[8] 50%
หญิงผู้นั้นคือ…
เดิมทีเมิ่งอวิ๋นคิดว่าติงหยุนมู่จะโกรธเคืองเขาเสียจนไม่โผล่หน้ามาหาเขาอีกหลายวัน ทว่าใครจะไปคิดเล่าว่าเมื่อรุ่งขึ้นของอีกวัน ติงหยุนมู่จะมาหาเขาอีกครั้งที่จวน นั่นทำให้เมิ่งอวิ๋นรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายมากมายนัก ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังคงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเมิ่งอวิ๋นไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อคิดถึงใครอีกคนที่ได้ครอบครองหัวใจของเมิ่งอวิ๋นแล้ว เขากลับคิดว่าหากเป้นคนผู้นี้ยังจะดีกว่าเป็นไหน ๆ เพราะด้วยนิสัยและการห่วงใยสหายของติงหยุนมู่ ต่อให้ไม่รักจริง ๆ ก็คงไม่ใจร้ายถึงขนาดสังหารให้ตาย หรือใช้วิธีโหดร้ายที่ทำให้อยู่ไม่สู้ตายเช่นนั้น
หวนคิดถึงตรงนี้ทีไร เซี่ยอี้เจินในร่างของเมิ่งอวิ๋นก็พลันปวดใจ จนต้องยกมือขึ้นมาสัมผัสแผ่นอกของตัวเองอย่างแผ่วเบา
หัวใจดวงนี้ยังบอบช้ำนัก คงต้องใช้เวลาอีกนานเหลือเกินกว่าที่มันจะหายดี
เมิ่งอวิ๋นมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นสหายอย่างเหม่อลอย อีกฝ่ายมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ สวาปามอาหารตรงหน้าที่มารดาของเขานำมาให้ราวกับอดอยากมานานนับหลายสิบปี
ความสามารถทางการกินของติงหยุนมู่ทำให้เมิ่งอวิ๋นทั้งทึ่งและตกตะลึงได้ง่ายได้ หากไม่บอกเขาคงไม่เชื่อว่าติงหยุนมู่ผู้นี้คือคุณชายรองติง บุตรชายคนที่สองของคหบดีผู้ร่ำรวย
ติงกว่างอานหากจะให้พูดนั้น ต้องบอกว่าฐานะของสกุลเมิ่งและสกุลติงมิได้มีความแตกต่างกันนัก เดิมทีติงกว่างอานนั้นเป็นเหมือนสหายรักคนหนึ่งของเมิ่งหยวน เพราะรู้จักมักจี่กันมาตั้งแต่ยังเยาว์เมิ่งอวิ๋นและติงหยุนมู่จึงได้สนิทสนมกันราวพี่น้องเช่นนี้
หากไม่ใช่เพราะเมิ่งอวิ๋นมีใจให้คนที่ไม่สมควรแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็คงไม่ต่างกับพี่น้องร่วมอุทรเป็นแน่
น่าเสียดายจริง ๆ เขาได้แต่คิด...
“เจ้าเป็นอะไรไปอีกเล่า? เหตุใดจึงต้องถอนหายใจเช่นนั้น” ทั้งที่ในปากยังคงเต็มไปด้วยอาหาร แต่ติงหยุนมู่ก็ไม่ได้คิดสนใจว่าสหายตรงหน้าจะรังเกียจหรือไม่ เขาเพียงแค่นึกห่วง ยังไม่อาจวางใจได้ว่าเมิ่งอวิ๋นจะตัดเยื่อใยไปจากแม่ทัพหลี่ผู้นั้นได้จริง ๆ
บางทีตอนนี้เมิ่งอวิ๋นอาจจะขบคิดขึ้นมาได้ว่า เมื่อวานที่ผ่านมานั้น ได้กล่าวถ้อยคำรุนแรงมากเกินไป
ไม่ได้ เช่นนี้ไม่ได้!
“อึก อุ แค่ก ๆ” เมื่อคิดได้อย่างรบร้อนเช่นนั้น ติงหยุนมู่ก็รีบกลืนอาหารในปากของตนลงท้อง หวังจะเอ่ยปากพาให้ความคิดของผู้เป็นสหายกลับคืนมา มิใช่จดจ่ออยู่เพียงแค่เรื่องของแม่ทัพหลี่เหมือนดั่งในตอนนี้
“คุณชายรอง! คุณชายรองขอรับ!” ทว่าเพียงแค่กลืนอาหารลงไปเท่านั้น ติงหยุนมู่ผู้ปรารถนาดีก็สำลัก ไอคอกแคกจนหน้าดำหน้าแดง ลำบากบ่าวรับใช้คนสนิทร้อนรนคอยไถ่ถามอย่างห่วงใยจนเมิ่งอวิ๋นต้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เห็นใจ
สหายของเมิ่งอวิ๋น คุณชายรองติงเจ้าสำราญ บัดนี้เหลือเพียงคุณชายรองติงที่ใกล้ตายเพียงเพราะว่าอาหารติดคอ
ด้วยความสงสารเห็นใจและห่วงใย เขาจึงได้รินน้ำชาให้อีกฝ่าย ติงหยุนมู่เองพอเห็นหนทางที่ส่องสว่างอยู่ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือทางแห่งการรอดตาย จึงไม่ลังเลที่จะคว้ามันมายกดื่มรวมเดียวจนหมดทั้งถ้วย...
“ไม่เคยพบผู้ใด…เป็นเช่นเจ้ามาก่อนจริง ๆ” ติงหยุนมู่ที่สำลักจนแทบจะขาดใจนั้น อับอายเกินกว่าจะสามารถมองใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นโดยตรงได้ เขาเองก็ไม่ได้คิดอยากจะสำลักอาหารเช่นนี้เสียหน่อย หากไม่ใช่เพราะว่าคิดเรื่องของเจ้ามีหรือที่ข้าจะต้องเป็นเช่นนี้
“หากไม่เคยพบเคยเห็น เช่นนั้นก็มองเสียให้เต็มตา ข้ามิคิดเงินกับสหายหรอกนะ” แต่แทนที่ติงหยุนมู่จะแสดงความอับอายออกมา เขากลับยืดอกราวกับภูมิใจเสียหนักหนา
สมองของนายคนนี้มีปัญหาหรืออย่างไร ถึงได้มั่นอกมั่นใจในเรื่องที่ไม่ควรจะมั่นใจสักนิด
เมิ่งอวิ๋นยกพัดสีขาวขึ้นมาจนบดบังใบหน้าบางส่วน ปกปิดสายตาแปลกๆ ของตนเองเอาไว้ให้พ้นสายตาของติงหยุนมู่ ติงหยุนมู่เองทั้งที่พยายามทำตัวให้เป็นบุรุษหน้าหนาก็ยังไม่อาจทนทำหน้าเช่นนั้นต่อไปได้ ความอับอายแล่นเป็นกระจุกขึ้นมาบนใบหน้าจนต้องเสมองไปอีกด้านหนึ่ง แต่มือก็ยังหยิบเอาของกินมาเขวี้ยงใส่เมิ่งอวิ๋นที่เป็นสหาย
“นั่นขนมที่ท่านแม่อุตส่าห์ทำ เจ้าไม่กินก็อย่าทิ้งขว้าง!” แม้ใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นจะคล้ายขุ่นเคือง และถลึงตาใส่ติงหยุนมู่ ทว่าติงหยุนมู่กลับรู้ดีว่าสหายของตนเพียงหาเรื่องปกปิดความอับอายของตนเองก็เท่านั้น
“ท่านน้าชิวอิ่งทำมาให้ข้า เจ้าเดือดร้อนอะไรด้วย” ได้ยินเช่นนั้นแล้วเมิ่งอวิ๋นก็คันมือยิบๆ อยากจะจับศีรษะของอีกฝ่ายกดลงไปจนจมไปกับขนมที่อยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน
เดือดร้อนอะไรหรือ ถามออกมาได้
ก็เดือดร้อนตรงที่มันเป็นของที่ท่านแม่ข้าทำอย่างไรเล่า
แต่เมิ่งอวิ๋นก็ไม่ได้ออกปากไปโดยตรง ได้แต่เพียงคิดอยู่ในใจก็เท่านั้น ส่วนติงหยุนมู่เมื่อเห็นเมิ่งอวิ๋นเม้มริมฝีปากก็พลันรู้สึกเบิกบานใจจนหยิบขนมตรงหน้าเข้าปากไปอีกครั้ง
“เจ้าคนตะกละ”
“ข้าได้ยินนะ!”
จะหูดีอะไรขนาดนั้นกัน ทั้งที่เขานินทาเสียงออกจะเบาแท้ๆ เจ้าคนเห็นแก่กินตรงหน้าก็ยังไม่วายได้ยินอยู่ดี เมิ่งอวิ๋นได้แต่บ่นกระปอดกระแปดอยู่ภายในก็ขยับพัดในมืออย่างแรงทำไม่รู้ไม่ชี้ราวกับตนมิได้กล่าวอะไรออกไปแม้แต่ครึ่งคำ ยิ่งได้ยินเสียงคล้ายกลั้วหัวเราะจากทางบ่าวรับใช้คนสนิทของติงหยุนมู่เขาก็ยิ่งอดยิ้มออกมาไม่ได้
นึกขำกับสิ่งที่ติงหยุนมู่เป็น มิใช่ภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็น
ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญ แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่บุรุษเห็นแก่กิน จอมตะกละที่ผู้คนภายนอกไม่เคยได้เห็นเท่านั้น หากมีใครได้ล่วงรู้เข้า เห็นทีภาพของคุณชายรองติงผู้น่าหลงใหลคงแตกสลายเหลือเพียงคุณชายรองติงจอมตะกละเสียมากกว่า
คิดเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็พลันสะดุด ใบหน้าเกิดรอยยิ้มประหลาดที่ติงหยุนมู่เห็นเข้าก็หนาวยะเยือก ตาขวางกระตุกถี่ ๆ คล้ายจะเป็นการเตือนในเรื่องร้าย
“เจ้าอย่าได้ยิ้มออกมาเช่นนี้”
“ทำไมเล่า หน้าข้า ปากข้า ยิ้มก็ของข้า จะยิ้มเช่นไรก็ย่อมเป็นเรื่องของข้า” ติงหยุนมู่เหลือบมองเมิ่งอวิ๋นเล็กน้อย
ถูกต้องแล้ว หน้าของเจ้า ปากของเจ้า รอยยิ้มของเจ้า
“จะยิ้มเช่นไรย่อมเรื่องของเจ้า นั่นย่อมหมายถึงไม่มีอะไรชั่วร้ายในหัวของเจ้าที่เกี่ยวกับข้า ไม่เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องของข้า!” เจ้าติงหยุนมู่จอมตะกละช่างมีสัญชาตญาณรุนแรงเสียจริง สามารถรับรู้ได้ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ทันได้ลงมือเช่นนี้ น่านับถือนัก
“อะไรกัน เจ้ามองข้า ชั่วช้าปานนั้นเชียวหรือ”
ติงหยุนมู่ไม่ได้ตอบกลับ เพียงเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ราวกับจะบอกว่า ชั่วช้า สองคำนี้ยังน้อยไปนักที่จะใช้บรรยายเจ้า อย่างเมิ่งอวิ๋นคงใช้ชั่วช้าไม่ได้
“ใครกัน? ใครต่อว่าเจ้าเช่นนั้น”
“เจ้ายังกล้าถามอีกหรือ” เมิ่งอวิ๋นโบกพัดไปมาอย่างช้า ๆ คงความสง่าของตนเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่สายตาของติงหยุนมู่กลับไม่ได้มองเช่นนั้นเลย ยามที่ได้คุยกับติงหยุนมู่ เขาก็รู้สึกแล้วว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเสแสร้งใดๆ สนุกที่ได้ต่อปากต่อคำ ได้ทำให้ติงหยุนมู่เปลี่ยนสีหน้าไปหลากหลายต่อครั้ง มันคือความสุขและผ่อนคลายที่เมิ่งอวิ๋นค้นพบในชีวิตนี้
“หากเจ้าแสนดี ชีวิตของข้าจากนี้ไปคงพบเจอแต่ภัยเสียแล้วล่ะ”
“ติงหยุนมู่!!”
“เมิ่งอวิ๋น!!”
ทั้งสองมองตากันอย่างไม่มีใครคิดยอมแพ้ ราวกับหากใครถอนสายตาออกมาก่อนจะทำให้เขาเสียหน้า อีกทั้งยังต้องยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไปโดยปริยาย ซึ่งทั้งสองต่างก็คิดเช่นเดียวกันว่า
แพ้ไม่ได้เด็ดขาด!“หากนับแล้วเจ้าอ่อนอาวุโสกว่าข้าหนึ่งปี เจ้าควรเคารพข้าเฉกเช่นพี่ชายคนหนึ่งสิ” ติงหยุนมู่ที่ไม่เห็นท่าทางที่เริ่มอ่อนลงของเมิ่งอวิ๋นก็เริ่มใช้ความอาวุโสเข้าข่ม หวังให้เมิ่งอวิ๋นยอมถอยให้เขาเสีย แต่เมิ่งอวิ๋นกลับมีสีหน้าขบขัน ไม่สนใจความอาวุโสที่อีกฝ่ายกล่าวมาแม้แต่น้อย
“ข้ามีพี่ใหญ่อยู่แล้ว เหตุใดต้องให้เจ้าเป็นพี่ชายข้าอีกเล่า”
“เจ้า ๆ ฮึ่ม! หากเจ้ายอมแพ้แก่ข้า ข้าจะพาเจ้าออกไปนอกจวน!”
ข้อเสนอที่ได้มานับว่าดึงดูดความสนใจของเมิ่งอวิ๋นไม่น้อย เดิมทีเมิ่งอวิ๋นที่หายจากอาการบาดเจ็บแล้วนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากอีก จึงคิดออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง แต่เพียงเอ่ยปากก็ถูกบิดาห้ามปรามเสียก่อน ให้เหตุผลว่าเขายังไม่หายดี ให้พักผ่อนอยู่ในจวนมากหน่อย จะได้หายดีขึ้นในเร็ววัน
ทว่าความจริงแล้วเข้ารู้ดีถึงเหตุผลที่แท้จริง บิดาเพียงแต่กลัวว่าเขาจะกลับไปหาแม่ทัพหลี่ กลัวว่าเขาจะยังไม่สามารถตัดใจได้จริง ๆ ไม่ก็คงกังวลว่าเขาเพียงเล่นละครตบตา เพื่อที่จะได้ออกไปหาแม่ทัพหลี่ได้สะดวกขึ้น
เขาอยากจะตะโกนออกไปเหลือเกินว่า เขาไม่ใช่เมิ่งอวิ๋น เขาคือเซี่ยอี้เจิน คือเซี่ยอี้เจินที่ไม่มีวันสนใจผู้ชายที่ทำให้เมิ่งอวิ๋นต้องถึงแก่ความตายคนนั้นแน่! แต่สิ่งที่เขาทำได้คือกล้ำกลืนความอยุติธรรมในครั้งนี้เอาไว้ เพราะรู้ดีว่าหากพูดออกไป ก็คงไม่มีใครเชื่อ
“ติงหยุนมู่ หากข้าบอกว่าข้าไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่” ความจริงแล้วเมิ่งอวิ๋นนั้นเพียงพลั้งเผลอเอ่ยถามออกไปก็เท่านั้น มิได้คิดจะเอาคำตอบจริง ๆ หรอก แต่สุดท้ายเสียงหัวเราะของติงหยุนมู่ก็ปลุกให้เซี่ยอี้เจินตื่นจากความฝัน
“เจ้าคือเมิ่งอวิ๋น ข้าก็เห็นว่าเป็นเมิ่งอวิ๋น จะบอกว่าไม่ใช่ได้อย่างไร เจ้าล้อเล่นเช่นนี้ คิดให้ข้าหัวเราะจนตายใช่หรือไม่”
นั่นสินะ ใครกันจะมาเชื่อเรื่องเช่นนี้
เซี่ยอี้เจินในร่างของเมิ่งอวิ๋นได้แต่ยิ้มขื่น ยกพัดของตนขึ้นมาป้องริมฝีปากเอาไว้ ไม่อาจให้อีกฝ่ายเห็นได้ว่ามันกำลังถูกเจ้าของเม้มอย่างแรงด้วยความปวดใจ
แต่นี่คือสิ่งที่เขาและเมิ่งอวิ๋นต่างแลกกันมา มันคือสิ่งตอบแทนของการมีชีวิตอยู่ เขาต้องชินต่อมันได้แล้ว ตัวตนของเขาไม่ควรถูกเปิดเผยและเปิดเผยไม่ได้เด็ดขาด นั่นก็เพื่อตัวของเขาเองทั้งสิ้น เพราะหากว่าเขาพูดมันออกไป คงถูกหัวเราะเยาะออกมาเช่นเดียวกับที่ถูกติงหยุนมู่หัวเราะใส่นั่นเอง
เมิ่งอวิ๋นดึงสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ใช้สายตาของเมิ่งอวิ๋นและความเป็นเมิ่งอวิ๋นมองติงหยุนมู่แล้วพูดออกมาด้วยท่าทางที่อ่อนลง
“หากสามารถทำได้เช่นที่พูด ข้าก็จะเรียกเจ้าว่าพี่รองเช่นกัน”
“ดี! เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะไปพูดกับท่านอาและท่านน้าให้เจ้าเอง!”
เมิ่งอวิ๋นมองตามร่างของติงหยุนมู่ที่วิ่งไป ทิ้งเอาไว้เพียงบ่าวรับใช้คนสนิทที่ยังคงไม่ได้ขยับไปไหน เมิ่งอวิ๋นถอนสายตาออกมาจากแผ่นหลังของสหาย แล้วมองใบหน้าที่อ่อนวัยของบ่าวคนสนิทที่ติดตามติงหยุนมู่แทน
จะว่าไปแล้วคนผู้นี้ก็ช่างน่ามองไม่หยอกเลย ดวงหน้ากระจ่างใสแววตาเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ ริมฝีปากบางสีระเรื่อ มองดูแล้วก็รูปงามไม่น้อยเลย
“เจ้าติดตามติงหยุนมู่มานานแล้วหรือ” เมื่อได้ยินคำถาม คนถูกถามก็แสดงท่าทางนอบน้อมออกมาทันที พร้อมกับน้ำเสียงหวานที่เอ่ยตอบ
“บ่าวติดตามคุณชายรองมานานแล้วขอรับ เพียงแต่ว่าส่วนมากบ่าวจะเป็นเพียงคนส่งข่าวเท่านั้น” เมิ่งอวิ๋นได้ฟังก็พยักหน้าเข้าใจ คงเป็นคนผู้นี้ที่ส่งข่าวเรื่องที่เขาถูกรถม้าชนจนได้รับบาดเจ็บไปสินะ
“คุณชายรองร้อนใจยิ่งนัก ยามที่ได้ยินว่าคุณชายเมิ่งบาดเจ็บ รีบร้อนมาด้วยความร้อนใจ”
“ข้ารู้...เขาดีกับข้ามาก” เมิ่งอวิ๋นเพียงยิ้มบาง ๆ มองตามไปยังทิศทางที่ติงหยุนมู่เดินไป เขาเข้าใจในคำพูดของบ่าวรับใช้ผู้นี้ดี บ่าวคนสนิทของติงหยุนมู่ผู้นี้คงอยากให้เขาใส่ใจกับสหายให้เท่ากับที่ติงหยุนมู่ใส่ใจต่อเขา
“หากมีสิ่งใดที่ข้าจะทำเพื่อหยุนมู่ได้ ข้าย่อมไม่มีวันปฏิเสธอย่างแน่นอน”
ได้ยินเช่นนั้นจากปากของเมิ่งอวิ๋นแล้วถูเซวียนก็พอจะคลายใจลงได้บ้าง เพราะก่อนนี้ตัวเขาเองอดห่วงเรื่องความสัมพันธ์ของผู้เป็นนายทั้งสองไม่ได้ คุณชายเมิ่งก็เหินห่างไร้ซึ่งไมตรี จนคุณชายรองของเขาต้องน้อยใจอยู่บ่อยครั้ง หากว่าครั้งนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองจะแตกต่างจากก่อนก็คงจะดี
ตัวเขาก็มีเพียงคุณชายรองเท่านั้นที่ไม่อาจวางใจลงได้
50%น้องงงง หนูจะว่าเพื่อนแบบนั้นไม่ได้ลูก เขาไม่ได้ตะกละ เขาแค่... เอ่อ นึกคำพูดไม่ออกจริงๆ ใครนึกได้ก็ช่วยเม้นบอกหน่อยนะคะ อย่าให้น้องเข้าใจผิดว่าพี่มู่เขาตะกละเลย สงสารเขา ปาหัวใจเมิ่งอวิ๋น