Acceptanceชายวัยกลางคนตรงหน้า...คู่สนทนาของผม...พ่อทูนหัวของฮาน กำลังนั่งจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาคู่คมฉายแววหงุดหงิดปนไม่เข้าใจ
“หมายความว่ายังไง”
ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงการสบตา การสบตากับคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้มักทำให้ผมไม่สบายใจและสูญเสียสมาธิจนทำผิดพลาดมานักต่อนักแล้ว ถ้าเลี่ยงได้ สู้ไม่มองไปเลยน่าจะดีกว่า
“ผมเข้าใจนะครับว่าคุณลุงเป็นห่วงว่าหากพวกเราเจอคนแห่งโชคชะตาขึ้นมา เรื่องราวยุ่งยากมากมายก็จะเกิดขึ้น แต่ผมรับรองได้เลยครับว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ความรู้สึกที่ผมมีให้ฮานไม่ใช่แค่ความรู้สึกตื้นเขินอย่างความรักใคร่ชอบพอกันของเด็กๆ ผมรักเขาด้วยใจจริงและอยากจะดูแลเขามาตลอด จะให้ผมกลับไปเป็นเพื่อนกับเขาเหมือนแต่ก่อนผมเองก็คงทำไม่ได้ ความรู้สึกที่ผมมีให้ฮานมันผ่านจุดที่จะย้อนกลับนั้นมาแล้วล่ะครับ เพราะฉะนั้น...”
“เธอเอาอะไรมามั่นใจไม่ทราบ”
เสียงของผมถูกกลืนหายกลับลงไปในคออย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้เขาได้พูดต่อ
“ตัวเธอจะมั่นใจได้ยังไงว่าหลังจากนี้ หนึ่งปีหลังจากนี้ ห้าปีหลังจากนี้ สิบปี ยี่สิบปีหลังจากนี้ เธอจะไม่มีโอกาสได้เจอกับเนื้อคู่ของตัวเองเลย เธอมั่นใจได้ยังไงกัน”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดตอบ “จะพูดว่ามั่นใจก็คงไม่ถูกนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เจอกับคู่ของตัวเอง”
ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกสูดเข้าไปในปอดเพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง
“ตัวผมเกิดมาในหมู่บ้านที่มีแต่โอเมก้าและเบต้า ตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยเห็นใครจะได้มีโอกาสเจอคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองเลยสักคน เพราะฉะนั้น การมีชีวิตอยู่โดยไม่เจอคู่แห่งโชคชะตาไปตลอดชีวิตมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่ครับ”
นัยน์ตาผมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา
ตาคู่คมนั้นทั้งเรียบนิ่ง ทั้งสงบจนคล้ายจะไร้ความรู้สึกจนชวนให้รู้สึกไม่สบายใจยังไงพิกล
แต่สุดท้ายผมก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีแล้วพูดต่อ
“ขนาดคุณลุงเองก็ยังไม่เคยเจอเลยใช่ไหมล่ะครับ เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าปฏิเสธความสัมพันธ์ของผมกับฮานเลยนะครับ”
แล้วผมก็ก้มหัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้พร้อมกับภาวนาให้อีกคนยอมรับคำพูดของผมแต่โดยดี
ได้โปรดเถอะครับ ได้โปรดอย่าพรากผมกับฮานออกจากกันเลย
“ผมเองก็ขอร้องด้วยคนนะครับคุณพ่อ”
เอ๊ะ!
ผมรีบผงกหัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังอยู่ข้างตัว ร่างสูงใหญ่คุ้นตาของคู่ชีวิตที่เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่ผมนั่ง
และเขากำลังก้มหัวต่ำมากกว่าครั้งไหนที่ผมเคยเห็น
“พวกผมรู้และเข้าใจดีครับว่าเรื่องราวในตอนนี้อาจจะนำพามาซึ่งความยุ่งยากในอนาคต แต่พวกผมตัดสินใจแล้ว หากวันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นมา พวกผมก็จะขอรับมันเอาไว้เองครับ”
บ้าชะมัด ฮานนะฮาน ทำไมถึงใจดีกับผมไม่ยอมเลิกสักทีนะ
ไม่ได้แล้ว ผมเองก็ต้องต่อสู้ด้วยเหมือนกัน
ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยืนเคียงข้างฮาน
“ผมเองก็ขอร้องด้วยคนนะครับคุณลุง”
แล้วผมก็ก้มหัวลงอีกครั้ง
แล้วพวกเราก็ก้มหัวลงอีกครั้ง
ห้องรับแขกขนาดใหญ่ตกอยู่ในความเงียบอยู่นานแสนนาน แม้อาจจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ในหัวใจของผมกลับรู้สึกราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์
ได้โปรด อย่าพรากฮานไปจากผมเลย ผมสัญญาว่าจะเป็นคนดี ไม่ดื้อไม่ซน ไม่เอาแต่ใจ จะพยายามรักษาดูแลชีวิตตัวเองให้ดี แล้วก็...
“พอได้แล้วล่ะครับ นายท่าน”
เสียงของบุคคลที่สามที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมเผลอผงกหัวขึ้นมองโดยอัตโนมัติ ในความแปลกใจนั้นมีความไม่แปลกใจปนอยู่ จะว่ายังไงดีล่ะ การที่ผมได้เห็นว่าบุคคลที่สามนั้นคือคุณพ่อบ้านอัลเฟรดไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตกใจอะไร แต่พอคิดว่าจู่ๆ เขาก็เดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงแล้ว มันก็อดจะรู้สึกหวั่นๆ ในใจไม่ได้
ทำไมอัลฟ่าบ้านนี้ถึงได้เท้าเบานักนะ
ผมก้มหน้าต่ำลงทันทีที่รู้ตัวว่าเผลอมองพวกเขานานไปหน่อยแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงก็อดใจแอบเหลือบมองไม่ได้เลย น่ากลัวจะเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายเสียแล้วล่ะ
แม้จะเห็นไม่ชัดนัก แต่ผมก็พอบอกได้ว่าคุณพ่อบ้านกำลังเอามือบีบไหล่เจ้านายของตัวเอง
“พอเถอะครับแดน พวกเขาอุตส่าห์ขอร้องถึงขนาดนี้แล้ว”
แล้วมือใหญ่ของชายสูงวัยที่ถูกสวมทับไว้ด้วยถึงมือผ้าสีขาวอย่างนี้นั้นก็ค่อยๆ ไล้จากไหล่ลงมาที่ต้นแขนของคนที่นั่งไม่สบอารมณ์อยู่บนเก้าอี้นวมช้าๆ
“ถือเสียว่าผมขอนะครับ”
แล้วคุณลุงของฮานก็หลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ให้ท้ายกันเข้าไปเถอะ ถึงเวลาถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน”
แล้วอัลฟ่าร่างโปร่งผู้เป็นเจ้าของบ้านก็พลันลุกขึ้นแล้วเดินกระแทกเท้าออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหรือปรายตามามองพวกผมเลยสักแว็บเดียว
นี่มัน...อะไรกันเนี่ย
“พอได้แล้วครับทั้งสองคน ยืนโค้งตัวแบบนั้นนานๆ มันไม่ดีกับหลังนะครับ”
แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ผมก็ยอมกลับมายืนตัวตรงตามที่เขาบอกได้โดยดี
ในหัวมีคำถามมากมายก่ายกองวิ่งวนอยู่เต็มไปหมดจนไม่รู้เลยว่าควรจะถามคำถามไหนออกไปก่อนดี โชคดีที่ผมยังมีคนข้างๆ อยู่ด้วย
“พ่อเขา...ยอมแล้วเหรอครับ”
นั่นล่ะฮาน คำถามนั้นเลย เก่งมากเลยครับ
ชายชราตรงหน้าไม่ได้ตอบคำถามของฮานในทันที เขามองหน้าพวกผมสองคนสลับกันไปมาก่อนจะคลี่ยิ้มบาง
“เรื่องนี้ ผมเองก็ตอบไม่ได้หรอกครับ”
แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“แต่สำหรับวันนี้ ผมคิดว่านายท่านคงยอมรามือแล้วล่ะครับ”
แฮะๆ แค่สำหรับวันนี้สินะ
แย่จังเลยน้า
“ไหนๆ ก็อุตส่าห์มาอยู่ที่นี่กันแล้ว ไม่ทราบว่านายน้อยกับคุณเอลจะรับประทานอาหารเย็นที่นี่เลยไหมครับ”
คำถามนอกลิสต์ที่จู่ๆ ก็ถูกโพล่งขึ้นมาทำเอาผมเสียศูนย์จนตอบไม่ถูก
และก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่า ‘ดีจังเลยน้าที่ฮานอยู่ตรงนี้ด้วย’
“ไม่ดีกว่าอัล ขอบใจมาก”
“อย่างนั้นเหรอครับ” คุณพ่อบ้านรับคำด้วยท่าทีผิดหวัง “ถ้ายังงั้น ไว้วันหลัง ต้องมาทานอาหารเย็นที่นี่ให้ได้เลยนะครับ”
อา แย่จัง รู้สึกเหมือนตัวเองเผลอทำเรื่องไม่ดีสุดๆ ลงไปเลย
แต่เหมือนว่าฮานจะไม่คิดเหมือนผมล่ะนะ
“อือ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยปากรับคำด้วยท่าทีนิ่งสงบ “ถ้างั้นพวกผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะครับ”
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกที รถยนต์ที่พวกเรากำลังโดยสารก็เริ่มออกห่างจาก
อาณาเขตของตระกูลเจเล็ตเข้าไปทุกที วันนี้เรื่องราวทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน ยังไม่จะได้คิดให้ถี่ถ้วน สิ่งที่ผ่านเข้ามาก็สลายหายไปเสียแล้ว
แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกสิ่งที่เห็น ทุกสิ่งที่ได้ยินเหล่านั้นมันคือความจริง
‘ตัวเธอจะมั่นใจได้ยังไงว่าหลังจากนี้ หนึ่งปีหลังจากนี้ ห้าปีหลังจากนี้ สิบปี ยี่สิบปีหลังจากนี้ เธอจะไม่มีโอกาสได้เจอกับเนื้อคู่ของตัวเองเลย เธอมั่นใจได้ยังไงกัน’
คำพูดนั้นยังคงฝังแน่นอยู่กลางใจคล้ายเป็นม้วนเทปที่ยังกรอวนเล่นซ้ำไม่ยอมหยุด
ตัวผมเอง ก็ตอบคำถามนั้นไม่ได้เหมือนกัน สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็คือ...
ผมเอื้อมมือไปวางบนหลังมือของฮานที่กำลังจับพวงมาลัยแน่นเสียจนข้อนิ้วเริ่มซีดขาว
“ผมรักฮานนะครับ รักมาตลอด”
นิ้วมือทั้งห้าของผมลูบไล้หลังมือเขาคล้ายต้องการจะปลอบโยน
“ผมอยากดูแลฮาน อยากอยู่กับฮาน อยากอยู่ในอ้อมกอดของฮานตลอดไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น...”
แล้วผมก็โน้มหัวลงไปจูบหลังมือเขาเบาๆ
“ช่วยอยู่ด้วยกันจนกว่าจะถึงตอนนั้นด้วยนะครับ”
แล้วมือที่เครียดเกร็งของฮานก็คลายลง
หลังจากคำพูดประโยคนั้น ผมกับฮานก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ผมกับฮานไม่ค่อยจะคุยกันระหว่างขับรถหรือนั่งรถอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพอต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในภวังค์แบบนี้ ห้องโดยสารที่ปกติก็เงียบอยู่แล้วก็เลยเหลือแค่เสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงดนตรีจากวิทยุไปโดยปริยาย แต่ส่วนตัวผมก็ไม่ได้มองว่ามันน่าอึดอัดหรืออะไรหรอกนะ ความเงียบแบบนี้ออกจะเป็นความเงียบในเชิงบวกด้วยซ้ำ
เอ จะว่ายังไงดีล่ะ ผมก็อธิบายเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเก่งหรอก เอาเป็นว่า ทุกครั้งที่ฮานเงียบ ผมไม่เคยรู้สึกไม่ดีเลย กลับกัน มันกลับทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าไม่แปลกก็คงไม่แปลกล่ะนะ
ผมขยับตัวเพื่อเอาหัวพิงกับประตูรถแล้วทอดสายตามองทิวทัศน์ด้านนอก
วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ คงเพราะมีนู่นมีนี่ให้ต้องทำเต็มไปหมด กว่าจะได้กลับบ้านก็ปาไปเกือบพระอาทิตย์จะตกดินแล้ว ปกติผมไม่ใช่พวกกลับบ้านค่ำ ฮานเองก็เหมือนกัน เพราะแบบนั้นผมเลยไม่ชินกับท้องฟ้ายามโพล้เพล้แบบนี้เอาเสียเลย
ทุกทีก็เคยเห็นวิวแบบนี้แค่จากห้องนอนของตัวเองน่ะนะ พอได้มามองดูท้องฟ้าผืนใหญ่เต็มๆ ตาแบบนี้ก็รู้สึกแปลกพิลึกดีเหมือนกัน
“ง่วงเหรอครับ”
คำพูดที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของคนขับรถทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ในทันที ความคิดมากมายที่เคยลอยฟ่องอยู่ในหัวก็พลันสลายหายไปหมด
ช่างเป็นเสียงที่มีพลังจริงๆ เลยน้า
ผมหันไปมองคนถามที่ยังคงจดจ่ออยู่กับการขับรถพลางส่ายหน้าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่เห็น
“เปล่าหรอกครับ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”
เขาเงียบไปอึดใจ “คิดอะไรเหรอครับ”
“เรื่องไร้สาระน่ะครับ” ดวงตาของผมเหลือบมองข้อนิ้วที่เริ่มเครียดเกร็งของฮาน “อย่างเรื่องที่ว่าผมไม่ค่อยได้กลับบ้านเย็นก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นท้องฟ้าในเวลาแบบนี้นอกบ้านเลย พอได้เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆ ดีน่ะครับ”
แล้วข้อนิ้วที่ขาวซีดก็เริ่มมีเลือดฝาด “อย่างงั้นเหรอครับ งั้นไว้คราวหน้าผมพาเอลไปกินข้าวเย็นนอกบ้านบ่อยๆ ดีไหมครับ จะได้เห็นท้องฟ้าแบบนี้นอกบ้านบ้าง”
ผมทอดสายตามองท้องฟ้าอยู่พักนึงก่อนจะค่อยๆ เอนหลังทิ้งตัวลงพิงเบาะโดยสาร
“ก็ดีนะครับ”
น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงไปในคออย่างยากลำบาก ผมกำลังชั่งใจอยู่ระหว่างการก้าวเดินออกจากพื้นที่ปลอดภัยพร้อมกับความกระจ่างหรืออยู่ในพื้นที่ปลอดภัยพร้อมกับอาการขุ่นมัวในหัวใจ
แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะเสี่ยง
“นี่ฮาน”
“ครับ” เขาขานรับเสียงเรียกของผมในทันทีเหมือนอย่างทุกครั้ง
“ผมมีเรื่องอยากจะถามน่ะครับ”
เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้ดูเหมือนปกติ “มีอะไรเหรอครับ”
อา เจ้าบ้าฮาน ท่าทางจะกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น้อยเลยสินะ
แต่เอาเถอะ ไว้คืนนี้ผมค่อยปลอบเขาก็ได้ ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าอยู่
“ผม...ขอถามเกี่ยวกับคุณลุงของฮานได้ไหมครับ”
“คุณพ่อน่ะเหรอ” แม้จะไม่ได้หันไปมอง ผมก็พอเดาได้ว่าเขากำลังเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนใจ “มีอะไรเหรอครับ”
ผมฝังตัวเองเข้ากับเบาะนุ่มที่นั่งอยู่ลึกขึ้นอีกหน่อย
“แบบว่า...” ริมฝีปากของผมเปิดแล้วก็ปิด ปิดแล้วก็เปิด อยู่อย่างนั้นอึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่กับตัวเอง “ฮานเคยเห็นรอยแผลเป็นที่ข้อมือของคุณลุงไหมครับ”
ถามออกไปแล้ว ถามคำถามที่อันตรายที่สุดออกไปแล้ว
เอ๊ะ
ผมเบิกตาขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เมื่อกี้นี้ ถ้าผมตาไม่ฝาด เหมือนมือของฮานจะดูผ่อนคลายลงนิดนึงรึเปล่านะ
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตริตรองอะไรกับตัวเองไปมากกว่านั้น คนข้างตัวก็พลันชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เคยครับ จริงๆ สาเหตุของรอยแผลนั่นมันก็นานมากแล้วน่ะครับ” เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะเอียงหัวมาทางเบาะโดยสารของผมทั้งที่นัยน์ตายังคงจดจ่ออยู่กับการขับรถ “อยากฟังรึเปล่าครับ”
แหมๆ พูดมาขนาดนี้เขาคงคาดหวังให้ผมตอบกลับไปว่า ‘ไม่ดีกว่าครับ’ อยู่หรอก ทำเหมือนไม่รู้จักกันไปได้
แต่ก็นะ ฮานก็คือฮานนั่นล่ะ
พอเห็นผมเงียบ คนตัวโตกว่าก็หัวเราะร่วนออกมา
“ไม่น่าถามเลยเนอะ”
ถูกต้องนะคร้าบ เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าหมียักษ์
“เมื่อครู่ตอนคุยกับคุณพ่อ เอลก็น่าจะได้ยินเรื่องที่ท่านบอกว่าถ้าอัลฟ่ารัทกับคนที่ไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตาของตัวเอง ก็มักจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมใช่ไหมครับ”
ฝ่ามือใหญ่หมุนพวกมาลัยเพื่อเข้าโค้งด้วยท่าทีสบายๆ ตามปกติ
“ประสบการณ์นั้น เป็นเรื่องของคุณพ่อเขาเองน่ะครับ”
อา เรื่องนั้นก็พอจะเดาได้อยู่ล่ะนะ
ภาพข้อมือที่มีรอบแผลเป็นใหญ่น่ากลัวที่เห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนฉายกลับขึ้นมาในหัว
อันที่จริงผมก็พอเข้าใจเขาอยู่หรอกนะว่าทำไมถึงต้องพูดอะไรแบบนั้นออกมา
จู่ๆ ในอกก็รู้สึกเจ็บแปล๊บๆ พิกล
เขาคนนั้น...คุณลุงของฮาน คงผ่านอะไรมาเยอะมากมายเลยทีเดียว
“ความจริง ผมเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก เพราะตอนที่เกิดเรื่องขึ้นผมยังเด็กมากๆ เหมือนคุณลุงจะเข้าคุกไปก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีกครับ แล้วพอผมโตขึ้นมา พวกผู้ใหญ่ในตระกูลเขาก็ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเรื่องนี้กันสักเท่าไหร่ อัลเฟรดเองก็ดูไม่ค่อยอยากเล่าลงรายละเอียดอะไรมากมาย สิ่งที่ผมรู้ก็เลยเป็นแค่เรื่องราวกว้างๆ เท่านั้นเองครับ”
คนเล่าเรื่องจดจ่ออยู่กับรถยนต์ที่กำลังแล่นไปตามท้องถนนอย่างนุ่มนวลตามปกติ
“เท่าที่จำได้ เหมือนคุณพ่อเขาจะตกหลุมรักเบต้าคนหนึ่งมาก มากเสียจนไม่สามารถเก็บงำความรักที่มากมายมหาศาลนั้นเอาไว้ได้ สุดท้ายก็เลยกลายเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยว” เขาเงียบไปอึดใจคล้ายกำลังคิดว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี
ผมว่าความทรงจำนี้ เขาเองก็คงไม่อยากจะจำมันสักเท่าไรนัก
“เรื่องราวมันควรจะจบลงที่การที่คุณพ่อโดนจับแล้วก็ปรับความประพฤติใช่ไหมล่ะครับ แต่ความโชคร้าย...” แล้วฮานก็หัวเราะแปร่งๆ ออกมา “คนอื่นมักจะบอกว่านี่ไม่ใช่ความโชคร้าย แต่สำหรับผม ยังไงซะมันก็เป็นความโชคร้ายอยู่ดี”
ไฟข้างทางตามท้องถนนที่เริ่มสว่างจ้าเพื่อรับช่วงต่อจากพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าสะท้อนเข้าไปในดวงตาคู่คมจนปรากฏบางอย่างออกมา
ดวงตาของฮาน ดูนิ่งเรียบกว่าปกติจนผมเองยังรู้สึกวูบโหวงในใจ
ทำไม ดวงตาของเขาถึงได้ดูไร้ความรู้สึกขนาดนั้นกันนะ
“ในระหว่างที่พ่อกักขังคนรักเอาไว้อย่างลับๆ และยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เขาก็ดันโชคร้ายไปเจอกับโอเมก้าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตาเข้า”
เอ๊ะ
ถ้อยคำที่ผมเพิ่งพูดออกไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนย้อนกลับมาในหัวราวกับฉายซ้ำ
‘ตัวผมเกิดมาในหมู่บ้านที่มีแต่โอเมก้าและเบต้า ตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยเห็นใครจะได้มีโอกาสเจอคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองเลยสักคน เพราะฉะนั้น การมีชีวิตอยู่โดยไม่เจอคู่แห่งโชคชะตาไปตลอดชีวิตมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่ครับ’เข้าใจแล้ว ในที่สุดผมก็เข้าใจแล้ว
‘ขนาดคุณลุงเองก็ยังไม่เคยเจอเลยใช่ไหมล่ะครับ เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าปฏิเสธความสัมพันธ์ของผมกับฮานเลยนะครับ’ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว สิ่งที่ผมติดใจมาตลอดจนต้องถามเรื่องแผลเป็นขึ้นมาก็เพราะแววตาในตอนที่ผมพูดประโยคนี้ออกไปนั่นเอง
นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้ปรากฏร่องรอยอะไรเลย มันทั้งนิ่ง ทั้งสงบจนผมเองยังแปลกใจว่าทำไมคนที่พยายามไล่ต้อนให้ผมเลิกกับฮานมาตลอด จู่ๆ ถึงได้ปรากฏแววตาแบบนั้นออกมา
เข้าใจแล้ว เพราะเขากำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีตของเขานี่เอง
ผมบีบฝ่ามือชื้นเหงื่อเขากับชายเสื้อของตัวเอง
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแววตาคู่นั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีจนต้องเก็บกลับมาคิด ผมเข้าใจแล้ว
เพราะนัยน์ตาคมนั้น ไม่มีร่องรอยของความรู้สึกอะไรเลย ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีความสุข ไม่มีความเสียใจ ไม่มีอะไรเลย
...คล้ายแววตาของสัตว์ที่บ้าคลั่งจนถึงขีดสุด...
“และด้วยความบ้าคลั่งของเขาในตอนนั้น เขาเลยฆาตกรรมโอเมก้าผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปโดยไม่ทันยั้งคิด สุดท้ายเขาก็เลยโดนจับและต้องปรับพฤติกรรมอยู่ในคุกประมาณสิบสองปี หลังจากนั้นคุณตาของผมก็ไปประกันตัวเขาออกมา แต่โทษของคุณพ่อเขาเป็นสิ่งที่...”
ฮานนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่มองว่ายากต่อการให้อภัยน่ะครับ สุดท้ายเขาก็เลยโดนทางการกักบริเวณตลอดชีวิต ไม่สามารถออกจากเขตบ้านได้จนตาย ถ้าวันนี้พวกเราอยู่ทานข้าวเย็นที่นั่น คุณก็คงได้มีโอกาสเห็นรถตำรวจมาตรวจตราความเรียบร้อยช่วงประมาณหนึ่งทุ่มน่ะครับ”
นี่สินะ โศกนาฏกรรมที่เขาพูดถึง
“รอยแผลเป็นที่ข้อมือนั่นก็ได้มาจากตอนที่เขาเข้าไปอยู่ในคุกนั่นล่ะครับ เท่าที่เคยได้ยินพวกคนฝั่งตระกูลใหญ่ซุบซิบนินทากัน พ่อเขาเหมือนจะโดนขังเดี่ยวด้วยระบบรักษาการสูงสุด และเหมือนตัวเขาเองในตอนนั้นก็บ้าคลั่งเอาเรื่อง ก็เลยได้แผลเป็นมาเต็มตัว แต่หลังจากออกจากคุก ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาหายดีกลายเป็นคนละคนอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะครับ บางทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะดีสำหรับเขาแล้วก็ได้”
หายดีอย่างงั้นเหรอ...
ผมหลุบตาลงมองมือสองข้างที่กุมกันแน่น
ไม่หรอก เขาไม่เคยหายเลย เขาแค่กดมันไว้เก่งขึ้น หลอกทุกคนเก่งขึ้นแต่เขาไม่เคยหายเลย
เรื่องนี้...พูดออกไปไม่ได้สินะ ไม่งั้นฮานจะต้องเสียใจแน่ๆ
เอาเถอะ ยังไงคุณลุงเขาก็ต้องโดนกักบริเวณไปจนตายอยู่แล้ว ผมจะถือว่าผมไม่รับไม่รู้เกี่ยวกับอาการของเขาก็แล้วกัน
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ กักบริเวณไปจนตายเหรอ...
“ฮานครับ”
“ครับ?”
“เมื่อกี้นี้ฮานบอกว่าคุณลุงโดนกักบริเวณตลอดชีวิตใช่ไหมครับ”
คนที่กำลังจดจ่อกับการขับรถพยักหน้าเบาๆ ผมจึงได้โอกาสถามสิ่งที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้
“แสดงว่าคนที่พาฮานไปโอเซนเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนก็ไม่ใช่คุณลุงสิครับ”
“อ๋อ” คราวนี้เขาพยักหน้าแรงกว่าเก่า “ใช่ครับ ตอนที่ผมไปโอเซนนั้น พ่อเขาเพิ่งออกจากคุกมาได้ไม่กี่วันเท่านั้นเอง ตอนแรกผมก็อยากจะอยู่ดูแลเขานะครับ เพราะเขาดูแย่มากๆ เลย แต่คำสั่งที่ให้ไปโอเซนนั่นก็เป็นสิ่งที่คุณตาหรือก็คือผู้นำตระกูลสูงสุดในตอนนั้นสั่งมา ผมก็เลยต้องติดสอยห้อยตามไปกับคุณลุงอีกคน คุณลุงคนนั้นโจนาธาน เป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ผมน่ะครับ เขาไม่ค่อยจะใจดีกับผมเท่าไหร่ด้วยนี่สิครับ”
คนพูดนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “อันที่จริง ต่อให้ตอนนั้นพ่อเขาได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านได้ ยังไงเสียเขาก็คงไปรัฐโอเซนไม่ได้อยู่ดีล่ะครับ”
ผมเลิกคิ้ว “ทำไมเหรอครับ”
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ
จู่ๆ ความทรงจำบางอย่างวิ่งตรงเข้ามาในใจผมอย่างได้เวลาพอเหมาพอเจาะจนน่าประหลาด
“ปกติ เวลาเกิดคดีแบบนี้ ทางการจะออกหมายศาลห้ามให้จำเลยอาศัยอยู่ในรัฐเดียวกับโจทย์ใช่ไหมล่ะครับ”
ได้โปรด อย่าเป็นอย่างที่ผมคิดเลย...
“แล้วคนที่พ่อเขารักจนเคยขังเอาไว้อาศัยอยู่ที่รัฐโอเซนพอดีน่ะครับ เพราะฉะนั้น ต่อให้อยากไปแค่ไหนก็ไปไม่ได้อยู่ดี”
แล้วภาพรอยแผลเป็นที่ข้อเท้าของอาจารย์ที่ผมเคารพรักที่สุดในชีวิตคนหนึ่งก็พลันปรากฏชัดขึ้นมาในหัว
อา ผมเข้าใจแล้วล่ะ
‘อะไรที่มันมากเกินไป มันก็ไม่ดีทั้งนั้นล่ะจริงไหม ความรักก็เหมือนกันนั่นล่ะ ถ้ามันมากเกินไป ก็จะกลายเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่พันธนาการเราเอาไว้ไม่ให้ไปไหน’
‘เมื่อไรก็ตามที่อัลฟ่าบ้าคลั่งเพราะความรักที่มากมายจนเกินไป เมื่อนั้นจะเกิดโศกนาฏกรรม’ถ้อยคำที่เคยได้ยินมาในอดีตไหลหลากกลับเข้ามาในหัวคล้ายกับแม่น้ำที่เชี่ยวกราก
‘บางคู่น่ะ อัลฟ่าถึงกับล่ามคู่ตัวเองไว้กับเตียงไม่ให้เห็นเดือดเห็นตะวันเลยก็มีนะ ถึงส่วนตัวแล้วครูจะมองว่ามันเข้าใจได้ แต่ยังไงซะ การริดรอนเสรีภาพคนอื่นแบบนั้นก็เป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้อยู่ดีจริงไหม’
‘โซ่ตรวนแบบนั้น ฉันรู้จักมันดี’ทั้งที่ผมได้ยินคำเหล่านั้นจากคนละห้วงเวลา แต่ความรู้สึกที่เจืออยู่ในน้ำเสียงและคำบอกเล่าของคนพูดนั้นกลับสื่อถึงกันอย่างน่าประหลาดใจ
‘ไม่ว่าอัลฟ่าจะเพียรกัดเบต้ามากแค่ไหน เบต้าก็ไม่มีวันที่จะผูกพันธะกับอัลฟ่านั้นได้ สุดท้ายแล้วก็คงเพราะกลัวจะสูญเสียนั่นล่ะ ก็เลยทำอะไรลงไปโดยไม่คิด พอรู้ตัว ก็เลยสูญเสียมันไปจริงๆ’
‘สายสัมพันธ์นี้คือคำสาป’ผมเข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่างที่พวกเขาพูดแล้ว
‘รีบถอยออกมาในตอนที่ยังมีโอกาส ดีกว่าถลำลึกลงไปจนย้อนกลับมาไม่ได้จะดีกว่า’นี่สินะ ที่เขาเรียกกันว่าโศกนาฏกรรม
***********************************************************************