Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร
ตอนที่7 คามิซาวะ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปนั่งรองินที่ริมหาด แต่จนตะวันขึ้นสูงแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของเขา ผมจึงเดินกลับมาที่หมู่บ้าน จึงได้พบกับยูมิโกะที่มาตามผมไปรับโทรศัพท์พอดี
“เป็นไงบ้างครับ ทาซากิซัง” เสียงคุ้นหูดังลอดหูโทรศัพท์ทันทีที่ผมกรอกเสียงลงไป ผมเลิกคิ้ว “สบายดี ที่บริษัทเป็นไงบ้าง”
คามิซาวะทำเสียงเหมือนผิดหวังหน่อยๆ “ว้า คุณถามผมถึงเรื่องงานอีกแล้ว เราสัญญากันแล้วไงครับว่าจะไม่พูดถึงเรื่องงาน”
ผมนึกอยากพักงานคามิซาวะขึ้นมากะทันหัน ติดอยู่แต่ที่ผมยังอยู่ระหว่างลาพักนี่แหละ “คามิซาวะซัง”
“ครับ?”
“โทรมาทำไม”
เขาอึ้งไปหน่อยหนึ่ง แล้วจึงหัวเราะออกมา “โทรมาตรวจดูว่าคุณยังโอเคอยู่รึเปล่าครับ เห็นเงียบไปเลย ผมกลัวคุณถูกใครลากลงทะเลไป”
ผมเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง “คามิซาวะ!”
“ครับ...?”
“รู้เรื่องเงือกบนเกาะนี้มากแค่ไหน” ผมตัดสินใจถามเขาไปตรงๆ ได้ยินเสียงคามิซาวะตอบกลับมา “รู้พอๆ กับเวลาที่ใช้อยู่บนเกาะนั้นแหละครับ”
ให้ตายสิ ช่วยตอบให้ตรงคำถามหน่อยได้ไหม!
“ถ้าจะพูดแค่นี้ล่ะก็ ไม่ต้องโทรมาหรอกนะ ถ้าผมเป็นอะไรไปคงมีคนโทรแจ้งคุณเองนั่นแหละ อีกสามวันผมจะกลับไป ถ้ามีงานส่วนไหนไม่เรียบร้อยล่ะก็...”
“คุณเตรียมยื่นซองขาวให้ผมได้เลย” เขาสวนทันใจ “ผมยินดีรับผิดชอบกับสิ่งที่ผมทำลงไปครับ”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา “รู้หรอกน่า ว่าคุณไม่น่าทำอะไรผิดพลาด”
“รู้ก็ดีแล้วครับ คุณพักผ่อนให้สบายเถอะ รู้สึกยังไงบ้างกับที่นั่นครับ”
“ก็ดี”
“แค่นั้นน่ะ?”
ผมนึกรำคาญเขาขึ้นมา “จะให้ผมตอบอะไรอีกล่ะ ผมมาตามคำขอร้องของคุณ มาเจอเงือกที่นี่ แค่นี้ยังไม่น่าประทับใจพออีกเหรอ?”
ได้ยินเสียงเขาหัวเราะ “รู้แล้วล่ะครับทาซากิซัง งั้นไว้ผมจะโทรมาใหม่ ขอให้สนุกกับช่วงเวลาพักผ่อนที่เหลือนะครับ”
“เออ เคลียร์งานรอผมไว้ด้วยนะ ถ้าผมกลับไปตรวจแล้วเจอข้อบกพร่องอะไรล่ะก็...”
“ทราบล่ะครับ งั้นสวัสดีครับ”
“อืม”
ผมวางหูโทรศัพท์ ที่จริงยังมีอีกหลายคำถามที่ผมอยากถามหมอนั่น แต่ด้วยนิสัยอย่างเขา คงไม่ยอมตอบคำถามผมตรงๆ แน่ เอาเหอะ เวลาที่ผมจะได้คุยกับเขายังมีอีกเยอะ ตอนนี้เป็นห่วงช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ก่อนดีกว่า
“ยูมิโกะซังเห็นงินบ้างมั้ยครับ?” ผมเอ่ยปากถาม หลังออกมาจากบ้าน แล้วเห็นเธอยืนรออยู่ หญิงวัยกลางคนสั่นศีรษะ “ไม่ค่ะ ทำไมหรือคะ?”
“อ๋อ เปล่าครับ” ผมว่า ก่อนจะเดินปลีกตัวออกมา
-----------------------------------
สำรับอาหารเช้าถูกวางไว้เรียบร้อยตอนผมไปถึงบ้านพัก ผมนั่งลงบนฟูก กวาดตามองอาหารพวกนั้น พลางนึกถึงเงือกผมสีเงินตนนั้น
เขาบอกว่าอาหารของเขาเป็นปลากับหอย เขาจะชอบซูชิพวกนี้รึเปล่า?
ผมมองซูชิหน้าต่างๆ ที่วางอยู่ในถาด พลางนึกถึงภาพเขาตอนกำลังกินขนมไดฟุกุในร้านขายของชำเมื่อวานนี้ เขาเหมือนคนทุกอย่าง ทั้งหน้าตาท่าทาง แม้ว่าสีตาและสีผมจะต่างไปก็เถอะ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเขาเวลามองผม ทำให้อดรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ เขาอายุตั้งเก้าสิบห้าแล้ว แถมไม่ใช่คนแต่เป็นเงือก
‘ฉันคิดว่าฉันคงเริ่มชอบใครสักคนขึ้นมาแล้วล่ะ?’ ผมนึกถึงคำพูดที่ตัวเองหลุดปากไปเมื่อวาน นึกถึงดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของเขา นึกถึงสีหน้าของเขาตอนผมบอกเขาเรื่องจูบ
ทั้งที่บอกว่าจะขึ้นมาวันนี้แท้ๆ หรือเพราะเรื่องนั้นเขาเลยไม่ยอมขึ้นมา
บางทีงินอาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้ เขาคงตกใจที่ผมบอกแบบนั้น ผมนึกถึงตอนที่เขาโมโหครั้งที่โดนผมตีก้น ครั้งนั้นเขารีบหนีลงน้ำไป เมื่อวานนี้ก็เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับผมกันแน่ บางทีอาจจะเป็นแค่ความสนใจของแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอ เหมือนเด็กที่ได้เจอของเล่นชิ้นใหม่ พอผมบอกเขาแบบนั้นเขาอาจจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เขาอาจจะเขินหรืออายจนไม่กล้าขึ้นมาเจอผม เขาคงไม่คิดอะไรเลย บางทีชีวิตเก้าสิบห้าปีของเขาอาจจะเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาก็ได้
เขาให้ความสนใจผมที่เป็นมนุษย์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ส่วนผมสนใจเขาเพราะเขาเป็นอะไรที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน บางทีอาจจะเป็นความประทับใจในสิ่งที่คาดไม่ถึง ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกชอบเขาจริงๆ ก็ได้ แต่ผมจะแน่ใจได้ยังไง ในเมื่อตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยชอบใครเป็นจริงเป็นจังเลย
อะไรคือความหมายของคำว่าชอบกันแน่?
ผมตัดสินใจผละจากอาหารเช้า กลับไปที่บ้านของยูมิโกะอีกครั้งเพื่อขอยืมโทรศัพท์ หลังรอสายอยู่พัก คามิซาวะก็รับเสียที
“มีอะไรครับ?”
“คามิซาวะซัง ผมมีเรื่องอยากปรึกษา”
“เรื่องงานตอนนี้ผมไม่รับนะ”
ถ้าอยู่ที่ทำงานผมปากระดาษไม่ก็ปากกาใส่เขาแล้วแน่ แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ห่างกันคนละโยชน์ ผมจึงทำได้แค่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ แล้วให้นึกสงสัยขึ้นมาว่าโทรหาถูกคนรึเปล่า?
“ทาซากิซัง?”
“อืม... ผมฟังอยู่”
คามิซาวะเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ผมสิครับต้องเป็นคนพูดประโยคนั้น คุณมีอะไรอยากจะปรึกษาผมหรือครับ?”
“คุณเคยชอบใครรึเปล่า?”
คราวนี้คามิซาวะเงียบไปนานจนผมนึกว่าสายหลุด “คามิซาวะ?”
“ครับ?!” เสียงของคามิซาวะเหมือนคนเพิ่งหลุดออกมาจากภวังค์ เขารีบพูดต่อทันที “จู่ๆ ทำไมถามเรื่องแบบนี้ล่ะครับ”
“ผมถามคุณ คุณตอบที่ผมถามก่อนสิ”
ปลายสายเงียบไปอีกสักพัก “ผมตอบคุณไม่ได้หรอก มันไม่ใช่เรื่อง...”
“แค่ผมถามว่าคุณเคยชอบใครรึเปล่าทำไมมันตอบยากนักล่ะ?” ผมถามเขาด้วยความสงสัย คามิซาวะเงียบไปอีกครู่ใหญ่ๆ “ทาซากิซัง เกิดอะไรขึ้นกับคุณครับ ปกติคุณไม่น่าจะถามแบบนี้”
ผมเองก็นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เรื่องแค่นี้ทำไมไม่ยอมตอบผมตรงๆ “ผมถามคุณนะคามิซาวะซัง มีสมาธิตอบผมหน่อยสิ”
“ผมก็ตั้งสมาธิตอบคุณอยู่นี่ล่ะครับ เอ๊ะ หรือว่า?!” ปลายสายผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะโพล่งขึ้นมา “อย่าบอกนะครับว่าคุณชอบงินเข้าแล้ว”
ผมกัดปากด้วยความหงุดหงิด “ผมแค่สงสัยน่ะ”
เสียงของคามิซาวะเงียบไปอีกอึดใจหนึ่ง “โทวะซัง... งินเป็นเงือกนะครับ”
“เออ ผมรู้”
“เขาเป็นตัวผู้นะครับ”
“เห็นล่ะน่า”
“คุณชอบเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก อย่าไปชอบเขาเลยครับ”
ผมนึกฉุน “คามิซาวะซัง ผมยังไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบกันแน่ เพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์ชอบใครมาก่อน ผมเลยอยากจะถามคุณดูแค่นั้นเอง”
ได้ยินเสียงคามิซาวะสูดหายใจลึก “งั้นคุณถามถูกคนแล้ว คุณไม่ได้ชอบงินแน่นอน ผมยืนยัน คนเรามันชอบใครภายในวันสองวันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ คุณอาจจะรู้สึกสับสน งินอาจจะดูแปลกจนคุณเผลอคิดว่าชอบเขา มันก็เหมือนเวลาคุณไปเดินห้าง เห็นเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วรู้สึกอยากได้ แต่พอคุณกลับมาจากห้าง ความอยากได้นั้นก็หายไปแล้ว มันเป็นแบบนั้นครับ”
ผมนิ่งฟังเขา ก่อนจะพยักหน้า “อืม เข้าใจล่ะ”
ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ “งั้นดีแล้วครับ เอ่อ... จริงสิครับ ผมเพิ่งเจอเอกสารชิ้นหนึ่งจำเป็นต้องให้คุณเซ็นอย่างด่วน ยังไงพรุ่งนี้ผมจะให้ยูมิโกะออกเรือจากเกาะเป็นพิเศษเที่ยวหนึ่ง เพื่อมาส่งคุณโดยเฉพาะ เอาแบบนี้ดีกว่านะครับ คุณเองจะได้กลับมาทำงานด้วย”
ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “เอกสารสำคัญขนาดนั้น ทำไมคุณถึงไม่บอกผมตั้งแต่เมื่อเช้าล่ะ”
“ผมเพิ่งเจอเมื่อตะกี้เองครับ เอาตามนี้แล้วกันนะครับ พรุ่งนี้ผมจะให้คนเอารถไปรับคุณที่ท่าเรือ ยูมิโกะอยู่ตรงนั้นรึเปล่าครับ ขอผมคุยกับเธอหน่อย”
ผมเหลือบไปมองประตู ยูมิโกะยืนรอผมอยู่ด้านนอก ผมกรอกเสียงตอบกลับไป “เธออยู่ข้างนอก เดี๋ยวผมไปตามให้”
“ครับ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
ผมแขวนโทรศัพท์เอาไว้แล้วออกมาตามยูมิโกะ ก่อนจะพาตัวเองกลับไปที่บ้านพัก เหตุผลของคามิซาวะฟังดูน่าเชื่อถือ ผมคงเผลอสับสนไปหน่อย คิดแล้วก็น่าอายที่หลุดปากออกไปแบบนั้น
เมื่อวานถ้าผมไม่พูดแบบนั้นกับงิน วันนี้ผมคงได้เจอเขา
พอคิดว่าพรุ่งนี้ผมต้องกลับและคงไม่ได้เจอเขาอีก หัวใจของผมมันก็ห่อเหี่ยวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมบอกตัวเองว่ามันคงเป็นอาการอยากได้อะไรสักอย่างแล้วไม่ได้ เลยผิดหวัง ไม่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น งินเป็นเงือก แถมเป็นผู้ชาย ส่วนผมเป็นมนุษย์ มีงานมีการต้องกลับไปสะสางอีกมาก ผมควรตั้งสติให้ดี สาเหตุที่ผมมาที่นี่คือเพื่อมาพักผ่อน ไม่ได้มาเพื่อชอบหรือพาใครกลับไปทั้งนั้น ถึงกระนั้น ระหว่างเดินกลับไปที่บ้านพัก ผมกลับเอาแต่นึกถึงเรื่องราวที่ได้เคยคุยกับงิน เรื่องที่จะพาเขาไปข้ามถนน เรื่องที่จะพาเขาไปฟังเปียโน เรื่องที่เขาสัญญากับผมว่าจะไปให้ได้ แต่... วันนี้เขาไม่ขึ้นมา เขาคงโกรธผม ผมผิดเองที่เผลอไปพูดจาอะไรแบบนั้นเข้า
พอคิดว่าเขาคงจะไม่ไปฟังเปียโนตามที่สัญญาไว้ หัวใจผมก็ปวดแปลบ ภาพดวงตาสีหน้าของเขาตอนเกี่ยวก้อยสัญญาปรากฏชัดขึ้นมาในห้วงคำนึง
ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยรู้สึกปวดใจจากการพลาดหวังอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ผมไม่ได้ชอบเขาจริงๆ หรือ? ถ้าผมกลับไปแล้วผมจะเลิกคิดถึงเรื่องเขาได้จริงๆ หรือ?
ผมกลับไปที่บ้านพัก ทิ้งตัวลงบนฟูกนอนโดยไม่แตะต้องอาหารที่วางอยู่ หวังว่าตัวเองจะนอนกลับไปสักงีบ แล้วตื่นมาพบว่าทั้งหมดก็แค่ความรู้สึกชั่วครู่ อาจจะเป็นเพียงความฝัน แต่จนแล้วจนรอดผมก็ข่มตาให้หลับไม่ลงเสียที
------------------------------------------------------------
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่หาดอีกครั้ง ท่ามกลางแสงตะวันยามสายที่แผดแรงจนแทบไหม้ผิว
จะอะไรก็ช่างเถอะ ขอให้ผมได้เจอเขาอีกสักครั้งแล้วกัน ขอให้ผมได้มีโอกาสขอโทษเขา บอกเขาว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น เขาคงยอมให้อภัยผม อย่างน้อยๆ เวลาผมไปจากที่นี่ จะได้ไม่รู้สึกค้างคาใจว่ามีใครยังโกรธผมอยู่
แต่ทว่า... ผมไม่เห็นอะไรบนผิวน้ำทะเล นอกจากระรอกคลื่นที่ซัดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีเงือกหนุ่มผมสีเงินตนนั้น ไม่มีใครหรืออะไรเลย มีเพียงผมที่ยืนมองฟองคลื่นอยู่เพียงคนเดียว
หรือเขาจะไม่ยอมขึ้นมาเจอผมจริงๆ...
“งิน!” ความรู้สึกอัดอั้นเหมือนจะระเบิดอยู่ในอก ผลักดันให้ผมตะโกนเรียกชื่อเขา หวังอยู่ลึกๆ ว่าเขาจะยอมมาให้เจอหน้า แต่ทว่าที่สะท้อนกลับมามีเพียงเสียงคลื่นและเสียงลมเท่านั้น หัวใจของผมปั่นป่วนแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
งิน...
ผมรู้สึกตัวเองก้าวเท้าลงไปในทะเลแบบคนที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ คลื่นทะเลซัดกระแทกตัวผมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทว่าสมองกลับไม่นำพา สายตาของผมเพียงมองหาบางอย่างที่จะปรากฏขึ้นมาบนผิวน้ำ คาดหวังว่าจะได้เจอกับเงือกตนนั้น
“โทวะซัง!” เสียงคุ้นหูเรียกชื่อผมจากด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หันไปมอง คลื่นลูกหนึ่งก็ซัดม้วนเข้ามา ดึงตัวผมลงไปใต้น้ำ ตอนนั้นแหละ ผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเดินลงมาลึกแค่ไหน
ผมตะกายมือเพื่อพาตัวเองขึ้นไปเหนือผิวน้ำ แต่คลื่นที่ซัดเข้ามาใหม่ม้วนตัวผมลงไปใต้น้ำอีกครั้ง ผมรู้สึกได้ถึงน้ำทะเลเค็มเฝื่อนที่ทะลักเข้ามาในจมูก แสบจนแทบจะประคองสติเอาไว้ไม่อยู่ วินาทีนั้นเองมือของใครบางคนก็ยื่นมาดึงแขนผมไว้ จากนั้นผมก็รู้สึกถึงริมฝีปากอ่อนโยนที่แนบชิดเข้ามา
ผมรวบตัวเขาเข้ามากอดแน่น แทบจะลืมเรื่องที่กำลังจมน้ำเมื่อครู่ ในหัวใจเพียงสัมผัสได้ถึงสิ่งที่โหยหามากที่สุด ลิ้นของพวกเราเคล้ากันอยู่นาน จนเขาดึงตัวผมขึ้นมาบนฝั่ง
“โทวะซัง?” งินเรียกชื่อผม ขณะที่ใบหน้าของเราแทบจะแนบชิดกัน ผมมองหน้าเขา มองดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น จากนั้นก็ดึงตัวเขามากอดแน่น
“โทวะ!” งินอุทานชื่อผม ระหว่างที่คลื่นซัดผ่านตัวพวกเราที่เกยอยู่บนหาด ผมกอดเขาแน่นกว่าเก่า ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นอื้ออึงอยู่ในอก
ในที่สุดผมก็ได้เจอเขาเสียที... ในที่สุดเขาก็มาแล้ว
ผมรู้สึกได้ถึงฝ่ามือของงินที่ค่อยๆ ทาบลงบนไหล่ผมอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเขา
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ... คุณไม่เป็นไรแล้ว”
น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้วกันแน่ แค่เพียงได้ยินเสียง แค่เพียงรู้ว่าเขามา หัวใจของผมมันก็สั่นระรัวไปหมด ความรู้สึกของผมที่มีให้เขาเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่ววูบอย่างที่คามิซาวะว่าจริงๆ หรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมผมถึงได้เจ็บปวดตอนคิดว่าจะต้องจากเขา และรู้สึกตื้นตันเมื่อได้เจอเขาขนาดนี้
“ร้องไห้หรือครับ?” งินถามผมหลังจากที่เรากอดกันอยู่พักใหญ่ ผมสั่นศีรษะโดยไม่ยอมให้เขาเห็นหน้า “เปล่า”
“แต่ผมได้ยินเสียงนะ” เขาพูด แล้วดึงตัวผมออก ผมจึงต้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างห้ามไม่ได้
ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้นจ้องมายังผม จากนั้นเขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งมาเช็ดที่หางตา “ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องกลัว ผมเข้าใจว่าจมน้ำมันน่ากลัวสำหรับคุณมาก แต่ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่เป็นไร”
ผมเบือนหน้าหนีมือของเขาไปอีกทาง ก่อนจะเค้นคำพูดออกมา “ฉันไม่ได้ตกใจเรื่องจมน้ำหรอก”
“เอ๋? แล้วอย่างนั้น...”
ผมหลับตาลง ก่อนจะตัดสินใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง จ้องลึกลงไปในดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้น “ฉันแค่ดีใจที่ในที่สุดเธอก็มา”
สีหน้าของงินดูแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นผมก็เห็นสองแก้มของเขาแดงเรื่อ “รอผมอยู่เหรอ?”
“อือ...”
“คุณ... ไม่ได้โกรธผมหรือ?”
“ฉันจะโกรธเธอทำไมล่ะ?”
“ก็เรื่องเมื่อวาน...” เขาลดเสียงลง ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นกว่าเดิม “ผมเอาปากประกบกับคุณตั้งหลายครั้ง... ผมเพิ่งรู้ว่ามันเสียมารยาทมาก”
ผมอดยิ้มให้กับคำพูดและท่าทางของเขาไม่ได้ “ก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไรขนาดนั้นหรอก”
เขารีบเถียงผมกลับทันที “แต่พวกเราไม่ได้เป็นคนรักกันนี่ครับ”
ผมมองเขาอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “งิน... เธอเคยชอบใครรึเปล่า?”
“ผมยังเด็ก...” เขาตอบไม่ตรงคำถาม ผมถอนหายใจอีกครั้ง “รู้มั้ย ตั้งแต่เมื่อเช้าฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องเธอ ทำยังไงก็หยุดคิดไม่ได้เสียที”
เขาก้มหน้านิ่ง พวกเราเงียบกันอยู่นาน ปล่อยให้เสียงคลื่นและสายลมพัดผ่านหูไป สักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นมา “แล้ว...?”
“เธอล่ะ คิดถึงเรื่องฉันบ้างรึเปล่า?”
งินกะพริบตาปริบ จากนั้นก็เสไปมองทางอื่น “ไม่รู้สิครับ”
“ไม่คิดถึงฉันสักนิดเลย?”
เงือกหนุ่มตรงหน้าผมเม้มริมฝีปาก “เมื่อเช้าผมก็คิดถึงคุณ แต่... พรุ่งนี้คุณจะไปแล้วนี่ครับ คุณไปแล้ว สักพักเดี๋ยวผมก็ลืม”
“หืม?” ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “ใครบอกเธอ?”
“ซุบารุซังครับ”
ผมชะงักกึก “เจอคามิซาวะเมื่อไหร่?”
“ก็... เมื่อกี้ผมไปหาคุณที่บ้านไม่เจอ เลยไปที่บ้านยูมิโกะซัง เธอกำลังคุยสายกับซุบารุซังอยู่พอดี เลยเรียกผมเข้าไปคุยด้วย”
“เธอไปหาฉันที่บ้าน? เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อนนะ ฉันว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ” ผมรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาได้อย่างชัดเจน ปกติคามิซาวะที่เอาแต่บอกผมว่าอย่าพูดถึงเรื่องงาน จู่ๆ ก็บอกผมว่ามีงานด่วนต้องให้ผมเซ็น จะให้ผมกลับพรุ่งนี้ให้ได้ ทั้งที่กำหนดกลับของผมมันอีกตั้งสามวัน ทำไมคนอย่างเขาถึงขุดเรื่องงานมาคุยกับผมได้ หรือเพราะผมคุยกับเขาเรื่องนั้น
“งิน”
“ครับ?”
“เธอกับคามิซาวะ ไม่ได้เป็นอะไรกันใช่มั้ย?”
งินทำท่าตกใจเมื่อได้ยินคำถาม พอเห็นหน้าเขาหัวใจผมก็หล่นวูบ “บอกสิ ว่าเธอกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน”
เงือกหนุ่มตรงหน้าผมอ้าปากค้างอยู่เป็นนาน กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ “ผม... ผม...”
หัวใจของผมปวดแปลบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่ามันถูกใครบางคนทึ้งออกมา “ให้ตายเถอะงิน... ถ้าเธอกับคามิซาวะรักกันอยู่ล่ะก็... บอกฉันมาตรงๆ เลย อย่าทำท่าทางแบบนี้”
“เห?!” งินร้องด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ก่อนจะรีบโพล่งออกมา “เดี๋ยวโทวะซัง... ผมกับซุบารุซังไม่ใช่คนรักกันนะครับ คุณคิดอะไรไปถึงไหนเนี่ย!”
หา! อะไรนะ?!
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา “ก็เธอกับคามิซาวะ...”
งินทำหน้าคิดหนัก “ผมกับซุบารุซังน่ะ... เอาว่าเราไม่ได้เป็นคนรักกันแน่นอนล้านเปอร์เซ็น คุณอย่าคิดอะไรแบบนั้นอีกนะครับ” พูดจบเขาก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งผ่านเรื่องสยองมาหมาดๆ เล่นเอาผมแทบเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน
“แล้ว... ทำไมคามิซาวะถึงได้อยากแยกฉันออกจากเธอนัก”
“เอ๋? เขาน่ะหรือครับอยากแยกผมกับคุณ”
“อืม”
งินทำหน้าแปลกใจ “จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงครับ ก็ก่อนคุณมา เขาบอกผมเองว่าให้ช่วยดูแลคุณให้ดี บอกว่านี่เป็นแขกคนสำคัญที่สุด คุณเป็นคนสำคัญจะตาย”
“งั้นเหรอ... เดี๋ยวนะ! งั้นที่เธอดีกับฉันทั้งหมดนี่ ก็เพราะคามิซาวะสั่งสินะ” ผมรู้สึกฉุนกึกขึ้นมาทันที งินมองผม ด้วยท่าทางเหมือนกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่
“โทวะซัง... คุณนี่มันจริงๆ เลยน้า” เขาพูด พลางถอนหายใจ “ต่อให้เป็นซุบารุซัง ก็สั่งผมให้มาทำดีกับคนแปลกหน้าที่จู่ๆ มาตีก้นผมไม่ได้หรอก คุณนี่ไม่รู้ตัวเลย”
“หืม?!” ผมมองเขาอีกครั้ง “หมายความว่าไงน่ะ?!”
“ก็หมายความอย่างที่ว่าแหละครับ” งินลอยหน้าลอยตาตอบผม “ถ้าคิดว่าการที่ผมทำดีกับคุณ เพราะถูกซุบารุซังสั่งล่ะก็ คุณคิดผิดแล้วล่ะ”
“งั้น...” ผมขยับเข้าไปใกล้เขา รู้สึกหัวใจตัวเองเต้นตึกๆ “ที่ดีกับฉันเพราะอะไรล่ะ?”
งินหันมาทำปากยื่นใส่ผม “ไม่รู้หรอกครับ ถ้าผมรู้ผมบอกคุณไปแล้ว”
“อ๋อ... งั้นหรอกหรือ” ผมพูด ไม่รู้ทำไมถึงได้หัวเราะออกมา “ฉันเข้าใจล่ะ”
“เข้าใจอะไรครับ?”
“ไม่บอกหรอก”
“อ้าว!” งินทำหน้าผิดหวัง “ทำไมไม่บอกล่ะครับ?”
“เพราะบอกไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก” ผมตอบยิ้มๆ เขาทำปากยื่นใส่ผมอีก “รู้ได้ไงว่าผมจะไม่เข้าใจ”
“เธอเคยชอบใครรึยังล่ะ?”
“..........”
“ไว้เธอรู้สึกตัวว่าชอบใคร แล้วเธอจะเข้าใจเอง”
งินมองผมแล้วย้อนถามทันที “แล้วคุณล่ะครับ รู้สึกชอบใครขึ้นมาแล้วเหรอ?”
“อืม” ผมพยักหน้า “ตอนนี้ฉันคิดว่าอย่างนั้นล่ะ แต่เพื่อความแน่ใจ... ฉันจะให้โอกาสตัวเองได้พิสูจน์ ว่าฉันชอบใครคนนั้นจริงๆ รึเปล่า?”
เงือกหนุ่มตรงหน้าผมกะพริบตาปริบๆ “ใช้เวลานานรึเปล่าครับ?”
ผมหัวเราะหึๆ ในคอ “ก็จนกว่าเธอจะยอมไปฟังเปียโนที่ฉันเล่นนั่นล่ะ”
ใบหน้าของงินเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนดวงอาทิตย์ยามเช้า “ขี้โกง!”
“ตรงไหนล่ะ?”
“ก็ถ้าคุณไม่ยอมชวนสักที แล้วผมจะได้ขึ้นไปฟังไหมล่ะ!” เขาพูดพลางทำหน้าแง่งอนใส่ผม ผมเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้ม
“รอไหวรึเปล่า? หรือจะกลับไปพร้อมกับฉันตอนนี้เลย”
“ได้หรือครับ?!” เขาโพล่งออกมา ก่อนจะรีบสั่นศีรษะ “ไม่ได้ๆ ผมมีเรื่องต้องทำก่อน” พูดจบเขาก็หันมาจ้องหน้าผม “โทวะซัง ยังไงก็ต้องมาชวนผมนะ ผมจะต้องขึ้นไปฟังเปียโนของคุณให้ได้ แต่ก่อนหน้านั้น... อย่าลืมเรื่องซุบารุซังที่ผมบอกนะครับ”
“หืม?”
งินทำหน้าขัดใจ “คุณทำยังไงก็ได้ให้เขามาที่เกาะนี้ แล้วผมจะได้ไปฟังคุณเล่นเปียโน”
ผมหัวเราะออกมา "ได้ ฉันยอมเอาคามิซาวะมาแลกตัวเธอ ขอแค่เธอก็พอแล้ว”
งินรีบขยับมาเอามือปิดปากผมไว้ “อย่าพูดให้ซุบารุซังได้ยินเชียวนะครับ ไม่งั้นเขาได้เล่นงานผมกับคุณแน่”
ผมหัวเราะอย่างมีความสุข ยกมือขึ้นมาดึงมือเขาข้างที่ยื่นมาปิดปากผมออก แล้วกุมเอาไว้ “อย่าลืมนะ ถ้าฉันชวนแล้ว เธอต้องมาให้ได้นะ”
“อือ... คุณเองก็อย่าลืมชวนผมล่ะ ยังไงผมก็จะรอ”
ผมมองหน้าเขา มองดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้น ก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากของเขาเบาๆ “พอถึงตอนนั้น จำไว้ด้วยนะ ว่าเวลาที่ฉันสัมผัสกับตรงนี้ของเธอ มันจะไม่ใช่การขออากาศอีกต่อไป”
งินถลึงตามองผม เลือดฝาดฉีดจากแก้มแผ่ไปจนถึงใบหู เขาสลัดมือ แล้วหนีลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว ผมมองคลื่นน้ำที่ม้วนเกลียวเข้าหากัน ก่อนจะระบายยิ้มออกมา
-----------------------------------------------
** โอ๊ย บอกตรงๆ ค่ะ ดิฉันคิดว่าตัวเองเขียนเรื่องนี้ได้วนเวียนมากกกกกก แบบว่านิยายรักมุ้งมิ้งหาเรื่องฆาตกรรม เอ๊ย หาเรื่องวุ่ยวาย /ผิด นี่ไม่ใช่แนวเลยค่ะ
ปล. โทวะเป็นญาติกับคุณพนิตแน่เลยค่ะ ฮ่าๆ แบบว่ามโนแจ่มสุดใจมาก กร๊ากกก
ปล.2 งินคะ... จริงๆ แล้วหนูรู้ใช่มั้ย หนูรู้ทุกอย่างใช่มั้ย คือหนู95แต่หนูแอ๊บเด็กใช่มั้ยคะ!!!
ปล.3 คามิซาว้าาาาาาาาาาาาาาาา ฮ่าๆๆ โอ๊ยยย อยากตีก้นคามิซาว้าาาาา /โดนทสึกิยะลากลงน้ำไปฆ่า