- 14 -
(part2)
วันต่อมาไอ้บูมมันแอบเอาแฟลชไดรฟ์ไปคืนแบบเนียนๆ โดยการไปห้องเรียนแต่เช้า แกล้งทำตกไว้แถวๆหลังห้องแล้วรีบออกมา พอเพื่อนๆเริ่มทยอยมาเรียนมันจึงเข้าไปใหม่ มีเพื่อนคนหนึ่งเดินมาเจอก็ชูถามว่าแฟลชไดรฟ์ของใคร ตอนแรกก็ไม่มีใครรับ แต่จ๊อบมันเห็นพอดีเลยสะกิดไอ้หลาม นั่นล่ะมันถึงได้แฟลชไดรฟ์ที่ข้างในไม่มีงานอะไรคืนสู่เจ้าของ
“มึงว่ามันจะรู้ตัวปะ?” ผมละหวั่นใจยังไงไม่รู้ แผนที่วางไว้ดูสะดวกราบเรียบเกินไป
“ไม่หรอก” ไอ้บูมตอบให้ผมคลายกังวล ทั้งๆที่มันเองก็คงคิดเหมือนผม “ต่อให้มันเอาแฟลชไดรฟ์ไปแก้เช็คงาน กูก็มีแผนสำรอง แถมไม่ต้องเสี่ยงเหมือนแผนแรก” คราวนี้ไอ้บูมดูมั่นใจ
หืมมมม แผนไรอีกวะเพื่อน
“กูใส่ไวรัสกับโปรแกรมแฝงลงในแฟลชไดรฟ์มันเรียบร้อย...โปรแกรมแฝงที่ว่ามันคือโปรแกรมดักจับพาสเวิร์ดที่มันใช้ลอคอินทุกอย่าง ทั้งเฟสบุค ไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม อีเมลล์”
“เห้ย มึงเก่งคอมพ์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!?” อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ยักคิ้วให้อย่างกวนๆ
“ใจจริงกูอยากดักฟังโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ...”
“เหยดดดดดดดดดดด อย่างกับสายลับ”
“แต่ติดที่ว่ากูทำไม่เป็นอะดิ 555555555+”
“โธ่ เกือบหล่อละมึง เกือบได้เป็นพระเอกล่ะ” คนอุตส่าห์ลุ้น ถ้าทำได้จริงนี่ผมคงพ้นทุกข้อกล่าวหา ว่าแต่ไอ้บูมมันไปหาโปรแกรมแฝงนั่นมาจากไหน? สงสัยเสิร์ชในกูเกิ้ลละมั้ง
“แล้วถ้าได้พาสเวิร์ดมามึงจะทำไงต่อ?” ไอ้บูมถามผมเสียงเบา เนื่องจากอาจารย์เริ่มสอนแล้ว
“ไม่รู้ดิ ค่อยคิด” ตอบไปสั้นๆ ไม่งั้นมีหวังผมกับไอ้บูมโดนไล่ออกนอกห้องแน่ อาจารย์ยิ่งมองมาทางนี้บ่อยๆอยู่ จากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก ตั้งหน้าตั้งตาจดเลคเชอร์กันไป
“เห้ยยืมยางลบหน่อย” เป็นปกติครับ ไอ้นี่มันไม่เคยพกอะไรติดตัวนอกจากดินสอและปากกาอย่างละแท่ง อาศัยยืมลูกเดียว ผมเอื้อมตัวไปหยิบกระเป๋าเป้เน่าๆ ล้วงหายางลบก้อนเล็กๆที่ใช้มาตั้งแต่มัธยม จนนิ้วไปสัมผัสกับสิ่งของบางอย่าง
แฟลชไดรฟ์...
“มีไรวะ? เจอแมงสาบในนั้นไง๊?” เออถ้าเจอกูจะเอามาปาใส่หน้ามึงคนแรกนี่แหละ สาดดดด เป้กูไม่ได้เน่าขนาดนั้นซะหน่อย
“อะ นี่ ยางลบ” ผมวางข้างๆมันแล้วทำเป็นจดทฤษฎีบนสไลด์ต่อ แม้ว่าในหัวสมองผมตอนนี้จะไม่ได้เข้าใจทฤษฎีนั้นเลยก็ตาม
เมื่อวานหลังจากที่ผมอ่านคำสุดท้ายจบ ผมก็นั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แบบนั้น ผมรู้ดีว่างานพรีเซนต์ที่สมบูรณ์แบบนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจาก...
ไอ้โท
ไม่เข้าใจว่ามันต้องการอะไร...?
หึ คิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาด มีความสามารถ งั้นสินะ ใช่...ไอ้โท มึงมันเก่ง ฉลาด หัวดี แต่กับเรื่องบางเรื่องดันโง่บรม จนบางทีผมก็คิดว่านี่มันเป็นเวรกรรมของผมรึเปล่า ชาติที่แล้วผมอาจจะทำไอ้หลามกับไอ้โทไว้เยอะก็ได้
ผมดึงแฟลชไดรฟ์ออกมากำไว้ในมือ อยากจะบีบให้แหลก แต่ผมไม่มีแรงขนาดนั้นจึงเก็บใส่กระเป๋าแทน ผมเหนื่อยมาทั้งวัน ไม่อยากเสียเวลานั่งคิดอะไรให้ปวดหัวอีก
ตอนเช้าก่อนมาเรียนผมแวะที่หน้าหอพักซึ่งปลูกสวนหย่อมไว้ มันมีก้อนหินเล็กใหญ่ประปรายเพื่อตกแต่งให้ดูสวยงาม ผมเลือกหินก้อนที่ใหญ่ที่สุด จัดการทุบแฟลชไดรฟ์จนแตกกระจายแล้วรวบรวมเศษไปทิ้งถังขยะ
อะไรที่เป็นของๆมัน ผมไม่อยากได้ ไม่อยากสัมผัสหรือรับรู้อะไรอีกแล้ว เหตุการณ์ที่ผ่านมามันทำผมฝังใจ ส่วนแฟลชไดรฟ์ในกระเป๋าที่ผมล้วงเจอเมื่อสักครู่นั้นคือของผมเอง ถึงแม้งานจะไม่ได้ดีเลิศเท่า แต่ก็ดีกว่ายอมรับเอางานของมันไปพรีเซนต์
“หน้าวอลเฟซบุคมึงนี่ใครวะ?” อาจารย์ออกไปทำธุระข้างนอก ปล่อยให้พวกผมทำแบบฝึกหัดส่งท้ายคาบ ไอ้บูมมันเลยหันมาถามคำถามที่ผมงง
“หะ?” บอกตามตรงครับผมแทบไม่ได้แตะคอม เลยไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
“นี่อะ” มันยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู หน้าจอปรากฏเฟซบุคของผม มีคนมาโพสล่าสุดว่า
‘เสื้อ’ครับ แค่นั้นแหละ คำเดียว ผมอ่านชื่อคนโพสไม่คุ้นเอาเสียเลย จึงกดเข้าไปดู รูปโปรไฟล์เป็นรูปผู้ชายหัวเกรียนยืนพิงกำแพง ใส่แว่นดำ หันหน้าไปอีกทาง แถมแต่งตัวเท่ห์แบบที่ผมอิจฉา
“ใครอะ?” ไอ้บูมยื่นหน้ามาเสือก “หล่อสัส...แต่ดันตาบอด 555555+”
ผมรู้ครับว่าเป็นใคร แต่ไม่อยากตอบไอ้บูมไปตรงๆ
“รุ่นน้องกู”
“แนะนำให้กูรู้จักหน่อยดิ”
“อย่าเลย ปล่อยให้น้องเขาไปในทางที่ดีเถอะ” คำว่าเสื้อที่ปกป้องโพสมาคงหมายถึงเมื่อไหร่ผมจะคืนเสื้อสักที ผมว่าถ้าน้องเขาไม่เกรงใจคงทวงเงินหน้าวอลละครับ ส่วนเรื่องที่ปกป้องมีเฟซผมได้ก็เพราะตอนนั้นที่ผมเป็นคนเร่ร่อนไม่มีที่อยู่ น้องเขาขอเฟซบุค ผมก็ให้ไป
‘กดรับด้วย’
‘หืม?’
‘ลอคอินเข้าเฟซโมสิ แล้วกดรับผมเป็นเพื่อนด้วย’อยากจะถามว่ารีบขนาดนั้นเลยเรอะ?! แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปนอกจากรับไอโฟนมา
“แล้วเสื้อนี่เสื้ออะไรวะ?” ยังครับ มันยังเสือกต่อ
“ไม่เสือกดิบูม” ขอยืมวลีฮิตหน่อยละกัน มันทำหน้าหมาหงอยไปเลยครับ
เสื้อที่ว่าผมซักแล้วพับเก็บไว้เรียบร้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปคืนเมื่อไหร่ดี ช่วงนี้กำลังเก็บเงินเพื่อคืนค่ายาครับ จะเดือนนึงแล้วเนี่ย ยังหาคืนไม่ครบซักที มีแต่เรื่องวุ่นๆให้ปวดหัว
“เออใช่ กูเกือบลืม เย็นนี้มึงว่างปะ”
“กูทำงาน...มีไรวะ?” การที่ไอ้บูมถามผมแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ เพราะปกติมันไม่เคยถามผมแบบนี้เลย ถ้าไม่สำคัญกูไม่อยากขาดงานนะเว้ยยย
“เออว่ะ...เอาไงดี มึงลางานได้มั้ย หรือไม่พอเสร็จธุระมึงค่อยไปทำงานต่อก็ได้ บอกเจ้าของร้านว่าขอไปสายหน่อย เจ้าของร้านกุ้งเต้นใจดีไม่ใช่เหรอ?”
“สำคัญขนาดนั้น?”
“ใช่ และมึงต้องไปให้ได้”
พอถึงเวลาเลิกเรียนเวลา 5 โมง ไอ้บูมพาผมไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก็นึกว่ามีธุระอะไรที่นี่ (หรืออาจจะฝากงานให้ผมทำร้านนี้) แต่ก็เปล่าครับ มันบอกมันหิวเฉยๆและให้ผมสั่งได้ตามสบาย มื้อนี้มันเลี้ยงเอง เมื่อโอกาสมาถึงแล้วจะรออะไรล่ะครับ สั่งสิครับ สั่งมาเต็มโต๊ะจนไอ้บูมด่าผมเบาๆว่าไปตายอดตายอยากมาจากไหน ฮ่าๆ
สัก 6 โมงมันบอกว่าได้เวลาแล้วจึงขับรถพาผมไปยังที่ที่หนึ่ง ใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน มันเป็นบ้านทาวเฮ้าส์หลังเล็กๆ ตัวบ้านดูเงียบสงบราวกับไม่มีคนอยู่ ขณะที่ผมกำลังงงไอ้บูมมันผลักรั้วเข้าไปแล้วจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้ตามมันเข้าไปแบบเงียบๆ ผมสังเกตว่าข้าวของในบ้านยังมี พวกเฟอร์นิเจอร์ โทรทัศน์ โซฟา อะไรพวกนี้ เพียงแต่นอกบ้านไม่มีอะไรตกแต่งเลยทำให้ดูเหมือนบ้านร้าง
ผมก้าวมันมาเรื่อยๆ ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากถามว่าตกลงให้มาทำอะไร ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังคุยกันอยู่ แถมเป็นเสียงที่คุ้นหูด้วย
ถึงตรงนี้เหมือนเป็นส่วนของหลังบ้านแล้ว มีประตูเปิดแง้มไว้เล็กน้อยกับบานหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดม่าน ไอ้บูมย่อตัวค่อยๆเดินเข้าไปจนถึงระยะที่พอจะได้ยินเสียงชัดเจน
“...จะอยากรู้ไปทำไม?” นั่น...คือเสียงพี่รหัสผมเอง พี่พล ผมเกือบลุกขึ้นแล้วถ้าไม่ติดว่าไอ้บูมมันดันไหล่ผมไว้ ผมหันไปมองมันอย่างไม่เข้าใจ
“ผมก็แค่อยากรู้ความจริง ว่าคืนนั้นพี่ได้นอนกับนะโมรึเปล่า?” คราวนี้เป็นเสียงคนที่ผมอยากอยู่ห่างมากที่สุด...ไอ้โท มันมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมถึงได้ถามเรื่องนั้น...ไหนว่าไม่เชื่อกูไง เหอะ
“ผมถามก็ตอบสิครับ” ไอ้โทพูดเสียงต่ำ ถึงไม่ได้เห็นหน้ามันแต่ก็พอรู้ว่ามันกำลังเก็บอารมณ์เพื่อรอเวลาระเบิด เหมือนที่ผมเคยเจอ
“พี่ไม่มีอะไรจะพูด ออกไปได้แล้ว”
“น่าสมเพชนะครับ บ้านหลังนี้จะโดนยึดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? หึ”
“ระ รู้ได้ไง?”
“ที่ซุกหัวนอนจะไม่มี มหาลัยก็จะโดนไล่ออก แถมยังหนีหัวซุกหัวซุนจากเจ้าหนี้ที่ส่งลูกน้องมาดักรุม ผมพูดถูกมั้ยครับพี่พล? ขาดอะไรอีกรึเปล่า? อ้ออออ พ่อแม่พี่พลจะว่ายังไงบ้างครับถ้ารู้ว่าลูกติดพนันบอลเป็นแสนๆ”
ติดพนันบอลเป็นแสนๆ...?
ใจผมอยากจะลุกขึ้นไปถามให้รู้แล้วรู้รอดว่าสิ่งที่ไอ้โทพูดมามันจริงมั้ย ไม่ต้องมานั่งแอบดักฟังแบบนี้
“ผมช่วยพี่ได้นะ” สิ้นคำไอ้โทพี่พลก็เงียบไป “แค่พี่บอกความจริงกับผมมา”
“จะช่วยพี่ยังไง?”
“ผมช่วยจ่ายให้5หมื่น” ไอ้โทตอบทันที “รีบๆตอบหน่อยนะครับ เวลาผมมีไม่มาก”
พี่พลเงียบอยู่นานจนผมเริ่มปวดขาและคิดว่าพี่พลคงไม่ยอมรับข้อเสนอหรือพูดอะไรทั้งนั้น
“คืนนั้น...ไปกินเลี้ยงสายรหัส ตอนแรกพี่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะวางยาหรือทำอะไรไอ้โมมันหรอก แต่ว่าตอนที่พี่ไปเข้าห้องน้ำ จู่ๆฉลามที่ไปร้องเพลงร้านเหล้าวันนั้นเดินมาหาพี่และเอายานอนหลับให้ บอกว่าให้วางยานะโม พาไปนอนกับผู้ชายหรือกับใครก็ได้ แต่ต้องมีภาพแบลคเมล์มาให้ ถ้าทำสำเร็จจะให้เงิน3หมื่น ช่วงนั้นพี่ก็มีหนี้ยังไม่ได้จ่าย เอ่อ พนันบอลเนี่ยละ ก็เลยตกปากรับคำ พี่คะยั้นคะยอให้นะโมดื่มตลอดจนฟุบหลับ พี่พาไปโรงแรมแต่ไม่รู้ว่าจะไปหาผู้ชายมาจากไหนให้นอนกับนะโม พี่เลยใช้ตัวเอง จัดฉากนิดหน่อย แต่ไม่ได้ทำอะไร พอเช้ามาก็ไปส่งที่หอ แล้วก็เอารูปไปให้ฉลาม”
พี่พลสารภาพทีเดียวออกมาหมดเปลือก ผมไม่รู้ว่าไอ้คนที่ถามมันรู้สึกยังไง แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ถ้าไอ้เหี้ยโทมันไม่เชื่ออีกก็เรื่องของมัน
“แล้วพี่พลก็เป็นคนวางยานะโมวันที่พวกผมไปกินเลี้ยงฉลองหลังจบงานนิทรรศการด้วยใช่มั้ยครับ?”
เออนี่ถ้าไอ้โทไม่ถามผมก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
“อะ อืม ฉลามเอายามาให้พี่เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่คราวนี้พี่ไม่ได้เงินเพราะทำไม่สำเร็จ”
ถึงตรงนี้ผมไม่ไหวแล้วครับ นี่แม่งจะขายผมเพื่อแลกกับเงินใช่มั้ย!?!?
ความโกรธบังตาจนผมลืมที่ไอ้บูมบอกให้ผมเงียบๆ ผมไม่สนว่าไอ้เหี้ยโทมันจะมองผมแบบไหน รู้แต่ว่าพอผมปรากฏตัวออกไปเท่านั้นแหละ ผมพุ่งทั้งตัวเข้าไปต่อยไอ้พี่พลสุดแรง
ผัลวะ!!
แต่มันยังไม่สะใจผม พี่พลเสียการทรงตัวผมจะเข้าไปต่อยซ้ำ แต่ไอ้บูมมันมาดึงตัวผมไว้ก่อน จึงได้แต่ระบายความโกรธออกไป
“กูต้องเจอเรื่องเหี้ยๆเพราะรุ่นพี่แบบมึง เห็นแก่เงิน! เห็นแก่ได้! ผีพนันเข้าสิงมึงใช่มั้ย งั้นกูขอให้อย่าแม่งออกมานะ ทำให้ชีวิตมึงล่มจมไปเลย!!” ผมหายใจหอบแฮ่กๆ
“เห้ย ใจเย็นดิสัส” ไอ้บูมบอกผม “ถ้ารู้ว่ามึงจะเป็นแบบนี้กูไม่พามาดีกว่า”
เท่านั้นแหละครับ ผมสะบัดตัวออกแล้วถามกลับ
“แล้วทำไมมึงถึงพากูมาถูก? มาได้จังหวะพอดี?”
“เอ่อ...”
“กูให้ไอ้บูมพามึงมา” ไอ้โทตอบแทน ผมหันไปมองหน้ามันก่อนที่จะหันกลับอย่างรวดเร็ว
“นี่มึงแอบคุยกับ ‘มัน’ เหรอ” ผมถามไอ้บูม หน้าตามันเลิ่กลั่กราวกับไม่รู้จะตอบยังไงดี
“เอ่อ...เรื่องกูไว้ก่อนเถอะ เอาเรื่องพี่พลก่อนดีมั้ย?”
หันกลับมายังพี่พลที่นั่งเช็ดเลือดมุมปาก พี่พลค่อยๆลุกขึ้นโดยเอามือยันผนัง
“พี่...ขอโทษ...” พี่พลขอโทษผมจากใจจริง ผมสังเกตได้จากแววตาที่ซื่อตรง
แต่แค่แววตากับคำขอโทษเฉยๆมันไม่พอ...เมื่ออารมณ์เย็นลงแล้ว ผมจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ผม-ไม่-รับ-คำ-ขอ-โทษ จากใครทั้งนั้น ไม่มีประโยชน์ คำขอโทษของพี่มันไร้ความหมาย สิ่งที่พี่ทำกับผมมันเกินกว่าจะให้อภัย” แน่นอนว่าที่ผมพูดไปต้องการให้อีกคนรับรู้ด้วยเช่นกัน
“พี่หมดหนทางจริงๆ”
“เหอะๆ พอเถอะ ขี้เกียจฟังคำแก้ตัวว่ะ” ผมบอกก่อนหันมายังไอ้บูม “แค่นี้ใช่มั้ยธุระสำคัญของมึงน่ะ งั้นกูกลับละนะ”
“เดี๋ยว” เสียงของคนที่ผมไม่อยากเสวนาด้วยรั้งไว้ แต่คิดว่าผมจะยอมหยุดเพราะคำพูดของมันงั้นเหรอ? ยิ่งมันเป็นคนพูดผมยิ่งทำตรงข้าม
ผมเดินออกมาที่รถ ไอ้บูมวิ่งตามผมแล้วบอกให้ผมใจเย็นๆ
“ไอ้โทมันช่วยมึงนะเว้ย”
“ใครขอ?” ได้ข่าวว่าต่างคนต่างอยู่นะ
“มึงเป็นอะไรวะ? ไม่พอใจไรไอ้โทก็พูดดิ มาลงที่กูแบบนี้กูเสียใจนะโว๊ย”
“โทษทีว่ะ กูก็แค่...ไม่อยากยุ่งกับมัน”
“เพราะมันเคยดูถูกมึง...ใช่มั้ย? ก็นี่ไง มันพยายามหาความจริงช่วยมึงอยู่”
มึงไม่เข้าใจหรอกบูม...มันมีอะไรมากกว่านั้น...อะไรบางอย่างที่กูไม่อยากพูดถึง อยากลบออกไปจากสมอง มันกลายเป็นความทรงจำเหี้ยๆที่ติดอยู่ในจิตใจ จะลบก็ไม่ได้ จะลืมก็ลืมไม่ลง เพียงเพราะเห็นหน้าไอ้เหี้ยโท
“พากูกลับเหอะ” ผมขอร้องไอ้บูม ซึ่งมันก็ทำตามที่ผมขอ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขึ้นรถ ก็มีแรงกระชากที่ข้อศอกทำให้ผมต้องกลับไปมอง
ไอ้โท!
ผมสะบัดจนแขนแทบหักแต่มือมันก็ยังบีบแน่นราวกับคีมเหล็ก
“เดี๋ยวกูไปส่งเอง มึงกลับไปก่อนเลยบูม”
“เห้ย เดี๋ยว ไอ้บูม ถ้ามึงไม่พากูกลับด้วย...”
“สอบปลายภาคเดี๋ยวกูให้ลอก”
“เอ่อ โทษทีนะ มึงกลับกับไอ้โทแล้วกัน พอดีกูต้องไปธุระต่อ”
ไอ้เพื่อนเหี้ยยยยยยยยยย นี่มึงเห็นข้อสอบดีกว่ากูใช่มั้ย...ได้ งั้นเดี๋ยวปลายภาคกูจะฟ้องอาจารย์!
แล้วมันก็บรื้นออกไปเลย ไม่รอให้ผมประท้วงไปมากกว่านี้ ผมมองรถไอ้บูมด้วยสายตาละห้อย จนเมื่ออีกคนที่กำลังบีบแขนผมพูดขึ้นนั่นแหละ ผมถึงหันมาสนใจมัน
“เดี๋ยวกูไปส่ง”
“กูกลับเองได้” ทำปากเก่งไปงั้นแหละครับ ที่นี่คือที่ไหนผมยังไม่รู้เลย ดูเหมือนไอ้โทมันจะรู้ว่าผมคิดอะไร มันหัวเราะฮึในลำคอเบาๆ
“ขึ้นรถ รถกูจอดตรงโน้น”
“ไม่!!” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไปขึ้นเดี๋ยวนี้!” ไอ้โทตะคอกใส่ผม เท่านั้นแหละครับ ผมหันไปชกหน้ามัน ไม่สนว่าใบหน้าได้รูปของมันจะกรามหักหรือไม่
“มึงไม่มีสิทธิ์มาสั่งกู”
จากการที่ผมชกมันเมื่อสักครู่ทำให้มือมันเผลอปล่อยข้อศอกและกะจะต่อยมันอีกที แต่หมัดผมกลับชะงักค้างไว้เมื่อไอ้โทพูดว่า
“มึงอยากต่อยกูเท่าไหร่ก็ได้...แต่ขึ้นรถเถอะนะ เดี๋ยวไปส่ง” น้ำเสียงอ่อนแรงดูไม่ใช่มันเลยสักนิด “อยากเคลียร์เรื่องพี่พลกับไอ้หลามด้วย”
“เคลียร์เหี้ยไร เมื่อกี้ก็เคลียร์ไปแล้วนิ มึงก็ได้ยินแล้วว่ากูไม่ได้ขายตัว รูปนั้นกูโดนวางยาโดยเพื่อนรักมึงเป็นคนจัดฉากและใส่ความกู” ผมมองหน้ามัน พูดกับมันตรงๆ
“กู...”
“อีกอย่างนะ นี่มันแถวมหาลัย เพราะฉะนั้นกูกลับเองได้ ไม่ต้องมาทำดีกับกู สิ่งที่มึงทำไว้ต่อให้ทำดีเป็นร้อยเป็นพันมันก็ลบล้างไม่ได้หรอก จำไว้”
ช่วงนี้แพรมีเรื่องเครียดค่ะ เครียดจริงๆ เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสกว่าตัวแพรมาก ยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะที่อัพล่าช้า
ปล.i'm not&you don't รีปริ้นท์ละค้าาา