวป่วน ตัวกวนประสาท เจ้าเล่ห์ แต่บางครั้งออกจะซุ่มซ่ามและเฟอะฟะ บางทีก็เป็นไอ้ตี๋หัวทองเกรียนแตก (ทำไมเธอจะไม่รู้ชื่อที่เพื่อน ๆ ของเขาเรียกกัน) แล้ววันดีคืนดีก็กลับมาบ้านด้วยผมสีน้ำตาลเพื่อจะเซ้าซี้เรื่องเกลียดหรือไม่เกลียดเกย์จนเธอต้องหลั่งน้ำตาเป็นปี๊บ
แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร...ก็ยังเป็นน้องชายที่เธอรักอยู่ดี - หมดยกที่ 42 –
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
คู่ 2รัน มันดูมืดหม่นเนอะ =w=
อัพเร็ว(แต่แอบสั้นนิดนึง) เพราะเดี๋ยวไปประชุมยาวนิดนึงค่ะ ไม่ได้เอาคอมไปด้วย คงไม่ได้แต่งหลายวัน ว่าจะรอทีหลังเลยแต่เดี๋ยวนาน แปะก่อนดีกว่า
ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารักงาม ๆ ค่ะ ^o^ *กอดรัดฟัดเหวี่ยง*
พบกันยกหน้า รอบนี้มีของแถมรีพลายถัดไปค่ะ แฮร่~