แทนคุณมาส่งผมที่คณะหลังจากที่หมดพักเที่ยง เขาเองก็มีเรียนช่วงบ่ายแต่เลิกเร็วกว่าผมที่มีเรียนยาวจนถึงสี่โมง เขาบอกผมว่าจะมารับหลังจากที่เขาเลิกเรียนเสร็จ ซึ่งผมไม่ได้ขัดข้องอะไรที่เขาจะมาคอยรับคอยส่งอยู่แล้ว แต่ตอนที่ลงจากรถของแทนคุณแล้วเดินเข้าตึกมานี่สิที่ทำให้ผมรู้สึกอยากมีคาถาหายตัวได้
“ตู้หูวววว รถหรูมาส่งด้วยเหวยยยย” เสียงเห่าแซวมาแต่ไกลจากโต๊ะประจำของสายรหัสผม คราวนี้นั่งกันครบทั้งกลุ่มเลยด้วย ส่วนคนแซวไม่ใช่ใคร พี่เปรียวทอมแอนเจอรี่เจ้าเดิม
“ต๊าย อียู นี่แกคาบเดือนมหา’ลัยไปกินจริงหรอวะ กูนึกว่าอีเปรียวมันอำกูเล่น” เสียงมิสอิสซาเบลพูดขึ้นมาเมื่อเห็นหน้าผม
“มึงนี่ อย่าทำตัวโลวเทคค่ะ เดี๋ยวนี้ข่าวสารเขาว่องไวด้วยยุคโซเชี่ยลครองเมือง ไม่รู้จักอัพเดท”
“อย่าว่าเจ๊อิสสิ พี่หนู เจ๊แกไม่ได้พกสมาร์ทโฟนเสียหน่อย วันก่อนเห็นจิ้มเกมงู 3310 อยู่เลย” อันนี้พี่เต็มแกมาเป็นแนวเสริม การได้แซะเจ๊อิสซาเบลถือเป็นความสุขของพี่เต็มแกเลย
“อีเต็ม กูขอแก้ข่าว กูไม่ได้ใช้ 3310 กูใช้ ซัมซุงฮีโร่ต่างหาก ตลกมั้ยอีเด็กเวร” แล้วเจ๊อิสซาเบลก็ไล่ตีพี่เต็มที่วิ่งหนีไปรอบโต๊ะ
“โอ้ย อีเหี้ยกูเวียนหัว จะวิ่งไล่จับกันทำไม” พี่เปรียวแวดขึ้น ส่วนผมที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ก็ได้แต่เกาหัวงงๆ ตกลงพวกพี่มันแซวกูทักกูเพื่ออะไรวะ พอคิดได้ผมก็ตั้งท่าไปเข้าเรียนรีบหนีจากความวุ่นวายตรงนี้แทน
“อ้าว อียู...มึง หนีไปเสียแล้ว เพราะมึงเลยอีเต็ม กูเลยอดแซะมัน……” เสียงสิบแปดหลอดของเจ๊อิสซาเบลลุงรหัสของผมดังไล่หลังมาแต่ผมไม่ได้สนใจ นอกจากรีบวิ่งไปเข้าเรียนให้ทันเวลา
มัวแต่ไปเสียเวลากับพวกสายประหลาดเกือบทำตัวเองสายเสียแล้ว ผมถอนหายใจเมื่อเห็นว่าตัวเองมาทันเวลาพอดี
การเรียนของผมวันนี้ไม่มีอะไรมาก อาจารย์ก็มีเน้นย้ำในส่วนที่จะใช้ออกสอบ และมีนัดแนะสำหรับชั่วโมงหน้าในสัปดาห์ถัดไปที่จะเก็งข้อสอบที่จะออกให้อีกครั้ง ถือว่าการเรียนของปีหนึ่งนั้นยังไม่มีอะไรที่ยากจนเกินเหตุเพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องพื้นฐาน เหมือนยึดพื้นให้แน่นๆ มีข้อมูลที่พร้อมจะต่อยอดในปีถัดไปที่เจาะลึกทั้งทฤษฎีและปฏิบัติกว่าเดิม
ผมเดินลงมาจากห้องเรียนเมื่อหมดคาบเรียนแล้ว พอหันไปมองทางโต๊ะของกลุ่มสายประหลาดก็ไม่เห็นใครอยู่สักคน สงสัยจะหายตัวแยกย้ายกันไปหมด พอมองไปทางถนนพร้อมเสียงคนคุยกันเซ็งแซ่ ผมถึงได้เจอกับคำตอบว่าแก๊งของพี่รหัสผมหายไปไหน
นั่นคือสิ่งที่เป็นคำตอบอย่างดี
แทนคุณที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากรถ ถูกพี่อิสระหรือมิสอิสซาเบลเกาะแขนออเซาะอยู่ ในขณะที่พี่เปรียวกำลังเดินไปรอบตัวของแทนคุณ มองจ้องอีกฝ่ายจนแทนคุณได้แต่ทำหน้าหวาดๆด้วยกลัวพี่เปรียววที่กำลังเขย่งขายืดตัวสบตาแทนคุจะณเข้าสิง พี่ลูกหนูถึงขั้นต้องจิกหัวพี่เปรียวออกมาอีกที
ส่วนพี่เต็มน่นะหรอ กำลังไปลูบๆคลำๆรถของแทนคุณอยู่ เสร็จแล้วแกก็เต้นท่าประหลาดๆอะไรอยู่ข้างรถก็ไม่รู้ พอแทนคุณสบตาหันมาเจอผม ทุกคนที่อยู่ในละแวกนั้นก็หันมามองตาม
“อีเด็กยู ผัวมึงมารอนานแล้ว” จบคำพูดของพี่เปรียว รอบตัวที่มีนิสิตอยู่ประปรายก็หันมามองที่ผมเป็นจุดเดียวกัน ผมรีบก้าวเท้าไวๆแล้วพุ่งเข้าหาแทนคุณโดยไม่มองคนอื่นๆเพราะรู้สึกอายจนเกินต้านทาน
“ผมไปก่อนนะครับพี่ๆ บายครับ” แล้วก็รีบลากแทนคุณขึ้นรถฝั่งคนขับพร้อมยัดตัวเองนั่งเบาะข้างๆ
ได้ยินเสียงพี่เต็มบ่นออกมาว่ายังเต้นไม่จบเพลงเลย แต่ผมก็ไม่สนใจหรอกนะ พอแทนคุณขับรถออกมาจากคณะฯของผมแล้ว เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นรถ
“โคตรวุ่นวายอ่ะพี่ๆมึง” ผมหันไปมองแทนคุณ พร้อมฟาดลงที่ไหล่ของเขาไปหนึ่งที
“หยุดหัวเราะได้แล้ว...และก็ ขอโทษแทนพี่ๆกูด้วย มึงคงตกใจแย่” แต่แทนคุณแค่ส่ายหน้าแล้วหันมาตอบผมก่อนจะหันไปมองทางต่อ
“แค่ตั้งตัวไม่ทันเฉยๆ แต่พวกเขาก็น่ารักกันดี”
“ดูประหลาดกันมากกว่า มึงรู้ป่ะว่าสายรหัสกูนี่มีฉายาว่า สายประหลาดนะเว้ย” แทนคุณเลิกคิ้ว แล้วก็พยักหน้า
“อือ ก็เหมาะสมดีนะ ความจริงมึงได้สายรหัสนี้ก็ถูกนะ เพราะมึงก็ประหลาด” ผมสะบัดหน้าไปทางแทนคุณ พร้อมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“กูปกติ”
“มึงประหลาด หน้าตามึงอ่ะ” ผมฟาดเข้าที่ไหล่แทนคุณอีกไม่ยั้ง จนเขาต้องยกแขนขึ้นมาแล้วบอกว่าขับรถอยู่ผมถึงหยุด
“มึงอ่ะชอบแกล้งกู”
“กูยังพูดไม่จบเลย...ที่กูว่าหน้าตาประหลาดคือ มึงชอบทำหน้าตลก เดี๋ยวหน้ามู่ เดี๋ยวก็ปากยื่น เดี๋ยวก็ทำปากเป็ด มีอะไรก็แสดงออกทางหน้าหมด จนหน้ามึงตลกมากอ่ะ”
“นิสัยไม่ดีว่ะ”
ผมว่าเชิดหน้าใส่พร้อมเสียงดังหึ ถึงเพิ่งได้รู้ตัวตอนมองออกไปตามถนนแล้วพบว่าแทนคุณขับรถมาที่คณะเภสัชฯ ก่อนที่รถจะชะลอตัวและหยุดลง
“แต่ก็น่ารักมากกว่าตลกนะ” เสียงของแทนคุณต่อกลับมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าพูดอยู่ใกล้ๆ ผมเลยหันหน้ากะจะถามเขาด้วยว่ามาทำอะไรที่นี่
“อ๊ะ...”
แต่เมื่อหันไปแล้ว ก็พบว่าหน้าของแทนคุณอยู่ใกล้มาก จนจมูกของผมเฉียดกับจมูกของเขา โชคดีที่ว่ามีแว่นสายตาของผมกั้นอยู่ระหว่างกลาง ผมเบียดตัวถอยหลังจนชิดประตู ในขณะที่แทนคุณยังคงมองผมนิ่งๆ จนเมื่อสายตาเขาเบนออกไปนอกรถ คนตัวสูงถึงได้ถอยหลังกลับไป
ใจผมเต้นแรงจนกลัวว่าแทนคุณจะได้ยินมันเข้า หน้าก็ร้อนวูบอย่างนึกรู้ว่าเลือดคงมารวมตัวกันอยู่ที่สองข้างแก้ม ลามไปถึงใบหูแหง ไม่ทันได้หายใจให้ทั่วท้อง ประตูรถข้างหลังก็เปิดออกพร้อมกับคนที่ผมไม่ได้เจอหน้ามาหลายวันก็เข้ามานั่งในรถ
“หวัดดียู ขอโทษนะที่ให้อยู่ห้องคนเดียวอีกแล้ว” ขึ้นรถมาได้โรมก็พูดกับผมทันที ผมหันไปหาโรมแล้วตอบปฏิเสธไปว่าไม่เป็นไร
รถของแทนคุณมาจอดที่ร้านอาหารนั่งกินริมทะเล ในช่วงเย็นๆแบบนี้อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ แต่ยังคงมีแดดยามเย็นที่ให้ความสว่างอยู่ก่อนที่จะลาลับขอบฟ้าเข้าสู่ช่วงเวลาค่ำ
เราเลือกนั่งกันที่โต๊ะริมระเบียงที่มองเห็นวิวทะเล กับพระอาทิตย์ก้อนกลมๆที่ลอยอยู่เหนือขอบน้ำทะเลไม่มากนัก แทนคุณให้ผมเข้าไปนั่งข้างในตามด้วยตัวเขาที่นั่งถัดมาและโรมที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมอีกที พวกเราสั่งอาหารไม่กี่อย่างโดยไม่เน้นปูเพราะโรมแพ้ แต่แทนคุณกลับชอบกินปูเขาถึงได้สั่งข้าวผัดปูมากินแยกคนเดียว 1 จานเล็ก
พออาหารมาเสิร์ฟ พวกเราก็นั่งกินกันไป ชมบรรยากาศริมทะเลไปด้วย ผมสังเกตดูโรม เห็นว่าเขาค่อนข้างซูบลง ขอบตาทั้งสองช้ำเหมือนอดนอนและใต้ตาคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นออร่าความดูดีของโรมก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักนิด
“กินนี่สิ ผมว่ามันอร่อยดีนะ” โรมตักกุ้งทอดผัดมะขามสามรสให้ผม รสชาติออกเปรี้ยวหวานสอดแทรกความเผ็ดจางๆกินกับข้าวสวยกำลังดี
“อืม อร่อยดี” ผมตอบกลับไปหลังจากกลืนอาหารลงคอแล้ว
“ว่าแต่ โรมหายไปไหนมาหรอ”
“กลับบ้านน่ะ” โรมตอบพร้อมรอยยิ้ม ผมเห็นแววตาของโรมเจือความเศร้าเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะวางช้อนแล้วยกน้ำขึ้นมาดื่ม
“พอกินอิ่มแล้ว ไปเดินเล่นกันไหมยู” ผมหันไปมองแทนคุณที่ยังเพลิดเพลินกับข้าวผัดอย่างขอความคิดเห็นแต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบรับท่าทีของผมสักนิด
“ขอยืมตัวยูแป๊บนึงนะคุณ”
“อืม”
และด้วยความที่อยากรู้ว่าโรมมีอะไรจะคุยกับผม ผมจึงตัดสสินใจรวบช้อนบอกเป็นนัยว่าอิ่มแล้ว แทนคุณหันมาเห็นก็ได้แต่ส่ายหน้า ก่อนเขาจะหยิบช้อนผมไปตักไข่เจียวปลาหมึกมาใส่จานผม แล้วบังคับให้ผมกินต่อ
“กินให้อิ่มก่อนเถอะยู ผมไม่ได้รีบไปไหนสักหน่อย”
ผมอยากจะบอกออกไปเหลือเกินว่าก็ใครใช้ให้พูดแบบนั้นก่อน คนก็อยากรู้น่ะสิ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เงียบแล้วนั่งกินข้าวต่อไปจนอิ่มจริงๆ
“เดี๋ยวผมเคลียร์ตรงนี้ โรมไปกับยูเถอะ” แทนคุณบอกหลังจากที่เห็นว่าผมนั่งย่อยได้สักพักแล้ว โรมลุกขึ้นก่อนเป็นสัญญาณให้ผมลุกขึ้นตาม ส่วนแทนคุณหันไปเรียกบริกรมารับออเดอร์ของหวานต่อ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ทำตาละห้อยอยากกินบ้าง แต่ว่าเรื่องที่โรมจะคุยด้วยก็อยากรู้ ผมถึงได้ต้องตัดใจ ไว้ค่อยกินของหวานคราวหน้าแล้วกัน
โรมพาผมมาเดินห่างออกมาจากร้านอาหารไม่ไกลมากนัก แถบนั้นมีโขดหินที่ขึ้นเรียงตัวกันเหมือนแนวสะพาน โรมพาผมปีนขึ้นไปบนนั้นแล้วนั่งลงบนโขดหินสักก้อน ผมถึงได้นั่งตามแล้วมองทอดสายตาไปยังจุดที่โรมกำลังมองเห็นเป็นแนวเส้นขอบฟ้าสีส้มทองและพระอาทิตย์ก้อนสีส้มลูกโตๆที่กำลังเคลื่อนตัวลงต่ำทีละนิด
“ยู ที่ผ่านมาคงอึดอัดน่าดูเลยสินะ” เขาพูดขึ้นมาก่อน ผมถึงได้หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของโรม
“เรื่องอะไรหรอ”
“เรื่องของคุณกับผมน่ะสิ ยูคงไม่สบายใจมากเลยใช่มั้ย”
ผมเม้มปากนิดๆ ก่อนจะเห็นโรมหันมามองผมพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ต้องเครียด คำถามผมมันยากขนาดนั้นเลยหรอ” แล้วโรมก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหุบยิ้มลง
“คุณน่ะ โชคดีแล้วล่ะที่เจอยู”
“โรม...เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาหันกลับไปมองทะเลพร้อมกับชันเข่าขึ้นมากอดเอาไว้
“ยูอาจจะรู้เรื่องของผมกับคุณมาบ้างแล้ว ผมดูน่ารังเกียจไหมยู บางทีผมก็รู้สึกว่าผมไม่สมควรได้ความรักจากใครเลยก็ถูกแล้ว คนเลวแบบผมที่เล่นกับความรู้สึกของคุณ มันก็ควรจะต้องได้รับบทลงโทษ ใช่มั้ย”
“...............”
ผมเลือกที่จะเงียบและรอฟังว่าโรมกำลังต้องการบอกอะไรผม
“ยูช่วยรักคุณให้มากๆนะ อย่าทิ้งให้เขาต้องเจ็บปวดตามลำพัง ผมเชื่อว่ายูไม่มีทางปล่อยมือคุณแน่ๆ....ความจริงแล้วผมก็แอบอิจฉาคุณเขานะ ที่ได้รับความรักยิ่งใหญ่จากยู แต่มันก็สมควรแล้วล่ะ ก็คุณเขาเจ็บปวดมาเยอะก็ควรจะได้รับอะไรดีๆบ้างได้แล้ว”
“................”
“ความจริง ผมไม่จำเป็นต้องมาพูดอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ เพราะถึงยังไง เรื่องความรักมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน”
“................”
“ยู...ผมขอบคุณจริงๆนะ ที่คุณเดินเข้ามาในชีวิตของพวกเรา ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเพราะโชคชะตา หรืออะไรที่ทำให้ได้มาเจอกัน แต่ต่อจากนี้ไป ผมขอให้ยูมีความสุขมากๆ” โรมหันมายิ้มให้ผม พร้อมกับที่ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนกำลังพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
“ถึงเราจะรู้จักกันไม่นาน แต่เรารู้ว่ายูเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่น่ารัก...แต่เสียดาย ที่ผมคงต้องบอกลายูวันนี้เสียแล้ว”
“ทำไมล่ะ” ผมรีบถามลับทันที น้ำเสียงของโรมที่สั่นเครือก่อนอีกฝ่ายจะร้องไห้ออกมาให้ผมเห็นจนได้ โรมยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วสูดน้ำมูกดังซืด
“วันนี้เรามาเดินเรื่องลาออกให้เสร็จน่ะ นี่เดินวุ่นทั้งวันเลยนะ เพราะต้องไปติดต่อเรื่องออกจากหอด้วย”
“โรมจะไปไหน” ผมยืดหลังนั่งตัวตรงพร้อมหันมามองโรมเต็มๆ
“เรากำลังจะไปเรียนต่อที่อื่นน่ะ และก็อาจจะไม่กลับมาที่นี่อีก หรือถ้ามีโอกาสก็อาจจะแวะมาบ้าง”
“โรม” ผมเรียกชื่อของอีกฝ่าย โรมหันมายิ้มให้ ผมถึงได้กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนที่ผมจะเข้าสวมกอดโรมแน่นๆ
“ไม่ต้องไปก็ได้นิ”
“ไม่ได้หรอก เพราะถ้ายังอยู่ ผมก็ทำไม่ได้สักที บางทีผมก็เกลียดตัวเองนะที่อ่อนแอแบบนี้ ยูรู้ไหม ว่ายิ่งรักมากแค่ไหน เราก็จะยิ่งจำและรู้สึกกับมันมากเท่านั้น”
“แล้วเราจะเจอกันอีกมั้ย ถ้าโรมไม่กลับมาที่นี่แล้ว เราจะเจอกันยังไง..” ผมถามเขา โรมถึงได้จับไหล่ผมทั้งสองข้างแล้วดันตัวผมออก เขาหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นมาตรงหน้าผม
“นี่ไง ยังมีอีกวิธีที่ทำให้เราใกล้กันได้ ผมอุตส่าห์สมัครเฟซฯไว้เพื่อคุยกับยูเลยนะ โชคดีนะที่ยูยอมรับเป็นเพื่อน” ผมฉีกยิ้มกว้างเมื่อโรมพูดจบ
“นั่นสินะ”
และนี่ก็คือเหตุผลที่โรมสมัครเฟซฯไว้สินะ ทั้งที่แต่ก่อนโรมไม่เคยเล่นมันเลย แสดงว่าเรื่องที่โรมจะไปจากที่นี่ก็คิดมาสักพักแล้วสินะ
“แล้วต้องรีบไปเลยหรอ”
“อืม เราอยากไปพักผ่อนก่อนด้วยน่ะ ว่าจะเที่ยวไปเรื่อยๆก่อนแล้วค่อยเรียนต่อ รู้ไหมว่าตอนบอกที่บ้าน เขาตกใจขนาดไหน แต่ก็โชคดีที่พวกเขาเข้าใจ....ยู.....ไม่ต้องคิดมากเรื่องผมกับคุณนะ” โรมคว้ามือผมไปกุมไว้ พร้อมกับตบบลงไปเบาๆ
“โอกาสของยูได้มาแล้วก็ใช้มันให้คุ้มค่าไปเลยนะ ผมดีใจด้วยที่ยูกับคุณปลดปล่อยความกลัวในจิตใจได้แล้ว ต่อจากนี้ก็สร้างอนาคตไปด้วยกันเถอะนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อยากจะขอให้ยูเชื่อมั่นในตัวเอง ในความรักของยูที่มีต่อคุณ รู้ไหม”
“อืม ขอบคุณนะโรม...ขอบคุณที่เข้ามาเป็นบททดสอบในความรักของเราด้วยเหมือนกัน”
“ยินดีที่สุดเลย” โรมว่าพร้อมกับยิ้มกว้างให้ผม
“อะแฮ่ม....ปล่อยมือกันได้แล้วมั้ง”
ผมกับโรมหันไปมองต้นเสียงที่ยืนอยู่ข้างล่าง เห็นแทนคุณกำลังจ้องเขม็งที่มือของผมกับโรม แต่แทนที่พวกเราจะทำตามที่คุณบอก ผมกลับแลบลิ้นให้เขาส่วนโรมก็ดึงผมเข้าไปกอดโชว์ จนแทนคุณทนไม่ได้รีบปีนโขดหินขึ้นมา พวกผมสองคนเห็นแบบนั้นเลยรีบผละออกจากกันแล้ววิ่งหนีแทนคุณไปอีกทาง แทนคุณรีบวิ่งตามลงมา ไปไล่ตีโรมก่อนแล้วถึงวิ่งมาไล่จับผม
หมับ!
แทนคุณจับผมได้ เขารวบเอวผมเข้ามาใกล้ตัวแล้วหมุนเหวี่ยงผมไปรอบๆ ก่อนจะปล่อยผมลงพื้นให้ยืนเอียงไปเอนมา ได้ยินเสียงหัวเราะของทั้งโรมและแทนคุณที่ขำท่าทางเหมือนปูเดินเอียงๆของผม
เสียงหัวเราะของพวกเราดังล้อไปกับเสียงเกลียวคลื่นที่กระทบเข้าฝั่ง ทิ้งรอยจางๆของน้ำทะเลเอาไว้ไม่พอยังกวาดเอาซากหอยที่เกลื่อนอยู่ลงไปด้วยแล้วเอาเศษซากใหม่มาทิ้งไว้
ผมว่าชีวิตคนเราก็คล้ายๆกัน ที่จะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย พอผ่านไปก็จะกลายเป็นอดีตที่ติดอยู่ในความทรงจำ ใส่ใจมากก็จำมากปลดวางอยาก แต่ถ้ารู้จักปล่อยมันไปไม่คิดอะไรมาก เราก็จะไม่เจ็บปวดอะไรกับมันเลย
ให้มันเป็นไปตามที่มันอยากจะเป็น แต่คนที่กำหนดหนทางของมันต่อไปก็คือตัวเราเองนี่แหละ
ซึ่งอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้างผมไม่รู้
แต่ผมจะใช้โอกาสที่ผมมีในปัจจุบัน อย่างเช่นวันนี้ ให้เป็นวันที่มีแต่ความทรงจำดีๆ
โชคดีนะโรม
จบตอน สวัสดีค่ะ ในที่สุดอุปสรรคความรักของคุณและยูก็หมดลงไปหนึ่งแล้ว อนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ต้องรอดูต่อไปนะคะ
สำหรับเรื่องของโรม คงเคลียร์ไปบ้างแล้ว แต่เราจะไม่หยิบเรื่องของโรมออกมาอีกแล้วนะคะ
วันนี้ขอพูดถึงเรื่องตัวละครหน่อยแล้วกันเนอะ สำหรับเรื่องแค่คุณนี้ ตัวละครในเรื่องเราวางให้ทุกคนมีบทบาทที่ดูมัวๆค่ะ มันเป็นความสีเทาของมนุษย์ เราอยากถ่ายทอดออกมาให้เห็นว่า คนเรามีความคิดที่ติดอยู่ในใจกันทุกคนน่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความไม่มั่นใจ ความลังเล สับสน เห็นแก่ตัว หรืออีกมากมาย ซึ่งถ้าเราถ่ายทอดออกมาไม่ค่อยดีก็สามารถติมาได้นะคะ เราจะได้นำไปปรับปรุงให้ดีขึ้นค่ะ สำหรับตอนต่อๆไป ฉากมุ้งมิ้งของพระนายก็จะออกมาเยอะขึ้นแน่นอนค่ะ และยืนยันคำเดิมนะคะว่าเราไม่ทำนิยายเรื่องนี้ดราม่าแน่นอนค่ะ มันเป็นแค่ความหน่วงของความรู้สึกมืดมนในจิตใจของตัวละครเพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น อย่างที่โรมบอกค่ะ ถ้าปลดปล่อยสิ่งนั้นออกไปได้ ก็ดี ซึ่งบางคนก็ต้องใช้เวลา เร็วช้าขึ้นอยู่กับจิตใจล้วนๆ เหมือนที่โรมกำลังเผชิญ
พล่ามยาวไปนิด ไว้เจอกันตอนหน้านะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกคะแนนบวก ทุกการติดตาม และนักอ่านเงาทุกคนด้วยเช่นกันค่ะ