บทที่ 9 part 1 ตกใจทำไม
เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ณ คอนโดธรรมดาๆแห่งหนึ่งกลับเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น เวลาหกนาฬิกาของวันที่มีเรียนบ่าย นายอัครินทร์พับผ้านวมผืนเก่งที่เขาขนย้ายมาจากหอเก่าและลงหลักปักฐานอยู่ในห้องของเพื่อนสนิทนามดีดีอย่างเรียบร้อย แสงแดดอ่อนๆยามเช้าสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาสีดำสนิทของเจ้าตัว ผ้าม่านสีครีมอ่อนถูกเลิกออกก่อนร่างโปร่งจะเลื่อนประตูกระจกพาตัวเองออกไปสูดอากาศริมระเบียง
สายลมอ่อนๆพัดผ่านมาปะทะใบหน้าเพราะห้องนี้อยู่สูงจากพื้นดินไม่น้อยช่วยให้จิตใจที่มักร้อนรุ่มเกินเหตุเย็นลง ความสงบตามธรรมชาติทำให้มีเวลานึกทบทวนสิ่งต่างๆ คำพูดของเพื่อนบ้านเมื่อวานยังคงติดตรึงอยู่ในสมอง
พัดไม่ได้ชอบดีดี.....และดีดีมีแฟนแล้ว
หลังคิดเป็นตุเป็นตะไปเสียหลายกระบวนท่าความจริงอันขาวสะอาดก็โผล่ออกมาจากกอไผ่ เขาใช้เวลาเกือบห้าวันไปกับความเข้าใจผิด...
“อินเอ๊ย!! สติมาปัญญาเกิด ทำไมมึงไม่คิดให้ดีก่อนโชว์โง่วะ”ตะโกนด่าตัวเองอย่างเจ็บใจ...เรื่องทำนองนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก...ตอนประถมเคยคิดว่าครูประจำชั้นกับอาจารย์ใหญ่เป็นแฟนกันจนมีเพื่อนทนไม่ไหวมาบอกว่าอาจารย์ใหญ่ลูกสามแล้ว และอีกหลายๆเรื่อง
ก่อนจะเตลิดขุดความอัปยศของตัวเองออกมาแฉ อินก็เดินกลับเข้าไปในตัวห้อง เปิดตู้เย็นหยิบของสดออกมา เมนูที่ตั้งใจทำคือข้าวผัดเนื้อไข่ดาวกับต้มซุปซี่โครงไก่...หลังสืบทราบมาจากดีดีแล้วว่าคนข้างห้องชอบเมนูนี้
มีบุญคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ ก่อกวนชีวิตเขาไว้เยอะมีทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว...ถึงส่วนใหญ่จะล้มเหลวก็เถอะ...มื้อเช้าสำหรับแทนคำขอโทษก็คงเพียงพอหักลบกลบหนี้กันไป ว่าแล้วก็เริ่มลงมือหั่นเนื้อจัดการกับเมนูข้าวผัด ส่วนน้ำซุปนั้นตื่นขึ้นมาต้มทิ้งไว้ตั้งแต่ตีสี่แล้วไปนอนต่อโดยไม่กลัวไฟจะไหม้ห้องชาวบ้านแม้แต่น้อยเพราะห้องดีดีใช้เตาไฟฟ้า...?
.
.
เสียงออดอันสุดแสนโคตรๆจะคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง พัดมองนาฬิกาบนมือถือก่อนจะขมวดคิ้วอย่างงุนงง เวลาแบบนี้ใครจะมาหาเขา? ถ้าดีดีอยู่หละก็มีโอกาสเป็นไปได้แต่ตอนนี้เจ้าตัวยังไม่กลับห้องเลยหนะสิ ที่เหลืออยู่ก็เป็นไอ้ตัวสติแตกผู้นอนก้นโด่งรอตะวันแทงเนตรถึงลืมตาได้
พัดลุกขึ้นจากเตียงอย่างอิดออดยกมือขึ้นขยี้ตาไล่ความงุนงง ความเบลอในตอนเช้าทำให้เขาเดินไปยังประตูห้องด้วยความเร็วระดับหอยทากเป็นตะคริว...
ก่อนจะเบิกตากว้างสมองแล่นปร๊าดสีหน้าเลิกงัวเงียทันทีที่เห็นร่างของผู้มาเยือนและถาดอาหารในมือของคนคนนั้น
“อิน?”ใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกอย่างไม่ปกปิดว่าประหลาดใจ ถึงกับยกมือขึ้นขยี้ตาเพราะคิดว่าตาฝาดกันเลยทีเดียว
“เออ กูเอง มึงเห็นเป็นคนอื่นรึไง”มือที่ถือถาดอยู่เกิดอาการเกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แววตาที่ปกติจะจ้องเขม็งมาอย่างไม่ยอมลดละกลับหลุบมองพื้นมองผนังราวกับเขาต้องการแซะปูนจับจิ้งจกมากิน...
“ป่าวๆ ไม่ใช่อย่างงั้น อินมามีอะไรเหรอ”นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบมองถาดเซ็ตอาหารเช้าร้อนๆหน้าตาน่ากินในมือนั่นอีกรอบก่อนเอื้อมมือไปรับอย่างมั่นใจว่าเป็นของตน
เพราะถาดมันเล็กมือที่ยื่นไปจึงสัมผัสเข้ากับมือของคนที่ถืออยู่ก่อนแล้วเข้าเต็มๆ นายอัครินทร์ผู้ไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ถึงกับเผลอปล่อยมือดีที่พัดจับถาดเอาไว้อยู่แล้วจึงไม่เกิดการหกตกแตกของชามข้าว แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นมือของคนสองคนซ้อนทับกันเต็มมือ ระยะห่างเพียงถาดกั้นและใบหน้าแดงๆของผู้มาเยือนยามเช้ากำลังเบิกตากว้างเป็นไข่ห่าน
ตัวปลอม!! นี่มันตัวปลอมชัดๆ!!!!!
“อินกินรึยัง มากินด้วยกันไหม”ไม่รู้ว่าพัดไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน อินยังไม่เอ่ยปากสักแอะว่าเอามาให้ก็ทึกทักว่าเป็นของตัวเองแถมมีหน้ามาชวนกินด้วยกันอีก “รึว่าไม่ใช่ของกู?”
“เออ ไม่ใช่ของมึง กูทำมาให้เมลิค”คิ้วคมเลิกขึ้นอย่างนึกขัน กระต่ายบ้านไหนกินข้าวผัด?
“เมลิคไม่ชอบเนื้อ งั้นให้เจ้าของเมลิคกินแทนได้ไหม?”อินรู้สึกเหมือนถูกล้อเลียนเจ้าตัวเลยจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันหลังกลับเตรียมเข้าห้องของตัวเองแต่ประตูที่กำลังจะปิดลงนั้นก็โดนแรงของใครบางคนยื้อเอาไว้ก่อนจะแทรกร่างตามเข้ามา
นัยน์ตาสีดำขลับจ้องถลึงใส่ผู้มาเยือน เขาลืมไปได้อย่างไรว่าผู้ชายข้างห้องคนนี้มีนิสัยได้คืบเอาศอก บอกจะไปซุปเปอร์ก็พาไปจตุจักร บอกให้กินข้าวมีหรือจะนั่งกินในห้องของตัวเองเงียบๆ
”มาทำไม”จะเรียกว่าเจ้าบ้านก็ไม่เต็มปาก อินมองผู้บุกรุกอย่างงงๆ ตามมาทำไมวะ?อย่าบอกนะว่ามาหัวเราะเยาะเรื่องเมื่อวาน
“ก็มากินข้าวเช้ากับอินไง”อินไล่มองผู้มาเยือนในชุดนอนสีน้ำตาลเหมือนสีผมของเขาอย่างเซ็งๆ จ้องมาตาใสไม่กระพริบเหมือนจะส่งกระแสจิตให้อนุญาตคำขอ ผมเผ้าก็กระเซอะกระเซิงแถมยังเดินตีนเปล่ามาอีก...
“ไปๆ ไปล้างตาล้างตาก่อนก็ได้กูไม่รีบแต่อย่าช้านะมึง อ่อ กูมีเรื่องจะถามด้วยด่วนเลย”
เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาทีคนที่ถูกไล่ให้ไปล้างหน้าแปรงฟังกลับเข้ามาในห้องของอินด้วยผมเผ้าเป็นระเบียบ ใบหน้าหล่อเหลาสดชื่นอย่างคนตื่นเต็มตา เจ้าตัวอยู่ในเสื้อนักศึกษากับกางเกงบอลขาสั้น...เปลี่ยนชุดแล้วแสดงว่าอาบน้ำแล้ว ไม่สิต้องวิ่งผ่านน้ำมาแหงๆ แค่ห้านาทีปลดกระดุมก็หมดเวลาแล้ว
อินนั่งมองผู้สร้างสถิติการอาบน้ำเร็วรายใหม่ของโลกด้วยแววตาอึ้งปนขำ พอเลิกอคติแล้วมองดูดีๆไอ้เหี้ยพัดก็มีมุมรั่วๆอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นสีหน้ารีบร้อนกลัวไม่ได้กินข้าวเช้าตอนนี้เป็นต้น
“มาช้านะมึง ไม่มาซะพรุ่งนี้เลยหละ”ประชดไปด้วยตักข้าวไปด้วย เพราะกลัวอาหารในถาดตอนแรกจะเย็นเลยเทซุปกลับหม้อแล้วเมื่อกี้นี้เอง
“ถ้าจะอาบน้ำเร็วขนาดนี้ทำไมไม่บอก เสียเวลาเทเข้าเทออกเลย”บ่นไปหยิบจานมาเสริฟไป กินกันสองคนเลยตักซุปใส่ถ้วยใหญ่แต่ตามมารยาทเลยต้องถามเพื่อนร่วมโต๊ะว่าต้องการช้อนกลางไหม ซึ่งแม้พัดจะตอบว่าต้องการแต่อินก็ไม่คิดจะใช้ตั้งแต่ทีแรกอยู่แรก พัดจึงได้แต่บ่นอุบอิบว่าจะถามทำไม แถมท้ายด้วยว่าตกลงเขามาช้าหรือมาเร็วกันแน่เอาสักอย่างสิ
“พูดมาก รีบๆกินแล้วก็ตอบคำถามกูมาซะดีๆ”ร่างโปร่งทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามพัดก่อนจะกอดอกมองหน้าอีกฝ่ายตาขวางราวกับจะหาเรื่องกัน พัดเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยอินจึงกล่าวสมทบ”ดีดีเป็นแฟนกับใคร คบกันมานานรึยัง ไปถึงขั้นไหนแล้ว ทำไมดีดีไม่บอกกู เล่ารายละเอียดมาซิ”
“ว่าแล้วว่าต้องเรื่องนี้...”
“มึงรู้เรื่องนี้ใช่มั้ย รีบๆบอกกูมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”อินเร่งรัดเมื่อเห็นคนที่ควรจะตอบคำถามปรากฏรอยยิ้มมุมปากตามแบบฉบับ วางช้อนเท้าคางเหมือนกำลังลำดับความคิดก็ไม่ใช่ ทำบ่ายเบี่ยงจะไม่บอกก็ไม่เชิง....อย่างงี้มันจงใจยั่วโมโหกันชัดๆ
“อืม...จะว่าไงดีหละ...เรื่องของกูก็ไม่ใช่ ถ้าเจ้าตัวเขาไม่บอกเองจะให้กูเป็นคนพูดก็คงไม่ดี...”พัดสบตากับอินตรงๆ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกำลังลังเลว่าจะบอกดีไม่บอกดี แต่ดวงตากลับเป็นประกายฉายชัดว่าเจ้าตัวกำลังเล่นสนุกและมีคำตอบอยู่ใน
ใจแต่แรกแล้ว
“ไอ้เหี้...”
“ถ้าขอร้องกันดีๆจะยอมช่วยก็ได้นะ”
อินไม่ทันได้ด่าออกไปพัดก็รีบสวนคำขัดขึ้นมาก่อน “หา อะไรของมึง”ซึ่งคำพูดนั้นทำให้อินงงไม่น้อย
“ก็พัดกำลังบอกให้อินพูดกับพัดแบบสุภาพ เหมือนคนกำลังขอร้องให้ช่วยคนอื่นเขาทำกันไง ไม่ใช่มาตะคอกใส่แบบนี้” ชั่วโมงดัดสันดานเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ อาจารย์พัดมองลูกศิษย์นั่งหน้าเหวออย่างอารมณ์ดี ว่าแล้วก็ตักข้าวผัดเนื้ออาหารโปรดเข้าปากตามด้วยซดน้ำซุปร้อนๆอย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่กินเหรอ เดี๋ยวเย็นหมดนะ เอาไว้ค่อยอ้อนวอนกูหลังกินเสร็จก็ได้ กูไม่รีบ”เหมือนมีอะไรมาตีแสกหน้า นายอินของเรากัดฟันอย่างเคียดแค้นมองคนถือไพ่เหนือกว่ากินข้าวฝีมือคัวเองหน้าชื่นตาบานแล้วมันเจ็บจี๊ดที่หัวเหมือนมีอะไรมาทุบตึกๆ อยากจะลูกไปยันตีนสักรอบแต่ก็ต้องอดทน
เรื่องของเพื่อนต้องมาก่อน
ที่ผ่านมาดีดีคุยกับใครมีใครมาจีบหรือแอบชอบใครอยู่จะต้องบอกอินเสมอ นั่นทำให้เขาแปลกใจที่คราวนี้ถึงขั้นคบกันแล้วแต่เจ้าตัวกลับปิดเงียบเอาไว้ ถ้าไม่ใช่คนแปลกๆชนิดที่บอกเพื่อนไม่ได้ก็อาจจะเป็นความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยอย่างฟันแล้วทิ้ง เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันคือแฟนของเพื่อนเขาคนนี้
“ได้โปรด บอกกูด้วยเถิด กูเป็นห่วงมัน”น้ำเสียงเจือด้วยความอ้อนวอนดังออกมาจากคนที่ไม่เคยยอมใครอย่างอิน นั่นทำให้พัดถึงกับวางช้อนแล้วรีบเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดอย่างตกใจ สีหน้าของอินไม่มีแววประชดแม้แต่น้อยนั่นทำให้ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้ามาในใจพัด
“เอ่อกูขอโทษ เล่นมากไปหน่อยไม่คิดว่ามึงจะจริงจังขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก ถูกของมึงแล้ว กูติดนิสัยพูดตะคอกเวลาจะขอร้องหรือขอโทษใครเขาคิดว่ากูไปขู่ฆ่ากลัวหัวหดกันหมด ว่าจะแก้อยู่เหมือนกัน”นายอัครินทร์ผู้สงบเสงี่ยมลงเพราะคำว่าเพื่อน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตักข้าวที่เหลือเข้าปาก
“...”
“...”
“ถ้างั้น ไปเจอกับตัวเลยไหม”พัดกล่าวขณะล้างจานของตัวเองและอินหลังทานเสร็จและถูกใช้ให้ไปล้าง
“หืม? เจออะไร”
“แฟนดีดีไง”
“มึงรู้จักเหรอ!!!”อินที่กำลังนั่งเอกเขนกอยู่ยนโซฟาที่ประจำกระเด้งตัวขึ้นมาอย่างดีใจ ว่าแต่มันไปรู้ที่อยู่ของเขามาได้ไงวะ
“ดีดีเคยพามาที่ห้องครั้งนึงและก็บังเอิญเดินสวนกับกูพอดีเลยแนะนำให้รู้จัก”นึกถึงตอนที่เห็นดีดีเดินควงคนๆขึ้นลิฟท์มาครั้งแรกก็ยังตกใจไม่ขนาด ไม่นึกเลยว่าเพื่อนบ้านของตัวเองจะมีรสนิยมอย่างงั้น ตอนแรกเด็กเตี้ยก็ทำท่าอึกอั่กไม่ยอมตอบแต่ก็ถูกเขาคาดคั้นจนได้ข้อมูลคร่าวๆมาจนได้
“แล้วจะไปเจอเขาที่ไหนวะ”อินถามพลางลุกขึ้นเดินมาเกาะอ่างล้างจานด้วยสีหน้าระริกระรี้เหมือนเด็กๆ เรียกรอยยิ้มจากคนมองเป็นอย่างดี
“ที่มหาลัยกูนี่แหละ คณะเดียวกันปีเดียวกันแต่คนละสาขา”
“!!!”
“ว่างเมื่อไหร่?”
“ตอนนี้เลย ว่างๆ”
“จะเจอรึป่าวก็ไม่รู้นะ กูแค่รู้จักหน้าแต่ไม่มีเบอร์ติดต่อ”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก”เอากล่าวก่อนทั้งสองจะล็อคห้องแล้วพากันขึ้นรถเดิทางไปตามล่าหาคนรักของเพื่อนรัก
...
สั้นๆ(อีกแล้ว) แหะๆ ช่วงนี้ใกล้สอบ เด็กมหาลัยวัยขยันต้องต้มชีทกิน อาจไม่ว่างมาแต่งต่อ อาทิตย์หน้าขอลาหยุด 1อาทิตย์นะคะ