Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562  (อ่าน 38822 ครั้ง)

ออฟไลน์ Tak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หงุดหงิดมากกกกกมาต่อเร็วๆนะอยากจะเหวี่ยง

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
มันบีบมากกกกก
คินอย่ามาเสียใจกับคำพูดตัวเตอนหลังนะ
ส่วนชะเอมน่าสงสารสุดๆเลยลูกกก
แต่สงสัย เอมป่วยเป็นอะไรร้ายแรงรึป่าว
คำพูดที่คุยกับหมอดูแปลกๆอ่ะ

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2






                                                                     Whose Fault ?





                                                                     ผิด...ครั้งที่ 7











             โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม











             “ตัวร้อนมากเลย” กฤษณะใช้หลังมือไล้ตั้งแต่หน้าผาก ใบหน้า ลำคอของชะเอมที่บัดนี้นอนซมอยู่บนเตียงใหญ่ เขาตกใจมากที่จู่ๆ ร่างบางก็เป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตา ยังดีที่มาถึงคอนโดแล้วและเขาตัวใหญ่กว่ามากจึงมีแรงที่จะอุ้มเจ้าตัวขึ้นมาบนห้องได้ แต่ก็เล่นเอากระดูกเกือบลั่น มือใหญ่ทุบป๊อกๆ เข้าตรงเอวและหลัง...แหม อายุเขามันก็เยอะพอควรแล้วนี่นะ ไม่เหมือนตอนหนุ่มๆ



             จะทำไงดี อีกเดี๋ยวก็ต้องเข้าเวรแล้วด้วย แต่ก็จะปล่อยให้ชะเอมอยู่คนเดียวก็ไม่ได้



             กฤษณะมองนาฬิกา ในใจร้อนรน เอาเป็นว่าก่อนอื่นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกชื้นนี้ออกก่อน แล้วน้ำอุ่นเช็ดตัว ซึ่งเขาจัดการทั้งหมดอย่างรวดเร็วด้วยความแผ่วเบาสมกับมือที่ผ่าตัดอยู่เสมอ โดยเฉพาะตรงแขนที่มีอาการบาดเจ็บ





             ทั้งๆ ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเช็ดตัวแล้ว ร่างบางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่น มากกว่านั้นยังมีอาการหอบหายใจเหนื่อยอ่อนแถมยังพึมพำอะไรอยู่ตลอดเวลา กฤษณะมองด้วยสายตาเป็นห่วง นี่ก็ได้เวลาข้าวเย็น และก็เป็นเวลาเดียวกับที่เขาต้องเข้าเวรในไม่กี่ชั่วโมง มือจึงตัดสินใจล้วงโทรศัพท์กดโทรออก

             ตรู๊ด...ตรู๊ด...



             กฤษณะยืนฟังเสียงรอสายอยู่นาน ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครรับสาย จึงถอนหน้าจอออกจากหู ที่ขึ้นชื่อ ‘คิน’

             ทำไมไม่รับ?





             นายแพทย์ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่มีเวลาลังเล หยิบมือถือชะเอมถือวิสาสะปลดล็อคและเลื่อนหาเบอร์ของคนที่คาดว่าน่าจะรู้จักกัน นอกจากพี่เกษม ตัวเขาเองแล้วก็มีคิน...





             ราม?...นี่ล่ะมั้ง



             (“ฮัลโหล เอม”) กฤษณะยืนถือสายรอไม่นานก็มีคนรับ (“แปลกใจจังที่โทรมา มีอะไรรึเปล่า?”)





             “เอ่อ...สวัสดีครับ”





             (“เอ๊ะ?”) กฤษณะได้ยินเสียงอีกฝ่ายอุทานด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเสียงทักทายของเขา เสียงหายไปพักหนึ่งคาดว่าอีกฝ่ายน่าจะมองหน้าจอโทรศัพท์ว่าขึ้นชื่อชะเอมจริงๆ (“นั่นใคร?”)





             “คุณราม...ใช่มั้ย”



             (“ใช่ ผมชื่อราม คุณเป็นใคร ทำไมคุณถึงใช้เบอร์ของชะเอมโทรมาได้ล่ะ”) เสียงอีกฝ่ายคาดคั้นอย่างไม่ไว้ใจ ทำให้ร่างสูงหัวเราะในลำคอ





             “ใจเย็นๆ นะครับ ผมชื่อกฤษณะ ผมเป็นหมอส่วนตัวของชะเอม ตอนนี้เอมไม่สบายหนักแล้วพอดีผมต้องไปธุระด่วน จึงอยากให้คุณราม...มาช่วยดูให้หน่อย คุณเป็นเพื่อนของชะเอมใช่มั้ย”



             (“เอ่อ ครับ ใช่ครับ”) กฤษณะกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินอีกฝ่ายละล่ำละลักพูดเพราะขึ้นมาอีกระดับเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร (“แล้วตอนนี้ชะเอมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”)



             “เอาเป็นว่าคุณมาที่คอนโดxxx ก่อนก็แล้วกัน”



             (“ได้ครับ ผมจะรีบไป”)

             เสียงกริ่งดังขึ้นทำให้กฤษณะลุกขึ้นไปเปิดประตู เจอเข้ากับชายหนุ่มสามคนที่ยืนรออยู่หลังประตู




             
             “ผมรามครับ” ชายตรงหน้าเขาที่ตัวเล็กสุดในบรรดาสามคนเอ่ยขึ้น เป็นหนุ่มผิวขาวเหลืองตาเรียว ปากนิดจมูกหน่อย...รวมๆ แล้วดูหน้าจืดแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ “ส่วนนี่เพื่อนผมสิน กับดินครับ”





             “สวัสดีครับ” ทั้งสามคนก้มหัวไหว้ทักทายด้วยความนอบน้อม กฤษณะก็พยักหน้ารับ สายตาสำรวจทั้งสามคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของชะเอมตัวจริงเสียงจริงไม่ได้โกหกแต่อย่างใด





             “เข้ามาสิ” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยขึ้น ยิ่งทำให้ออร่าหนุ่มใหญ่เปล่งประกาย ถึงจะแก่แล้วแต่กฤษณะก็มีการดูแลตัวเองเหมือนกัน ทั้งสามคนเดินตามเข้ามายังห้องของชะเอม



             “เอม”



             กฤษณะยืนกอดอกมองเด็กทั้งสามคนยืนรุมอยู่รอบเตียงที่ชะเอมนอนอยู่ ท่าทางเป็นห่วงทำให้เขาวางใจที่จะฝากให้ดูแลต่อได้ “ยังไงอาฝากดูแลเอมต่อด้วย เพราะเดี๋ยวต้องรีบไปธุระต่อที่โรงพยาบาลแล้ว ข้าวกับยาของเอมที่ต้องทานวางอยู่บนโต๊ะ...ถ้ามีอะไรนอกจากนี้ให้โทรหาทันทีนะ”





             “ครับ”



             กฤษณะพูดกำชับ เมื่อเห็นเด็กๆ พยักหน้าก็คว้าเสื้อนอกที่แขวนอยู่บนพนักเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว



             “ท่าทางจะรีบจริงๆ แฮะ” ดินพูดขึ้นหลังมองแผ่นหลังจนกระทั่งประตูปิด “แล้ว...เอาไงต่อดีอ่ะ”



             “ก่อนอื่นปลุกเอมขึ้นมาทานข้าวก่อนดีกว่า” ดินบอกในขณะที่รามก็เห็นด้วย มือเขย่าตัวร่างบางเบาๆ















             ที่นี่...ที่ไหน







             เปาะแปะๆๆ



             ซ่าาาา



             หยาดน้ำปรอยเปลี่ยนเป็นฝนกำลังเทกระหน่ำ กระทบกับหลังคาสังกะสีเก่าๆ ดังลั่นราวกับกำลังจะถล่มพังลงมา



             ไม่เพียงหลังคา แต่ประตูก็เป็นแผ่นสังกะสีสนิมเหล็ก ที่บ้านหลังนี้ยังดูเหมือนแข็งแรงทรงตัวอยู่ได้เพราะมีไม้อันใหญ่คอยค้ำจุน วันดีคืนดีตกหนักเป็นเวลานานจนน้ำท่วมเจิ่งนองไม่มีที่ให้นอนหลับก็ยังมี





             เราจำได้





             เพราะนี่มัน...บ้านของเราเอง





             เด็กน้อยอายุไม่ถึงสี่ห้าขวบดี นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่มุมบ้าน กลิ่นอับชื้นโชยไม่ได้มาจากเพียงแค่ฝน ทั้งแมลงสาบ หนู สัตว์เลื้อยคลานวิ่งพล่าน แต่ก็ไม่ทำให้เด็กคนนี้กลัว เพราะเห็นจนชิน



             เปรี้ยง!





             ร่างเล็กๆ สะดุ้งเฮือก เมื่อท้องฟ้ามืดครึ้มคำรามลั่นราวกับเทพเจ้าบนสวรรค์กำลังโกรธ ไม่รู้จะหลับตาหรือลืมตาดีเพื่อหนีจากเสียงดังๆ นั่น



             เด็กน้อยกุมท้องเมื่อเสียงร้องประท้วงดังโครกคราก วันนี้เขากินขนมปังไปชิ้นน้อยๆ ไปชิ้นเดียวเอง บ้านเขายากจน ไม่ค่อยมีเงิน แถมพ่อก็ยังออกไปไหนก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้า ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว อันที่จริงก็เป็นอย่างนี้ประจำ





             ร่างเล็กรู้จักความยากจน เพราะว่าพ่อด่าเขาเป็นประจำว่าเป็นเพราะเขาเองที่ทำให้พ่อพบกับความยากลำบาก เป็นเพราะเขาทำให้เราไม่มีอะไรจะกิน ทุกวันที่พ่อกลับมาจากข้างนอก เขาจะได้กลิ่นเหม็นแปลกๆ แถมพ่อก็จะไม่เหมือนเดิม พ่อโมโห ดุร้าย ทำร้ายเขาจนเจ็บไปทั้งตัว จนตัวเองเหนื่อยแล้วก็จะเลิกไปเอง





             และวันนี้ก็เช่นกัน



             แอ๊ด...



             เสียงเปิดประตูสังกะสีแม้จะเบากว่าเสียงฝนแค่ไหนก็ตามแต่ก็ทำให้ร่างเล็กๆ ที่ซุกอยู่ตรงมุมมืดสะดุ้งได้ไม่ต่างกับเสียงฟ้าผ่า





             "โฮ่ย เอม"



             "หายไปไหน" น้ำเสียงยานคาง ขาเดินโซซัดโซเซพยุงร่างเดินเข้ามาจะล้มแหล่มิล้มแหล่ เมื่อเรียกแล้วไม่เห็นเจ้าของชื่อปรากฏตัว อารมณ์เมากรุ่นๆ ยิ่งทำให้โมโหขึ้นมาอย่างง่ายดาย "กูเรียกก็ออกมาสิวะไอ้เด็กเวร!"





             "เออ ต้องให้ขึ้นเสียงอยู่เรื่อย" แววตาพอใจเมื่อเห็นร่างเล็กๆ ยืนกำชายเสื้อที่ยืดย้วยสีคล้ำเก่าตัวสั่นระริกอยู่เบื้องหน้า "จะสั่นทำให้เหี้ยอะไร กลัวเหรอ...กลัวกูนักเหรอห้ะ"





             เด็กน้อยสะดุ้งเฮือกๆ กับเสียงตะคอกดุร้าย แม้จะสั่นมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจก้าวเท้าถอยหลังหนี เพราะเข็ดกับความเจ็บปวดจากการทุบตีลงโทษ ถ้าหากยอมแต่โดยดีอะไรๆ ก็จะจบลงโดยเร็ว



             วันนี้ก็เป็นแค่อีกเพียงหนึ่งวัน...





             "เอ้า เงียบ...เงียบ เป็นใบ้หรือไงวะห้ะ!"





             ผัวะ!





             มือใหญ่ตบลงที่ศีรษะทุยไม่ออมแรง ร่างเล็กๆ กระเด็นก้นจ้ำเบ้า ร้องไห้ส่งเสียงอ้อนวอนดังแข่งกับสายฝน





             "ฮือ ฮือ พ่อ เอมเจ็บ เอมเจ็บ"





             พลั่ก! ตุ้บ! ผัวะ!





             "ใครพ่อมึง ไอ้เด็กเปรต อย่ามาเรียกกูว่าพ่อ!" ทั้งมือและเท้ากระหน่ำลงไปไม่ลืมหูลืมตา ด้วยอารมณ์โมโหและคุมสติไม่อยู่เนื่องจากสารมึนเมาที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่าง ร้อนไปทั้งตัว ต้องการระบายความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจ





             เพราะไอ้เด็กเวรนี่ กูถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ ไอ้ลูกเวร ตั้งแต่มันเกิดมา เมียก็ตาย เขาก็ดันตกงาน แค่นี้ก็ไม่มีอันจะกินอยู่แล้ว ยังมีตัวซวยต้องมาทำให้ตกระกำลำบากมากขึ้นเป็นหลายเท่า ที่เขาทำได้ทุกวันนี้คือการเลียแข้งเลียขาไปประจบสอพลอพวกเสี่ยรวยๆ เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ๆ แถวนี้ พอทำให้พวกมันไม่พอใจอะไรเข้าหน่อยก็ใช้อำนาจยกพวกมารุมกระทืบเขาซะยับ





             ชีวิตเขามีแต่ความซวย





             บัดซบเอ๊ย!!





             สิ่งเดียวที่ทำให้ผ่อนคลายและสนุกสนานได้เห็นแต่จะมี การพนันและเหล้าที่เป็นของคู่กัน วันไหนดวงดีหน่อยก็ได้สูบของดีๆ จนได้เห็นสวรรค์ อารมณ์ดีไปครึ่งค่อนวัน





             แต่พอกลับมาเห็นหน้ามัน ก็อดไม่ได้ที่จะต้องระบายความโมโห





             ความจัญไรที่เขาต้องพบเจออยู่ทุกวันนี้มันจะเป็นเพราะใครถ้าไม่ใช่เพราะมัน ไอ้ชะเอม





             ถ้าไม่มีมัน...ถ้าไม่มีมัน!!!





             ยิ่งคิดยิ่งโมโห ลงแรงไปกับสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยที่นอนขดตัวอยู่ ไม่รับรู้ว่านั่นคือลูกในไส้





             "เจ็บฮะพ่อ...พ่อ แค่กๆ" ผ่านไปหลายนาทีแต่สำหรับเด็กน้อยก็นานราวกับหลายชั่วโมง พอระบายอารมณ์จนพอใจ ชายฉกรรจ์ก็หยุดการกระทำ ยืนหอบหายใจมองร่างที่นอนร้องไห้น้ำตานองกอดตัวเองแน่นด้วยสายตาเหยียดๆ "ฮือ เอมเจ็บ ฮือ"





             "วันนี้กูจะพอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เหนื่อย" พอได้ออกแรงก็เริ่มสร่าง ตาปรืออ้าปากกว้างหาวดัง เดินข้ามสิ่งมีชีวิตที่ยังนอนร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ ก็นึกรำคาญ "หยุดแหกปากได้แล้ว หนวกหูโว้ย!"





             "ฮึก...ฮึก..."





             "ยัง...ยังไม่หยุด เอาอีกซักยกดีมั้ยวะห้ะ อยากโดนอีกใช่มั้ย!?"





             "..." เด็กน้อยสะดุ้งยกมืออุดปากตัวเองแน่น แม้จะเจ็บร้าวไปทั้งตัว น้ำตาก็ยังคงไหลไม่หยุด แววตามีความสั่นกลัวอย่างถึงที่สุด





             "ก็แค่นั้น กูจะนอน ห้ามส่งเสียงอีก ไม่งั้นมึงโดนหนักแน่" ชายร่างใหญ่เหล่จนแน่ใจว่าจะไม่ได้ยินเสียงเล็ดลอดให้น่ารำคาญอีกก็หันหลังล้มตัวลงนอนบนพื้นแข็งเย็น ไม่สนใจเด็กที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกในไส้อีก





             เด็กน้อยนอนร้องไห้อยู่ตรงนั้นจนทุกอย่างเงียบสงัด ฝนที่ตกกระหน่ำหยุดลงแล้ว เหลือแต่เสียงคำรามจากท้องฟ้าอันมืดมิด และเสียงจิ้งหรีดอึ่งอ่างที่ดังตลอดทั้งคืน



















             "อือ...ฮึก..."





             "เอม...เอม!"





             "แค่ก...น..." สัมผัสแรกคือแว่วเสียงของใครบางคน ต่อมาคือความเจ็บร้าวทั่วตัวและลำคอ กระบอกตาร้อนผ่าวจนไม่อยากลืม รวมๆ คือรู้สึกแย่มากถึงมากที่สุด





             "น่าจะหิวน้ำ...ราม"





             "อืม"





             เสียง?...ใคร...

             "เอม..." ภาพตรงหน้าเบลอจนต้องกระพริบตาซ้ำหลายครั้ง สักพักก็โฟกัสเห็นหน้าใครบางคนที่รู้จัก "เอม" สัมผัสต่อมาที่รู้สึกคือแรงเขย่าเบาๆ ตรงหัวไหล่







             "อ...แค่ก...แค่ก!" เขาจะเรียกชื่อแต่ในลำคอแห้งผากเสียจนต้องไอโขลกอีกรอบ ในขณะที่มีมือมาพยุงให้เขาลุกขึ้นนั่ง





             เจ็บร้าว...ไปทั้งตัว





             "ค่อยๆ กินน้ำนะ" รามลูบหลังบางเบาๆ อีกมือคอยประคองแก้วน้ำอุ่นกลัวว่าเจ้าตัวจะถือไม่ไหว ตัวชะเอมยังแผ่ความร้อนออกมา นี่ขนาดเช็ดตัวไปหลายครั้งแล้วนะ





             แต่ก็นั่นแหละ เจ้าตัวปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น แถมละเมอเพ้อเสียงดังจนพวกเขาสามคนนั่งไม่ติด





             "ข...อบ...คุณนะ" หน้าเล็กส่ายไปมาน้อยๆ ไม่เอาน้ำแล้ว





             "นี่...มากันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ แล้วมาได้ยังไง?" คิ้วบางขมวดมุ่น เขาจำได้ว่า...





             "พอดีคุณหมอของเอมโทรมาตามพวกเราให้มาดูแลนายหน่อยเพราะเขาติดธุระด่วน เขาเป็นคนบอกทางเรามาที่นี่" สินเป็นคนตอบ ดินก็พยักหน้าน้อยๆ ยืนยัน





             "แล้วเอมไปทำอะไรมาถึงไม่สบายหนักขนาดนี้ พวกเราปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น"





             ไปทำอะไรมา...





             ชะเอมนั่งนิ่ง เขาจำได้ว่าเมื่อครู่เพิ่งฝันเห็นอดีตที่ไม่เคยลืม อดีตอันโหดร้าย แต่ตอนนี้เขาก็อยากจะฝันต่อไป แม้มันจะเจ็บปวดเพียงใด แต่ก็ไม่เท่าความจริงที่ยิ่งกว่าความฝัน





             ปริ๊นนนน โครม! ปั่ก!



             'ไม่นึกเลยว่านายจะโหดเหี้ยมขนาดนี้! เรย์เขาไปทำอะไรให้นายเหรอ!'



             ‘นายจะรับผิดชอบยังไง’

             ‘หมายถึงเงินของพ่อน่ะเหรอ หึ เรย์เขาไม่ต้องการหรอก’





             'เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ ฉันกับนาย'



             'ต่อจากนี้ไป อย่ามายุ่งกับเรย์อีก'





             "..."





             "เอม..." เหมือนว่าเขาจะนิ่งเงียบนานเกินไป รู้สึกตัวอีกทีเหลือบไปเห็นรามกุมมือของเขาไว้ สายตาที่มองมาเจือความห่วงใย และ...เจ็บปวด





             ไม่ใช่แค่ราม สินกับดินก็ด้วย





             "หืม?" เขางุนงง "ทำไมเหรอ"





             "อย่าร้องไห้"





             "เอ๊ะ...?" อะไร...ร่างบางชะงัก น้ำตาไหลทะลักออกมาไม่รู้ตัว มือบางปาดตาหวังไม่ให้เห็นว่ากำลังเสียใจ แต่ไม่อาจห้ามน้ำอุ่นที่ไหลออกมาจากขอบตาร้อนผ่าวได้ "อะ...ฮึก"





             ทำยังไงก็ไม่หยุดไหล







             ร่างทั้งร่างกระตุกเพราะแรงสะอื้น ทั้งสามคนเงียบไม่รู้จะพูดอะไร ปล่อยให้คนไม่สบายที่ตอนนี้อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจร้องไห้อย่างน่าสงสาร ไม่มีใครรู้ว่าชะเอมไปเจออะไรมา











             ************************Whose fault? ************************









             "ยังไงก็กินข้าวก่อนนะ เลยเวลาอาหารเย็นมาตั้งนานแล้ว" รามให้สินไปอุ่นข้าวต้มที่ตั้งไว้จนเย็น ให้กลับมาหอมกรุ่นน่ากินอีกครั้ง ชะเอมตาปรือขอบตาบวมแดงผ่านการร้องไห้กว่ายี่สิบนาทีกว่าจะหยุด ตอนนี้ร่างบางนั่งพิงหัวเตียงอย่างหมดแรง มองหน้ารามก่อนยิ้มอ่อนส่ายหน้าน้อยๆ





             "ไม่หิวเลย" ชะเอมบอกเสียงแผ่ว เขาทั้งเหนื่อยเพลีย เจ็บคอ แถมยังปวดหัวด้วย "อยากนอน"





             "ไม่ได้นะ เดี๋ยวไม่หาย"





             "กินยาอย่างเดียวได้มั้ย"





             "ไม่ได้ ยามันต้องกินหลังอาหาร"





             "แต่ว่า..." ก็เขาไม่หิวจริงๆ นี่นา แค่เห็นอาหารก็ผะอืดผะอมแล้ว แบบนี้ใครจะกินลง





             รามมองคนดื้อแพ่งแล้วแอบถอนใจ จะเรื่องไหนๆ ของชะเอมก็ทำให้เขาอ่อนใจได้ตลอดสิน่า





             จะเรื่องเมื่อกี้ก็ดี ตอนนี้ก็ดี





             ถึงเขาจะอยากรู้มากเพียงใด แต่ถ้าเจ้าตัวไม่ปริปากเล่า เขาก็จะไม่ขอให้เล่า





             รามอยากเป็นที่พึ่งที่ดีของชะเอม ไม่ใช่แค่เขา สินกับดินก็เช่นกัน





             ดังนั้นไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ...จนกว่าร่างบางจะเชื่อใจพวกเขา และเอ่ยปากเล่าออกมาเอง





             "เอมกินข้าวเถอะนะ" ดินเงียบอยู่นานกว่าจะพูดออกมาบ้าง ตั้งแต่มาห้องนี้เขาเอ่ยปากแทบนับคำได้ "กินข้าวเสร็จจะได้กินยา จะได้หายไวๆ"





             "ดิน..."





             "นายเป็นแบบนี้แล้วพวกเราไม่สบายใจเลยรู้มั้ย" ได้ยินร่างสูงพูดแล้วร่างบางเม้มปาก "พวกเราทุกคนเป็นห่วงเอมมาก คุณหมอคนเมื่อกี้ก็ด้วย แต่ว่าเขายุ่งมาก ไม่งั้นเขาคงไม่โทรตามพวกเรามาดูนายหรอก"







             อาหมอ...





             "ดินพูดถูกแล้วนะเอม กินบ้างสักหน่อยก็ยังดี" สินเอ่ยขึ้นมาบ้าง เมื่อเริ่มเห็นว่าชะเอมเริ่มฟังที่พูด





             เพราะร่างบางจิตใจอ่อนโยนกว่าใคร มักนึกถึงคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง





             "อืม ก็ได้" เอมยิ้มบางเมื่อทั้งสามสีหน้าดีขึ้นหลังจากที่เขายอมกินข้าว





             ร่างบางดีใจจริงๆ ที่ได้เจอ ได้รู้จัก ได้เป็นเพื่อนกับทั้งสามคน





             ชะเอมเริ่มส่ายหน้าเมื่อช้อนที่สี่จ่อที่ปาก รามขมวดคิ้วเป่าให้ข้าวต้มหายร้อนก่อนจ่อปากซีดอีกครั้ง แต่ร่างบางก็ส่ายหน้าเช่นเดิม





             "ไม่เอาแล้ว" รามยอมแพ้เมื่อเห็นสีหน้าผะอืดผะอม ก่อนส่งยาที่หมอกฤษณะจัดเตรียมไว้ให้ ร่างบางโยนยาทั้งหมดเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามอย่างว่าง่าย





             รามโล่งอก โชคดีที่ชะเอมไม่งอแงเรื่องทานยาขมๆ ...โดยหารู้ไม่ว่าร่างบางกินยาเป็นประจำจนชินแล้วต่างหาก





             รามเดินไปเก็บแก้วชาม สินจึงเข้ามาช่วยจัดผ้าห่มให้ชะเอมที่เอนตัวลงนอน





             "พักผ่อนซะ ถ้ามีอะไรก็เรียกได้ พวกเราจะอยู่ที่นี่จนกว่านายจะหาย" ชะเอมพยักหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนหลับตาเข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว พิษไข้ที่ยังมีอยู่ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูง สินก็บีบผ้าในกะละมังเช็ดตามตัวให้จะได้นอนสบายไม่เหนียวเหนอะเนื่องจากเหงื่อออกมาก





             ดินที่ยืนมองอยู่สักพัก ก็เดินออกจากห้องนอนไปไม่พูดอะไร







             ************************Whose fault? ************************









ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


             >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนจ้า<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<



             เคร้ง...





             เสียงน้ำไหลและเสียงจานกระทบกัน รามกำลังล้างชามอยู่ในครัวที่สามารถมองทะลุไปจนถึงห้องนั่งเล่นได้ เงยหน้าขึ้นก็พบดินนั่งบนเก้าสูงหน้าเคาเตอร์





             "อ้าวดิน มีไร"





             "เปล่า"





             "แล้วออกมาทำไมอะ"





             "เอมหลับไปแล้ว"





             "อ๋อ" ได้ยินดังนั้นรามก็ไล้ฟองสบู่กับจานที่เหลือ ล้างด้วยน้ำเปล่า แล้วตากบนตะแกรง ร่างโปร่งเช็ดมือกับผ้า เห็นดินยังนั่งขมวดคิ้วนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง





             "เป็นอะไร"





             "หืม กูเหรอ?" ดินงง





             "แถวนี้มีหมาซักตัวมั้ยล่ะ" รามถามกลั้วหัวเราะ แววตาขำเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งๆ บนใบหน้าคมเข้ม "กูถามมึงนั่นแหละ"





             "กู...ไม่รู้เหมือนกันว่ะ" ดินมีสีหน้าสับสน เหมือนไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง





             แต่เขารู้...





             "ให้กูเดา...เรื่องสินล่ะสิ" รามยิ้มกว้าง เกือบหลุดหัวเราะเมื่อดินหน้าเหวอตกใจ





             "มึงรู้ได้ไง" ดินไม่อยากจะเชื่อ นี่มันอ่านใจเขาเหรอ





             "กูแค่เดาน่ะ แค่เดา" รามไม่บอกหรอกว่าสีหน้าของดินมันชัดเจนขนาดไหน แล้วอีกอย่างนี่ดินไม่รู้จริงๆ เหรอว่าตัวเองรู้สึกกับสินแบบไหน น่าสงสารหมอนั่นชะมัด





             "แล้วมึงว่า...ไอ้สินมันชอบเอมป่ะวะ" คนตัวสูงผิวคล้ำลังเลไม่รู้จะพูดดีไม่พูดดี แต่สุดทายก็ตัดสินใจพูดออกมา





             รามนิ่งอึ้งก่อนหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่อยากเชื่อว่านอกจากหมอนี่จะไม่รู้ความรู้สึกตัวเองแล้วยังไม่รู้ว่าสินชอบตัวเองอีกด้วย





             ทั้งๆ ที่หมอนั่นแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเนี่ยนะ!





             ให้ตายสิ...นี่ไอ้ดินมันโง่หรือโง่





             "หะ...หัวเราะอะไรวะ! อะ ไอ้ราม หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะเว้ย" ดินเหรอหราหน้าแดง ไอ้เข้าอุตส่าห์ไว้ใจมาปรึกษามัน แต่ไหงมันหัวเราะเยาะท้องแข็งใส่เขาแบบนี้





             “โอเคๆ กูไม่หัวเราะละ อุ๊บ! หึหึ” รามยังคงกุมท้องที่แข็งเพราะหัวเราะหนักไปหน่อย





             “ไอ้ราม” ดินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กำหมัดแน่น คิ้วกระตุกจึ้กๆ “มึงจะไม่หยุดใช่มั้ย”





             “หยุดๆ...หยุดแล้ว” รามทำท่าปรางห้ามญาติ สูดลมหายใจลึกเข้าปอด นั่นทำให้ดินคลายมือ





             “เออ นี่กูยิ่งเครียดๆ อยู่...ที่ถามมึงนี่จริงจังนะเว้ย แล้วมึงดันมาหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลก”





             “โทษที” รามเอ่ยก่อนมองหน้าขมวดคิ้วของคนตรงหน้า ท่าทางจะเครียดจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า “ดิน กูถามอะไรมึงหน่อย”





             ดินเหล่ เห็นท่าทางจริงจังของรามแล้วค่อยน่าคุยด้วยหน่อย ก่อนพยักเพยิด “ว่ามา”





             “มึงไม่ชอบเอมเหรอ” ร่างโปร่งถาม





             “หะ” ดินเลิกคิ้ว “มึงถามอะไร” กำลังจะถามว่าจะล้อเล่นอะไรอีก...แต่พอเห็นหน้าจริงจังแล้วดินก็เงียบปาก





             รามไม่สนใจที่อีกคนถามแม้แต่น้อย ก่อนพูดในสิ่งที่คิดออกมา “กูชอบเอม”





             “หะ” ดินเหวอ “นี่มึง...” ในหัวเขาตอนนี้มึนงงไปหมด รามกำลังจะสื่ออะไรเขาไม่เข้าใจ





             รามชอบเอม...แล้วสินล่ะ สินก็ชอบเอมเหมือนกัน





             “กูชอบเอม” รามยิ้ม รู้ว่าดินกำลังคิดอะไร เว้นจังหวะ “แบบเพื่อน”





             “...”





             “กูชอบเอมแบบที่เพื่อนที่เขาชอบกันอ่ะ เพื่อนชอบเพื่อน มึงเข้าใจกูป่ะ” รามขยายความ ซึ่งยิ่งฟังดินยิ่งงงหนักกว่าเดิม





             ดินขมวดคิ้ว “กูไม่เข้าใจว่ะ”





             “...”





             ระหว่างทั้งสองคนเงียบไปอึดใจ





             "เฮ้อ" ร่างโปร่งส่ายหน้าถอนหายใจ ทำหน้าเอือมระอา “กูล่ะเบื่อคนซื่อบื้อแถวนี้จริงจริ๊ง”





             "มึงว่าใครซื่อบื้อ!?" ดินแหว





             “จะใครซะอีกล่ะ...” รามยิ้มส่งสายตาไปด้านหลัง ทำให้ดินรู้สึกถึงความผิดปกติ





             "ก็มึงไง" ดินตาเหลือก เมื่อไอ้คนตรงหน้าที่ยังหัวเราะคิกคักใส่เขาไม่ได้ตอบ แถมเสียงนั้นก็ดังมาจากข้างหลัง ไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร เสียงเข้มแบบนี้ไม่ใช่ชะเอมแน่นอน





             ดินหันไปดูก็พบว่าสินยืนอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสองเมตร ได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายดังเอื้อก





             "กูขอไปดูเอมก่อนแล้วกัน" รามบอกอย่างรู้หน้าที่ “ส่วนคำถามของกูมึงลองเก็บเอาไปคิดดูละกัน” ขาเรียวเดินเลี่ยงออกไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากเป็นกอขอคองอ ไม่ทันเห็นหน้าทมึงถึงของดินที่ถลึงตาคาดโทษเอาไว้ในใจ แต่สายตาคมของสินก็ยังเห็นเหงื่อซึมไรผมตรงขมับของคนที่ถูกตราหน้าว่าซื่อบื้อ





             "นี่มึงยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่" ดินถาม ถ้าเป็นในการ์ตูนคงบรรยายเป็นรูปภาพได้ว่าตอนนี้เขาหน้าซีดปากสั่นขนาดไหน





             "ก็ตั้งแต่ที่กูได้ยินว่าพวกมึงพูดเรื่องของกู" สินยักไหล่ตอบเรียบๆ ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่ากำลังโดนนินทา แต่เขานี่สิ...





             นั่นมันตั้งแต่แรกเลยนี่หว่า!!





             ไอ้ห่านี่ มาก็ไม่ส่งเสียง แบบนี้เรียกว่าแอบฟังชัดๆ!!! ไม่สิ มันไม่แอบ มันอยู่ข้างหลังเขาฟังในระยะประชิดเลยด้วยซ้ำ





             งั้นมันก็ได้ยินที่เขาพูดเรื่อง...





             "กู...จะไปเซเว่น" ดินไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้ดี แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากคุย ไม่กล้าสู้หน้า ร่างสูงกระโดดลงจากเก้าอี้เคาน์เตอร์หน้าห้องครัว หันหลังจะเดินแต่ไม่ทันมือใหญ่ที่คว้าข้อมือเขาเอาไว้





             "ทำไร ปล่อยสิวะ" ดินยื้อข้อมือตัวเองออก แต่ก็ไม่หลุด "กูไม่อยากคุยกับมึง"





             "เดี๋ยวดิ อย่าเพิ่งหนี"





             "หนีเหี้ยไร ไม่ได้หนีเว้ย!" ดินว่าเสียงดัง ไม่ยอมรับความจริง





             "ที่มึงทำนี่แหละเขาเรียกว่าหนี!" สินเสียงดังกว่า ทำให้อีกคนเงียบ แต่ก็ไม่หยุดยื้อ มือใหญ่กำแน่นจนอีกฝ่ายเจ็บ แต่เขาจะไม่มีทางปล่อยเด็ดขาด





             “คราวหลังสงสัยอะไรก็ถามกูสิ”





             “...ถามอะไร”





             "คำถามเมื่อกี้นี้ไง ไม่อยากรู้คำตอบแล้วเหรอ"





             ดินชะงัก





             'มึงว่า ไอ้สินชอบเอมป่ะวะ'





             มันคือคำถามที่เขาถามรามเมื่อกี้ ได้ยินจริงๆ ด้วยสินะ





             "กูไม่อยากรู้แล้ว" ดินหันหน้าหนี แววตาอ่อนโยนตอนที่ร่างสูงเช็ดตัวให้ชะเอมยังติดตา





             "แต่กูอยากบอก"





             "เรื่องของมึง แต่ไม่ต้องมาบอกกู ไปบอกชะเอมโน่น"





             "กูไม่ได้ชอบเอม" สินบอก แววตาจริงจังมองสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของดิน ก่อนเลื่อนลงมามองริมฝีปากสีระเรื่อน่าจูบที่เม้มแน่น "กูชอบมึง"





             "..."





             "กูชอบมึง" สินบอกอีกรอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายตาค้างไปแล้ว “ไม่ได้ชอบแบบเพื่อน” คราวนี้เจ้าคนคิดมากหน้าแดงเถือก หลังมือพยายามบังสีหน้าตัวเอง แต่ไม่ทันแล้ว





             “มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ยดิน” ต้องถามไว้ก่อนเผื่อคนซื่อบื้อจะไม่เข้าใจ





             “มะ...ไม่เข้าใจ กู...ไม่...” ริมฝีปากขบกันแน่น แต่คนตัวเข้มก็หน้าแดงเกินกว่าจะพูดคำว่าไม่เข้าใจ





             ปฏิกิริยาที่แสดงออกทำเอาสินหยุดแกล้งไม่ได้





             "กูชอบมึง" เสียงทุ้มกระซิบแผ่วข้างหูที่ตอนนี้มันแดงก่ำ สินดันร่างที่สูงเกือบเท่าเขาจนแผ่นหลังชิดกำแพง เจ้าตัวก็เหมือนจะเพิ่งรู้ว่าอยู่ในอ้อมกอดอุ่นและหนีไปไหนไม่ได้





             "กูชอบ..."





             "...กูได้ยินแล้ว หยุดพูดได้แล้ว" ในเมื่อหนีไปไม่ได้ เขาก็กดหน้าที่ร้อนผ่าวลงกับไหล่กว้างเสียเลย ไม่อยากให้เห็นว่าเขาเขินแค่ไหน กับคำพูดที่ทำให้ใจเต้นแรง





             ไม่อยากเชื่อว่าแค่คนตรงหน้าบอกว่าชอบ ความน้อยอกน้อยใจ ความรู้สึกเคืองต่างๆ นานาก็ปลิวหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้



             ‘มึงไม่ชอบเอมเหรอ’



             ‘กูชอบเอม...แบบเพื่อนชอบเพื่อนอ่ะ มึงเข้าใจป่ะ’



             ‘มึงลองเก็บคำถามกูไปคิดดูละกัน’





             กูเข้าใจแล้ว...





             ‘กูไม่ได้ชอบเอม’



             ‘กูชอบมึง’





             กูเข้าใจแล้ว...



             สินมองคนที่กดหน้าอยู่กับไหล่แต่ซ่อนหูแดงๆ ไม่มิดแล้วก็ยิ้ม สายตาอบอุ่นที่มอบให้แค่คนๆ นี้คนเดียว แต่เจ้าตัวมักจะซื่อบื้อไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง ทั้งๆ ที่เขามั่นใจว่าแสดงออกชัดเจนตลอด





             หรือบางทีอาจจะรู้สึกถึงการแสดงออกของเขาแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะอย่างนั้น





             "อยากจูบว่ะ..." สินพ่นลมหายใจร้อนๆ ใส่หูที่ยังแดงอยู่ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้ง ปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ สามารถเรียกรอยยิ้มของร่างสูงกว่าได้เป็นอย่างดี "ได้ไหม"





             ดินนิ่งไปสักพัก ก่อนส่ายหน้าที่ยังกดกับไหล่แน่น พูดเสียงอู้อี้ สินชะงักก่อนหัวเราะหึหึออกมา





             "โอเคครับ" สินกดจมูกตรงขมับอย่างหมั่นเขี้ยว ทำตัวน่ารักแบบนี้กับเขาบ่อยๆ เขาจะทนไม่ไหวเอา



             ดินขยำเสื้ออีกคนจนยับยู่ยี่ โอย เขาอายจะตายอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะหัวใจยิ่งเต้นรัวหนัก และยิ่งหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงหัวใจของคนที่เขาซบหน้าอยู่ตรงอกกว้างดังไม่แพ้กัน





             'กลับหอก่อน ไม่ใช่ที่นี่'





             ไอ้เหี้ยเขิน!! พูดออกไปได้ไงวะเนี่ย!?



             “งั้นขอมัดจำก่อนได้ป่ะ กลัวรอไม่ไหว”



             “...!”









             ************************Whose fault? ************************







              มาแว้ววว

             ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์น้าจ๊ะ สำหรับมือใหม่หัดเขียนเป็นกำลังใจมากเลยน้าา

             ติดตามตอนต่อไปจ้า



ออฟไลน์ coraline

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :katai4: ไม่เข้าใจคะว่าทำไมพระเอกโง่อย่างนี้อยุ่ด้วยกันตั้งแต่เด็กไม่รุ้รึไงว่าเอมเป็นคนยังไง กะอิแค่คนที่คบกับสองสามปี เชื่อเข้าเสียสนิทเลย บ้าบอ ไม่พอใจคะบอกเลย อยากตบอิเรย์มากสำออย อินคะอินๆๆ :katai1: :z6:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ดินน่ารักมากกกกกกๆๆๆๆ  :hao3: // ในส่วนของพระเอกต้องเอาคืนให้หนักๆ เอาให้ไม่มีลืม  :m31:

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2




                                                                       Whose Fault ?





                                                                     ผิด...ครั้งที่ 8







               โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม









               "อ้าว เคลียร์กันแล้วเหรอวะ" คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงเอ่ยทัก





               ทั้งสองคนที่เดินเข้ามาไม่พูดอะไร แต่ผลลัพธ์มันก็เห็นชัดอยู่แล้วตรงที่ทั้งคู่มาพร้อมกัน





               "อย่าเงียบดิวะ ผลเป็นไง ไหนบอกหน่อย" รามเซ้าซี้ น้ำเสียงก็รู้ว่าจะแซว และได้ผล ดินหน้าขึ้นริ้วสีแดงหลบตาเม้มปาก





               “อย่าขุดดิวะแม่ง กูกำลังพยายามลืม” ...ไอ้เรื่องน่าอายแบบนั้นน่ะ





               เหี้ย โคตรชัด!





               “ฮันแน่ะ”รามเห็นก็ยิ้มล้อทันที เขาดีใจที่เพื่อนเข้าใจกัน อยู่ด้วยกันมานานไม่อยากให้ผิดใจ แต่ก็ไม่คิดว่าจะลงเอยในรูปแบบนี้





               "ผลคือดี โอเค๊" สินตัดบท “หยุดเสือกได้แล้ว”





               "ไรว้า สิน กับมึงแม่งไม่สนุกเลย" ร่างโปร่งโอดครวญอย่างเสียดาย





               "เหอะน่า ถามมาก เดี๋ยวมันเขินแรง" สินหัวเราะในลำคออย่างเจ้าเล่ห์





               "ไอ้เหี้ย!" ดินด่า แต่เสียงไม่ดังมากเพราะไม่อยากรบกวนร่างบางที่นอนซม





               สินยักคิ้วให้ราม เหมือนจะบอกว่า เห็นมั้ยล่ะ





               ส่วนรามยิ้มแหย คิดในใจเหงื่อตก เออแม่งเขินโหดจริง





               “ราม คำถามของมึงกูคิดมาแล้วนะ”





               “หืม...อ๋อ” รามเลิกคิ้วก่อนถึงบางอ้อ ถามยิ้มๆ “แล้วได้คำตอบยัง”







               ‘กูชอบเอม...แบบเพื่อนชอบเพื่อนอ่ะ มึงเข้าใจป่ะ’







               “อืม” รามพยักหน้า หันมองร่างบาง “กูก็ชอบเอมเหมือนกัน”





               สินหูกระดิก “มึงว่าไงนะ”





               ดินทำหน้างง อะไรของมัน “กูบอกว่ากูชอบเอมเหมือนกันไง”





               ในขณะที่รามมองทั้งคู่สลับไปมา เอาแล้วไง





               “แล้วทีกูบอกชอบมึง ทำไมไม่บอกกูบ้าง”





               “เฮ้ย!?” ดินตาเหลือก ส่วนรามตาโต ไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรเต็มๆ สองหูแบบนี้ “มึงจะพูดเรื่องนี้ทำไมเนี่ย!”





               “ก็มึงบอกว่าชอบเอม จะให้กูคิดยังไง” เสียงทุ้มมาพร้อมกับสายตาเอาเรื่อง





               “กูก็แค่...” ตอบคำถามไอ้รามแค่นั้น ดินชะงัก เอ๊ะ... “ไหนมึงบอกว่าได้ยินที่กูคุยกับรามทั้งหมดไง”





               “ก็ได้ยิน” สินกอดอก





               “แล้ว...?” แม่งจะโมโหทำไมวะ





               รามอ้าปาก อยากจะบอกว่ามีคนนั่งหัวโด่อยู่นี่ลืมกูไปแล้วใช่มั้ย...แถมชะเอมก็นอนอยู่ด้วยทั้งคนนะ ถึงจะไม่มีสติก็เหอะ





               “ก็มึงบอกชอบคนอื่นที่ไม่ใช่กู”





               “เหี้ย” สัตว์เลื้อยคลานวิ่งออกจากปากอีกแล้ว ช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้มันมาพูดแบบนี้ในที่สาธารณะแบบนี้ล่ะ “กูก็แค่บอกว่าชอบเอมแบบเพื่อนเฉยๆ เว้ย...มึงนี่นะ”





               “คำว่าชอบมึงต้องบอกกับกูคนเดียว”





               “เอาล่ะๆ” รามส่งเสียง เห็นร่างสูงผิวคล้ำสะดุ้งแล้วคิ้วกระตุก สรุปนี่มันลืมเขาจริงๆ ด้วย “คุยอะไรหัดเกรงใจคนฟังบ้างสิ”





               “...” ดินไม่ตอบแต่หน้าร้อนฉ่าเพิ่งรู้สึกตัว แต่สินไม่สนใจ ใครจะได้ยินก็ช่าง





               “แต่ก่อนทะเลาะกันแทบตาย เดี๋ยวนี้ทำตัวเป็นพวกมือใหม่หัดจีบไปได้นะพวกมึง”





               “ไม่ได้จีบเว้ย!/เรื่องของกู” รามแหวเสียงดังจนรามต้องจุ๊ปาก ส่วนสินมองหน้าดินแบบ...ระอาหน่อยๆ





               ไอ้ดินก็ซื่อบื้อชิบหาย แอบสงสารไอ้สินเลย





               เสียงร่างโปร่งถอนหายใจเบาๆ ท่ามกลางเสียงถกเถียงกันระหว่างเสียงโวยวายกับเสียงเรียบนิ่ง





               เออ...กัดกันเข้าไป แล้วจะไปกันรอดมั้ยวะเนี่ย





               “ว่าแต่ว่ามึงเถอะราม” สินหันมาถาม “หยุดงานมาแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ”





               “จริงด้วย” พอได้ยินแบบนั้นดินก็เหมือนนึกขึ้นได้





               รามโบกมือไม่ใส่ใจยิ้มๆ “เหอะน่า เอมเป็นแบบนี้ กูคงไม่มีกระจิตกระใจทำงานหรอก...เดี๋ยวค่อยไปชดเชยวันอื่นก็ได้ เจ้าของร้านเขาไม่ว่าหรอก”





               “อย่าหักโหมมากละกัน เดี๋ยวก็ป่วยตามเอมอีก” ดินบอกอย่างเป็นห่วง





               “เออ ขอบใจที่เตือนว่ะ” รามเอ่ย “แต่ทีหลังไม่ต้อง กูขนลุก”





               “...เออ กูไม่พูดแล้วก็ได้” ร่างสูงกอดอกเบะปากอย่างงอนๆ ไม่เข้ากับใบหน้าคมเข้ม “แม่ง เสีย’รมณ์”





               หลังจากนั้นสายตาสามคู่ประสานกันแล้วเสียงหัวเราะของทั้งสามก็ดังขึ้น





               เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืน ทั้งสามนั่งเฝ้าคอยสลับกันเปลี่ยนน้ำเช็ดตัวให้ แต่ไม่มีทีท่าว่าไข้ของชะเอมจะลดลง ทั้งๆ ที่ทานยาไปแล้ว ยิ่งเห็นเจ้าตัวนอนกระสับกระส่าย เพ้อหนัก ทั้งสามคนยิ่งทำตัวไม่ถูก สินจึงแนะนำให้รามโทรหาแพทย์กฤษณะ โดยหาเบอร์จากเครื่องของชะเอมทันที ไม่ถึงชั่วโมงกฤษณะก็มา





               "หมอครับ ทำไงดี ชะเอมจะเป็นอะไรมั้ย" รามถามอย่างร้อนรน





               "ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวอาขอวัดไข้ก่อน" ทั้งสามได้แต่ยืนมอง ยิ่งเครียดเมื่อกฤษณะสีหน้าไม่ค่อยดี "ไข้ขึ้นสูงมาก ถ้าถึงตอนเช้าแล้วยังไม่ดีขึ้น อาจจะต้องส่งนอนโรงพยาบาล"





               กฤษณะยืนมองชะเอมที่นอนซมเหงื่อท่วม ปากบางพึมพำจับใจความไม่ได้ คงฝันเห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งที่แน่ๆ ไม่ใช่ฝันที่ดี





               จิตใจที่กำลังอ่อนแอก็ยิ่งส่งผลกับร่างกาย





               "ก่อนหน้านี้อาการชะเอมเป็นยังไง" นายแพทย์สอบถาม





               "ก็เพ้อแบบนี้แหละครับ แต่เพิ่งหลับไปตอนสองทุ่มกว่าหลังจากกินข้าวกินยา แต่ผมก็เช็ดตัวให้แล้วนะครับ" สินบอก กฤษณะพยักหน้ารับ ละสายตาจากชะเอมมามองหน้าทั้งสามคน





               "ไม่แปลกหรอก เพราะชะเอมร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ต้องดูแลต่างจากคนอื่นนิดหน่อย"





               "คือ...คุณหมอกฤษณะครับ อาการของชะเอมหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอครับ" ดินเอ่ยอย่างสงสัยแกมเป็นห่วง





               "เรียกอาหมอเหมือนที่เอมเรียกก็ได้...จะว่าไงดีล่ะ อย่างที่บอกแหละ ร่างกายของเจ้าตัวเล็กไม่ค่อยแข็งแรง แถมมีโรคประจำตัว ตอนเด็กๆ เคยไม่สบายหนักแล้วมีอาการช็อค อาเลยเกรงว่าจะเป็นแบบนั้นอีกน่ะสิ" กฤษณะพูดเครียดๆ ถ้าเป็นแบบนั้นอาคงไม่บอกพี่เกษมไม่ได้แล้วล่ะนะเอมเอ๊ย





               พอทั้งสามได้ฟังก็เครียดตามไปด้วย มีแต่รามที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไรบางอย่าง





               "โรคประจำตัว...ชะเอมมีโรคประจำตัวด้วยเหรอครับ โรคอะไรครับคุณหมอ" กฤษณะชะงัก ก่อนถอนใจ หันไปถามจริงจังกับราม




               
               "ก่อนที่อาจะบอก อาขอถามอะไรหน่อย" คนวัยทองกวาดตามองทั้งสามคน "พวกเธอเป็นเพื่อนของชะเอมจริงๆ ใช่มั้ย"





               "ใช่ครับ" ทั้งสามมองหน้ากัน ถึงจะงงๆ แต่ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่คำถามประชดประชัน





               อืม มีแววตาที่ดี ถ้าเป็นสามคนนี้ก็น่าจะไว้ใจได้





               “ถ้าอาบอก สัญญากับอาได้มั้ยว่าจะช่วยกันดูแลเอม” กฤษณะว่า เมื่อได้รับคำตอบจากทั้งสามก็ตัดสินใจบอก "ชะเอมเป็นโรคหัวใจ"





               "...!" ทั้งราม สิน ดิน ตกใจ ยืนอึ้งเพราะไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ยินจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ รู้สึกหน่วงในใจ ทั้งสงสารเป็นห่วงและ...เห็นใจ





               "อันที่จริงก็ไม่ใช่โรคหัวใจที่คนส่วนใหญ่เป็นกันหรอก น้อยคนที่จะเป็นโรคนี้ และชะเอมก็เป็นตั้งแต่เด็ก แต่หลังจากได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งอาหาร สภาพแวดล้อม การพักผ่อน ทำให้ชะเอมดีขึ้นไม่มีอาการกำเริบใดๆ มานานหลายปี แต่มีช่วงนี้ที่อาการเริ่มกลับมากำเริบอีก บอกตามตรงว่าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ อาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เอมพักผ่อนไม่พอ มีความเครียดสะสม อาพอจะเดาได้แค่ว่าน่าจะเกี่ยวกับคิน พวกเธอรู้จักคินใช่มั้ย"





               ทั้งสามพยักหน้า กฤษณะก็เล่าต่อ





               "อาเดาว่าทั้งสองคนน่าจะทะเลาะกัน แต่เอมไม่ให้อาบอกใครเลยเรื่องอาการของตัวเอง เลยมีแค่อา กับพวกเธอทั้งสามคนเท่านั้นที่รู้"





               ทั้งสามมองหน้ากัน ยังไม่เข้าใจในความหมายที่กฤษณะกำลังจะสื่อ และทำไมเขาถึงบอกเรื่องนี้กับพวกเขา





               "ถ้าพวกเธอเป็นเพื่อนกับชะเอมจริง อาอยากฝากให้ดูแลเอมหน่อย แล้วอาก็อยากจะรู้เรื่องปัญหาของชะเอมด้วย อาดูแลเขามานาน เด็กคนนี้ไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะเขามีแค่คินคนเดียวที่คอยเล่นด้วยมาตั้งแต่เด็ก" กฤษณะเดินไปบีบผ้าในกะละมัง เช็ดตามใบหน้าชื้นเหงื่อ ซับไล้เบาๆ เพราะผิวขาวๆ จะแดงได้หากออกแรงมากไป "ดังนั้นพอทะเลาะกัน เอมก็อยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้จะพึ่งใคร อาก็ไม่สบายใจไปด้วย ถ้าพวกเธอรู้อะไรก็ช่วยบอกอาหน่อย"





               กฤษณะยังคงเช็ดตัวให้ร่างบางที่ขมวดคิ้วกระสับกระส่าย เห็นแล้วช่างน่าสงสาร มือใหญ่หยิบหลอดยานวดบีบเนื้อครีมทารอบๆ แผลช้ำรอยใหญ่ที่ยังคงสีม่วงน่ากลัวไม่ลดลง





               รามยืนนิ่งเม้มปาก ไม่รู้จะบอกดีไหม ห่วงก็ห่วง หนักใจก็หนักใจ นี่เป็นปัญหาของเอมที่เขาไม่ควรยุ่ง แต่...





               ร่างโปรงมองหน้าสินกับดินซึ่งพยักหน้าให้เขา รามเลยยอมปริปาก





               ถ้าหากช่วยเอมได้ เขาก็อยากจะช่วย...ได้แต่หวังว่าจะชะเอมจะไม่โกรธ





               "ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เขาลือกันในมหาลัยน่ะครับ"





               "ข่าวลือ...เรื่องอะไร เกี่ยวกับชะเอมเหรอ?" กฤษณะขมวดคิ้ว





               "ใช่ครับ คือ...เขาลือกันว่าทั้งสองคนเลิกกันแล้ว หมายถึงคินกับเอมน่ะครับ" รามเว้นจังหวะ “ผมเลยคิดว่าเอมน่าจะเครียดๆ กับเรื่องนี้นะครับ”





               "เลิกกัน? นี่พวกเธอพูดเรื่องอะไร?" ศัลยแพทย์มีน้ำเสียงงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาเด็กๆ ทั้งสามมองหน้ากันอย่างสงสัย





               "เอ๊ะ ก็..." รามจะพูด แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง ไม่รู้ว่ากฤษณะซึ่งอายุเท่านี้แล้วจะเข้าใจในสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้เขาเป็นกันรึเปล่า





               "คือว่า ชะเอมกับคินเขาเคยเป็นแฟนกัน แต่ตอนนี้เห็นว่าเลิกกันแล้วน่ะครับ" สินแจกแจงแทน





               "ว่าอะไรนะ?...ชะเอมกับคินคบกันเป็นแฟน บ้าน่า พวกเธอล้อเล่นรึเปล่า" กฤษณะช็อคตาโตเมื่อได้ยิน รามว่าแล้ว ว่าคนอายุอย่างกฤษณะไม่มีทางเข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้หรอก





               "พวกเราไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมรู้ว่าอาหมออาจจะไม่เข้าใจ แต่สมัยนี้แล้ว ในมหาลัยของพวกผมก็มีกันเยอะแยะไปครับ เรื่องผู้ชายกับผู้ชายคบกันน่ะ" ดินเป็นคนพูด ก่อนมองหน้าสินไปด้วย ซึ่งสินก็ยิ้มให้แถมส่งสายตาซะดินหน้าร้อนหลบตาไม่กล้าสบกลับ





               "อารู้ อาไม่ได้ติดใจเรื่องนั้น แต่อาแค่คิดเรื่อง..." กฤษณะถอนหายใจเป็นครั้งที่ล้านของวัน เฮ้อ มีเรื่องหนักใจอีกแล้วสิ นี่เขาไม่ต้องรอให้แก่จนหัวล้านหรอก แค่ตอนนี้ความเครียดอย่างเดียวก็มากพอที่จะทำให้เขาหัวล้านได้แล้ว





               นายแพทย์เหลือบตามองชะเอม สีหน้าหนักใจ แล้วนี่เขาจะบอกพี่เกษมยังไงดีกับเรื่องนี้





               "พวกเธอยังไม่รู้สินะ"





               "เรื่องอะไรครับ?" ทั้งสามงง จู่ๆ กฤษณะก็เปลี่ยนเรื่องไปมา สมองพวกเขาตามไม่ทัน





               "ก็ชะเอมกับคินเขาเป็นพี่น้องกัน"





               "ห้ะ!?"





               "ว่าอะไรนะครับ!"





               "..."





               ทั้งสามมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไป คนที่ชื่อสินดูจะนิ่งที่สุด แต่ก็ช็อคไม่ต่างกับกฤษณะที่รู้ว่าหลานทั้งสองคนคบกันเป็นแฟนในตอนแรก





               "มันยังไงกันครับ ชะเอมกับคินเขาอายุเท่ากัน จะเป็นพี่น้องกันได้ยังไงครับอาหมอ" รามว่า นี่เขาเจอเรื่องน่าตกใจมากี่เรื่องแล้ววันนี้





               “แถมดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นฝาแฝดกันด้วย” สินพึมพำ ดินถองศอกใส่คนที่พูดเล่นไม่รู้เวลา ซึ่งดูเหมือนกฤษณะก็จะได้ยินด้วยแต่ไม่ถือสา





               "ก็ไม่เชิงพี่น้องหรอก พ่อแท้ๆ ของคินรับชะเอมมาเลี้ยงตอนยังเด็ก จดทะเบียนเป็นพ่อบุญธรรมอย่างถูกกฏหมาย เปลี่ยนนามสกุล จึงเรียกได้ว่าชะเอมกับคินเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ต่างกับพี่น้องกันหรอก" กฤษณะอธิบาย "ทีนี้เข้าใจหรือยัง ว่าอาตกใจเรื่องอะไร"





               แล้วถ้าเกษมศักดิ์รู้ จะช็อคมากกว่าเขาขนาดไหนกัน





               "เอมคงไม่ได้บอกอะไรพวกเธอเลยล่ะสิ" ทั้งสามพยักหน้า "เจ้าตัวเล็กไม่เคยบอกใครอยู่แล้วอาจจะเพราะนิสัยขี้เกรงใจเป็นที่หนึ่ง นามสกุลใหญ่โตแบบนี้ พูดไปก็มีแต่คนรู้จัก"





               สินเห็นด้วย เขาพอจะอ่านข่าวเรื่องพวกนักธุรกิจอยู่บ้าง และชื่อพ่อของคินก็พาดข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ





               แต่เขาไม่เคยรู้เรื่องของชะเอมเลย...



               พี่น้องต่างสายเลือดที่มีความสัมพันธ์เป็นคนรักกัน





               “แล้วเรื่องที่ไม่สบายนี่ล่ะครับ เอมไปทำอะไรมา” รามถามอีก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวข้อที่เรียกความสนใจคนในห้องได้เป็นอย่างดี “คุณหมอพอจะทราบมั้ยครับ”





               เรื่องข่าวลือนั่น...เรื่องของเรย์กับคิน...อาการป่วย...และเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจที่ยังคงก้องบาดหู...มันจะต้องเกี่ยวข้องกันแน่





               แพทย์วัยสี่สิบกว่ายิ้มอ่อน "เรื่องรายละเอียดที่มากกว่านี้อาขอให้ชะเอมเป็นคนตัดสินใจเองก็แล้วกันว่าจะเล่าให้พวกเธอฟังหรือไม่"





               แค่นี้เขาก็กลัวว่าเจ้าตัวเล็กตื่นขึ้นมาแล้วโกรธเขาสามวันสามคืนจะแย่แล้ว





               กฤษณะมองนาฬิกา และมองหน้าอิดโรยของเด็กๆ ทั้งสาม "ดึกมากแล้ว อาต้องรบกวนพวกเธอมาก ขอบใจมากนะที่เล่าเรื่องปัญหาของชะเอมให้ฟัง เอาล่ะ วันนี้กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะ"





               "ให้ผมอยู่ต่อเถอะครับ" รามพูดขึ้น หลังจากรู้เรื่องของชะเอมแล้ว จะให้เขากลับบ้านไปอย่างนี้ได้ยังไง เขาสัญญากับตัวเองตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าไม่ว่ายังไงจะช่วยชะเอมจนถึงที่สุด





               วันที่เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของร่างบางและก็เป็นวันเดียวกับที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใส





               ชะเอมไม่เหมาะกับหน้าเศร้าๆ เลยแม้แต่นิดเดียว





               และวันนี้เขาเห็นสีหน้าที่ราวกับจะแตกสลาย ใบหน้าที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร...ในใจของชะเอมคงยังมีเรื่องอะไรบางอย่างที่เพิ่งประสบพบเจอมา...ที่พวกเขายังไม่รู้





               'ชะเอมเป็นโรคหัวใจ'





               นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้ยังไง





               "แล้ววันนี้เธอเตรียมของมาค้างแล้วหรือไงล่ะ" คนอายุล่วงเลยกว่าสี่สิบแต่หน้ายังสามสิบมองเด็กๆ ที่มีสีหน้าเป็นห่วงเรื่องของเจ้าตัวเล็กแล้วอดยิ้มไม่ได้ ชะเอมท่าทางจะมีเพื่อนที่ดีมากเลยนะคราวนี้ "กลับไปพักแล้วมาที่นี่แต่เช้าก็ยังได้ หรือถ้ามีอะไรน่าเป็นห่วง อาจะรีบโทรบอกพวกเธอเป็นสายแรกเลย"





               "วันนี้กลับกันก่อนเถอะ" สินพูด ทำให้รามที่กำลังจะค้านหันขวับ "วันนี้กลับไปนอนจะได้มีแรงมาดูแลเอมไง ถ้าเราเหนื่อยจนไม่ได้พักเขาต้องสังเกตเห็นแล้วต้องห้ามพวกเรามาอีกแน่"





               กฤษณะยิ้มบาง ท่าทางจะเข้าใจนิสัยของเอมอยู่เหมือนกันนะ





               รามฟังเหตุผลของสิน ก็จำใจยอมรับ ร่างโปร่งลุกขึ้นพร้อมไหว้ลากฤษณะ ดินที่ไม่ได้พูดอะไรก็ก้มหัวให้กฤษณะพร้อมสินเช่นกัน แล้วทั้งสามก็เดินออกมาจากห้อง





               "กูเข้าใจมึงนะราม กูก็ห่วงเอมเหมือนมึง" สินตบไหล่ร่างโปร่งราวกับจะขอโทษที่พูดขัดใจ "แต่ตอนนี้เรากลับก่อน แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่นี่หกโมงเช้า โอเคมั้ย"





               รามยิ้มเข้าใจ "โอเค"





               สินกับดินยืนส่งร่างโปร่งที่ขึ้นแทกซี่ไป ก่อนจะยืนรอแทกซี่อีกคันซึ่งเวลานี้หาได้ยากมาก





               "ทำไมเราไม่ขึ้นคันเดียวกับรามแล้วค่อยให้เขาไปส่งทีละคนวะ หาตอนนี้ยากตายห่า มึงดูเวลาด้วย" ดินที่เงียบมานาน เอ่ยขึ้นเพราะสงสัย มองหน้าสินที่ยืนยิ้มสายตาเจ้าเล่ห์อยู่





               "กูอยากอยู่กับมึงสองคนไง"





               "ไอ้ห่า พูดเรื่องน่าอายได้หน้าตาเฉย" ดินพูด พลางมองไปรอบๆ ถึงเวลานี้จะไม่มีใครได้ยิน แต่ก็อายอยู่ดีอะ "ตอนอยู่หอก็อยู่ด้วยกันแค่สองคนอยู่แล้วป่ะวะ"





               "ก็ก่อนหน้านี้กับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน"





               "ยังไง"





               "เรื่องของความรู้สึก" สินยิ้มกรุ้มกริ่ม "ตอนนี้กูชอบมึง มึงชอบกู เราชอบกัน"





               "คะ ใครบอกว่ากูชอบมึง ตอนไหนไม่ทราบ" ดินแหวตาโต หน้าร้อนผ่าว ไอ้ขี้ตู่!





               "มึงบอกกู" สินจิ้มนิ้วลงบนอกด้านซ้ายของคนตัวเตี้ยกว่า "ตรงนี้ของมึง มันบอกกู"





               ดินใจเต้นตึกตักๆ ดังสนั่น ทั้งสายตาที่มองมา น้ำเสียงของคนตรงหน้า มันทำให้เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก





               "แล้วตรงนี้ก็บอกกู" นิ้วยาวย้ายจากอกขึ้นมาจิ้มที่แก้ม แต่สายตาไม่รักดีของสินย้ายไปมองที่ริมฝีปาก "แก้มมึงแดงแปร๊ดเลย"





               "อะ ไอ้สิน" ดินสะดุ้งโหยงจับแก้ม ทั้งหูทั้งหน้าแดงก่ำเพราะจู่ๆ คนตรงหน้าหอมแก้มเขาดังฟอดไม่ทันรู้ตัว ริมฝีปากบางสั่นระริก นิ้วยกขึ้นมาชี้หน้าเจ้าเล่ห์ "ไอ้..." คนฉวยโอกาส!





               "มัดจำเรื่องจูบ" สินไม่สำนึก ยักไหล่กวนอารมณ์ดินเป็นอย่างมาก "เฮ้อ อยากกลับหอแล้วสิ"





               ร่างสูงผิวสีแทนแทบจะควันออกหูเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ เจ้าเล่ห์ สองขาวิ่งไล่หวังจะประทุษร้ายไอ้คนคิดเรื่องสิบแปดบวกตลอดเวลา





               เขารู้ว่ามันหวังอะไร





               'กลับหอก่อน ไม่ใช่ที่นี่'





               พอคิดได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป...มันก็หน้าร้อนผ่าวอีกครั้ง





               "กูไม่กลับแล้ว มึงกลับไปคนเดียวเลย!!!"







               ************************Whose fault? ************************





               จริงๆ ตอนนี้ยาวมาก (มีต่ออีก)

               แต่ขออนุญาตแบ่งครึ่งนะคะ รอติดตามตอนต่อไปจ้า

             

               บางคนอาจติดใจเรื่องทำไมตัวประกอบเด่นจัง...คือพระกับนายมันทะเลาะกันอยู่อ่ะนะ

               เลยให้ตัวประกอบมันออกโรงไปก่อนแค่นั้นแล



                ถ้าใครอยากอ่านต่อเม้นเป็นกำลังใจให้ชะเอมด้วยนะคะ....ติดตามตอนต่อไป



                ถ้าใครไม่อยากรอ อยากอ่านต่อไปอ่านในเว็บธัญวลัยได้นะคะ ที่นั่นลงนำไปหลายตอน 

                แปะลิ้งไว้ด้านล่างนะแจ๊ะ  ไม่รู้เข้าได้กันเปล่า (ฮา)

                http://www.tunwalai.com/story/239811/whose-fault-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3?page=1




ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


                                                      Whose Fault ?

 

                                                       ผิด...ครั้งที่ 9

 

 

 

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

เมื่อถึงยามเช้าวันใหม่ ราม ดิน สินก็อยู่ในห้องเดิมอีกครั้ง

 

 

ระหว่างที่ในห้องเงียบกริบมีแต่เสียงลมหายใจติดขัดจากชะเอมที่นอนกระสับกระส่าย ทั้งสามสลับกันมาเช็ดตัวให้ร่างบาง เตรียมข้าวเตรียมยาไว้ให้รอคนป่วยฟื้นมากิน จู่ๆ รามก็แสดงท่าทางแปลกๆ

 

 

"อะ...อะไร" ดินงึกงัก เมื่อรามจ้องเขาในระยะประชิด

 

 

"ตามึงคล้ำๆ แถมกูได้กลิ่นแปลกๆ ยังไม่รู้" ร่างโปร่งทำจมูกฟุดฟิด ใกล้ๆ ตัวเหมือนหมา ซึ่งรามก็โดนผลักหน้าโดยมือของสิน แขนแข็งแกร่งอีกข้างโอบรอบเอวดินไว้ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเหมือนหวงของของสินนั้นยิ่งทำให้รามยิ้มตาระยิบระยับเป็นประกาย

 

 

"กลิ่นอะไรของมึง" ดินถามระแวง ก้มลงดมจักกะแร้ตัวเอง ให้แน่ใจว่ากลิ่นแปลกๆ ที่ว่าไม่ใช่กลิ่นเหม็น "เมื่อเช้ากูอาบน้ำมาแล้วนะ"

 

 

รามหรี่ตาที่เรียวอยู่แล้วให้มันเรียวเล็กไปอีก

 

 

ยัง...มันยังไม่รู้ตัว...

 

 

“หึหึ” ร่างโปร่งชูนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมา ส่งเสียงจุ๊ๆ

 

 

"กลิ่นความรัก"

 

 

ดินหน้าร้อนฉ่า ร้องเสียงสูง "ค...ความร้งความรักอะไร" ถองศอกใส่คนที่ยืนรุ่มร่ามกอดเขาข้างหลังให้ปล่อยมือออกแก้เขิน

 

 

สินไม่โกรธแต่ยกมือกุมท้อง หัวเราะในลำคอกับการหยอกล้อ(?)ของคนเขินน่ารัก (สินเห็นเป็นอย่างนั้น)

 

 

"กูเห็นน้า" รามทำเสียงเจ้าเล่ห์ ชี้ที่คอตัวเอง "ตรงนี้"

 

 

ดินตะปบมือที่คอตัวเอง ตาเหลือกลาน ลมหายใจกระตุก หันไปถลึงตาใส่ตัวการจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้สิน

 

 

อะไร!? นี่เขาไม่เห็นรู้ตัวเลยว่ามันทำรอยอะไรไว้ในตรงที่คนอื่นสามารถมองเห็น...หรือว่า!? ดินสะบัดตัวหนีจากการมือปลาหมึกเดินเข้าห้องน้ำเพื่อยืนยันหลักฐาน

 

 

"แค่ข้ามคืนนี่มึงเปิดซิงไอ้ดินแล้วเหรอ" รามหันไปถามสินที่ยืนยิ้มตาพราว ก่อนจะหันมาถามดินที่เพิ่งก้าวยาวๆ เดินทำหน้าขึงขังออกมาจากห้องน้ำ "รู้สึกเป็นไง ดีมั้ย ทำไมมึงถึงยังเดินได้ปกติอีกล่ะเนี่ย เห็นว่าครั้งแรกมันน่าจะเจ็บมากเลยนี่หว่า..."

 

 

ดินง้างกำหมัดแล้วใส่แรงเต็มที่ลงบนหัวคนพูดมาก

 

 

โป๊ก!!

 

 

"โอ๊ย!" รามกุมหัวตรงที่โดนเขก

 

 

"เลิกล้อเล่นได้แล้ว! กูไปส่องกระจกดูไม่มีรอยอะไรที่มึงว่าเลย” อย่างน้อยก็หมายถึงที่ๆ มองเห็นได้ง่ายล่ะนะ ส่วนที่อื่น... “ตลกนักเหรอห้ะ!"

 

 

"มึงเล่นแรงไปแล้วนะ! ถ้าหัวกูแตกจะทำยังไง!?"

 

 

"แตกไปเลยก็ดี เอาเลือดออกจากหัวซะบ้าง"

 

 

รามพ่นลมหายใจแรง "ทำมาเป็นพูด ถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่จริง มึงจะไปส่องกระจกดูทำไม แสดงว่าเมื่อคืนพวกมึงทำอะไรกันจริงๆ ล่ะสิท่า!"

 

 

ดินหน้าแดงหูแดงยกมือเตรียมทำร้ายอีกรอบให้ร่างโปร่งมันเข็ด "ไอ้...!"

 

 

"เอาน่าๆ" สินเริ่มเห็นว่ามันชักจะบานปลายก็เข้ามาล็อคแขนร่างที่เตี้ยกว่าเขาแค่ไม่ถีงห้าเซนต์ ตัวใหญ่แรงก็เยอะพอๆ กันจึงลำบากหน่อยกว่าคนผิวสีคล้ำจะยอมอ่อนแรง

 

 

"ฮึ้ย" ดินไม่สบอารมณ์ ที่ร่างโปร่งมันยังไม่หยุดส่งสายตาประกายวาววับ

 

 

สินส่งสายตาให้รามเลิกล้อเลียนได้แล้ว เพราะถ้าดินผู้เขินได้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตออกแรงมากกว่านี้เขาก็ห้ามไม่ไหวเหมือนกันนะ

 

 

ตัวมันก็ใช่ว่าเล็กซะเมื่อไหร่

 

 

"ยิ่งออกอาการมันยิ่งรู้นะ" สินกระซิบข้างหูคนที่เขาล็อกแขนอยู่ด้านหลัง "หน้าแดงหมดแล้วรู้ตัวมั้ย"

 

 

"ป...ปล่อยสิ สินปล่อยกู" ก็เพราะมึงทำแบบนี้แหละกูถึงอายไง!

 

 

นี่มันไม่รู้ตัวหรือมันพยายามจะแกล้งเขากันแน่เนี่ย!?

 

 

"โอเค ปล่อยก็ได้ แต่ห้ามเถียงกันแล้วนะ"

 

 

"ฝัน!" ดินดิ้น "มันเริ่มก่อนมึงก็เห็น"

 

 

"ถ้ามึงยังไม่หยุด เดี๋ยวคืนนี้กูก็จะไม่หยุดให้แล้วเหมือนกันนะ" สินตาประกายเจ้าเล่ห์ แถมยังวาววับเหมือนเสือจะกินเหยื่อยังไงชอบกล

 

 

"!?"

 

 

รามที่ยืนดูสถานการณ์ไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นกระซิบอะไรกัน แต่ดูจากสีหน้าของดินที่แดงยิ่งกว่าตอนที่เขาล้อ แดงจนเรียกได้ว่าควันออกหูนั่น มันคงเป็นอะไรที่เขาไม่ควรรู้แน่ๆ

 

 

และตอนนี้เขากลายเป็นหน่อส่วนเกินไปเรียบร้อย (อีกแล้ว)

 

 

นี่พวกมึงไปถึงขั้นไหนกันแล้ววะเนี่ย?

 

 

"เออ...ปล่อยดิ" ดินมุบมิบ ไม่เถียงแล้วก็ได้วะ "ยะ...อย่าคิดว่ากูกลัวนะ! กูไม่ได้กลัว...ว่า...ว่าจะโดนมึงทำอะไรทั้งนั้นแหละ เข้าใจนะ!?"

 

 

สินหัวเราะที่อีกฝ่ายยิ่งพูดยิ่งขุดหลุมฝังตัวเอง "ครับ ครับ"

 

 

ทั้งสามเถียงกันอยู่สักพักก่อนชะงักเมื่อเริ่มเห็นถึงความผิดปกติของคนบนเตียง

 

 

นายแพทย์วัยสี่สิบกว่าเพิ่งจะกลับไปสองชั่วโมงก่อน ตลอดคืนที่หมอกฤษณะเฝ้า อาการร่างบางก็ยังคงที่ไม่ได้ดีขึ้นเลย และดูเหมือนจะชะเอมจะไข้ขึ้นอีกแล้ว

 

 

“แค่ก! ...แค่ก”

 

 

“อือ พ่อฮะ พ่อ” ริมฝีปากที่พึมพำแผ่วเบา เรียกให้คนนั่งข้างเตียงผุดลุกขึ้น

 

 

“เอม...เอม” มือใหญ่เอื้อมไปเขย่าหวังจะปลุกร่างบางที่นอนเพ้อให้ตื่นจากฝัน แต่ทันทีที่สัมผัสผิวกายที่ร้อนระอุ ชะเอมก็สะดุ้งร้องอย่างหวาดผวา

 

 

“ไม่!! อย่า!!” มือเล็กปาดป่ายหวังจะปัดสัมผัสขยะแขยงออกจากตัว จนคนในห้องลุกมาดูอาการอย่างรวดเร็ว สินที่ตอนแรกจะปลุกขึ้นมาดูอาการก็ยอมถอยออกมาหนึ่งก้าว เพราะเห็นท่าไม่ดี “เอมเจ็บ ฮือ เอมเจ็บแล้วฮะพ่อ”

 

 

ทั้งสามคนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอะไรแปลกๆ จึงเงียบแล้วหยุดฟัง

 

 

“...”

 

 

ชะเอมยอมลดมือลงเมื่อสัมผัสนั้นหายไปแล้ว โอบกอดตัวเองไว้แน่นราวกับจะปกป้องตัวเองจากการทำร้าย “เอมขอโทษ ขอโทษครับ”

 

 

“...”

 

 

“พ่ออย่าตีเอม เอมเจ็บ ฮือ ฮึก... ขอโทษครับ” ริมฝีปากสะอื้นไห้ร้องครางอย่างเจ็บปวด น้ำตาไหลพราก เหงื่อก็ผุดซึมเต็มหน้าผาก “พ่อ...”

 

 

เสียงร้องไห้ครางเครือทรมานปนกับเสียงพร่ำเพ้อขอความเห็นใจดังต่อเนื่องโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา

 

 

อีกหนึ่งความจริงที่สามคนฟังแล้วต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตกใจ

 

 

หมายความว่ายังไง...

 

 

“ฮือ!!! อ๊า! ไม่!!” จู่ๆ เสียงครางเครือที่ดูเหมือนจะสงบลงก็กรีดร้องขึ้นมาอีก ทั้งสามคนสะดุ้ง คราวนี้ชะเอมตัวสั่นอย่างหนัก แขนบางเกร็งกอดร่างตัวเองแน่น “ไม่เอาแล้ว เอมเจ็บ...เจ็บจะตายแล้ว ฮึก ฮือ”

 

 

“สิน...ปลุกเอมที” ดินเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นในสถานการณ์ตึงเครียด

 

 

“พ่อครับ!” ร่างบางกรีดร้อง

 

 

“ปลุกเอมทีเหอะ...เอมกำลังทรมาน” ดินหน้าซีดพูดเสียงสั่นเครือ ท่าทางทรมานของชะเอม มันเจ็บปวดมากจนเขาทนมองต่อไปไม่ได้ “กูขอร้อง”

 

 

ภาพร่างบางนอนดิ้นทุรนทุราย...ทำให้นึกถึงอดีต เสียงแหลมกรีดร้องโหยหวน

 

 

 สินพยักหน้า

 

 

“รามมาช่วยกู” รามไม่ได้พูดอะไร เข้ามาจับตัวชะเอมที่แข็งเกร็ง ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสเย็นๆ จากมือของรามทางผิวกาย ดีที่ไม่ได้ดิ้นอย่างตอนแรกแล้วสินจึงวางใจ เนื่องจากไม่รู้จะทำยังไงให้ชะเอมตื่น จึงใช้หลังมือตบเบาๆ ที่ข้างแก้มใสที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา

 

 

“เอม”

 

 

“ยะ อย่าตีเอม...พ่อ” ชะเอมยังหลับตาแน่น

 

 

“เอม!” รามจึงใช้วิธีปลุกแบบใช้เสียงแทน พลางเขย่าไปด้วย “ตื่นเถอะ”

 

 

“ฮึก...”

 

 

“เอม!!”

 

 

 

 

 

 

จมลึกเข้าไปในความฝัน

 

พ่อหยุดตีเอมแล้ว พ่อกำลังเข้านอน...พอแล้วเหรอ

 

วันนี้คงจบแล้ว...ทั้งเหนื่อย...ทั้งเจ็บ...ทรมาน

 

ความรู้สึกล่องลอย...เหมือนกำลังจะตาย

 

ถ้าเราตายไปพ่อคงจะดีใจ...อย่างที่พ่อว่าเลย เราไม่น่าเกิดมาเลย

 

แล้วถ้าเอมตาย...

 

...คินก็คงดีใจเหมือนกันใช่มั้ย

 

 

 

 

 

 

 

“เอม!!” รามตะโกนลั่น เขาไม่ได้คิดไปเองว่าเมื่อกี้เหมือนร่างบางจะหยุดหายใจไปแวบหนึ่ง

 

 

“ราม ใจเย็นๆ มึงเป็นอะไร” สินถามเมื่อเห็นความร้อนรนผิดปกติ

 

 

“เมื่อกี้...เมื่อกี้” รามสั่นไปทั้งตัว อธิบายทั้งๆ ที่เสียงตัวเองก็สั่น “เอมไม่หายใจ”

 

 

ดินได้ยินก็ช็อคตาค้างยืนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก สินพลันผุดลุกขึ้นอังมือเหนือจมูกของร่างบางที่บัดนี้นอนนิ่ง ก่อนพรูลมหายใจเมื่อยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจแม้จะแผ่วเบามาก

 

 

“กูพูดจริงๆ...ถึงจะแค่แป๊ปเดียว แต่เอมไม่หายใจจริงๆ” ปากรามสั่นกึกๆ ไม่ใช่เพราะความหนาว

 

 

แต่เพราะหวาดกลัว...

 

 

นี่เอมกำลังฝันอะไรอยู่ รีบๆ ตื่นได้แล้ว!

 

 

“...”

 

 

“เอมตื่นสิ เอม!” รามหน้าซีด มือเรียวเขย่าอย่างบ้าคลั่ง เมื่อปลุกเท่าไหร่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากชะเอมเลย

 

 

หรือนี่คืออาการช็อคอย่างที่แพทย์กฤษณะเคยบอก

 

 

“อือ...” ในขณะที่ทุกคนทำอะไรไม่ถูก เสียงแหบๆ ดังจากปากคนนอนนิ่ง สิ่งไม่ดีที่รามกำลังคิดว่ามันจะเกิดมลายหายไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่แทนที่คือความโล่งอก

 

 

“ฮื่อ...ปวดหัว” ลืมตาขึ้นได้แป๊ปเดียวก็หลับตาลงอีกครั้ง เมื่อแสงสว่างจากหน้าต่างแล่นเข้ามาทำเอาประสาทตาแปลบปลาบ

 

 

รามกับดินยังคงยืนนิ่งอึ้งเหมือนปรับสมองไม่ทัน ไม่มีใครเคลื่อนไหว คนรู้สึกตัวคนแรกเห็นจะเป็นสิน

 

 

“เอม” เสียงทุ้มเรียกชื่อร่างบางให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง

 

 

“อือ...” ชะเอมได้ยิน แต่ยังมึนงง “ใคร...”

 

 

คนในความฝัน...

 

 

หรือคนในความจริง

 

 

สมองเบลอจนแยกแยะไม่ออก

 

 

“พวกเราเองไง” สินเอ่ยทำลายความเงียบอีกครั้ง “ปวดหัวเหรอ ตื่นขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนนะ จะได้เช็ดตัว”

 

 

“หิวน้ำ...” คนป่วยเรียกร้องเสียงแหบพร่า พยายามปรือตามองที่มาของเสียง “หิวน้ำจัง”

 

 

รามรู้สึกตัวก็ยื่นมือหยิบแก้วน้ำที่ถูกรินเตรียมไว้ แต่มือก็สั่นจนทำน้ำกระฉอกหกใส่ฟูก จนสินต้องแย่งมาถือเอง “ขอบใจ”

 

 

“ไม่เป็นไร มึงไปนั่งพักก่อนไป” สินส่ายหน้า “ดินมาช่วยพยุงเอมหน่อย”

 

 

แขนใหญ่ประคองร่างบางที่ตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อขึ้นพิงหัวเตียงแผ่วเบา

 

 

“ขอบใจนะดิน” ชะเอมเอ่ยอย่างอ่อนเพลีย กระพริบตาถี่ปรับภาพที่พร่ามัว เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าอะไรเป็นอะไร รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน

 

 

“ค่อยๆ ดื่มนะ เดี๋ยวสำลัก” สินจ่อหลอดที่ปากแห้งผาก

 

 

“อึก แค่ก!” ร่างบางปิดปากไอโขลก เมื่ออาการดีขึ้น ก็ดื่มน้ำอีกจนหมดแก้ว

 

 

“ เอาอีกไหม” เสียงทุ้มถาม แต่ชะเอมส่ายหน้าพึมพำขอบคุณอีกครั้ง

 

 

ร่างบางปรือตาเหนื่อยอ่อน เพลีย เหมือนถ้าหลับตาลงคงหลับไปได้ในทันที แต่ก็ฝืนไว้

 

 

ไม่อยากนอนเลย...กลัวความฝัน

 

 

ฝันร้ายช่างน่ากลัว

 

 

“กินข้าวกินยาก่อนนะ แล้วค่อยนอนพัก” สินเสนอ

 

 

“ไม่เอา ไม่อยากนอน” ชะเอมส่ายหน้าทันที คนไม่สบายเริ่มงอแง “ไม่อยากนอนเลย”

 

 

สินเจอแบบนี้ก็ไปต่อไม่ถูก...แต่ก็พอจะเข้าใจ

 

 

ฝันร้ายงั้นสินะ

 

 

“โอเค งั้นกินข้าวนะ จะได้กินยา รามเตรียมไว้ให้แล้ว”

 

 

ถึงจะไม่อยากกินเท่าไหร่ แต่ก็ต้องพยักหน้าจำใจยอม

 

 

กินไปได้ไม่กี่คำก็ส่ายหน้าดิกยอมแพ้ รับยามาตบเข้าปาก รามรับชามกับแก้วมาวางไว้ที่ถาดเตรียมเอาไปล้าง

 

 

"วันนี้ไปห้างกันใช่มั้ย" ชะเอมถาม

 

 

"หืม" รามครางในลำคอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเคยนัดกันเอาไว้จริงๆ รู้สึกเขาเจอเหตุการณ์หลายอย่างจนลืมไปแล้วแต่แปลกใจที่ดูเหมือนร่างบางจะยังจำได้ "เออจริงด้วยเนอะ"

 

 

"จะไปกี่โมงเหรอ" ร่างบางถามอ้อมแอ้ม อันที่จริงถามไปอย่างนั้นเอง...ก็แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้พวกรามไปไหนเลย

 

 

"พวกเราคงไม่ไปแล้วแหละ" ดินตอบแทน "เอมไม่สบายแบบนี้ จะให้พวกเราไปกันได้ไงล่ะ"

 

 

"จริงเหรอ" ชะเอมยิ้มอ่อน แต่แววตาแสดงออกถึงความดีใจ

 

 

"อือฮึ" ดินยักคิ้ว เอี้ยวตัวไปรับกะละมังน้ำอุ่นที่สินถืออยู่ "เช็ดตัวหน่อยมั้ย"

 

 

"อื้อ" ร่างบางพยักหน้า "แต่จริงๆ อยากอาบน้ำมากกว่า"

 

 

"อย่าเลย เดี๋ยวไข้ขึ้นอีกจะทำยังไง" ดินบิดผ้าจนน้ำหยดออกหมดแล้วสะบัดเล็กน้อย "เช็ดตัวไปก่อน ถ้าไข้ลดลงกว่านี้ ให้คุณหมอกฤษณะตรวจว่าโอเคแล้วค่อยอาบน้ำตอนนั้นก็ได้"

 

 

"แต่มันเหนียวตัวนี่นา" ชะเอมหน้ามุ่ยเมื่อมีคนขัดใจ ร่างกายรู้สึกหนึบหนับอึดอัดไปหมด

 

 

ดินเงียบไม่พูดอะไร มือไล้ไปตามแขนเรียว ซับที่คอ ใบหน้า ก่อนจะชุบน้ำบิดอีกครั้ง

 

 

ในใจเหม่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่

 

 

มันทำให้ดินนึกถึงสิ่งที่ไม่อยากนึก...เขาคิดว่าลืมมันไปได้แล้วแท้ๆ...แต่ความจริงไม่ใช่เลย

 

 

"ดิน" เสียงใสเรียกทำให้หลุดออกจากภวังค์ "เป็นอะไรเหรอ"

 

 

"ปะ เปล่า" บ้าจริง นี่เขาแสดงสีหน้าอะไรออกไป

 

 

        ไม่รู้ตัวเลย

 

 

        ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งโดนสายตาคมกริบมองอยู่...

 

 

        "เสร็จแล้ว" มือสีเข้มหย่อนผ้าขาวลงในกะละมัง ก่อนหันกลับไปมองชะเอมที่มองมาที่เขาเช่นกัน

 

 

        "อยากทำอะไรมั้ย นอนทั้งวันแล้วคงจะเบื่อ"

 

 

        "ฮืม" ร่างบางปรือตาพึมพำเสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง "อยากดูทีวี"

 

 

        แค่อยากได้ยินเสียง...เสียงอะไรก็ได้ที่จะทำให้เขาไม่ได้คิดว่าอยู่ตัวคนเดียว

 

 

        ดินพยักหน้าผุดลุกขึ้นเปิดโทรทัศน์ "ดูช่องไหนดี...อ้าว"

 

 

        ริมฝีปากสีเข้มเผยยิ้มอ่อน มือวางรีโมทไว้ที่เดิม กดปิดทีวีที่เพิ่งเปิดเมื่อครู่ ก่อนจะมาจัดที่นอนให้ร่างบางสบายที่สุด

 

 

        ชะเอมหลับไปแล้ว...

 

 

        ดินลูบหัวทุย ได้แต่ภาวนาให้คนป่วยหลับสบายเสียที อย่าตกอยู่ในห้วงความฝันที่แสนน่ากลัวอีกเลย

 

 

 

 

 

                     ************************Whose fault? ************************

 

 

 

 

 

"เป็นอะไรรึเปล่า"

 

 

"เป็น...เป็นอะไร กูไม่เป็นอะไรสักหน่อย" ตาคมสั่นไหวหลุบลง "คนที่เป็นคือเอมต่างหาก"

 

 

"อย่าโกหก"

 

 

"..."

 

 

"มึงเป็นอะไร ทำไมกูจะไม่รู้" เสียงทุ้มอ่อนโยน กับแขนแข็งแรงที่ดึงเขาแนบอก

 

 

ดินเบิกตา แขนสองข้างเผลอกอดตอบไม่รู้ตัว

 

 

"อือ...ทำไมมึงถึงใจดีกับกูจัง" ด้วยความสูงที่พอดีกันกับกลิ่นหอมเย็นๆ ทำให้จมูกโด่งกดลงสูดดมที่บ่ากว้างของอีกคน รู้สึกโล่งใจบอกไม่ถูก

 

 

โดยไม่รู้ว่าท่าทางอ้อนๆ นั้น ทำให้สินหมั่นเขี้ยวขนาดไหน

 

 

"ถามอะไรสมกับเป็นมึงอีกแล้ว"

 

 

คิ้วเข้มขมวด "ยังไง"

 

 

"ก็คำถามซื่อบื้อไง" สินยิ้มขำ ดินเงยหน้าตวัดมองค้อน จะยื้อตัวออกแขนแกร่งก็กดเอวไว้แนบแน่น

 

 

"แม่ง...หมดมู้ดเลย"

 

 

คินมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย...แววเศร้าหมองคู่นั้นหายไปแล้ว

 

 

"หึหึ"

 

 

"เกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ของมึงจัง" พออะไรๆ เริ่มเข้าที่ สติก็เริ่มเข้าทาง แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเขาสองคนอยู่ในท่าทางไม่เหมาะสมสุดๆ! "ฮื้อ ปล่อย"

 

 

 

สินจ้องริมฝีปากบึ้งๆ ที่เมื่อคืน 'ชิม' ไปไม่รู้กี่ครั้งกับท่าทางพยายามขืนตัวออกจากแขนแกร่งของตัวเอง บอกเลยว่าไม่สะเทือน...ถ้าเขาเอาจริง อย่าหวังเลยว่าจะดิ้นออกไปได้

 

 

ก๊อกๆๆ!

 

 

เสียงเคาะประตูทำให้คนที่กำลังดิ้นสะดุ้ง

 

 

"คุณหมอมาแล้ว" ปั่ก! "ปล่อย" ดินทุบไหล่กว้างไม่ออมแรง ดิ้นไม่ได้ก็เหลือทางเดียวคือทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย

 

 

จุ๊บ!

 

 

"ครับๆ มาแล้วครับ" สินบอกเสียงยานคาง เดินตัวปลิวปล่อยคนในอ้อมกอดให้ยืนนิ่งตาเบิกกว้าง

 

 

ถ้าหูเขาไม่ฝาดเหมือนได้ยินมันผิวปากอย่างอารมณ์ดีอีกด้วย

 

 

"อะ...อะ" ดินปากสั่นหน้าซีดสลับแดง มือเข้มตะปบปิดปากแน่น เมื่อกี้...ไอ้สิน...มัน...ในสถานที่แบบนี้

 

 

"สวัสดีครับคุณหมอ" สินยกมือไหว้คนมาใหม่

 

 

"ชะเอมเป็นยังไงบ้าง" กฤษณะถามหอบๆ ให้รู้ว่าเขารีบมาขนาดไหน

 

 

"หลับไปแล้วครับ" สินตอบ "เมื่อกี้นี้เอง"

 

 

"อ้าวเหรอ" นายแพทย์ถอนหายใจแต่ยังไม่คลายคิ้วที่ขมวด เหลือบมองดินที่ยังยืนนิ่ง "นี่เธอ...ไม่สบายรึเปล่า"

 

 

"ฮะ...ครับ?" ใบหน้าคมเข้มงง เมื่อกี้พูดอะไรนะเขาไม่ทันฟัง

 

 

"อาถามว่าป่วยรึเปล่า หน้าแดงเชียว"

 

 

"..."

 

 

"ติดหวัดจากเอมเหรอ รีบๆ ทานยาดักไว้ก่อนนะ เดี๋ยวจะยุ่งเอา" กฤษณะเตือนตามความเคยชิน เดินผ่านเข้าห้องไปเยี่ยมคนป่วยจริง โดยที่คนป่วยที่ถูกเข้าใจผิดยังยืนหน้าแดงอยู่ที่เดิม

 

 

"...หึหึ" สินขำกับคำทักของแพทย์กฤษณะ

 

 

"ฮึ้ยยย" ดินหัวฟัดหัวเหวี่ยง

 

 

ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะ ไอ้เวร! ไอ้คนฉวยโอกาส!!

 

 

"กูคิดอะไรดีๆ ออกละ" ดินผงะเมื่อสินเดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ

 

 

"ถ้าคราวหน้าทำร้ายร่างกายกูอีก" เสียงทุ้มกระซิบติดริมหู ลมหายใจร้อนเป่าทำขนลุกซู่ "กูจะเอาคืนแบบนี้แหละ"

 

 

"...!"

 

 

"เป็นการเอาคืนที่ชื่นใจที่สุดเลยว่าไหม" สินยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่ดินขบกรามหูแดงแปร๊ด

 

 

เป็นการเอาคืนที่ชื่นใจที่สุด...สำหรับมึงคนเดียวน่ะสิ!!



 



 

 

 

                      ************************Whose fault? ************************

 

 

 


 

 

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
Whose Fault ?

 

ผิด...ครั้งที่ 10

 

 

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

 

เฮือก!



 

เอาอีกแล้ว ฝันอีกแล้ว

 

 

พักนี้ฝันถึงอดีต...ฝันถึง 'เขา' บ่อยจนจำได้ทุกอณู

 

 

ความเจ็บปวดที่ได้รับในความฝัน...จริงๆ คือความเจ็บปวดในอดีตมันส่งผลมาถึงปัจจุบันได้ในยามตื่นลืมตา

 

 

ทุกสัมผัสที่เท้ากระทืบลงมาโดนตามตัว แค่นึกถึงมือบางก็ยกกอดตัวเอง ลูบตามแขนเหมือนยังหวาดผวากับความฝันที่ตกค้างจากวันวานทรมานในวัยเด็ก

 

 

ริมฝีปากอ้าหอบ หัวใจเต้นระรัว เหงื่อแตกพลั่ก อาการไข้ที่เป็นหนักดีขึ้นมากเมื่อนอนพักเต็มๆ หนึ่งวันกว่า...เหลือเพียงอาการเหนื่อยเพลีย

 

 

เลยผิดสัญญาเรื่องที่จะไปเดินห้างด้วยกันกับพวกรามเลย

 

 

ไม่ใช่แค่เขา แต่ทั้งราม สิน และดินต่างก็มาเยี่ยมชะเอม อยู่ด้วยกันทั้งวัน เช็ดตัว เสิร์ฟอาหารเสิร์ฟยา จนทั้งสามคนไม่ได้ไปไหนเลย สลับกับอาหมอที่เห็นแวะมาตรวจบ้าง พูดคุยบ้าง ไปมาระหว่างคอนโดกับโรงพยาบาล

 

 

‘อาดีใจมากเลยที่เอมดีขึ้นมากแล้ว อายังคิดอยู่เลยว่าถ้าต้องป่วยถึงขั้นแอดมิทอาคงต้องโทรบอกพี่เกษม’ เกษมยิ้ม ดวงตาฉายแววยินดี ‘แต่หายดีแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะนะ’



 

'อย่าลืมกินข้าวกินยาตามเวลาที่บอกนะ ยาใกล้หมดก็มาเอาเพิ่มอย่าให้ขาดตอนส่วนเรื่องตรวจร่างกายก็ยังเหมือนเดิม มาทุกอาทิตย์ ถึงเวลาแล้วอาจะโทรมาตาม'



 

'อีกอย่างอาต้องขอโทษที่บอกเรื่องอาการของเอมกับเพื่อนๆ โดยไม่ถามเอมก่อน อาอยากให้รู้ว่าอาทำไปเพราะเป็นห่วงและหวังดี เพื่อนทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีมาก พวกเขาเป็นห่วงหนูมาก เพื่อนอย่างนี้จงรักษาเอาไว้ให้ตลอดไปเลยนะ'

 

 

เป็นหนี้บุญคุณอีกแล้ว

 

 

ทำไมคุณลุงกับอาหมอถึงได้ดีกับเขามากขนาดนี้

 

 

ขนาดพ่อแท้ๆ ยังไม่...

 

 

ร่างบางตวัดขาลงจากเตียง เมื่อเวลาที่นัดไว้ใกล้จะมาถึง แต่ต้องหลับตานิ่งสักพักเพราะหน้ามืด

 

 

วันนี้คือวันที่ต้องไปค่ายของมหาวิทยาลัย เป็นค่ายปลูกป่าที่มักจะจัดทุกๆ ปี เพื่อเพิ่มต้นไม้สีเขียวให้กับประเทศมากขึ้นเพื่อลดโลกร้อน  เพราะเป็นกิจกรรมบังคับ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยทุกคนต้องไป ดังนั้นวันนี้นักศึกษาจะเยอะมากถึงมากที่สุด

 

 

เวลาเช็คชื่อตีห้า เวลาล้อหมุนคือตีห้าครึ่ง

 

 

ตอนนี้ตีสามห้าสิบ ทั้งๆ ที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตีสี่แท้ๆ แต่ดันตื่นมาเพราะฝันไม่ค่อยดี

 

 

ร่างบางอาบน้ำเสร็จในเวลาไม่นาน ยังรู้สึกติดขัดที่แขนขวา เพิ่งผ่านมาสองวันจะให้รอยช้ำหายเลยคงเป็นไปได้ยาก อาหมอบอกว่าน่าจะเดือนกว่าถึงจะหาย

 

 

เฮ้อ...

 

 

ชะเอมเช็คของในกระเป๋าว่าครบดี โดยเฉพาะยาโรคประจำตัวที่ห้ามลืม ก่อนยกสายสะพายกระเป๋าขนาดกลางสำหรับไปออกค่ายสี่วันสามคืนพาดบนไหล่ข้างที่ไม่เจ็บ เขาจัดกระเป๋าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สายตากวาดมองความเรียบร้อยในห้อง ล็อคประตูแล้วหันหลังเดินออกมา ไม่ลืมกล่าวสวัสดีทักทายกับลุงยามใจดีคนเดิมหน้าคอนโด

 

 

เพราะว่าวันนี้ไม่ได้ทำกับข้าวกินเองตอนเช้า จึงต้องมาหาซื้อในร้านสะดวกซื้อภายในมหาวิทยาลัยที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จะปล่อยผ่านเหมือนคนอื่นไม่ได้ เขาต้องหาอะไรก็ได้ให้ลงกระเพาะซักหน่อยจะได้กินยาหลังอาหารตามที่อาหมอบอก

 

 

ในเวลานี้ใกล้เวลาเช็คชื่อ นักศึกษาก็เดินขวักไขว่นั่งรอบ้าง ยืนจับกลุ่มคุยกันบ้าง รู้สึกแปลกตาเพราะตอนนี้ยังเช้ามืดอยู่เลย

 

 

แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกสายตาหลายคู่ที่มองมา...มันแปลกๆ

 

 

พอเขาเงยหน้ามองหาสายตาที่ว่า หลายคนรีบก้มหน้าก้มตาราวกับจะหาของบนพื้นทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรตกอยู่

 

 

"อ้าว เอม"

 

 

"ดิน" ร่างบางยิ้ม เมื่อเจอเพื่อนตัวสูงที่มายืนเลือกของในร้าน

 

 

"หาอะไรกินเหรอ"

 

 

"ใช่ ดินด้วยเหรอ"

 

 

"อืม" ชะเอมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ มีสัมผัสหยาบกร้านแตะตรงแก้ม จากนั้นมือใหญ่ก็ละไปนาบตรงหน้าผาก "อาการดีขึ้นแล้วนะ"

 

 

"ต้องขอบคุณพวกดินน่ะแหละ"

 

 

"กูไม่ได้ทำอะไรมากนี่ ไปขอบคุณรามกับสินเถอะ" ดินไล่สายตามองบนชั้นขนมปัง กินอะไรดีหว่า

 

 

"อื้ม" ร่างบางไม่เซ้าซี้ แต่ปากบางอมยิ้มเมื่อเห็นรอยแดงๆ บนหูของคนขี้เขินที่ทำเป็นบอกปัดคำขอบคุณ

 

 

เพื่อนตัวโตของเขาน่ารักจริงๆ

 

 

แขนบางลูบตามแขนที่คลุมด้วยเสื้อกันหนาวตัวหนาเมื่อเดินผ่านโซนตู้แช่เย็นที่วางนมและน้ำผลไม้เรียงรายถึงจะบอกว่าหายแล้วก็เถอะ แต่ก็เพิ่งดีขึ้นเมื่อคืนนี้เอง ยังมีอาการเพลียๆ เจออากาศเย็นหน่อยก็หนาวได้ง่ายๆ

 

 

ปึก!

 

 

"ว้าย!"

 

 

"ขะ ขอโทษครับ" ในขณะที่กำลังมองอะไรเพลินๆ เขาก็ต้องโทษความซุ่มซ่ามของตัวเองที่เดินชนคน แถมยังเป็นนักศึกษาหญิงตัวเล็กๆ ที่ตอนนี้ล้มลงนั่งร้องโอดโอยอยู่

 

 

"เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับน้อง" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลพร้อมคิ้วขมวดมุ่น แต่มือบางที่จะช่วยพยุงคนตรงหน้าชะงักเมื่อ...

 

 

เพียะ!

 

 

"จะทำอะไรคะ!" ชะเอมกุมมือที่ถูกปัดออกอย่างแรง สายตามองด้วยความไม่เข้าใจ หญิงสาวที่ล้มไม่ได้ทำอะไรเขา แต่เป็นอีกคนต่างหากที่อยู่ๆ ก็เข้ามาปัดมือเขาออกและแสดงสีหน้าแข็งกร้าวใส่เขาเหมือนเขาไปทำอะไรให้แค้นเคืองมาก่อน

 

 

"เอ่อ...ทำอะไรเหรอ? ก็จะช่วย..." ร่างบางยังงงๆ ตามสถานการณ์ไม่ทัน คนรอบข้างก็เริ่มหันมามองมากขึ้น

 

 

"ช่วยอะไรคะ ช่วยซ้ำเติมงั้นเหรอ?" เสียงใสเย้ยหยันเอ่ย ส่วนเจ้าของเสียงเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนที่ตอนนี้มองมายังเขาแบบขอโทษ

 

 

"ไม่เอาน่าริน พี่เอมเขาก็ขอโทษแล้วไง"

 

 

"แกไม่ต้องพูดอะไรเลยสา คนใสๆ อย่างแกไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครเขาหรอก โดยเฉพาะคนอย่างชะเอมน่ะนะ"

 

 

"เฮ้ยแกไปเรียกชื่อพี่เขาห้วนๆ แบบนั้นได้ไง" สาวผมสั้นน่ารักตัวเล็กนามว่าสา เขย่าแขนเพื่อนสาวตัวสูงกว่ากระซิบกระซาบหน้าเครียด

 

 

"ทำไมจะไม่ได้วะ เขารู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่าหมอนี่ทำอะไร...เขาไม่มีเกียรติให้รุ่นน้องเคารพหรือเรียกว่ารุ่นพี่หรอก จำใส่หัวสมองของแกเอาไว้" หญิงสาวผมยาวตาดุคมพูดเหมือนจะบอกเพื่อนตัวเอง แต่สายตาที่ส่งมายังชะเอมที่ยืนอึ้งอยู่ก็ราวกับจะตอกย้ำให้รู้ว่าเขาต่างหากที่เด็กคนนั้นพูดด้วย

 

 

"ไปได้แล้ว" รินลากแขนเล็กให้เดินตามไป โดยที่เด็กที่ชื่อสายังคงส่งสายตาขอโทษขอโพยมาให้

 

 

ทั้งสองคนเดินจากไปโดยที่ชะเอมยังไม่ทันได้เข้าใจอะไรขึ้นสักนิด ชาวมุงก็กระจายตัวเมื่อเหตุการณ์เงียบลงจนกระทั่งออกมาด้านนอก เจอดินยืนกินไอติมรออยู่ก็เพิ่งรู้สึกตัว

 

 

รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ ขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

'เขารู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่าหมอนี่ทำอะไร'

 

 

เขาทำอะไร...?

 

 

"เป็นไรเอม หน้าซีดๆ"

 

 

"อืม...ไม่มีอะไร" แค่เหมือนเจอพายุพัดมาลูกหนึ่งเท่านั้นเอง...แถมมาแบบไม่รู้ตัว

 

 

"อ้าว แล้วไหนล่ะของที่ซื้อ" ดินเอ่ยทักอย่างแปลกใจ ทำให้ร่างบางเพิ่งรู้ตัว

 

 

"เราลืม" ชะเอมยิ้มแหย อยากจะเขกหัวตัวเองที่มัวแต่คิดอะไรอยู่ "ดินไม่ต้องรอเรา ไปรอที่รถก่อนเลยนะ"

 

 

"โอเค" ดินโคลงศีรษะพลางเกาศีรษะ มือหย่อนไม้ไอติมที่หมดแล้วลงถังขยะ แล้วก็เดินไป ส่วนร่างบางที่ยังเลือกของในร้านสะดวกซื้อไม่ได้รับรู้ถึงแรงสั่นของมือถือในกระเป๋าเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

"อ้าว! ไปกันแล้วเหรอครับ"

 

 

"ค่ะ คันของคณะอักษรเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง" หญิงสาวใส่แว่นท่าทางเรียบร้อย เป็นคนจัดการทุกอย่างในค่ายสี่วันเต็มนี้ให้เรียบร้อย

 

 

"แต่ผมยังไม่ได้ขึ้นไปเลยนะครับ" ชะเอมพูดอย่างสงสัย ก่อนออกรถไม่ได้เช็คจำนวนคนหรืออย่างไรว่าครบหรือไม่ครบ

 

 

"ต้องขอโทษจริงๆ เราต้องรักษาเวลาน่ะค่ะ แล้วตอนนี้ก็เลยเวลารถออกแล้ว ถ้ายังไง..." คนตรงหน้าพลิกกระดาษในมือไปมา ใช้หัวปากกาไล่บรรทัดเหมือนเช็คอะไรบางอย่าง "ไปรถของคณะวิศวะก็ได้นะคะ คันต่อไปกำลังจะออกพอดี"

 

 

"...เอางั้นก็ได้ครับ" ชะเอมพึมพำเสียงอ่อยอย่างไม่มีทางเลือก เขาผิดเองแหละที่ไม่ดูนาฬิกาให้ดีว่ามันพังแถมพวกรามก็พยายามโทรหาเขาแล้วแต่เขาก็ดันไม่ได้ยิน

 

 

ให้ตายสิ

 

 

ชะเอมขยี้ผมบนหัวอย่างหัวเสียแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าใครมาเห็นจะต้องแปลกใจกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเขา แต่ลืมไป...ว่าไม่ค่อยมีคนรู้จักเขาหรอก

 

 

คิดว่าอย่างนั้นนะ

 

 

ร่างบางลากกระเป๋ามาหยุดอยู่หน้าคันรถที่ผู้หญิงคนเมื่อกี้ชี้ทางบอก ตอนนี้ด้านนอกรถไม่มีใครแล้วนอกจากเขาคนเดียว เพราะเขาเตรียมจะออกรถกัน ดังนั้นการจะเอากระเป๋าขึ้นไปบนรถได้คือเขสต้องยกเอง

 

 

ชะเอมยกกระเป๋าขึ้นชั้นสองของรถทัวร์อย่างทุลักทุเล เล่นเอาเหงื่อตก แผ่นอกบางสะท้อนหอบอย่างคนปกติไม่น่าเป็น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบสายตาแทบจะทุกคู่มองตรงมาทำเอาชะเอมประหม่า

 

 

ชะเอมเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าไม่กล้าสบตาใคร ค่อยๆ ลากกระเป๋า ผ่านที่นั่งไปทีละแถว แต่ก็ไม่พบที่ว่างแม้แต่ที่เดียว

 

 

กึก...

 

 

เขาลืมไปได้ยังไงว่าจะได้เจอคน...ที่ไม่ได้เจอมาตลอดสองวันนี้ ก็นี่มันรถคณะวิศวะนี่นา

 

 

เขาพยายามยิ้มเมื่อเห็นคินกับเรย์ทั้งๆ ที่ร่างสูงไม่แม้แต่จะชายตาแล

 

 

ก็รู้อยู่แล้วล่ะนะ...รู้อยู่แล้ว...แต่ว่าทำไมถึงเจ็บแบบนี้



 

ร่างเล็กที่มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบศีรษะ ตามข้อศอกก็แปะผ้าก๊อซ สภาพดีขึ้นมาจากวันนั้น วันที่ก่อนจะเข้าห้องผ่าตัด หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยจนตอนนี้

 

 

อาการดีขึ้นแล้วสินะ...

 

 

ชะเอมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ความรู้สึกผิดมันก็ยังติดอยู่ในใจไม่มีทางหายไป

 

 

"หวัดดีเอม" เรย์ยิ้มอ่อนให้เขา

 

 

เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำตารื้นขึ้นได้ไม่ยาก

 

 

"หวัดดีเรย์"

 

 

วันนั้น*...ขอโทษนะ*



 

ร่างบางหายใจเข้าลึก อยากจะพูดคำๆ นี้ออกไป แต่ว่า...

 

 

"แล้วคนคณะอักษรขึ้นรถคณะวิศวะมาได้ยังไง" เสียงใสโพล่งขึ้นทำเอาคนในรถมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ชะเอมมองตามที่มา มันช่างคุ้นหูเหมือนเพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่นาน และก็พบกับเจ้าของเสียงซึ่งก็คือคนๆ เดียวกับที่เจอในร้านสะดวกซื้อเมื่อเช้า

 

 

เธอคือสาวตาดุ เพื่อนของสาวตัวเล็กที่ชะเอมเผลอเดินชนจนล้มนั่นเอง แล้วถ้าจำไม่ผิดก็รู้สึกจะชื่อ...ริน รึเปล่านะ

 

 

ร่างบางไม่พูดอะไร เพราะตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าความโกรธและความแค้นเคืองที่รินมี คืออะไร

 

 

และรวมไปถึงสายตาแปลกๆ ที่มองมาทางเขาทันทีที่มาถึงมหาลัยเมื่อเช้านี้ด้วย

 

 

'เขารู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่าหมอนี่ทำอะไร'

 

 

มันจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของเรย์อย่างแน่นอน

 

 

ชะเอมทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ เพราะเขาไม่อาจแก้ไขกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต

 

 

"คะ คือว่า..."

 

 

"ในรถคันนี้ไม่มีที่นั่งว่างสำหรับนาย ถ้าจะมีก็คือตรงบันไดขึ้นลงรถโน่น" ก่อนที่เพื่อนตัวเล็กของเธอจะพูดอะไรไม่เข้าท่า รินก็ขัดขึ้นมาซะก่อน และดูเหมือนว่าสาก็อึกอักไม่กล้าพูดขึ้นมาอีก

 

 

เสียงที่รินพูดไม่ใช่เบาๆ ชะเอมคาดว่าน่าจะได้ยินกันทั้งคันรถ และรวมไปถึงคินกับเรย์ด้วย แต่ทั้งสองไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร ซึ่งทำให้ร่างบางยิ่งหน้าชาหนัก

 

 

หรือจะเปลี่ยนรถ ไปขึ้นคันถัดไปก็ได้ อย่างน้อยก็จะไม่เจอคนเหล่านี้

 

 

แต่ก็สายเกินไปเมื่อรถออกตัวแล้ว ร่างบางจำใจลากกระเป๋ากลับไปทางขึ้นเดิมที่เพิ่งผ่าน วางกระเป๋าแอบๆ ไว้ตรงมุมแล้วตัวเองก็นั่งอยู่เชิงบันไดซึ่งลมร้อนๆ ของเครื่องยนต์ตีหวนขึ้นมากระทบหน้าตลอดเวลาทำเอาคนเพิ่งหายไข้ผะอืดผะอมกันได้ง่ายๆ

 

 

ร่างบางควักยาในกระเป๋าสะพายตบเข้าปากตามด้วยน้ำ กับตามด้วยจิ้มอะไรที่ซื้อมาเข้าปากรองท้องเสียหน่อยเป็นพอ เขาไม่มีอารมณ์มากพอจะมานั่งกินข้าวชิลๆ ด้วยที่นั่งพิเศษอย่างบันไดรถหรอก

 

 

แรงสั่นสะเทือนของรถโยกไปมา ชะเอมต้องข่มตาหลับเมื่อรู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ่งรู้สึกผะอืดผะอมมากกว่าเมื่อกี้อีก ทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้หนาวอะไร แต่เขารู้สึกขนลุกจนต้องกอดตัวเอง

 

 

เขาต้องอดทนกับทั้งบรรยากาศอึดอัดภายในรถและกับสิ่งที่ตีรวนภายในร่างกาย

 

 

อีกสามชั่วโมง...กว่าจะถึงที่หมาย

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************

 

 

 

 

 

"นี่! หลบหน่อย คนจะลง!" ชะเอมสะดุ้งลืมตา เมื่อได้ยินเสียงเหนือหัว และเสียงนั้นเป็นเสียงเดิม จากรินเจ้าของเสียงสาวตาดุนั่นเอง

 

 

"ข ขอโทษครับ" ร่างบางลุกขึ้นทุลักทุเลหน้ามืดเพราะลุกกะทันหันจนต้องหาที่เกาะ มือบางไม่ลืมหยิบกระเป๋าใบใหญ่ที่ตัวเองนั่งพิงหลบมาด้วย มองคนบนรถทัวร์ค่อยๆ ทยอยเดินลงมา ชะเอมมองออกไปนอกรถก็พบว่าเป็นจุดพักรถให้นักศึกษาลงมาเข้าห้องน้ำหรือซื้อของกิน ในปั๊มแห่งนี้มีรถทัวร์จอดอยู่เต็มอย่างกับจองส่วนตัวไว้ก็ไม่ปาน

 

 

แน่ล่ะ นักศึกษาทั้งมหาลัยเชียวนะ

 

 

ร่างบางที่ยังไม่รู้สึกดีขึ้นจากอาการคลื่นไส้จะอาเจียนก่อนนอนหลับ จึงวางกระเป๋าและนั่งพักที่เดิม แม้ตอนนี้ด้านบนจะมีที่ว่างเหลือแล้วก็ตาม ยังไม่ทันได้หลับตาพักก็มีแรงสะกิดที่หัวไหล่เบาๆ เมื่อลืมตาก็เจอหน้าของใครบางคนอยู่ใกล้จนตกใจ

 

 

"...!"

 

 

"โทษทีๆ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจนะ" ร่างบางที่ผงะกระพริบตาปริบ มองร่างโปร่งหัวเราะร่วนโชว์ฟันเขี้ยวน่ารักอย่างอารมณ์ดี "แค่จะมาถามว่าขึ้นไปนั่งกับเรามั้ย อาจจะเบียดซักหน่อย แต่นายผอมอย่างนี้ไม่น่าเป็นไร แถมอีกแค่ครึ่งทางก็จะถึงแล้วด้วย"

 

 

แถมยังพูดรัวทำเอาชะเอมยิ่งงงหนัก เขาจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยรู้จักคนนี้ด้วย

 

 

"ตกลงเอาไง ไปด้วยกันมั้ย อ๊ะ!" ไม่ทันที่ชะเอมจะถอยหลังหนีใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้อีกรอบ ก็มีคนมาช่วยเขาซะก่อน โดยมีมือใหญ่ของใครบางคนดึงคอเสื้อของร่างโปร่งออกไป

 

 

"ทำอะไรน่ะเจ้าบ้า" คนตัวสูงยกมือเขกศีรษะทุยดังป๊อก แต่ดูเหมือนคนโดนทำร้ายจะหนังหนา ไม่รู้สึกอะไรแถมยังทำหน้าทะเล้นใส่อีก

 

 

"ก็~" เจ้าตัวยิ้มเผล่ ยกนิ้วจิ้มกัน ท่าทางน่าหมั่นไส้สำหรับร่างสูงเป็นอย่างมาก "ชวนชะเอมไปนั่งกับเราไง นั่งคนเดียวเหงาจะตาย"

 

 

"ถามฉันรึยัง" อีกคนว่าเสียงนิ่ง แต่ถ้าคนที่รู้จักจะรู้ว่าหน้านิ่งๆ ไม่ได้โมโหหรืออะไร เพียงแค่ถามเฉยๆ จริงๆ

 

 

"ไม่ถาม เพราะนายอนุญาตอยู่แล้ว"

 

 

"หึ" ร่างสูงส่ายหน้ากับหน้ายิ้มแป้นแล้น ก่อนขายาวก้าวเดินออกไปนอกรถ ขี้เกียจจะเถียง

 

 

ชะเอมที่ยังอึ้งๆ มองสองคนคุยกันอย่างเงียบๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร

 

 

"คือ..." กว่าจะง้างปากขึ้นพูด ส่งเสียงออกไปแค่คำเดียวก็เรียกความสนใจของร่างโปร่งได้ "เรารู้จักกัน...เหรอ?"

 

 

"อะ อ้าว อะไรกัน" ร่างโปร่งทำหน้างง แต่พอเห็นหน้าชะเอมสงสัยอย่างจริงจังไม่ได้เสแสร้งก็อดถอนใจไม่ได้เขารู้จักร่างบางอยู่ฝ่ายเดียวเหรอ "ก็ฉันเป็นเพื่อนคินไง อย่างน้อยก็น่าจะคุ้นๆ หน้าบ้างสิ"

 

 

"...ขอโทษนะ" ชะเอมเม้มปากรู้สึกผิดที่ทำคนอารมณ์ดีหน้าหงอย เขาไม่ค่อยได้สังเกตด้วยสิว่าเพื่อนคินมีใครบ้าง หน้าเป็นยังไง นอกจากเรย์ที่ลือกันเข้าหูบ่อยๆ

 

 

และผิดคาดมากที่คนนิ่งขรึมอย่างคินจะมีเพื่อนน่ารักๆ อย่างคนตรงหน้า บุคลิกช่างแตกต่างกันคนละขั้ว

 

 

"เอาเถอะ ฉันชื่อตาล ส่วนไอ้คนที่เพิ่งเดินไปเมื่อกี้ก็อยู่กลุ่มเดียวกัน ชื่อเอก ถึงจะหน้านิ่งๆ แต่ก็กวนส้นไม่น้อยเลยล่ะ" ตาโตกระพริบปริบกับการเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วราวกับเมื่อกี้ร่างโปร่งแกล้งสลดยังไงยังงั้น "อ้อยังมีเพื่อนผู้หญิงอีกคนถ้าเจอจะแนะนำให้รู้จักนะ คนเริ่มกลับมาแล้ว...เอาไงๆ ไปนั่งข้างบนกับฉันถึงจะเบียดหน่อยแต่ก็สบายกว่านั่งพื้นแข็งๆ นะ"

 

 

ชะเอมเหลือบมอง นักศึกษาหลายคนเริ่มเดินมาทางนี้

 

 

ถ้าไปกับ...ตาล ร่างโปร่งต้องถูกมองไม่ดีด้วยแน่ๆ ยิ่งเฉพาะคินกับเรย์อาจจะเข้าใจว่าเขาพยายามเข้าใกล้เพื่อนของตัวเองเพื่อจะทำเรื่องไม่ดีอีกรึเปล่า ถึงชะเอมจะยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หลายคนพูดกัน บวกกับสายตาที่มองที่เขาแปลกๆ จะใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อนรึเปล่า แต่ในใจร่างบางก็ฟันธงไปเกือบร้อยเปอร์เซนต์ว่าใช่

 

 

ถ้างั้นเขา...

 

 

"ไม่ดีกว่า เราไม่อยากรบกวนขนาดนั้นหรอก ยังไงเราก็ไม่ใช่เด็กคณะนี้ด้วย"

 

 

"ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ฉันไม่ซีเรียสนายจะซีเรียสทำไม" ตาลพูดตามที่คิด ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

 

 

โป๊ก!

 

 

"เขาไม่ไปแล้วจะไปบังคับเขาทำไม" มือคู่เดิมที่เขกหัวตรงที่เดิมอย่างแม่นยำ ทำเอาตาลที่ยืนตื๊อไม่เลิกกุมหัวจริงๆ มันเจ็บมากเลยนะ

 

 

"อูย...อะไรกันเล่า" ตาลลูบหัวยื่นปากมุบมิบ นี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ "เฮ้ยเดี๋ยวปล่อยก่อน ฉันยังไม่ได้ไปซื้อของกินเลย อยากกินนมเย็น!"

 

 

ร่างโปร่งโวยวายเมื่อมือใหญ่จะลากเขาขึ้นรถไปพร้อมกัน

 

 

"รถใกล้จะออกแล้ว ไปหาซื้อกินตอนถึงนู่นเอา"

 

 

“ที่นู่นมันจะไปมีขายได้ไง บ้านนอกจะตาย”

 

 

“เหรอ” เอกพยักหน้าไม่มีความเห็นใจสักนิด “งั้นกลับมาจากค่ายค่อยกิน”

 

 

“โหย มันอีกตั้งสี่วันเลยนะ นายอยากให้ฉันขาดใจตายหรือไงเอก!”

 

 

“แค่สี่วันไม่ตายหรอก รู้จักอดซะบ้าง” ร่างสูงส่ายหน้าเอือมระอาคนเสพติดความหวาน “ไม่อยากแก่ตายรึไง...ไปได้แล้ว”

 

 

"แต่ฉันอยากกินตอนนี้อ่ะ...อยากกินตอนนี้! ปล่อยน้า" ตาลดิ้นยื้อ

 

 

เอกไม่สนใจเสียงโวยวายก่อนลากคอเสื้อร่างโปร่งขึ้นรถไป ปรายตามองสบกับตาโตตอนเดินผ่าน ชะเอมผงกหัวขอบคุณที่มาช่วยพูดให้ เพราะความตื๊อของตาลทำเขาลำบากใจมาก และดีที่เหมือนเอกจะเข้าใจ

 

 

"เรียกร้องความสนใจเหรอ" ไม่ทันได้คิดอะไร เสียงใสของหญิงสาวคนเดิมก็ดังกระทบหู

 

 

เอมไม่พูดอะไร ยืนตัวลีบอยู่พื้นที่ว่างข้างคนขับเหมือนกับตอนที่เพิ่งมาถึงจุดที่พักรถ ให้คนที่เริ่มมาเยอะขึ้นเดินทยอยขึ้นไป เพราะได้เวลารถกำลังจะออกวิ่ง

 

 

"ไม่เอาน่าริน ทำไมเธอถึงชอบพูดจาแบบนั้นกับพี่ชะเอมจัง" สาที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเบาๆ เตือนเพื่อน ซึ่งรินแค่ปรายตามองและพ่นลมจมูกอย่างไม่ชอบใจ ก่อนเดินขึ้นบันไดรถไป

 

 

"ขอโทษแทนรินด้วยนะคะ" ร่างเล็กบอบบางก้มหัวพร้อมส่งสายตาขอโทษ ชะเอมยิ้มอ่อนมองตามคนที่วิ่งขึ้นบันไดไป

 

 

ถึงจะมีคนพูดจาใจร้ายใส่...แต่ก็ยังมีคนที่ดีกับเขาอยู่

 

 

ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งเมื่อรถเริ่มเคลื่อน ยิ่งเจอกับอากาศเย็นของแอร์ สลับอากาศร้อนจากภายนอกและจากเครื่องยนต์ตีหวนชวนเวียนหัว อาการเพลียๆ ก็เหมือนจะกลับมาไม่สบายอีกรอบ

 

 

วันนี้มันวันอะไรกัน...เหนื่อยชะมัด

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************





ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2



ต่อจากด้านบน




 

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มาถึงจุดหมาย

 

 

นักศึกษาหลายคนเดินกันมากมายเข้าที่พัก  หลายคนช่วยกันยกสัมภาระ ชะเอมเป็นหนึ่งในนั้น

 

 

ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากจากอาการเวียนหัวคลื่นไส้ก็เหลือแค่ปวดหัวนิดหน่อย อาจเพราะได้กินยาและนอนพัก

 

 

"พี่ช่วยนะ" ร่างบางพูดกับน้องปีหนึ่งคนนึง ที่กำลังยกกระเป๋า

 

 

ชะเอมเริ่มเรียนรู้ที่จะพูดจากับคน เพราะหลังจากนี้เขาต้องเจออีกเยอะ ชีวิตเขาไม่ได้มีแค่คินอีกต่อไป

 

 

ความจริงคือเขาไม่มีใครแล้ว

 

 

'ช่วงนี้ลุงต้องไปติดต่องานที่ต่างประเทศหลายเดือนเลย ยังไงช่วงนี้เอมต้องดูแลตัวเองไปก่อนนะ ขาดเหลืออะไรก็ถามอากฤษณะ ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องห่วงลุงจะโอนเข้าให้ทุกเดือน*...แล้วลุงจะโทรมานะ**'*



 

โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาตอนเย็นเมื่อวานทำให้ชะเอมยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง พยายามปลอบใจว่าลุงเกษมแค่ไปทำงานเดี๋ยวก็กลับมา

 

 

ไม่เป็นไร*...ไม่เป็นไร*



 

แต่ในบางครั้งหัวใจก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะรับความรู้สึกเจ็บปวดได้ไหว

 

 

"...เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ หนูยกเองได้" น้ำเสียงกลัวๆ ที่ชะเอมได้แต่เข้าใจว่าตอนนี้ใครๆ ก็รู้สึกกลัวเขากันไปหมดแล้ว

 

 

เพราะว่าเขาทำให้เรย์โดนรถชน...เลยกลัวอย่างนั้นเหรอ

 

 

...ตอนนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจ

 

 

...ไม่มีใครเข้าใจเขาเลยสักคน

 

 

ร่างบางก้มมองมือตัวเอง ยังไงมือนี้ก็ทำร้ายคนมาแล้ว จะย้อนกลับไปก็ไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความผิด

 

 

...อยากให้คนอื่นทำดีด้วย เราก็ต้องทำดีให้ก่อน

 

 

ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ

 

 

"น้องครับ พี่ช่วยนะ" ชะเอมพยายามไม่สนใจน้องคนเมื่อกี้ เห็นอีกคนกำลังยกกระเป๋าหลายใบเลยเดินเข้าไปถาม เป็นผู้ชายตัวสูงกว่าเขาอีก

 

 

"ไม่เป็นไรพี่ชะเอม" ร่างบางสลดเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ ร่างสูงโบกมือ "กระเป๋าของพี่ก็ใหญ่อยู่แล้ว จะมาช่วยผมทำไม ตัวแค่นี้ยกไหวเหรอ"

 

 

"เอ๊ะ...ไหวสิ ของพี่กระเป๋าลาก ไม่ต้องยกซักหน่อย" ชะเอมลืมค้านที่โดนดูถูกเพราะตัวเล็ก มือบางพยายามจะคว้ากระเป๋าเป้ของใครไม่รู้ออกจากไหล่กว้าง แต่ก็วืดเมื่อร่างสูงเบี่ยงไหล่ออก

 

 

"ถ้าจะถือเอานี่ไปแทนละกันพี่" ตุ๊กตาหมาสีครีมตัวพอดีสอดเข้าอ้อมแขนบาง ตาโตของชะเอมวาววับ ริมฝีปากบางแย้มยิ้ม ร่างสูงมองอยู่ก็หัวเราะหึชอบใจ

 

 

"น่ารักจัง...ของใครเหรอ"

 

 

"ของผมเองอะ เวลานอนต้องมีอะไรกอด ไม่งั้นนอนไม่หลับ"

 

 

"จริงเหรอ เหมือนเด็กเลย" ชะเอมหัวเราะคิก รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ได้คุยกับใครบางคน แต่ร่างสูงที่มองอยู่อยากจะบอกว่าร่างบางที่ถือตุ๊กตาตอนนี้ต่างหากที่เหมือนเด็ก

 

 

"จริงสิ น้องชื่ออะไร พี่ยังไม่รู้เลย"

 

 

"ผมชื่อติม"

 

 

"ตินเหรอ"

 

 

"ติม ไอติมอะครับ"

 

 

"อ๋อๆ" ชะเอมพยักหน้าหงึกหงัก จะบอกว่าชื่อก็น่ารักเหมือนกัน แต่ลืมไปว่าน้องเป็นผู้ชายถ้าได้ยินอาจจะไม่พอใจก็ได้ เลยได้แต่เก็บไว้ในใจแทน

 

 

"แล้วพี่จะไม่บอกชื่อกับผมมั่งเหรอ"

 

 

"เอ๊ะ...ก็เมื่อกี้" ชะเอมงง เหมือนเขาได้ยินคนตรงหน้าเรียกชื่อเขาแล้วนี่นา ก็นึกว่ารู้จักกันแล้ว หรือว่าหูฝาดหว่า

 

 

เผลอคิดไปว่าจะมีแต่คนรู้จักเขา...เพราะข่าวลือหนาหู แต่ลืมไปว่าบางคนอาจจะไม่ได้สนใจก็ได้

 

 

คนตัวเล็กเกาแก้มใสแก้เขิน "เอ้อ พี่ชื่อ..."

 

 

"ฮะๆ"

 

 

จู่ๆ ไอติมก็หัวเราะจนชะเอมสะดุ้ง ถึงเสียงจะไม่ดังมากแต่ก็เรียกสายตาจากรอบข้างหันมามองเขาทั้งสองคนได้

 

 

"ปะ เป็นอะไรเหรอ" ไอติมยังคงกลั้นขำในลำคอ แววตาคมประกายระริกมองหน้ารุ่นพี่ตัวเล็กที่เลิ่กลั่กถามไถ่อาการเขาเสียงเบาเพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจอย่างเป็นห่วง

 

 

"ไม่มีอะไรครับ"

 

 

"แล้วเมื่อกี้หัวเราะอะไรอะ"

 

 

"ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไปเหอะครับ" ร่างสูงโบกมือราวกับบอกว่าอย่าใส่ใจเลย ขายาวก็เดินลิ่วไปไม่สนใจสายตาที่จับจ้องไปที่ตัวเองโดยเฉพาะผู้หญิง ทำให้ชะเอมที่ถูกทิ้งยืนไว้ทำหน้าสงสัยไม่หาย เจ้าตัวรีบก้าวเร็วๆ จนมายืนข้างกายร่างสูงได้

 

 

"เดี๋ยวก่อนติม...เมื่อกี้หัวเราะอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้เลย" ชะเอมตีหน้าขึงขังน้ำเสียงจริงจังซึ่งไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย

 

 

"คำสั่งของรุ่นพี่เหรอครับ" ติมถามแต่ตายังคงมองไปข้างหน้า ทำให้ร่างบางเงียบก็คำถามนั้น

 

 

เคยได้ยินว่ามีหลายคนเหมือนกันที่ไม่ชอบระบบรุ่นน้องต้องทำตามคำสั่งของรุ่นพี่

 

 

หรือว่าร่างสูงก็เป็นคนส่วนนั้น

 

 

"...ก็เปล่า" ชะเอมอุบอิบ ไม่ได้ตั้งใจจะใช้น้ำเสียงที่ถูกมองว่ารุ่นพี่สั่งรุ่นน้องซักหน่อย โดยหารู้ไม่ว่าไอติมแอบมองใบหน้าหงอยๆ ก็อดหัวเราะขึ้นมาอีกไม่ได้

 

 

เปลี่ยนสีหน้าบ่อยจริงๆ

 

 

"หัวเราะอีกแล้ว" ชะเอมตาโต เขาได้คำตอบแล้ว "นั่นไง อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ติมหัวเราะพี่"

 

 

"รู้แล้วจะถามทำไมครับ" ร่างสูงยักไหล่ ยิ้มสบายๆ

 

 

"พี่น่าตลกเหรอ" ชะเอมมุ่นคิ้ว คิดไม่ตก เขาทำอะไรให้หัวเราะหว่า ก็ไม่มี...

 

 

"ผมขำเพราะพี่ชะเอมทำตัวน่ารักต่างหาก" ชะเอมตาโตอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำตอบคาดไม่ถึง

 

 

"พี่ไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อย" ร่างบางค้านเสียงใส

 

 

"ผู้ชายก็น่ารักได้ครับ" ร่างสูงบอกตาวับ ก็คนข้างๆ เขานี่ไง นิสัยน่ารักน่าคบ ไม่เห็นเหมือนที่เขาว่ากันซักนิด

 

 

แถมร่างบางก็ตรงสเป็คที่เขาชอบเลย



 

ชะเอมยู่ปากเงียบไปเพราะไม่อยากเถียง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอาอากาศเย็นๆ ที่รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เข้าปอดทำให้รู้สึกสบายใจมาก

 

 

สายตาเหลือบมองหน้าคนเดินข้างๆ

 

 

การเริ่มต้นคุยกับใครคนใหม่ก็รู้สึกไม่เลว



 

โดยไม่รู้ตัวว่าทั้งสองคนที่เดินเคียงข้างคุยหัวเราะต่อกระซิกกันกำลังถูกจับจ้องโดยสายตาสองคู่

 

 

หนึ่งสายตาสมเพช อิจฉา ริษยา

 

 

และอีกหนึ่งสายตาคมกริบ ที่คุกรุ่นด้วยอารมณ์ที่ไม่มีใครคาดเดา

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************

 

 

 

 

 

พลั่ก!

 

 

"โอ๊ะ!" ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ถูกร่างสูงใหญ่กว่าชนก็เซแถ่ดๆ ไปอีกทางแต่ดีที่ทรงตัวไว้ได้ทัน ไม่งั้นมีล้มหน้าคว่ำเป็นแน่ยังไม่ทันหันไปมองเสียงทุ้มก็ดังขึ้นมาก่อน

 

 

"ขอโทษครั...อ้าว คุณนี่เอง" เสียงทุ้มเอ่ยระคนแปลกใจ

 

 

"นี่มึง...! มานี่ได้ไง" ร่างโปร่งตาโต

 

 

"ก็ผมเป็นนักศึกษาที่นี่ จะอยู่ที่นี่มันแปลกตรงไหนไม่ทราบ"

 

 

"เห็นกิริยาหยาบคายไม่สมกับเป็นคนมีการศึกษา เลยไม่คิดว่าจะเป็นนักศึกษาน่ะสิ...แถมดันซวยมาอยู่ที่เดียวกันอีก เวรกรรมแท้ๆ"

 

 

เสียงคุ้นเคยที่โต้เถียงกับรุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักกันทำให้ชะเอมชะโงกหน้าไปมอง ปากที่จะเอ่ยคำขอโทษแทนกลายเป็นประหลาดใจ

 

 

"อ้าว เอม!/ราม" ไม่แค่ชะเอมที่ตาโต แต่ตาเรียวของรามก็เบิกมองเหมือนตกใจนิดๆ มองสลับกับใบหน้าหล่อชวนหมั่นไส้ของคนข้างๆ

 

 

"รู้จักกันเหรอ" ร่างบางยิงคำถามที่สงสัย

 

 

"ไม่รู้จัก/ไม่รู้จักครับ"

 

 

"อ้าว แต่เมื่อกี้เห็นคุยกัน" ชะเอมมองหน้าทั้งสองงุนงง "ตกลงว่าไม่รู้จักกันเหรอ" ถามไม่ได้คำตอบเลยมองหน้าดินกับสินที่ยืนอยู่ด้วยกันแทน และทั้งคู่ก็พร้อมใจส่ายหน้า

 

 

"งั้นราม นี่ติม ไอติมนะเป็นน้องปีหนึ่ง ส่วนติมนี่รามเพื่อนพี่เอง" ชะเอมแนะนำทั้งสองคนที่มองหน้าแทบจะกินเลือดกินเนื้อให้รู้จักกัน ร่างสูงกว่าเบือนหน้าออกไม่พูดอะไรที่ควรพูดอย่าง 'ยินดีที่ได้รู้จัก' เพราะแน่นอนก็เขาไม่ได้ยินดีซักนิด

 

 

"..."

 

 

"เอ่อ..." เพื่อนอีกสองคนที่ยืนเงียบมองใบหน้ามนที่เหงื่อตก นี่ขนาดไม่รู้จักกันมาก่อนนะเนี่ย ทำไมมองตาอย่างกับแค้นกันตั้งแต่ชาติปางก่อน

 

 

"ผมไปเก็บของก่อน ขอตัวนะครับ" ติมไม่อยากสนทนาอะไรกับคนที่เพิ่งเจอมากไปกว่านี้แล้วจึงเดินเลี่ยงออกไป โดยไม่ลืมหันมาบอกชะเอมก้มหัวให้สินกับดิน

 

 

หน็อยมึง ไอ้ปีหนึ่ง...อายุน้อยกว่ากูแท้ๆ แล้วดูมันทำ



 

รามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไอ้เด็กเวรที่เพิ่งเดินผ่านหน้าเขาไป ถึงจะหน้าหล่อและตัวโตกว่ายังไงแต่ก็ไร้สัมมาคารวะสิ้นดี

 

 

ไม่ชอบหน้ามันเลย*...!*



 

"ราม เป็นไรมั้ย" สัมผัสที่แขนทำให้รู้สึกตัว เห็นสายตาเป็นห่วงก็ทำให้รามยิ้มแหย

 

 

"เอ้อ...โทษที ไม่เป็นไร"

 

 

"มึงรู้จักน้องคนเมื่อกี้มาก่อนเหรอ" ดินขมวดคิ้วมองไปทางที่ร่างสูงของปีหนึ่งเพิ่งเดินไป

 

 

รู้สึกคุ้นๆ หน้ายังไงบอกไม่ถูก...แถมตอนที่เอมแนะนำชื่อของเด็กนั่น...



 

"ไม่ว่ะ" รามตอบไม่สบอารมณ์ พานนึกไปถึงเหตุการณ์ชวนโมโหอีกครั้ง "ไม่รู้จัก แต่กูเคยเจอมันก็แค่นั้น"

 

 

สินมองหน้าราม แค่มองเส้นเลือดที่ปูดตรงขมับก็ร้องออ "มิน่าล่ะ มึงกับน้องเขาถึงดูไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่"

 

 

"เออ อย่าให้เล่า" ยิ่งคิดยิ่งโมโห รามพ่นลมหายใจแรงๆ

 

 

ความบังเอิญนี่ช่างเฮงซวย

 

 

“หรือจะเป็นเวรกรรมของกูวะ” รามขมวดคิ้วพึมพำ

 

 

"เออๆ ก็อย่าทำให้มันต้องเสียบรรยากาศเลยว่ะ เดี๋ยวสี่วันนี้ก็ต้องเจอกัน คุยกัน ทำงานด้วยกัน" สินเตือน ดินพยักหน้าเห็นด้วยและปัดความคิดเมื่อกี้ออกไป

 

 

ถ้ามันไม่ถูกกับเพื่อนเรา...มันจะเป็นใครก็ช่างเหอะ



 

ชะเอมที่ยืนฟังอยู่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่ารามกับติมจะดูไม่ถูกกัน

 

 

"รามไม่ชอบน้องติมเหรอ" ร่างบางซึม ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งได้รู้จักกับติมแท้ๆ แต่ดูรามก็ไม่ค่อยชอบน้อง

 

 

"เราเพิ่งได้รู้จักกับน้องเขาเมื่อกี้นี้เอง น้องติมเป็นคนดีนะ"

 

 

รามก็เป็นเพื่อน...ติมก็เป็นน้อง

 

 

ทั้งคู่ไม่ชอบหน้ากันแล้วคนกลางอย่างเขาจะทำยังไงดี

 

 

"อะ เอ่อ ก็ไม่ใช่...ว่าไม่ชอบมัน...เอ๊ย น้องมันหรอก แค่เคยเจอกันแล้วก็มีปากเสียงกันนิดหน่อย" รามเหงื่อตก

 

 

"ถ้างั้น...ครั้งหน้าก็คุยกันดีๆ ได้ใช่ไหม" ชะเอมยิ้มออก

 

 

"เอ่อ ...ดะ ได้แหละ" ...มั้ง

 

 

รามกลอกตา

 

 

จะให้คุยดีๆ กับมันเนี่ยนะ!? ให้ออกลูกเป็นวัวยังง่ายกว่าเลย

 

 

"อื้ม อย่างนั้นก็ดีนะ" ร่างบางโล่งใจ

 

 

"ว่าแต่ว่าเอมเถอะ...เมื่อเช้ามายังไง" รามเปลี่ยนเรื่อง

 

 

พูดเรื่องนี้ดินก็นึกได้ "เออว่ะ เอมกูขอโทษนะ เมื่อเช้าจะโทรไปบอกแต่..."

 

 

"ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นไรเลยดิน ความผิดเราเอง ไม่ดูนาฬิกา แถมเราไม่ได้ยินเสียงมือถือด้วย" ชะเอมส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของดิน ก่อนหันไปตอบคำถามราม "นั่งรถของคณะวิศวะมาอ่ะ มีคนจัดให้ไปนั่งนั่น"

 

 

"..." ไม่มีใครพูดอะไร ตอนนี้นักศึกษาหลายคนทยอยไปเก็บสัมภาระของตัวเองในที่พักที่จัดไว้ให้ จึงเหลือคนอยู่ไม่มากตรงลานกว้าง ดังนั้นตอนนี้จึงเงียบมาก

 

 

"พวกเรารู้แล้วนะ" สินพูด ตอนแรกชะเอมยังไม่ค่อยเข้าใจว่ากำลังพูดเรื่องอะไร แต่ทันทีที่ประโยคต่อไปถูกเอ่ยขึ้น "อย่าไปคิดมากเรื่องข่าวลือนั่นเลย"

 

 

จู่ๆ น้ำตาจากไหนก็ไม่รู้รื้นขึ้นมา

 

 

"รู้แล้วเหรอ" เสียงใสสั่นเครือ "พวกนายเกลียดเราแล้วรึเปล่า"

 

 

"พูดบ้าอะไร" ดินว่าอย่างใจหาย ในยามนี้ไม่ว่าใครเห็นสีหน้าขาวซีดของชะเอม ก็รู้สึกแบบนี้กันทั้งนั้น

 

 

สงสารจับใจ

 

 

"นั่นสิ จะไปเกลียดได้ยังไง" รามบอก

 

 

"มันคือเรื่องจริงนะ" ชะเอมพูดแทรก ในใจหวาดกลัว

 

 

กลัว...ที่จะโดนเกลียด

 

 

"ที่ทุกคนได้ยินมา..." สายตาที่มองมาทำให้ร่างบางสูดลมหายใจเข้าแม้มันจะสั่นแค่ไหน หัวใจเต้นรัวแค่ไหนเขาก็ตัดสินใจที่จะพูด "เรื่องที่เราทำให้เรย์โดนรถชน มันคือเรื่องจริง"

 

 

ความเงียบที่เกิดขึ้นนานมากในความรู้สึก มือไม้สั่นไม่รู้จะวางไว้ไหนกำชายเสื้อแน่น ยิ่งไม่ได้ยินใครพูดอะไรใจมันยิ่งวูบโหวง

 

 

ถูกเกลียดแล้วใช่มั้ยนะ

 

 

สมควรแล้วล่ะ...

 

 

"นายทำจริงๆ เหรอ" สินเอ่ยทำลายความเงียบ

 

 

"เฮ้ย นายพูดบ้าอะไรวะ" ดินขึ้นเสียงให้กับคนถามคำถามไม่เข้ากับบรรยากาศ แต่สินเพียงปรายตามองให้ดินเงียบ

 

 

"ฉันถามนาย เอม ...นายทำจริงๆ หรือเปล่า ตอบมาตรงๆ"

 

 

ชะเอมมองตาคม ไม่รู้ทำไมแต่มันเป็นแววตาที่หลบเลี่ยงไม่ได้ ร่างบางสูดลมหายใจ ก่อนจะยิ้ม

 

 

เป็นรอยยิ้มที่แย่ที่สุด

 

 

"อื้ม" มือยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบหน้า ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่ติดตาไม่อาจลืมเลือน วินาทีที่เขาพลั้งมือเกือบจะ 'ฆ่า' คน "ตะ...แต่ ฮึก เราไม่ได้ตั้งใจนะ เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ"

 

 

"..."

 

 

"เราไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเลย" ร่างบางสะอื้น " เรากลัวมาก...กลัวมากเลย"

 

 

ทั้งสามคนยืนฟังเงียบ ได้แต่มองภาพที่ซ้อนทับกับวันที่ร่างบางไม่สบายร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างหนักไม่พูดอะไรเลยสักคำ

 

 

เพราะสาเหตุนี้เองสินะ

 

 

"แต่ตอนที่ได้ยินว่าเรย์ปลอดภัยแล้ว เราก็โล่งอกมากๆ เลย" ชะเอมอธิบายตัวสั่น ไม่รู้เพราะอะไร ได้แต่หวังว่าเพื่อนจะรับฟังและไม่เกลียดตัวเองไปมากกว่านี้ "เราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นจริงๆ นะ"

 

 

"พอแล้ว" ร่างบางเบิกตากว้าง จู่ๆ ความอบอุ่นโอบล้อมรอบตัวเมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน "ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว"

 

 

"...ราม"

 

 

"เราเชื่อที่เอมพูดนะ" เสียงของรามที่ดังข้างหูยิ่งทำให้น้ำตาไหล สัมผัสมือใหญ่ของดินยกลูบหัวทุยเบาๆ ปลอบส่วนสินยกยิ้มบางๆ "ไม่มีใครเกลียดเอมลงหรอก”

 

 

“...”

 

 

สัมผัสลูบแผ่วเบาที่แผ่นหลังบางคอยย้ำคำพูดของราม “ไม่มีเลย"

 

 

"...ฮึก จริง...เหรอ"

 

 

"อืม"

 

 

“จริงๆ นะ” แขนบางกอดตอบแน่นระบายความอัดอั้นทั้งหมดที่มี

 

 

ความรู้สึกผิดและความอึดอัดที่ติดอยู่ไม่มีใครช่วยระบาย



 

ในวันนี้เขาได้ปลดปล่อยมันออกไปแล้ว



 

"ขอบคุณ"

 

 

“...”

• 

• 

• 

• 

• 

“ขอบคุณ”



 

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2






Whose Fault ?

 

ผิด...ครั้งที่ 11

 

 

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

 

รู้สึกตาร้อนๆ

 

 

สงสัยเป็นเพราะว่าร้องไห้เมื่อกี้แน่เลย...อา น่าอายชะมัด ร้องไห้ต่อหน้าสามคนนั้นตั้งสองครั้งแล้ว ถึงครั้งแรกจะไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะไม่สบายก็เถอะ

 

 

แต่ว่าก็อายอยู่ดีอะ

 

 

เป็นผู้ชายแท้ๆ

 

 

ดูเหมือนจะมีคนอ่านใจเขาออกจึงยื่นมือมาลูบหัวสองที ให้ตาย

 

 

"ไม่เห็นเป็นไร ร้องไห้แล้วสบายใจขึ้นมั้ยล่ะ" ดินเลิกคิ้ว

 

 

ร่างบางพยักหน้ายิ้ม รู้สึกเขินๆ ยังไงชอบกล "เด็กดี"

 

 

"เดี๋ยวสิ เราอายุเท่าดินนะ" ชะเอมทำหน้ามุ่ย ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้วยกันได้ยินก็หัวเราะ

 

 

เพียะ!

 

 

"ทำอะไรของมึง" ดินตีเข้าให้กับมือปลาหมึกที่ลูบเอวเขา ไม่ดูสถานการณ์เอาซะเลย

 

 

"อยากให้รางวัลมึง" สินยิ้มสะบัดมือที่โดนพิฆาตเบาๆ เอ่ยคำที่รู้ความหมายกันแค่สองคน

 

 

มีแค่สินเท่านั้นที่รู้ว่าแม้ภายนอกดินจะเป็นคนหยาบคาย แต่ข้างในก็ใส่ใจคนอื่นมากกว่าที่คิด นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาชอบคนๆ นี้ยังไงล่ะ

 

 

ดินขมวดคิ้วขึง แต่ไม่อาจซ่อนหน้าแดงของตัวเอง ก็ดูมันส่งสายตาไม่ปิดบังเลยแม้แต่นิดเดียว "ถามกูรึยังว่าอยากได้มั้ย"

 

 

"ไม่เป็นไร มึงไม่อยากได้ แต่กูอยากให้"

 

 

"ไอ้ห่า"

 

 

"เขินแรงอีกแล้ว"

 

 

"เขินเชี่ยไร...!"

 

 

"เอาล่ะค่า ทุกคนฟังทางนี้นะค้า ขอความร่วมมือนิดนึงนะค้า" เสียงผู้หญิงที่ถูกขยายผ่านเครื่องมือที่เรียกว่าโทรโข่งดังก้องทั่วลานกว้าง เรียกความสนใจจากนักศึกษาที่ยืนเกาะกลุ่มวุ่นวายกระจายตัวส่งเสียงจอแจได้เป็นอย่างดี

 

 

"เอาล่ะค่ะ เวลาไม่คอยท่านะคะ ดิฉันเป็นตัวแทนในการดำเนินการกิจกรรมในสี่วันนี้ ชื่อพาค่ะ อยู่ปี3 ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" เด็กสาวใส่แว่นดูท่าทางเรียบร้อยยิ้มเล็กน้อยรับเสียงปรบมือ คนชื่อพาเป็นคนเดียวกับที่จัดการเรื่องขึ้นรถที่ชะเอมเจอก่อนหน้านี้ เพิ่งรู้ว่าอยู่ปีเดียวกัน ไม่เห็นคุ้นหน้าเลย

 

 

พามองไปรอบๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบเพราะทุกคนให้ความร่วมมือในการตั้งใจฟัง ก่อนจะพูดต่อ "กิจกรรมในช่วงเช้าวันนี้จะไม่มีอะไรมากค่ะ แค่ให้นักศึกษาทุกคนช่วยยกต้นไม้จากรถบรรทุกที่ทางมหาลัยเป็นคนสั่งมา ขอเตือนไว้ก่อนว่ามีเยอะมาก ถ้าเป็นไปได้ขอให้เป็นผู้ชายที่จะไปยกต้นไม้ ส่วนผู้หญิงไม่ต้องกลัวว่าจะว่างนะคะ เราเตรียมวัตถุดิบสำหรับหุงหาอาหารทำกับข้าวไว้ให้แล้ว สี่วันสามคืนนี้คนที่รับผิดชอบเรื่องอาหารสามมื้อคือพวกเราทุกคนค่ะ"

 

 

ได้ยินเสียงโห่รับจากรอบด้าน โดยเฉพาะจากพวกผู้ชาย ประมาณว่าจะกินได้ไหมวะเนี่ย นี่ตูจะท้องเสียไหม เรียกเสียงหัวเราะจากรอบด้านได้เป็นอย่างดี

 

 

"เราไม่น่าอดตายนะ" รามพูดขึ้น เรียกความสนใจจากชะเอมที่หัวเราะคิกร่วมกับนักศึกษาคนอื่นๆ

 

 

"ทำไมอะ"

 

 

"เอ้า ก็มีคนที่ทำอาหารเป็นอยู่ตรงนี้ตั้งหนึ่งคน" รามว่ายิ้มๆ ร่างบางขมวดคิ้วก่อนจะเข้าใจว่าหมายถึงตัวเอง

 

 

"เออจริงด้วย พวกเรารอดแล้วเว้ย" ดินว่าอย่างดีใจ ตอนแรกก็เครียดอยู่หรอกที่ว่าจะให้ทำอาหารกินเอง แต่ตอนนี้โล่งอกเพราะจำได้ว่าขะเอมทำอาหารกินเองเป็นประจำ

 

 

"พวกมึงก็พูดไป เดี๋ยวสาวๆ มาได้ยินเข้าจะตายไม่รู้ตัว" สินขำ

 

 

"เราก็ว่างั้น" ชะเอมยิ้มกับอาการดีใจเกินเหตุของเพื่อน "พวกผู้หญิงทำกับข้าวเก่งๆ มีเยอะแยะนะ อีกอย่างเราต้องไปช่วยขนต้นไม้ด้วย ไม่น่าจะได้เข้าครัวหรอก"

 

 

"ก็ไม่แน่นะ" รามว่า เขาอยากลองชิมฝีมือร่างบางสักครั้งเสียด้วยสิ

 

 

"เราขออนุญาตใช้ห้องครัวของที่นี่ไว้แล้ว อุปกรณ์ทุกอย่างมีเตรียมพร้อม ไม่ต้องกลัวว่ารสชาติอาหารจะทานไม่ได้ ที่นี่มีแม่ครัวแต่มีไม่มาก เราต้องคอยเป็นลูกมือให้กับพวกเขา การอยู่ร่วมกันที่นี่เป็นอย่างอิสระทุกคนจะเดินไปไหนก็ได้พาไม่ว่าแต่งานต้องเสร็จตามเวลาที่กำหนด จะมีหัวหน้าแต่ละฝ่ายคอยดูอยู่ตลอด" เด็กสาวใส่แว่นเว้นระยะการพูดเล็กน้อย "มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บอะไรก็ขอให้มารับยาหรือปฐมพยาบาลที่ฝ่ายพยาบาลได้ค่ะ สแตนด์บายไว้แล้วเรียบร้อยเช่นกันค่ะ"

 

 

"ก่อนจะเริ่มงานกัน พาขอแนะนำให้รู้จักกับหัวหน้าฝ่ายไว้ เผื่อจะเรียกใช้ จะขอความช่วยเหลือ หรือจะสอบถามอะไรก็ตามแต่ ทุกคนเป็นทีมงานที่จะช่วยดูแลในค่ายเป็นเวลาสี่วันนี้เช่นเดียวกับพานะคะ" ร่างเล็กผายมือไปด้านข้างให้สายตาจับจ้องไปยังคนที่ยืนเรียงหน้ากระดานกัน

 

 

ชะเอมมองไล่ พบคนหน้าคุ้นตา ก็เบิกตากว้าง

 

 

คนๆ นั้น...



 

"ผู้ชายผมทรงสกินเฮดคนแรกนับจากพา ชื่อจ่อย หัวหน้าฝ่ายใช้แรงงานนะคะ ถ้าหากมียกของ หรือใช้แรงอะไร พี่คนนี้จะเรียกใช้นักศึกษาชายทุกคนไปช่วย ต้องขอให้เชื่อฟังเค้าในทุกกิจกรรมสี่วันนี้ด้วยนะคะ" ถ้าชะเอมดูไม่ผิดเหมือนคนชื่อจ่อยจะเหล่ค้อนเด็กสาวที่ชื่อพาตอนถูกแนะนำตัวว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายใช้แรงงานด้วยล่ะ

 

 

ประมาณว่า 'ไม่มีชื่อที่ดีกว่านี้แล้วรึไงฮะยัยบ๊อง'

 

 

"ถึงจะดูเถื่อนๆ ตาขวางๆ แต่ก็ไม่ใช่นักเลงหาเรื่องใครนะคะ"

 

 

"เฮ้ย ยัยนี่ อย่านอกเรื่องสิ"

 

 

จ่อยว่าตาขวางอย่างที่พาแนะนำ แต่เด็กสาวไม่กลัวแถมยังหัวเราะ สร้างบรรยากาศเป็นกันเองได้จากหลายๆ คนที่เพิ่งรู้จักสองคนนี้

 

 

"ค่ะ คนต่อไปเป็นหัวหน้าฝ่ายวัตถุดิบ ชื่อริน เห็นหน้าตาสวยๆ เรียบร้อยแบบนี้ ทำอาหารเก่งมากเลยนะคะ พวกเราฝากท้องไว้กับเธอได้เลย" ทุกคนโดยเฉพาะผู้ชายร้องดีใจโอเว่อร์ซะ "ใครที่สามารถทำอาหารได้บ้างนิดหน่อยก็ขอความร่วมมือมาเป็นลูกมือให้เธอหน่อยนะคะ"

 

 

"นี่ก็กังวลแทบตาย ตอนรู้ว่าต้องทำกับข้าวกินเอง"

 

 

"เออ นี่ก็แดกเป็นอย่างเดียว ทำไม่เป็น"

 

 

"ให้เมียทำดิมึงอะ"

 

 

"เมียไม่ทำเมียซื้อกับข้าวเข้าบ้านอย่างเดียว"

 

 

"มึงยังดี เมียกูแม่งร้องจะกินข้าวห้างทุกวัน เวรกรรมกูแท้ๆ"

 

 

"เมื่อกี้ตัวเองว่าอะไรนะ เค้าได้ยินไม่ค่อยชัด!"

 

 

"โอ๊ยเปล่าจ้าตัวเอง โอ๊ยเจ็บ อย่าดึงหูเค้าๆ!"

 

 

"ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้าไอ้พวกกลัวเมีย"

 

 

"ใครว่ากลัว! เค้าเรียกว่าเกรงใจเว้ย พูดผิดพูดใหม่!"

 

 

"มาเคลียร์กันก่อนเลยตัวเอง เรื่องของเรามันยังไม่จบ!"

 

 

"โอ๊ยยย!! เจ็บ อย่าดึงหู เค้ากลัวแล้ววว"

 

 

สถานการณ์วุ่นวายที่เรียกเสียงหัวเราะครืนกับเสียงโหยหวน ทำเอาพาต้องกรอกเสียงดังใส่โทรโข่งอีกรอบเพื่อเรียกความสงบ "คนสุดท้ายค่ะ หัวหน้าฝ่ายพยาบาล ชื่ออิฐค่ะ อย่าสงสัยว่าทำไมเป็นผู้ชาย ทางเราเรียกตัวมาเองจากคณะแพทย์ ว่าที่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเชียวนะคะ เจ็บไข้ได้ป่วย อยากได้ยา หรือสงสัยอะไรสอบถามได้ที่อิฐเลยนะคะ"

 

 

"ฝากตัวด้วยนะครับ" หนุ่มชื่ออิฐยิ้มพราว ดีกรีเดือนคณะสองปีที่แล้วเรียกสาวๆ กรี๊ดกร๊าดอย่างกับดูประกวดเดือนใหม่อีกครั้ง “ถ้ามีใครอยากให้ผมช่วยรักษาแผลก็มาได้ตลอดเลยนะครับ...แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็อยากให้ดูแลตัวเองให้ดีก่อนจะดีกว่านะ ผมเป็นห่วง”

 

 

กรี๊ดดด

 

 

“เค้าเป็นห่วงชั้นด้วยแหละแก๊” สาวคนหนึ่งตีแขนเพื่อนรัว เขินจะตายแล้ว “เป็นลมตอนนี้เลยดีไหม”

 

 

เพื่อนสาวเหล่แรง “เขาเพิ่งบอกให้แกดูแลตัวเองไม่ใช่หรือไงยะ”

 

 

"พี่อิฐมีแฟนยังคะ" สาวคนหนึ่งยกมือขึ้น

 

 

"ยังครับ" อิฐตอบด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล "แต่ผมมีคนที่ชอบแล้วน่ะ ขอโทษด้วยนะ"

 

 

จากนั้นก็มีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากผู้หญิงและเพศที่สามดังกระหึ่ม

 

 

"โอ้โห ขนาดปฏิเสธมันยังสุภาพเลยเว้ย" ยกเว้นผู้ชายที่หมั่นไส้โห่ดังแต่ไม่อาจกลบเสียงแหลม

 

 

"อ๊ายยย เอาอีกและ เนี่ยคนหล่อๆ ไปกันหมดเลย" ผู้ชายคมเข้มคนหนึ่งสะดีดสะดิ้ง...อยู่เฉยๆ ไม่รู้เลยนะเนี่ย

 

 

"เขาอาจจะตอบไปงั้นๆ ก็ได้นะ จะได้กันคนไปชอบไง เหมือนพวกดารางี้ไงแก" สาวมโนคุยกับเพื่อน

 

 

"จริงด้วยเนอะๆ" และสาวมโนอีกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

 

และอีกต่างๆ มากมาย

 

 

"นี่มันทอล์คโชว์ หรืองานประกวดดาวเดือนเปล่าวะ" รามพึมพำ

 

 

"ผู้หญิงร้องกรี๊ดกระตู้วู้อย่างกับชีวิตนี้ไม่เคยเห็นผู้ชายอย่างงั้นแหละ" ดินว่าบ้าง "ไอ้จืดนั่นก็งั้นๆ"

 

 

ชะเอมมุ่นคิ้วไม่เข้าใจ "แต่เราว่าเค้าหน้าตาดีออกนะ ไม่งั้นจะเป็นเดือนแพทย์ได้ไง"

 

 

"ไอ้ดินมันอิจฉา" สินยิ้มบอกร่างบาง "อย่าไปใส่ใจ"

 

 

"อ๋อ" ชะเอมพยักหน้าว่าง่าย หัวเราะเสียงใส ส่วนดินหน้าหงิก

 

 

"นี่กูได้ยินนะ ขอบอก"

 

 

"ได้เวลาแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองแล้วนะคะ อย่างที่บอกไว้ ผู้ชายแข็งแรงเดินตามพี่จ่อยไปเลยค่ะ ส่วนผู้หญิงตามรินไป อีกสามชั่วโมงเจอกันที่นี่เหมือนเดิม เวลาบ่ายโมงตรงค่ะ"

 

 

นักศึกษาหลายคนเริ่มแยกย้ายเดินตามไปทางที่หัวหน้าฝ่ายก้าวนำ ส่วนน้อยที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่คิดจะช่วยทำอะไร

 

 

ก็นะ...คนมีหลายรูปแบบ

 

 

"เอม จะไหวเหรอ" รามมองรถบรรทุกคันใหญ่หลายสิบคันจอดเรียงราย ทุกคันมีต้นไม้สูงราวหนึ่งเมตรรากถูกหุ้มด้วยถุงดำหนาบรรจุอยู่เต็มคัน แล้วหันมาถามร่างบางที่ยืนข้างกันด้วยน้ำเสียงกังวล "ไปช่วยงานในครัวดีกว่ามั้ย"

 

 

อีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

 

"อือ...ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง" ชะเอมมองดูแล้วก็ไม่น่าจะหนักมาก แค่เยอะเท่านั้นเอง "เรารู้ขีดจำกัดตัวเองดี"

 

 

ร่างบางยิ้มเพื่อคลายความกังวลของเพื่อน มือล้วงบางอย่างในเสื้อคลุมออกมา "แถมเราพกนี่ไว้กับตัวด้วยนะ" มันคือกระปุกยาโรคประจำตัวที่เขาต้องพกไว้ ช่วยระงับอาการกำเริบที่อาจเกิดขึ้นฉับพลันได้อยู่ตลอดเวลา

 

 

ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างอ่อนใจ ถึงจะรู้แบบนั้นก็เถอะ...

 

 

ยาของชะเอมใช้เฉพาะอาการที่สามารถยับยั้งได้เท่านั้น ถ้าอาการหนักมากกว่านี้ ยาอาจไม่ได้ผล...นี่คือสิ่งที่หมอกฤษณะเตือน

 

 

"ถ้ารู้สึกไม่ดีต้องไปพักทันทีเลยนะ" สินต่อรอง เพราะรู้ดีว่าห้ามไปคนหัวดื้อก็ไม่ฟัง

 

 

"โอเค" ชะเอมดีใจยิ้มตาปิด เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้ใคร ถ้าช่วยได้ก็อยากจะช่วย

 

 

รามย่นจมูก ใครเห็นสีหน้านี้ไม่ยอมก็ใจร้ายเกินไปแล้ว

 

 

"เอาล่ะครับ ในที่นี้อาจจะมีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องปะปนกันบ้าง ใครอยากเรียกผมยังไงตามสบายเลย แต่ผมจะแทนตัวเองว่าผมก็แล้วกันนะ" จ่อยพูดอย่างเป็นกันเองก่อนผายมือไปด้านหลัง "ทุกคนคงเห็นแล้วว่านี่คือสิ่งที่เราจะได้ออกแรงกัน เราจะยกต้นไม้ทั้งหมดนี่ไปไว้ในป่าที่มีลานว่างตรงโน้น" หลายคนมองตามมือชี้

 

 

"อาจจะเป็นระยะทางที่ไกลนิดนึงเพราะว่ารถบรรทุกจอดได้ใกล้สุดแค่ตรงนี้ เราจึงต้องใช้กำลังคนเยอะหน่อยและผมก็คิดว่าจำนวนเท่านี้คงพอที่จะใช้เวลาเพียงสามชั่วโมง จากนั้นทุกคนจะได้พักกินข้าวเที่ยงกันนะครับ"

 

 

ทุกคนเงียบตั้งใจฟัง สายตาคมกริบกวาดตามองทั่วๆ พูดเสียงจริงจัง

 

 

"งานที่ทุกคนมานี้เป็นงานอาสา ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่าผมจะไม่บังคับใคร ใครจะทำมากทำน้อยก็ได้แต่อยากให้ทุกคนช่วยกัน ใครเหนื่อยก็พัก ใครหายเหนื่อยแล้วค่อยมาช่วย และที่สำคัญที่สุด...ห้ามทุกคนมีปากเสียงหรือทะเลาะกัน ถ้าหากเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นผมจะขออนุญาตส่งคนเหล่านั้นกลับมหาวิทยาลัยและถือว่าคุณไม่ผ่านกิจกรรมนี้ทันที" จ่อยเน้นเสียง "อย่าคิดจะลองเพราะผมมีสิทธิ์มีอำนาจในการตัดสินใจ"

 

 

หลายคนกลืนน้ำลายเพราะรู้ว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมบังคับ ถ้าไม่ผ่านก็หมายความว่าคุณอาจจะไม่จบนั่นเอง

 

 

หน้าคนพูดก็โหดพอแล้ว ยังใช้น้ำเสียงโหดๆ มาขู่อีก

 

 

"มีใครมีคำถามมั้ยครับ" จ่อยถามเมื่อเห็นทุกคนนิ่งเงียบ พอเห็นหลายคนส่ายหน้าหวือก็พยักหน้าปรบมือสองทีเรียกความพร้อม "โอเคครับ งั้นมาเริ่มงานกันดีกว่า เสร็จเร็วๆ จะได้พักเร็วๆ"

 

 

มีสามคนปีนขึ้นไปอยู่บนรถเพื่อส่งต้นไม้ให้คนข้างล่างได้ง่ายๆ ชะเอมรับมาถือไว้พบว่าน้ำหนักก็ไม่ได้มากอะไร แต่พอถือแล้วใบของต้นไม้บังทางจนมองเห็นข้างหน้ายาก

 

 

"ถือระวังรากของต้นไม้ด้วยนะครับ" จ่อยตะโกนเตือน

 

 

"ยากจัง" ชะเอมพึมพำ เพราะเขาเตี้ยด้วยรึเปล่า

 

 

"แบบนี้จะดีเหรอ" ดินกระซิบกระซาบ แอบมองแผ่นหลังเล็กตลอดเวลา

 

 

"อืม...เจ้าตัวอยากทำก็ปล่อยให้ทำไปเหอะ" สินบอก น้ำเสียงเหมือนจะไม่สนใจแต่ก็อยู่ในสายตาตลอดไม่ต่างกัน

 

 

"อืม เดินไกลเหมือนกันเนอะ" ชะเอมว่า เดินอย่างทุลักทุเล พื้นก็ไม่ค่อยดี บางที่เป็นหลุมขรุขระ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็เดินตกลงไปเคล็ดได้เหมือนกัน

 

 

"วางตรงนี้เลยครับ" จ่อยคอยยืนกำกับ

 

 

"เฮ้อ" แขนเรียวบางยกขึ้นนวดไหล่ ถึงจะไม่หนักมากแต่ถือนานๆ มันก็ต้องมีเมื่อยกันบ้างแหละ

 

 

"ไหวนะ" รามถาม มองเห็นเหงื่อผุดซึมตามใบหน้ามน ยังไงก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี

 

 

"อื้ม!" ชะเอมยิ้มรับคำหนักแน่น

 

 

แต่...

 

 

พอเดินรอบที่สี่ รอบที่ห้า ด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควร กับน้ำหนักที่ต้องหิ้วไปหิ้วมา กับแดดแรงจ้าเริ่มเคลื่อนไปอยู่เหนือหัวทำให้ชะเอมเริ่มหอบ ทั้งที่เพื่อนสามคนยังดูสบายๆ แท้ๆ

 

 

ตึกตัก

 

 

รู้สึกได้...หัวใจเต้นรัวเร็ว...เหนื่อยง่าย...ผิดปกติ

 

 

"เอม เหงื่อมึงออกโคตรเยอะเลย" ดินทัก "ไปนั่งพักไป กูว่ามึงไม่ไหวแล้ว"

 

 

"ระ เหรอ...เราก็ว่าอย่างนั้น...งั้น" ชะเอมสูดลมหายใจที่ติดขัด แผ่นอกบางสะท้อนถี่ "เดี๋ยวเสร็จนี่ก่อนนะ"

 

 

"ไหวมั้ยครับ ไม่ไหวพักก่อนได้" จ่อยสังเกตเห็นใบหน้าซีดอย่างกับจะเป็นลมของคนตรงหน้าที่กำลังเดินมาแล้วได้แต่เอ่ยเตือน เขาน่ะเห็นคนบอกว่าไหวแล้วฝืนจนเป็นลมมาแล้วนักต่อนัก

 

 

"...ครับ" ชะเอมว่าง่าย นี่เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกัน ถ้าล้มไปจะยิ่งเป็นภาระมากขึ้น

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************




ต่อด้านล่าง


ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2



ต่อจากด้านบน



"ฟู่~" ร่างบางทรุดตัวลงใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ มอวไปรอบๆ ก็มีคนนั่งพักประปราย บางคนก็หายเหนื่อยแล้วแต่ก็อู้บ้าง ชะเอมมองตามแผ่นหลังเพื่อนสามคนที่ไม่พักขอไปช่วยงานแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

 

 

ตึกตัก ตึกตัก

 

 

ใจยังเต้นเร็วอยู่...ทำให้ควบคุมลมหายใจให้ช้ากว่านี้ไม่ได้

 

 

"เฮ้อ" ...เหนื่อย

 

 

ชะเอมหลับตาพิงต้นไม้ สูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกยาวๆ ฟังเสียงสายลมพัดผ่าน เสียงใบไม้กระทบกัน

 

 

อากาศดีจัง

 

 

รู้สึก...สงบ

 

 

แต่เสียงหัวใจ มันไม่ยอมสงบ



 

"อือ..." มือบางขยุ้มเสื้อบริเวณอกข้างซ้ายเมื่อมันเริ่มอึดอัดมากขึ้นทุกที แผ่นอกสะท้อนถี่ ริมฝีปากบางอ้างับอากาศเมื่อใช้จมูกหายใจก็ดูเหมือนจะไม่ทัน

 

 

อยู่ตรงนี้ไม่มีใคร สังเกตเห็น

 

 

แย่ล่ะสิ...



 

แผ่นหลังบางคู้ตัวเมื่อสิ่งที่อยู่ในอกบีบรัด "หะ...!" มือบางละจากการกำเสื้อ ถึงจะยากยังไงก็ต้องล้วงหาสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าออกมา เปิดฝากระปุกเทจนยาในขวดเกือบหกกระจาย ไม่ทันได้มองว่าบนฝ่ามือมีกี่เม็ด ก็ตบยาเข้าปากแล้วฝืนกลืนเข้าไปจนได้

 

 

ไม่มีน้ำ...ขมจนอยากจะอ้วก...ฝืดคอแต่ก็ต้องกิน

 

 

นานจนลมหายใจกลับมาคงที่ หัวใจก็กลับมาเต้นเหมือนเดิม

 

 

หูกลับมาได้ยินเสียงเฮฮารอบด้านกลับมาดังทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังอื้ออึง ร่างบางเริ่มขยับกาย หยิบเม็ดยาสีขาวที่เพิ่งสังเกตว่ามีหกอยู่ตามพื้นหญ้าเข้ากระปุกแก้วเชื่องช้า พยายามสูดลมหายใจเบาๆ เพราะยังรู้สึกเจ็บแปลบในอก

 

 

นั่นเม็ดสุดท้าย...

 

 

"อะ ขอบคุณ...ครับ" มือขาวซีดชะงักเมื่อเห็นใครบางคนช่วยเก็บยาให้ ใบหน้าน่ารักคุ้นตากับผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะ

 

 

...เรย์...

 

 

"อ่ะ" มือเล็กลอยอยู่ตรงหน้าพร้อมเม็ดวางอยู่

 

 

"เอ่อ ขอบใจ" ชะเอมบิดฝากระปุกรีบเก็บใส่ช่องในเสื้อคลุมกันหนาว สายตาเผลอกวาดมองหาใครบางคนไม่รู้ตัว

 

 

"เป็นอะไรเหรอ" เรย์ถาม

 

 

"หะ?" ร่างบางตกใจกระเถิบตัวหนีเว้นระยะ เมื่อร่างเล็กทิ้งตัวลงใกล้ๆ

 

 

"เป็นอะไร ทำไมต้องกินยา" เรย์มองกลับมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

 

 

"ป...ปวดหัวนิดหน่อย" ชะเอมร้อนตัวเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเรื่องยา จึงพูดออกไปโดยคิดคำโกหกไม่ทัน "พอดีเพิ่งหายไข้"

 

 

"เป็นไข้? อ๋อ หรือว่าจะเป็นที่ตากฝนวันนั้นน่ะเหรอ" คำพูดซื่อๆ ที่เอ่ยออกมาให้ใจอีกคนกระตุก "แล้วไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย”

 

 

“อืม” ร่างบางตอบแค่นั้น แต่ก็มาคิดได้ว่าอาจจะสั้นจนไร้มารยาทเกินไป จึงอธิบายเสียงแผ่ว “...จริงๆ ก็เพิ่งหายเมื่อคืนน่ะ”

 

 

ในใจรู้สึกแปลกๆ ...สงสัยเหลือเกินว่าอยู่ๆ เรย์มาคุยกับเขาทำไม

 

 

“เหรอ...” เสียงใสครางรับคำในลำคอ “ดูสิ แผลของเราก็ยังไม่หายเหมือนกัน" นิ้วเล็กชี้ไปที่ผ้าพันแผลพร้อมกับเสียงใสหัวเราะเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ยิ่งทำให้ชะเอมรู้สึกแย่

 

 

"อาหมอบอกว่าเย็บไปตั้งหลายเข็ม ตอนตื่นมาก็เจ็บแทบแย่"

 

 

"..."

 

 

"แต่ดีที่คินเฝ้าตลอดเวลา เราเลยสบาย แทบไม่ได้ทำอะไรเองเลย"

 

 

"..."

 

 

"คินเนี่ยเป็นผู้ชายที่ดูแลคนเก่งมากจริงๆ นะ ถ้าใครได้เป็นแฟนคงโชคดีสุดๆ เราคงอิจฉาตายเลย"

 

 

"..."

 

 

"ว่าแต่เขารู้รึเปล่าว่าเอมไม่สบายน่ะ" คงรู้สึกว่าพูดเรื่องตัวเองมากไป จึงหันมาถามไถ่คนข้างๆ บ้าง ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ซึ่งเรย์ก็ดูเหมือนจะไม่ถือสา

 

 

"โทษที ท่าทางเราจะถามอะไรโง่ๆ คินเขาจะไปรู้ได้ไงเพราะก็อยู่กับเราตลอดเวลานี่นา"

 

 

ชะเอมล่ะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่เรย์เข้ามาคุยด้วยจริงๆ สายตาจับจ้องไปที่คนพูดหน้าตาระรื่น สบายใจ

 

 

จะอวด?

 

 

เยาะเย้ย?

 

 

หรือว่าสมเพช?

 

 

"แต่ก็ขอบคุณแผลนี้ล่ะนะ ที่ทำให้เขาทิ้งนายมาหาฉันจนได้"

 

 

"!!" สิ่งที่ได้ยินชะเอมตกใจเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น หันไปมองเพราะคิดว่าตัวเองอาจจะได้ยินอะไรผิด แต่ว่าเมื่อเห็นสีหน้าแสยะยิ้ม

 

 

"นี่นาย" อย่าบอกนะว่า...เรื่องวันนั้น...ตั้งใจเหรอ

 

 

ตั้งใจให้เป็นแบบนี้

 

 

ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขาอยากจะขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บตัว

 

 

ทั้งๆ ที่เขารู้สึกผิดแทบตาย

 

 

แล้วเขาเสียใจแค่ไหนที่ถูกคินบอกเลิก...คำต่อว่าดูถูกที่ออกมาจากปากร่างสูงมันสามารถฆ่าเขาได้

 

 

 

มันเจ็บเหมือนตายทั้งเป็น

 

 

 

"ฉันจะบอกเรื่องนี้กับคิน" ชะเอมพูดกัดฟันแน่น มองด้วยแววตาโกรธแค้น แต่ไม่ได้ทำให้เรย์กลัว กลับยิ้มสะใจเสียด้วยซ้ำ

 

 

"คิดว่าเขาจะเชื่อนายเหรอ"

 

 

"..." คำพูดของเรย์ทำให้เขาเถียงไม่ออก “ฉันไม่สน...”

 

 

"คิดดูให้ดี ตอนนี้นายก็น่าจะรู้ว่าสถานการณ์เป็นยังไง นายเป็นคนร้าย ส่วนฉันเป็นนางเอกผู้น่าสงสาร" เรย์ยิ้มหวาน แต่สำหรับชะเอมมันน่าขยะแขยงที่สุด "ถ้าหากนายทำอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นกับฉัน นายก็จะโดนเกลียดเพิ่มมากขึ้น สำหรับฉันมันก็ง่ายดีอ่ะนะ"

 

 

น่ารังเกียจ...น่ารังเกียจที่สุด



 

ชะเอมตาแดงขบกรามไม่เคยโกรธใครเท่าคนตรงหน้ามาก่อน มันอึดอัดอยากจะระบาย มือบางกำหมัดแน่นจนสั่นระริก  รู้สึกโมโหจนลมหายใจของตัวเองสั่น ในขณะที่คิดว่าจะทำยังไงดี สายตาของเรย์เหลือบไปด้านหลังของเขา จู่ๆ ร่างเล็กก็ล้มลงนอนกุมศีรษะหน้าเหยเก

 

 

"อะ โอ๊ย! เจ็บ..." น้ำตาไหลอาบหน้าทำให้ร่างบางได้แต่งง ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

 

 

จู่ๆ เป็นอะไร

 

 

"ฮึก ปวดหัว..."

 

 

แซ่ก...

 

 

"เรย์!"

 

 

ชะเอมช็อคตาโต ร่างบางผุดลุกขึ้น หรือว่า...!!

 

 

ร่างสูงที่โผล่มาจากไหนไม่รู้เดินตรงเข้าช้อนร่างเล็กแนบอก

 

 

"เป็นอะไร เรย์ เจ็บตรงไหน" มือใหญ่แตะแผ่วเบากลัวว่าจะสะเทือนแผล

 

 

"เรย์ปวดแผลอะคิน" ร่างเล็กได้ทีคว้าคอซบหน้ากับไหล่กว้าง

 

 

"ยาแก้ปวดอยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวคินหยิบให้" คินเอ่ยกระซิบเตรียมลุกขึ้นยืน ไม่สนใจว่ามีใครอีกคนอยู่ด้วย

 

 

ท่าทางเป็นห่วง ความอบอุ่นอ่อนโยน สรรพนามแทนตัว สิ่งเหล่านั้นเคยเป็นของเขา

 

 

"เรย์ขอโทษนะเอม" เรย์พูดเสียงปนสะอื้น ซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาชะเอมแล้ว เขาสนใจเพียงอย่างเดียวคือร่างสูง

 

 

อยากอธิบาย



 

"เรย์ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้เอมทะเลาะกับคิน ฮึก เรย์ไม่ได้ตั้งใจ"

 

 

อยากบอกว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่สิ่งที่คินเข้าใจ



 

"คินอย่าโกรธเรย์นะ เรย์แค่กลัว...แต่เอมเขาโกรธเรย์ที่ทำเหมือนแย่งคินมา ฮึก คิน" ร่างเล็กตัวสั่นเหมือนลูกนกน่าสงสาร ซุกหน้ากอดคอคินแน่น "เจ็บ ไม่เอาแล้ว"

 

 

ร่างสูงยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่มือใหญ่ก็กอดปลอบลูบหลัง เข้าใจว่าเรย์หวาดกลัวจากความเจ็บจากบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นจนฝังใจ

 

 

มันไม่ใช่!!



 

“หยุดพูดนะเรย์!” ชะเอมหมดความอดทนตะโกนใส่ร่างเล็กที่เอาแต่พ่นคำโกหกหลอกลวง ก่อนจะหันหน้ามาพยายามอธิบายกับอีกคน "ไม่ใช่นะคิน เรย์โกหก เอมไม่ได้..."

 

 

"นายนั่นแหละหยุดพูดได้แล้ว!!" คินตะคอกเสียงดัง ทำให้ตรงที่พวกเขายืนอยู่เป็นจุดสนใจทันที

 

 

ร่างบางสะดุ้งหน้าซีดเซียว เมื่อสายตาคมตวัดมองเขาเหมือนเห็นเขาเป็นเศษขยะหรืออะไรที่น่าขยะแขยง

 

 

ไม่ใช่นะ...



 

“เรย์เป็นขนาดนี้ยังไม่พอใจอีกหรือไง” คินหันมาเผชิญหน้า มองต่ำมาที่ชะเอม “บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งอีก ทำไมไม่ฟัง!”

 

 

“...”

 

 

“เงียบทำไม ฉันถามว่าไม่พอใจหรือไง!!” ร่างบางสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง เมื่อเสียงเกรี้ยวกราดตะโกนดัง

 

 

ชะเอมหน้าซีดกับสายตาคมกริบ  ริมฝีปากสั่นอ้าแล้วก็หุบอยู่อย่างนั้น “...” พูดสิ อธิบายออกไป บอกว่าทุกอย่างมันไม่ใช่ สิ่งที่อีกฝ่ายเข้าใจนั้นคือสิ่งที่แสนหลอกลวง

 

 

นานจนคินไม่รอ ขายาวหันหลังก้าวเดินไป พลันเห็นสายตาของเรย์ซ้ำรอยกับวันๆ นั้น...วันที่มีสถานการณ์เดียวกันกับตอนนี้

 

 

แต่ไม่เลวร้ายเท่า

 

 

แซ่ก...แซ่ก

 

 

“คิน...” ใบหน้ามนร้องเรียก เจ็บหนึบในอกจนต้องกัดปากจนเลือดซึม “...ไม่ใช่นะ” เสียงสุดท้ายที่เปล่งออกมาแทบขาดใจ

 

 

สายตาว่างเปล่ามองทั้งสองคนค่อยๆ เดินห่างออกไป

 

 

รั้งไว้*...*ไม่ได้เลย...



 

ต้องมองแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปอย่างนี้อีกกี่ครั้งกี่หน...



 

ยังต้องทนเจ็บแบบนี้อีกกี่ครั้งกี่หน...จนกว่าจะทนไม่ไหวอีกแล้วใช่ไหม



 

 

 

 

...หรือจนกว่าหัวใจอ่อนแอดวงนี้จะแหลกสลายไป...



 

 

 

เสียงซุบซิบนินทาของคนรอบข้างดังขึ้นแต่ไม่เข้าประสาทร่างบางอีกต่อไป ชะเอมได้แต่กอดเข่าก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ร้องไห้ ไม่มีแม้น้ำตาสักหยด...มีแต่สายตาเจ็บปวดรวดร้าวสะท้อนออกมากับก้อนเนื้อในอกที่บีบรัดจนเจ็บหนึบ

 

 

ภาพคินที่กอดใครอีกคนแนบอกอย่างปกป้องแล่นเข้ามาในหัว และสายตากลับมองเขาด้วยความรังเกียจแบบนั้น

 

 

มันทำให้เขารู้สึกแพ้...เขาแพ้แล้ว



 

ไม่สิ ต้องโทษตัวเองเพราะเขาโง่เอง ที่ถูกเรย์หลอกครั้งแล้วครั้งเล่า...ถูกหลอกให้ตกอยู่ในหลุมพรางที่มีแท่งไม้กับดักอยู่ก้นหลุมวางซ้ำไว้ ขึ้นมาไม่ได้...ไม่มีทาง

 

 

‘คิน...ไม่ใช่...’

 

 

นั่นสิ ในตอนนั้นเขาจะพูดแก้ตัว...ไปทำไมนะ เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าถึงยังไงก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาเปลี่ยนมันไม่ได้

 

 

ไม่มีทาง...เปลี่ยนสิ่งที่คินเชื่อได้เลย

 

 

เรย์พูดถูกแล้ว

 

 

'คิดว่าคินเขาจะเชื่อนายเหรอ'

 

 

‘คิน ไม่ใช่นะ เรย์โกหก...’

 

 

‘นายนั่นแหละหยุดพูดได้แล้ว!!’

 

 

จะแก้ตัวไปทำไม ก็ในเมื่อ...

 

 

 

 

 

 

 

ความเชื่อใจถูกทำลายจนแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี

 

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************



ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
รออยู่นะคะ  :hao3:

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
อดทนไว้นะชะเอม

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

                                         Whose Fault ?



                                         ผิด...ครั้งที่ 12













โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม


"โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยว่ะ" ดินโอดครวญ


"จริง นี่ขนาดกูยังแข็งแรงปึ๋งปั๋งยังรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม" รามไม่วายขอบ่นบ้าง


สายตาคมของดินเหร่มองหุ่นโปร่งบาง และกล้ามเนื้ออันน้อยนิดของคนที่บ่น “ไอ้คำว่าแข็งแรงปึ๋งปั๋งของมึงมันหายไปตั้งแต่โหมกับงานพิเศษแล้วล่ะเพื่อน”


“อย่าดูถูกน่า ของแค่นี้เดี๋ยวฮึดขึ้นมาก็เหมือนเดิมแล้ว” รามเบ่งกล้าม(อันน้อยนิดในสายตาดิน)ให้ดู


ดินเมินคำเพื่อนยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ "เฮ้อ อิจฉาผู้หญิงจังไม่ต้องตากแดด"



"แล้วมึงทำอาหารเป็นหรือไง" สินถาม



"ไม่อ่ะ" ดินตอบทันทีไม่ต้องคิด ทุกวันนี้ยังฝากท้องกับป้าร้านอาหารตามสั่งอยู่เลย



"กูก็ว่า...คนโง่ๆ อย่างมึงเหมาะจะใช้แรงมากกว่าอยู่แล้ว" รามออกความเห็น


"ไม่พูดก็ไม่มีใครว่ามึงเป็นใบ้หรอกไอ้ตาตี่" ดินแยกเขี้ยว ล้อเลียนรูปลักษณ์ที่ได้รับมาจากผู้ให้กำเนิด


"กูแค่ออกความเห็นเฉยๆ ไหม" รามย้อนคิ้วกระตุก "อีกอย่างกูไม่ได้ตาตี่ เค้าเรียกตาเรียวเว้ยไอ้ดำ!"





เอาสิ มันว่าเขาก่อน เขาก็ต้องเอาคืนบ้าง


"ใครว่าดำ แบบนี้ไม่ได้เรียกดำ เขาเรียกคมเข้มต่างหาก มาดแมนสมชายชาตรี!...ใครจะขาวเหลืองเหมือนตุ๊ดแบบมึงล่ะวะ"


"เอาเข้าไป" สินฟังทั้งสองเถียงกันแล้วส่ายหน้า ไร้สาระจริงๆ เลย


"ไอ้เวรดิน" รามเดือดปุด ยิ่งอากาศร้อนๆ ยิ่งอารมณ์ขึ้นง่ายเลย "สินมึงเอามันไปไกลๆ เลย...ครอบตะกร้อด้วยก็ดีนะ ปากหมาชิบหาย"



ดินได้ยินก็ฮึดฮัด แถมถูกสินล็อกตัวไว้อีก แขนแข็งแร็งยึดเขาแน่นเหนียวหนึบ จึงได้แต่ชกอกชกลมอยู่คนเดียว



"ดิน มึงก็นะ" สินถอนหายใจ "เขาพูดความจริงมึงจะไปโมโหทำไม"





"นี่มึงก็ว่ากูดำเหรอ" ดินถลึงตาย้อนเสียงสูง



สินหัวเราะ "แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ"




"แม่ง...ไม่เข้าข้างกูเลย" ดินเบะปาก แกล้งสะบัดหน้าให้รู้ว่ากูงอน "ไม่เถียงด้วยละ"



เมื่อกี้เหมือนได้ยินไอ้ตาตี่มันด่าเขาแว่วๆ ว่า 'ไอ้กระแดะ' ด้วย ดินเลยหันไปโชว์นิ้วกลางใส่ไอ้คนที่ได้ยินบทสนทนาแล้วเดินหัวเราะเยาะอยู่ข้างๆ





ทั้งสามคนสงบศึกชั่วคราว เดินตัวชุ่มเหงื่อหวังจะไปพักเพราะออกแรงอยู่กลางแดดเป็นชั่วโมง แถมต้นไม้ก็ยังเหลืออีกเกินครึ่ง...เห็นจำนวนแล้วท้อแท้


อย่าว่าแต่ครึ่งเช้าเลย วันนี้ทั้งวันจะเสร็จรึเปล่าเถอะ



"เฮ้ย พวกมึง" สินพยักเพยิดเรียกเพื่อน เร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้เมื่อเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล "ตรงนั้นมีอะไรแปลกๆ"





เมื่อขาทั้งสามคู่ก้าวเข้ามาใกล้ๆ บริเวณที่ชะเอมนั่งพักอยู่ก็พบร่างบางนั่งก้มหน้ากอดเข่าจึงไม่เห็นสีหน้า รอบๆ กายมีคนมุงซุบซิบนินทาอะไรสักอย่าง แถมยังมีร่างสูงของใครอีกคนนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ มองด้วยสายตาเป็นห่วง



รามเห็นก็แหวกตัวคนที่ยืนขวางทางก้าวเข้าไปเร็วๆ กระชากไหล่หนาอย่างแรง "นี่มึงทำอะไรเอมวะ!!?"



"อะ!" ไอติมตกใจ เมื่อจู่ๆ ก็มีแรงดึงกระชากตรงหัวไหล่ตัวเอง เงยหน้าก็พบคนคุ้นตา "นี่คุณ!"



อีกแล้ว!?




"กูถามว่ามึงทำอะไรเอม ตอบมา!" รามตะโกนอย่างโมโห ยิ่งไม่ชอบหน้ามันด้วยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว



"ผมไม่ได้ทำอะไรเลย" คนอายุน้อยกว่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันมาเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ



"ไม่ได้ทำอะไร? แล้วทำไมเอมเป็นแบบนี้" รามยังถามเสียงขุ่น





"เห้ย รามใจเย็นดิวะ" ดินปราม ส่วนสินเข้าไปดูชะเอมที่ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง...ผิดสังเกตเป็นอย่างมาก



ร้องไห้เหรอ...ไม่ ไม่ใช่





"ผมแค่ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกัน ก็เลยเข้ามาดู...ก็เห็นพี่ชะเอมเป็นแบบนี้แล้ว แต่ผมยังไม่ทันได้ทำอะไร คุณก็เข้ามาซะก่อน" ติมอธิบาย รามเบิกตาเมื่อได้ยิน เรื่องที่โมโหหายวับไปจากหัว


กลายเป็นความสงสัยแทรกขึ้นมาแทน


'ผมแค่ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกัน'



...ทะเลาะกัน...



เอมทะเลาะกับใคร? หรือว่า...!





นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ทั้งสามคนคิดเหมือนกัน


"เอม" สินส่งเสียงเรียก แต่อีกคนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยิน


รามทรุดตัวลงดูอาการบ้าง "เอม"



ยิ่งไม่ตอบโต้ ไม่หือไม่อือ ไม่แสดงอาการอะไรเลย มันยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นหลายเท่า


"เมื่อกี้มึงเห็นป่ะ"


"ไม่เห็นอย่างเดียว ได้ยินด้วยเว้ย ชัดเจนเต็มสองรูหู"



"ตกลงเรื่องนั้นจริงเหรอวะ"


"กูได้ยินเรย์ร้องไห้ด้วย น่าจะจริงแหละ"





"ชะเอมแม่งก็กล้าเนอะ เห็นหน้าหงิมๆ เรียบร้อยแบบนี้"


"นั่นคือคนที่ชื่อชะเอมเหรอ เพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรก"


"อิจฉาไอ้คินว่ะ รอบตัวแม่งมีแต่คนน่ารักๆ"



"น่ารักยังไงกูไม่เอาอ่ะ ขนลุกพวกเกย์"


เสียงซุบซิบต่างๆ นานาดังขึ้นรอบตัว ไม่สนใจเลยว่าถ้าเจ้าตัวได้ยินแล้วจะรู้สึกอย่างไร


"แล้วพวกมึงจะมุงเหี้ยอะไรกันนักหนา" ดินว่าดังๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ขมับปูดขึ้นตามเส้นเลือด "เรื่องของคนอื่นก็เสือกอยู่ได้ รำคาญลูกตาเว้ย"


"ใจเย็นดิน" สินบอก ก่อนหันไปบอกร่างโปร่งที่ขบกรามแน่น "มึงด้วยราม"


จริงๆ พวกเขาทุกคนก็โกรธ...โมโหมาก


แต่ว่าก่อนที่จะกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง สิ่งที่ต้องเป็นห่วงเหนือสิ่งอื่นใดคือชะเอมต่างหาก





"พวกคุณทำอะไรกันอยู่!" คนหน้าโหดหัวสกินเฮดเดินเข้ามาเมื่อเห็นคนสุมหัว หลายคนเริ่มทำหน้าเลิ่กลั่ก "ผมว่าพวกคุณคงพักกันหายเหนื่อยแล้ว ขอความกรุณาช่วยไปขนต้นไม้ต่อด้วยนะครับ ถ้าเสร็จไม่ทันเที่ยงก็ไม่ต้องกินข้าวกันพอดี"


หลังจากนั้นไม่นานหลายคนก็ค่อยๆ สลายตัวไปทำงานต่อไม่มีใครสนใจเหตุการณ์เมื่อครู่อีก





"แล้วพวกคุณ...มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ" คนผมทรงสกินเฮดถาม เมื่อเห็นกลุ่มที่ยังไม่ขยับเขยื้อน "คนเมื่อกี้นี้นี่...เป็นอะไรไม่สบายเหรอ ไปห้องพยาบาลมั้ย"


"เอ่อ..." พอจ่อยถาม คนที่ไม่ได้เป็นอะไรมองหน้ากันอึกอัก ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะพวกเขาก็ไม่รู้ว่าชะเอมเป็นอะไรเหมือนกัน


"ไม่เป็นไรครับ" หลายคนขยับตัวเมื่อคนตอบคือร่างบางที่นั่งเงียบมาตั้งนาน ชะเอมเงยหน้าขึ้น ปรากฎใบหน้าขาวซีด "ผมไม่เป็นไร..."


"ก็แค่..." รอยยิ้มปรากฎฝืดเฝื่อนเพราะอยากให้ทุกคนสบายใจ "เหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ"





ราม ดิน สิน สบตากัน...ชะเอมโกหก


"ไม่เป็นไรจริงเหรอ หน้าคุณซีดนะ" จ่อยขมวดคิ้วถามเพื่อความแน่ใจ เพราะหลักฐานมันคาตา...ถ้าเป็นลมล้มพับไปเขาก็ไม่แปลกใจเลย


"ครับ ผมไม่เป็นไร" ร่างบางยันตัวลุกขึ้นยืน เซเล็กน้อยแต่ยังยันไว้ทัน แถมรามก็เข้ามาช่วยประคองให้อีกแรง "แต่ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณจ่อย"





"หึ เรียกจ่อยเฉยๆ ก็ได้" จ่อยยิ้มมุมปาก เพิ่งเคยมีคนเรียกเขาสุภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก อาจจะเพราะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนนักเลงอย่างที่ยัยพาพูดนั่นแหละ


"ครับ ผมมีเรื่องขอร้องจ่อยหน่อย"



"อ่าฮะ พูดมาสิ" หัวหน้าฝ่ายโคลงหัว



"ผม...อยากจะขอเปลี่ยนไปช่วยทำอาหารในครัวแทนได้มั้ยครับ พอดีร่างกายผมไม่ค่อยสู้แดดเท่าไหร่ แถมงานที่ต้องยกของแบบนี้ก็ไม่ใช่งานถนัดของผมด้วยน่ะ" ชะเอมเม้มปากเอ่ยอย่างเกรงใจ...เป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวไปรึเปล่านะ



ทั้งสามคนได้ยินแล้วก็แปลกใจ อันที่ก็อยากให้เป็นแบบที่ว่าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าชะเอมจะเปลี่ยนใจกลางคันแบบนี้





เหมือนกับจะหนีอะไรบางอย่าง...หรือใครบางคน





"ได้สิ คุณไปเถอะ" จ่อยอนุญาต ไม่ได้ติดใจอะไร เขาก็รู้สึกเห็นด้วยเพราะดูจากผิวขาวซีดกับรูปร่างบอบบางแล้วไม่เหมาะจะมายกของตากแดดจริงๆ น่ะแหละ





"ขอบคุณครับ" ชะเอมผงกหัวให้จ่อย หัวหน้าฝ่ายก็พยักหน้าเดินออกไปเพื่อให้เป็นการส่วนตัว





"เอม...เรื่องเมื่อกี้นี้..." เพื่อนๆ กังวลอยากจะถาม แต่เมื่อเห็นสีหน้าซีด ตากลมโตสีดำว่างเปล่าไม่สุกสกาวเหมือนเคยแล้วก็ไม่รู้จะถามยังไง...พูดไม่ออก





"ไม่ต้องห่วงนะ" ชะเอมยิ้ม "ถึงเมื่อกี้เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ก็กินยาไปเรียบร้อยแล้วล่ะ สงสัยจะใช้แรงมากไปหน่อย"





"..."





"แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว" แขนบางยกขึ้นกำหมัดเหมือนยืนยันว่าดีขึ้นแล้วจริงๆ นะ





ชะเอมไม่พูดถึงเรื่องเมื่อกี้เลยแม้แต่นิด จนคนอื่นคิดไปว่าร่างบางอาจจะไม่ได้ยินเสียงนินทารึเปล่า...ก็อาจจะดีกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น





"แล้วเราก็ต้องขอโทษจริงๆ นะที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง" เสียงใสรู้สึกผิด ก่อนจะหันไปหาอีกคนที่รามนึกว่ามันหายไปแล้ว "ติมด้วย ขอบใจที่เป็นห่วงนะ"





หึ...รามย่นจมูก ไม่เห็นต้องขอบคุณมันเลย





"ไม่เป็นไรครับ..." ไอติมที่รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับสถานการณ์นี้ดี





ชะเอมพยายามทำทุกอย่าง...ให้เหมือนปกติ





"..."





"เพราะงั้นก็อย่างที่ทุกคนได้ยิน เดี๋ยวเราขอไปช่วยงานในครัวดีกว่า มาออกแรงเยอะๆ แบบนี้เดี๋ยวพวกนายก็ต้องคอยเป็นห่วงเรื่อยๆ ...แถมเราก็ไม่สบายใจด้วย..."





อย่างน้อยก็ขอหนีให้ห่างไปจากที่ๆ คินอยู่ดีกว่า...





ไม่อยากเจอ





ไม่กล้า...แม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ





"อีกอย่าง..." ร่างบางชะงัก ส่ายหน้า "อื้อ ไม่มีอะไร"





อีกอย่าง...เพราะเกิดเรื่องเมื่อกี้ ทำให้มีแต่คนมอง ถ้าหากอยู่ด้วยกันพวกนายจะต้องโดนนินทาไปด้วยแน่ๆ





"พวกเราก็ไม่ได้จะห้ามหรอก" สินบอก





"เออ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีกว่าจริงๆ แหละ เห็นมึงหน้าซีดจะเป็นลมแล้วกูไม่เป็นอันทำอะไรเลย" ดินเห็นด้วย





พวกเขารู้ดีและเข้าใจว่าร่างกายของชะเอมเป็นยังไง





อ่อนแอ...แค่ไหน





รามอึดอัดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็...ทำได้เพียงพยักหน้า "ถ้าเอมโอเคอย่างนั้น แยกย้ายกันทำงานกันก็ได้"





"อื้ม" เอมพยักหน้ายิ้มๆ





"แล้วร่างกายโอเคแน่แล้วใช่มั้ย?" รามถาม...หมายถึงเรื่องหัวใจ





"อื้ม โอเคแล้วๆ"





รามอ้าปาก แล้วเรื่อง...จิตใจล่ะ





"เอมมึงไปเหอะ เดี๋ยวพวกกูจะได้ไปทำงานต่อ...เสร็จแล้วจะได้ไปกินอาหารฝีมือมึงไง" ดินเอ่ยแทรกราวกับรู้ว่ารามจะถามอะไร





"โอเค" ร่างบางหัวเราะ "งั้นเราไปล่ะ เจอกันตอนเที่ยงนะ"





ทั้งสามยืนมองแผ่นหลังบางที่เล็กลงเรื่อยๆ





ถ้าหากนายไม่มีความสุข ก็ไม่เห็นต้องฝืนยิ้มเลยก็ได้ไม่ใช่เหรอ...แบบนั้นน่ะมันทำให้คนที่ทำได้แต่เฝ้ามองเจ็บปวดนะ





"พวกเราทำได้แต่มองแบบนี้เหรอวะ" รามเอ่ย รู้สึกสงสารร่างบางจับใจ





'อาฝากชะเอมด้วยนะ'





หมอกฤษณะอุตส่าห์ฝากดูแลแท้ๆ...แต่พวกเราทำอะไรไม่ได้เลย





"ชะเอมในตอนนี้น่ะเหมือนสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บ" สินพูด "อ่อนแอแต่ก็ดื้อดึงยิ่งกว่าอะไร...ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งถอยหนี"





"..."





 "ตอนนี้เราควรปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวไปก่อน" สินมองสีหน้าราม เขาเข้าใจว่าร่างโปร่วงรู้สึกยังไง "กูว่าถ้าเขาอยากจะเล่าเมื่อไหร่เขาก็คงจะพูดเอง"





ดินพยักหน้าเห็นด้วย





"ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่หน้าที่ของเราก็จะไม่ใช่แค่คนที่เฝ้ามองแล้ว...มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ย" ดินมองสินอึ้งๆ นี่เขาไม่เคยเห็นสินพูดได้ (แบบมีสาระ) ยาวขนาดนี้มาก่อนเลย หรืออาจจะเป็นที่เขาเองที่ไร้สาระ





...น่าจะใช่





เห็นสินแบบนี้แล้วรู้สึกปลื้มแปลกๆ ...ไม่สิๆ ดินสะบัดหัวไล่ความคิด กูไม่ได้ชมมันสักหน่อยแล้วก็ไม่ได้ปลื้มมันด้วย





"...กูเข้าใจ" แต่พอเห็นมันก็อดไม่ได้ ทำไมถึงต้องมีแต่ชะเอมที่เป็นฝ่ายเจ็บล่ะ





"เลิกคิดได้แล้ว เป็นแบบนี้คิดเหรอวะเอมเขาจะดีใจ" สินตัดบท หันหลังคว้าคอดินเดินไปด้วย "ทำงานๆ"





"เฮ้อ..." รามถอนหายใจเดินตาม แต่ก็ต้องชะงักคิ้วกระตุก "นี่มึงยังไม่ไปอีกเหรอวะ"





"แล้วคุณตาบอดหรือไงถึงไม่เห็นผมว่ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว" ไอติมว่า ฟังบทสนทนามานานแต่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่





"กูไม่ได้ตาบอด...แล้วกูจะเห็นหรือไม่เห็นแล้วจะทำไม มึงสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง" รามย้อนเสียงสูง นี่พอเขายืนเทียบกับไอ้ปีหนึ่งนี่แล้วมันสูงกว่าเยอะจนต้องเงยหน้าพูด





รู้สึกเสียเปรียบ...





"ผมตัวสูงกว่าคุณ ถ้าไม่ได้ตาบอด ก็เห็นจะเป็นตาตี่ๆ นี่ล่ะมั้งที่เป็นอุปสรรคกับการมองเห็น" ติมยั่วโมโห และดูเหมือนจะได้ผลเมื่อร่างโปร่งชะงักใบหน้าแดงเข้มด้วยความโกรธ





ไอ้นี่มันล้อเลียนเขา!





"กูเป็นพี่มึงนะ อย่ามาล้อเล่นกูไม่ขำ" รามถลึงตาเอ่ยเสียงเข้มให้รู้ว่าเอาจริง ไม่ถูกชะตากับมันตั้งแต่เจอครั้งแรกละ





ไอ้ดินมันเป็นเพื่อนเขายังไม่ยอม แล้วไอ้นี่มันเป็นใคร





"คุณไม่ใช่พี่ผม กิริยาแบบนี้ผมไม่นับถือคุณเป็นพี่หรอก" ร่างสูงพูดอย่างไม่เกรงกลัว ยิ่งสายตาที่มองต่ำลงมาก็ยิ่งทำให้อารมณ์ร่างโปร่งโมโหมากขึ้นไปอีก นี่คำพูดจากรุ่นพี่อย่างเขามันไม่น่ากลัวบ้างเลยหรือไงวะ มันถึงได้ทำหน้านิ่งอยู่ได้!?





"แล้วมึงจะมายุ่งวุ่นวายทำไมวะ!"





ไอติมถอนหายใจ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับกิริยาฟึดฟัดของอีกฝ่ายเลย "ผมไม่ได้อยากยุ่งกับคุณ ผมแค่เป็นห่วงพี่ชะเอม"





รามชะงัก อารมณ์กรุ่นดร็อปลงนิดหน่อย "นี่มึง...อย่าบอกนะว่าชอบเอม?"





"ไม่ใช่เรื่องของคุณ" ติมตอบอีก





"ไอ้เวร กูถามดีๆ" รามคิ้วกระตุก อารมณ์เริ่มกรุ่นอีกละ





"ไอ้ราม ทำอะไรอยู่วะ!" ได้ยินเสียงดินตะโกนมาแต่ไกล รามก็พ่นลมหายใจแรงๆ "ตามมาเร็วๆ ดิวะ!"





"เออ!!" ร่างโปร่งมองใบหน้าคมตาขวาง พยายามกดอารมณ์...อย่าไปใส่ใจๆ ก็แค่เด็กปีหนึ่ง ปล่อยมันไปแล้วกัน คงเจอกันไม่บ่อยนักหรอก





ไอติมมองตามแผ่นหลังร่างโปร่งไป...ใบหน้าแดงๆ ตอนโกรธติดตา











ก็ตาตี่จริงๆ นี่...โมโหทำไม











************************Whose fault? ************************







เสียงย่ำเท้าลงบนหญ้าที่พื้น...จิตใจของชะเอมเหม่อลอยครุ่นคิดไปไกล





ต้องทำยังไง คินถึงจะฟังที่เขาพูด...เขาอยากให้คิน...กลับคืนมา...อยู่ข้างกาย





คินชอบเรย์จริงเหรอ...ถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าคินไม่ได้ชอบ แต่แค่คิดว่าเขาคิดร้ายต่อเรย์เลยแค่ทำแบบนั้น...มันก็คงง่ายกว่านี้

แล้วถ้าหากว่าคินชอบเรย์จริงๆ ล่ะ





เขาไม่อยากให้คินกับเรย์คบกัน...เรย์นิสัยไม่ดี...เขารู้...เขารู้เพียงแค่คนเดียวว่าทุกอย่างคืออะไร





ต้องบอก...ความจริง

บอกแล้วยังไงล่ะ...บอกไปก็ใช่ว่าคินจะเชื่อ





หรือเขาควรจะยอมแพ้จริงๆ ...

ยอมแพ้เหรอ





แต่เราชอบคินไม่ใช่เหรอ...รักเขา...มาตลอด





รักมาก...มาตั้งแต่เด็กๆ

เพราะงั้นจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้





เพราะว่ารัก...ก็ไม่อยากให้คินเดินทางผิด...





ต้องทำให้รู้ว่าเรย์ไม่ใช่คนดีอย่างที่คินคิด...เขากำลังเข้าใจผิด...เข้าใจผิดทั้งเรื่องของเรย์...และตัวเขาเอง





ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม





...จนกว่าหัวใจดวงนี้จะแหลกสลายไป...





ไม่ว่าคินจะไม่เชื่อหรือไม่...ก็ต้องทำให้เชื่อให้ได้





‘เรย์เป็นขนาดนี้ยังไม่พอใจอีกหรือไง! บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งอีกทำไมไม่ฟัง!’





ใบหน้าคมของร่างสูงตอนนั้น...ช่างบิดเบี้ยว...เต็มไปด้วยความรู้สึก...โกรธ...เกลียด...





“เกลียด...เหรอ” ร่างบางหยุดก้าวเดินเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างที่สว่างจ้าแสบตา น้ำตาทำให้มองเห็นก้อนเมฆขยึกขยือพร่ามัว “คินเกลียดเอมแล้วเหรอ”





เสียงใสถามออกไป ไม่รู้ทำไม...คำถามนี้น่ะ...เขาไม่อยากได้คำตอบเลยแม้แต่นิดเดียว





แค่คิด...มันก็เจ็บปวด





‘คินเกลียดเอมแล้ว ฮือ’





ถ้าหากเป็นตอนเด็กๆ คินก็คงจะเข้ามาปลอบเขาทันที...แต่ในตอนนี้ความอ่อนโยนนั่น...ไม่มีอีกแล้ว

แล้วถ้าหาก...ถ้าหากว่าต้องเจอกับความรู้สึกเกลียดแบบนั้นอีกล่ะ...จะทนไหวรึเปล่า





ร่างบางรู้สึกเหน็บหนาวหัวใจ...เดียวดาย...เหงาเหลือเกิน

ก็ช่างมันสิ...เรื่องแค่นั้นน่ะ





“อดทนไว้นะ...หัวใจของเรา” มือบางเข้ากอบกุมเสื้อเหนืออกด้านซ้ายแน่น...ราวกับเอ่ยคำสัญญา...ต่อหัวใจของตัวเอง





...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ...





เพื่อคนสำคัญเพียงคนเดียวของเขา





เพื่อให้หลุดจากวังวนอันแสนน่ารังเกียจของคนๆ นั้น





และเพื่อความหวังว่าวันเวลาและความทรงจำดีๆ ระหว่างเขากับคินจะกลับคืนมา...เพราะงั้น...





น้ำตาหยดหนึ่งหลุดจากขอบตาแดงช้ำไหลกลิ้งผ่านใบหน้าหยดลงสู่พื้นดิน...คำมั่นสัญญานี้เป็นประจักต์









...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ...







*จนกว่า...*จะได้ชดใช้...









           ************************Whose fault? ************************









ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
น้องแบบ.... อ่อนแอมากกกก  :a5:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
น้องอ่อนแอเนอะ เป็นโรคหัวใจด้วย คงรักษายาก อ่อนแอทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด ส่วนคินโง่ เหมาะสมกับเรย์สุนัขจิ้งจอก

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ผิด...ครั้งที่ 13



 

 

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

 

"อ้าว มีอะไรรึเปล่าจ๊ะพ่อหนู" เสียงป้าดังเรียกความสนใจสาวๆ ในครัวให้หันมามองทางประตูด้วยสายตานับไม่ถ้วน

 

 

"เอ่อ คือว่ามีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ"

 

 

"เอ...ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะจ้ะ ลองไปถามแม่สาวคนนั้นดูสิ" คุณป้ากำลังง่วนกับการล้างผักจึงบุ้ยปากไปทิศทางที่บอกแทน ชะเอมก้มหัวขอบคุณ เดินเข้าเรือนครัวใหญ่ที่จัดแบ่งเป็นโซนอย่างดี

 

 

แม่สาวที่ว่า...คนไหนน่ะ

 

 

"พี่ชะเอมนี่นา" ระหว่างที่สอดส่ายสายตา ได้ยินเสียงใสทักเรียกชื่อตัวเอง ร่างบางจึงผินหน้ามอง พบคนคุ้นหน้าคุ้นตา

 

 

"น้อง...สา" ชะเอมเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่แน่ใจ

 

 

"ค่ะ พี่เอมจำชื่อสาได้ด้วย" ร่างเล็กเอ่ยดีใจ ยิ้มน่ารักจนชะเอมอยากยิ้มตาม

 

 

"พอดีพี่จะมาช่วยในครัว มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย" ร่างบางพูด สายตาก็จับจ้องที่มือเล็กกำลังง่วนเด็ดใบกะเพรา "นี่จะทำอะไรเหรอ"

 

 

ดูจากทรง ไม่น่าจะพ้นผัดกะเพรา

 

 

"อ๋อ วันนี้มื้อเที่ยงจะทำผัดกะเพราไก่ หมูผัดพริกขิง แล้วก็ไข่เจียวหมูสับค่ะ" เจ้าตัวฉีกยิ้มภูมิใจนำเสนอเมนูที่ทุกคนช่วยกันคิด ร่างบางพยักหน้าครางในลำคอ ก็เป็นอะไรที่ทำง่าย แถมไม่ต้องใช้ของเยอะดี

 

 

“สามอย่างเหรอ”

 

 

“ค่ะ ถ้ามากกว่านี้คงทำกันไม่ทันแน่ค่ะ”

 

 

"งั้นให้พี่ช่วยนะ" ชะเอมมองกองใบกะเพราที่อยู่ตรงหน้าที่กองสูงจนคิดว่า ถ้าไม่รีบทำสงสัยพวกผู้ชายคงไม่ได้กินทันตอนเที่ยงแหงๆ

 

 

สาพยักหน้ารัว "ได้ค่ะ"

 

 

ร่างเล็กเด็ดใบในมือไป แอบมองคนข้างๆ ไปด้วย พี่ชะเอมสูงกว่าเธอก็จริง แต่ถ้าเทียบกับผู้ชายคนอื่นถือว่าตัวเล็กไปเลย ยิ่งร่างกายผอมเกือบติดกระดูกนี่ยิ่งทำให้ดูตัวเล็กเข้าไปใหญ่ ยังมีใบหน้าขาวซีดเนียน ริมฝีปากบางสวย แพขนตายาวเหมือนผู้หญิงด้วย

 

 

ไม่ใช่แค่เธอที่แอบมองรุ่นพี่คนนี้ ตั้งแต่ชะเอมก้าวเข้ามาก็มีแต่คนจับจ้อง ไม่เพียงรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดสายตาแล้วยังมีชื่อเสียงโจษจันที่ทวีคูณให้คนสนใจ

 

 

และที่สะดุดตาเธอมากที่สุดเห็นจะเป็น...ดวงตากลมโตที่แฝงความเศร้าสร้อย...ปวดร้าว

 

 

เธอไม่เคยสนใจเรื่องที่เคยได้ยินจากปากต่อปากเกี่ยวกับพี่ชะเอมแม้แต่น้อย เพราะแววตาที่แสดงออกมาคู่นี้ล่ะมั้ง

 

 

ถึงแม้ว่าเพื่อนสนิทของเธอจะไม่ชอบรุ่นพี่ร่างผอมคนนี้ขนาดไหน และแม้ว่าเพื่อนสนิทของเธอ...แม้ว่ารินน่ะจะเป็น...

 

 

"นายมาทำอะไรในครัวไม่ทราบ" เสียงประกาศิตดังขึ้นข้างหลังให้ชะเอมหันมอง แต่มือบางไม่ได้หยุดการกระทำ ยังคงทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อไปด้วยความคล่องแคล่ว

 

 

"งานฝั่งนู้นก็ยังไม่เสร็จ คิดจะเอาสบายอยู่ในครัวแทนหรือไง" สาวผมยาวกอดอกพูดแดกดัน

 

 

"ริน..." สาเรียกชื่อเพื่อนอยากจะปราม แต่คนเยอะขนาดนี้เธอก็ไม่กล้า

 

 

เรือนครัวใหญ่แห่งนี้เป็นแบบปิด เสียงของรินจึงดังก้องไปทั่วยิ่งทำให้เรื่องที่พูดเป็นประเด็นให้คนสนใจจับจ้องไปที่ร่างโปร่งบางที่เป็นผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้

 

 

ชะเอมฟังแล้วไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ร่างบางผินหน้ามามอง "พอดีพี่ไม่ถนัดงานยกของน่ะ ก็เลยขอมาช่วยทำอาหารในครัว น้องรินไม่ต้องห่วงนะพี่บอกจ่อยไว้แล้ว แล้วเขาก็อนุญาต" เสียงใสเอ่ยเรียบนิ่ง แววตากลมโตว่างเปล่าไม่แสดงอะไรออกมามากกว่านี้

 

 

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้หญิงที่ชื่อรินถึงมีท่าทางก้าวร้าวใส่เขาแบบนี้

 

 

เขาไปทำอะไรให้...

 

 

"หึ เป็นผู้ชายดันสำออย"

 

 

"..." ร่างโปร่งบางไม่ตอบโต้ เพียงหันหน้ามาทำสิ่งที่อยู่ในมือต่อแทน

 

 

"แล้วไม่ต้องมาเรียกน้องรินทำตัวสนิทสนม ได้ยินแล้วขยะแขยง"

 

 

"ริน!" สาพูดอย่างทนไม่ไหว ที่เพื่อนพูดนั้นมันเกินไปแล้ว ถึงคนข้างๆ จะไม่พูดอะไร แต่แววตากลมโตว่างเปล่านั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเอามากๆ

 

 

สาวผมยาวเมินคำท้วงเพื่อนสนิทตัวเล็ก "แค่งานง่ายๆ อย่างยกของก็ทำไม่ได้ แล้วจะมาทำอะไรในครัว"

 

 

"พี่ทำอาหารได้ครับ" ชะเอมตอบ ไม่มีแม้แต่ความโกรธหรือโมโหในน้ำเสียง "ถ้าหากมีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลยนะ"

 

 

เมื่อเจอปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงเธอก็พ่นลมจมูกแรงๆ อย่างไม่ได้ดั่งใจ อะไรกัน นี่เธอว่าขนาดนี้ยังไม่โมโห ถ้าไม่หน้าด้านมากพอก็ตายด้านแล้วล่ะ

 

 

'ถ้าหากมีอะไรให้พี่ช่วย บอกได้เลยนะ' ...เหรอ

 

 

รินตาวาว อยากอวดดีนักใช่ไหม...ได้

 

 

"พี่ชะเอมอย่าโกรธรินเลยนะคะ ปกติเธอไม่ใช่คนแบบนี้หรอกค่ะ" สาบอกเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองเดินไปทางอื่นแล้ว เธอกลัวว่าร่างบางจะโกรธเคืองเพื่อนสนิทตัวเอง กลัวมองหน้ากันไม่ติดด้วย

 

 

"พี่จะโกรธอะไรได้" ชะเอมยิ้มอ่อน ท่าทางละล่ำละลักเหมือนกลัวเขาโกรธนั่นอะไรกัน คนตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรเขาแท้ๆ นะ "ไม่เป็นไรพี่ไม่โกรธหรอก"

 

 

"..." สาเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี เธออยากบอกด้วยซ้ำว่าให้แสดงความโกรธบ้างก็ยังดีกว่าทำหน้าเศร้าแบบนี้

 

 

"ไม่รู้สิ...พี่แค่...ไม่เข้าใจ" มือบางแยกกิ่งที่หมดใบไปอีกกอง หยิบก้านใหม่มาเด็ด "ทำไมเขาถึงโกรธพี่ขนาดนั้น"

 

 

สาวตัวเล็กฟังแล้วกัดปาก "พี่ชะเอม...รินเขาเป็นน้องของพี่เรย์ค่ะ"

 

 

ชะเอมได้ยินก็เบิกตาตกใจนิดๆ ...จะว่าไปใบหน้าทั้งสองคนก็มีส่วนคล้ายๆ กันอยู่ แต่เขาไม่เคยเอะใจเลย

 

 

อย่างนั้นเองเหรอ

 

 

เพราะงั้นเองสินะ...เขาไม่แปลกใจที่ใครๆ ต่างก็มองเขาด้วยท่าทางแตกต่างกันไป ยิ่งเป็นสายเลือดเดียวกันอย่างน้องสาวตัวเองแล้วยิ่งมีอารมณ์ลบแรงกล้าใส่เขามากกว่าคนอื่น

 

 

ชะเอมล่ะอยากจะยกตุ๊กตาทองรางวัลออสการ์ให้เรย์เลย

 

 

นายเก่งจริงๆ ที่ทำให้คนอื่นเกลียดตัวเขาได้มากขนาดนี้

 

 

โดยเฉพาะคิน



 

คิดแล้วรู้สึกปวดหนึบในอก

 

 

"..." สาเม้มปากมองใบหน้าซีดเซียวจากด้านข้างของรุ่นพี่ที่ไม่พูดอะไรแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าง่วนทำงานที่ได้รับมอบหมาย

 

 

บทสนทนาที่คุยกันก่อนหน้า คนที่ร่วมกลุ่มรับหน้าที่เด็ดใบกะเพราอยู่ได้ยินกันทุกคนแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ยิ่งเห็นชะเอมนิ่งเงียบ บางคนต่างคิดไปต่างๆ นานาร้อยแปด

 

 

ไม่มีใครไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสองสามวันก่อนซึ่งดังมากพอควร และทุกคนได้ยินมาเหมือนกันหมด...เรื่องราวเล่าลือโดยตรงมาจากปากของสาวสวยนามว่าริน ซึ่งคิดว่าน่าจะมาจากเรย์อีกต่อหนึ่ง

 

 

ไม่มีใครอยู่ในเหตุการณ์หรือเห็นเหตุการณ์จริงๆ ว่าสิ่งที่เรย์พูดคือข้อเท็จจริงหรือไม่...เพราะมีแต่เรย์กับชะเอมเท่านั้นที่รู้

 

 

ถ้าจะเรียกฟังความข้างเดียวก็คงได้...ก็โจทก์อีกฝั่งไม่พูดอะไรแบบนี้จะให้เข้าใจว่ายังไงล่ะ

 

 

"น้องครับ..." เด็กสาวคนหนึ่งสะดุ้งเมื่อตากลมโตจ้องมาที่ตัวเอง

 

 

"ค..คะ!"

 

 

"คือ...ใบที่น้องเด็ดนั่นมันเฉาแล้วนะ" มือบางชี้มาที่ใบไม้ในมือ มันดำอยู่ส่วนหนึ่ง

 

 

"อ้อ จ...จริงด้วย ขอโทษค่ะ" เธอประหม่ามากไม่รู้จะตอบอะไรเลยขอโทษไว้ก่อน รีบทิ้งใบนั่นลงถังขยะไป

 

 

ชะเอมมองท่าทางนั้น นี่เขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ "ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้จะว่า" ริมฝีปากบางยิ้มอ่อน "ไม่ต้องขอโทษก็ได้"

 

 

เด็กสาวพยักหน้า บรรยากาศอ่อนโยนกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลทำให้รู้สึกเปลี่ยนความคิด รุ่นพี่ตรงหน้าก็ไม่ได้ดูเลวร้ายเหมือนที่ได้ยินมาขนาดนั้นนี่นา

 

 

"ค่ะพี่ชะเอม"

 

 

"เวลาน้องเด็ด ดูใบอ่อนๆ ไม่สากมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ตรงยอด เวลาเอามาผัด คนกินจะได้กินอร่อยไม่ติดคอ" ชะเอมพูดไปเด็ดไปดูคล่องแคล่วเป็นมืออาชีพจนคนมองทึ่ง ไม่เคยคิดว่าผู้ชายจะดูคล่องเรื่องนี้ยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก และทุกขั้นตอนร่างบางก็ดูใส่ใจมากจนคนมองประทับใจ

 

 

"อย่างนี้เหรอคะ" สาถาม เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ทำอาหารไม่เป็น แม่เธอเป็นคนทำตลอดเลย

 

 

"ครับ" ร่างบางพยักหน้า เพียงแค่นั้นไม่รู้ทำไมเธอถึงดีใจนัก

 

 

ชะเอมเหม่อมองใบไม้ในมือ นิ้วโป้งนิ้วชี้ปั่นมันไปมา แค่คิดถึงตอนที่คนที่รักกินสิ่งที่ตั้งใจทำ มันก็รู้สึกว่าคุ้มจริงๆ ที่ใส่ใจ

 

 

แต่ตอนนี้น่ะ...

 

 

จากนั้นก็มีเสียงพูดคุยเป็นกันเองเกิดขึ้นในวง ชะเอมทำไปตอบคำถามที่น้องๆ ชวนคุย ปกติก็ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่เคยอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ ...แถมยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่...ไม่เคยคุยกับผู้หญิง...เลยไม่รู้ว่าผู้หญิงชอบคุยอะไร

 

 

"ว้าว ปกติพี่ทำอาหารกินเองเหรอคะ สุดยอดเลย" ชะเอมยิ้มกับสายตาวาววับที่ดูเปลี่ยนไปจากตอนแรก

 

 

"ครับ"

 

 

"หนูอยากทำเป็นบ้างจัง"

 

 

"ถ้าฝึกมากๆ ก็จะทำเป็นเองนะ ไม่ยากหรอก พี่ว่าเราทำได้อยู่แล้ว" ร่างบางให้กำลังใจ ไม่ว่าใครก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้นแหละ

 

 

ยังนึกถึงตอนที่เขาทำอาหารครั้งแรก ที่คินเป็นคนชิม...และให้กำลังใจเขา

 

 

'มันเค็มไปนิดนึงนะ'

 

 

'งั้นเหรอ งั้นเดี๋ยวคราวหน้าเอาใหม่นะ คินก็อย่าเพิ่งท้องเสียไปก่อนล่ะ'

 

 

'อืม...อย่างนี้แหละอร่อย ผิดกับตอนแรกลิบลับเลยนะเนี่ย แสดงว่าฝีมือพัฒนาขึ้นเยอะ'

 

 

'แน่นอนอยู่แล้ว'

 

 

 

'หึหึ อาหารฝีมือเอมใช้ได้เลยนะเนี่ย สงสัยคินจะฝากท้องกับใครไม่ได้อีกแล้วล่ะ'

 

 

"พี่ชะเอมผอมจังค่ะ" เด็กสาวอีกคนมองรูปร่างชะเอมแล้วเอ่ยขึ้นให้ชะเอมรู้สึกตัว เธอไม่ได้อิจฉาแต่รู้สึกว่ารุ่นพี่คนนี้ผอมเกินไปต่างหาก

 

 

"พี่กินไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่น่ะ" ถึงเขาจะกินครบสามมื้อ แต่ก็กินน้อย กินพอให้มีอะไรอยู่ในท้อง...แถมช่วงนี้ก็กินไม่ค่อยลงด้วย น้ำหนักก็เลยลดลงไปเยอะ

 

 

"แล้วพี่ใส่เสื้อคลุมแบบนี้ไม่ร้อนเหรอคะ" สาขมวดคิ้ว อันที่จริงเธอสงสัยตั้งแต่แรกที่เห็นแล้ว

 

 

"...ไม่ครับ" ชะเอมชะงัก ยิ้มแห้ง มือเผลอดึงตรงบริเวณคอเสื้อให้เข้ากระชับไหล่บาง แถมกวาดมือลูบกระเป๋าแล้วโล่งอกเมื่อสิ่งที่ควรจะอยู่ตรงนั้นมันอยู่ที่เดิม...ทุกการกระทำทำไปโดยไม่รู้ตัว แค่ให้อุ่นใจไว้ก่อน "พี่เพิ่งหายไข้เมื่อวานเลยยังรู้สึกหนาวๆ"

 

 

"ไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ" ใบหน้าซีดเซียวประกอบกับที่พูดด้วยทำให้หลายคนเอ่ยถาม

 

 

"ดีขึ้นแล้วครับ ขอบคุณน้องๆ ที่เป็นห่วง" รอยยิ้มมีเสน่ห์ทำใจคนมองละลาย สาวๆ หน้าแดงกันเป็นแถบ รุ่นพี่ชะเอมมีใบหน้าสวยอยู่แล้วยิ่งยิ้มยิ่งเหมือนแสงอะไรบางอย่างเจิดจ้ากระแทกเข้าตา

 

 

สาลอบมอง แม้ริมฝีปากบางจะยิ้ม แต่ดวงตาแห้งผากของเขาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย

 

 

"มัวแต่คุยกัน งานเสร็จแล้วเหรอ" สาวๆ สะดุ้งก้มหน้าก้มตาทันที ชะเอมหันไปก็เห็นรินที่ยืนกอดอกทำหน้าเข้ม ไม่สมกับหน้าตาสวยๆ "นายมาช่วยงานตรงนี้หน่อย"

 

 

รินสะบัดตัวเดินไปทันทีที่พูดจบ เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครเดินตามก็หันมาจิ๊ปากใส่คนที่ยังยืนหน้ามึน "ไหนบอกว่ามีอะไรให้ช่วยให้มาเรียกไง...นายนั่นแหละ! ตามมาเร็วๆ!"

 

 

"...ครับ" ชะเอมละมือออกมาจากสิ่งที่ทำอยู่ เดินตามคนที่สูงน้อยกว่าเขานิดนึง สำหรับผู้หญิงแล้วความสูงเท่านี้ก็ถือว่ามาก

 

 

"ยกถังนี่ให้หน่อยสิ มันหนัก" สายตามองตามนิ้วชี้ไปที่ถังสี่เหลี่ยมใบใหญ่ "เอาไปวางตรงนั้น"

 

 

ยกของอีกแล้ว?

 

 

"ในนี้มีนายคนเดียวเป็นผู้ชาย มันหนักมากผู้หญิงยกไม่ไหวหรอก" รินแจกแจงสบายๆ กวาดตามองชะเอมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้ม ในใจมีจุดประสงค์บางอย่าง "ช่วยหน่อยนะ"

 

 

 

ที่บอกว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอกน่ะ...หมายถึงทำอาหารต่างหาก

 

 

"..." ร่างบางก้มมองกล่องที่วางอยู่ตรงพื้นนิ่ง ถอนหายใจเบา

 

 

คิดจะทำอะไรกันนะ...เจอทั้งพี่ทั้งน้องแบบนี้เขารับมือไม่ถูกเลย

 

 

ในขณะที่ย่อตัวลงยกไอ้ถังที่ว่า พบว่าน้ำหนักมากกว่าที่เขายกต้นไม้นี่อีก แต่แล้วก็มีมือเข้ามาสอดช่วยอีกด้าน

 

 

"หนูช่วยนะ"




ต่อด้านล่างค่ะ



ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


ต่อจากด้านบนค่ะ



 

 

"น้องสา" ชะเอมเรียกแปลกใจนิดๆ ขมวดคิ้วเมื่อขนาดตัวน้องกับสิ่งที่ยกมันแทบจะเท่ากันเลย "อย่าเลย มันหนักครับ"

 

 

"นั่นแหละค่ะ หนูถึงมาช่วยไงคะ พี่ชะเอมจะยกคนเดียวได้ไง" สาขมุบขมิบปากหน้ามุ่ย

 

 

“แต่ว่านะ...”

 

 

"ยัยสา อย่ามายุ่งน่า!" รินเดินกราดเข้ามาเมื่อเห็นภาพที่ขัดตา "งานของเธอยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ!"

 

 

"แล้วรินล่ะคิดจะทำอะไร พี่ชะเอมเขายกของหนักคนเดียวแบบนี้ไม่ไหวอยู่แล้ว แค่ดูก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ" สาทนดูไม่ไหวเถียงออกมาทำให้รินอึ้งไป

 

 

จู่ๆ สาวตัวเล็กผู้หวาดกลัวกลับกล้าเถียงเธอขึ้นมา มีเพียงอย่างเดียวที่เธอคิดออกคือชะเอมมันหลอกล่อเพื่อนของเธอด้วยคำพูดอะไรอีก

 

 

จะเรียกร้องความสนใจไปถึงไหน

 

 

“เอ่อ...” ชะเอมมองสลับไปมาทั้งสีหน้าลำบากใจ

 

 

"เดี๋ยวพี่ช่วยเอง" เสียงใสของใครคนหนึ่งแทรกขึ้น พร้อมกับก้าวเข้ามาในคลองสายตาของชะเอม เป็นผู้หญิงตัวสูงดูทะมัดทะแมงและที่สำคัญหน้าตาสวยมาก ไร้ที่ติ "น้องสาไปทำงานของตัวเองเถอะ"

 

 

"พี่...ทราย" สาเรียกชื่อ ตากลมดำมองสลับไปมาระหว่างทั้งสองคน ดูท่าทางจะรู้จักกันก่อนอยู่แล้วด้วยแฮะ

 

 

ใคร...



 

เจ้าของชื่อยิ้ม "ไปสิ"

 

 

"ค่ะ" คนตัวเล็กพยักหน้า ถอยออกมาให้คนมาใหม่มาแทนที่ตน แล้วยิ้มให้ชะเอมก่อนเดินกลับไปประจำตำแหน่งเดิมที่อยู่ไม่ไกล ส่วนรินเหมือนคนนอกที่ยืนมองตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ถ้าสังเกตไม่ผิดดูจะไม่พอใจมากกว่าเดิมตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา

 

 

"เธอคงไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้าพี่จะช่วยเขา" รุ่นพี่หันไปพูดกับริน ตาดุๆ ทำให้เธออึกอักแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้

 

 

"...ค่ะ"

 

 

ชะเอมไม่ทันพูดอะไร เพราะเดินตามแรงยกของหญิงสาวที่ดูจะแข็งแรงมีกล้ามเนื้อมากกว่าตัวเองเสียอีก "ขอบคุณครับ"

 

 

คนชื่อทรายเลิกคิ้ว เดินนำไปยกอีกกล่องซึ่งร่างบางก็เดินตาม "ไม่ต้องสุภาพหรอก ฉันอยู่ปีเดียวกันกับนายนั่นแหละ"

 

 

"...อ๋อ" ชะเอมพยักหน้านิดๆ ขณะย่อตัวก้มยกกล่องที่สาม "ชื่อทรายใช่มั้ย ผมชื่อเอมนะ"

 

 

"รู้อยู่แล้ว" ทรายยิ้มนิดๆ แต่มีเสน่ห์เหลือล้น "ชื่อเสียงของนายน่ะดังจะตาย"

 

 

ชื่อเสียน่ะสิ...ร่างบางคิด คงจะต้องทำใจกับเรื่องพวกนี้ให้ได้ซะที ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือไม่ดีที่ไปไหนใครๆ ก็รู้จัก "...เหรอครับ"

 

 

ทั้งสองวางกล่องสุดท้าย ชะเอมหอบน้อยๆ ปาดเหงื่อตรงหน้าผาก ในครัวนี่ก็ร้อนใช่ย่อยนะเนี่ย...ไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าของตัวเองซีดมากขนาดไหน

 

 

หญิงสาวเหลือบมองหน้ามนที่เหงื่อออกเยอะผิดปกติก็ยังอดถามไม่ได้ "นายไหวรึเปล่าเนี่ย"

 

 

"ครับ?" ชะเอมเลิกคิ้วไม่เข้าใจว่าเธอพูดเรื่องอะไร สายตาเหลือบมองของที่เหลือที่ต้องยก "อ๋อ ไหวสิครับ"

 

 

ทรายถอนหายใจกับความใสซื่อ(และบื้อ) แววตากลมโตแสดงความงุนงงออกมาชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก

 

 

"บอกว่าไม่ต้องสุภาพไง อายุเท่ากัน" หญิงสาวเท้าสะเอว แล้วก็การวางตัวที่ดูเหมือนถูกเลี้ยงดูอย่างกับไม่ให้ริ้นไรตอมนี่มันอะไรกัน...ความสุภาพของผู้ชายคนนี้ทำให้หญิงสาวอย่างเธอยังต้องอายเลย ให้ตายสิ

 

 

"แต่เธอเป็นผู้หญิง" ชะเอมเสียงอ่อน เขาไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ นะ

 

 

“โอเคๆ ...นายจะพูดยังไงก็แล้วแต่เลยละกัน” ทรายยกมือสองข้างยอมแพ้ ความดื้อดึงที่ทำให้เธอเหนื่อยเปล่าๆ “ทำตรงนี้เสร็จแล้วไปช่วยฉันด้านโน้นต่อด้วยนะ”

 

 

“อ่ะ ครับ” ชะเอมว่าอย่างไม่คิดอะไร ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกช่วยเหลือจากหญิงสาวที่ตัวเองเพิ่งรู้จักหมาดๆ

 

 

ทรายหรือเม็ดทราย นักศึกษาปีสาม เป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มที่ฮ็อตที่สุดในคณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ชายมากกว่าแปดสิบเปอร์เซนต์...ใช่แล้ว เธอเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับคิน เดือนเด่นวิศวะ และเธอก็เป็นดาวคณะคู่กับคินในปีเดียวกันอีกด้วย เม็ดทรายได้รู้จักกับคิน เรย์และเพื่อนคนอื่นในกลุ่มก็ตอนปีหนึ่งนั่นแหละ เธอคิดว่าเพื่อนๆ เป็นคนนิสัยดีและน่ารักกันทุกคน โดยเฉพาะคินที่เป็นสุภาพบุรุษที่สุด กับเรย์เพื่อนชายตัวเล็กน่ารักจนหนุ่มๆ รุมจีบเดือดร้อนให้เพื่อนในกลุ่มต้องผลัดกันเป็นไม้กันหมาให้ตลอดเวลา แต่พอผ่านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปีสองเธอก็เริ่มคิดว่าท่าทางที่แสดงออกมาของเรย์นั้นเริ่มจะเสแสร้งมากขึ้นทุกที ยิ่งมีเรื่อง ‘แฟน’ ของคินเข้ามาเกี่ยวข้องจนเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันครั้งหนึ่งทำให้เธอยิ่งจับตาดูเรย์ทุกฝีก้าว

 

 

 

เธอไม่ได้รังเกียจความรู้สึกรักชอบของเรย์ที่มีต่อคินหรอก เพราะความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ แต่ทั้งๆ ที่เรย์ก็รู้ว่าคินมีแฟนอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องแสดงความเป็นเจ้าของเกินหน้าเกินตาซะจนเรื่องราวถึงหูแฟนตัวจริงอย่างชะเอม...ทั้งเรื่องบอกชอบคินต่อหน้าต่อตาคนหลายคนด้วย...ทำเหมือนกับ...จงใจ

 

 

 

ดูมีจุดมุ่งหมายอะไรบางอย่างซึ่งไม่ได้ใสซื่ออย่างที่เจ้าตัวแสดงออกมาเลย

 

 

 

แต่กระนั้นทรายไม่กล้าปักใจเชื่อ จึงสังเกตมาเรื่อย จนกระทั่ง...

 

 

 

ตึก ตึก ตึก!

 

 

“ขอโทษนะคะคุณ กรุณาอย่าวิ่งบนทางเดินค่ะ! จะรบกวนผู้ป่วยท่านอื่นได้นะคะ!” เสียงเตือนของพยาบาลตะโกนบอกหญิงสาวที่วิ่งจนผมปลิวกระเซิง เธอไม่ได้สนใจคำกล่าวนั้นเพราะเพิ่งได้รับโทรศัพท์บอกว่าเพื่อนของเธอโดนรถเฉี่ยวชนจนต้องเข้าห้องผ่าตัด

 

 

 

ถึงจะได้ยินว่าปลอดภัยแล้วก็เถอะ แต่ก็อดห่วงไม่ได้จนต้องมาดูด้วยตาตัวเอง

 

 

 

สายตากวาดมองเลขห้องจนขาคู่เรียวภายใต้กางเกงยีนส์หยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง มือเรียวเอื้อมจะเปิดประตูแต่พอแง้มได้นิดหนึ่งก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างลอดออกมาจากห้องผู้ป่วย

 

 

“มึงทำได้ดีมาก...เรื่องเงินที่ตกลงกันไว้เดี๋ยวกูโอนให้วันหลัง”

 

 

เม็ดทรายเบิกตา สิ่งที่ได้ยินทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ

 

 

“หัวแตกนิดหน่อย...เจ็บตัวก็จริงแต่สิ่งที่ได้มามันก็คุ้มค่า”

 

 

(“…”)

 

 

“ไม่ต้องแส่น่า มึงไม่พูด กูไม่พูด ใครจะไปรู้”

 

 

(“…”)

 

 

“เออ หึหึ เจ้านั่นเหรอ โดนคินไล่ตะเพิดไปแล้วมั้ง สมน้ำหน้ามัน”

 

 

(“…”)

 

 

“เป็นแค่เด็กไม่มีพ่อแม่ จะไปมีอะไรที่เหมาะสมกับคิน ถ้ายังไม่สำเหนียกตนคราวหน้ากูจะเอาให้หนักกว่านี้อีก”

 

 

(“…”)

 

 

“จะกลัวอะไรนักหนา สั่งอะไรก็ทำไป รอเฉยๆ รับเงินไปใช้ก็พอ”

 

 

หญิงสาวที่แอบฟังอยู่หลังประตูใช้มืออีกข้างเคาะประตูให้คนข้างในรู้สึกตัวว่ามีคนมา

 

 

ครืด

 

 

“แค่นี้ก่อนนะริน...บาย” เสียงใสพูดดังผิดวิสัย ตากลมหันมามองคนเปิดประตูก็พบเพื่อนสาวสวยที่ทำหน้าเรียบนิ่ง “อ้าว ทรายเองเหรอ ขอบใจมากเลยที่มาเยี่ยม จริงๆ ไม่เห็นต้องมาเลย”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้เอง ฉันตกใจมากเลยนะที่รู้ว่านายโดนรถชนจนต้องเข้าผ่าตัดน่ะ”

 

 

“ก็เย็บไปหลายเข็มอยู่เหมือนกันอ่ะ”

 

 

“เจ็บมากไหม นี่ก็รีบวิ่งมาเลยตั้งแต่คินโทรไปบอกน่ะ” ร่างบางหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย สายตาสำรวจทั่วร่างเห็นผ้าพันแผลรอบศีรษะกับผ้าก๊อซสีขาวแปะตามแขน ท่าทางจะไม่เป็นอะไรมากเท่าไหร่เพราะสีหน้าสดใสกว่าที่คิด “ว่าแต่เมื่อกี้คุยกับใครเหรอ ฉันได้ยินแว่วๆ”

 

 

“เอ๊ะ อ...อ๋อ ก็รินไง น้องสาวโทรมาเพราะเป็นห่วงบอกว่าจะมาเยี่ยม แต่เราบอกว่าไม่ต้องมาก็ได้น่ะ” ร่างเล็กตอบรัวเร็วยิ้มแหย แถมหลบตาด้วย

 

 

เม็ดทรายก็ทำนิ่งได้แต่เก็บความสงสัยเรื่องเมื่อกี้เอาไว้ในใจ “...เหรอ”

 

 

เม็ดทรายรู้ตัวว่าเธอไม่ใช่คนดีเด่อะไร เธอแค่อยากให้เพื่อนๆ มีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ชอบความไม่ถูกต้องอย่างที่สุดเช่นกัน...ดังนั้นนอกจากเรื่องของเรย์แล้วเธอก็อยากจะรู้ว่าคนที่ชื่อชะเอม แฟนเก่าคินเป็นคนยังไง ดังนั้นเธอจึงมาทำเนียนเข้ามาคุยด้วยหลังจากที่ได้ยินสาวๆ หลายคนคุยกันว่าเจ้าตัวเข้ามาทำงานในครัวแทนที่จะไปทำงานกับผู้ชายคนอื่นๆ

 

 

สรุปแล้วว่าเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย...แบบ...หมายถึงไม่มีอะไรในกอไผ่น่ะ

 

 

“คุณทราย ทำอะไรน่ะครับ มันต้องหั่นแบบนี้นะ”

 

 

“อ่ะ เอ้อ! โทษทีมัวแต่เหม่อ”

 

 

“ไม่ดีเลยนะครับ เหม่อในขณะถือของมีคมอยู่ในมือเนี่ย” ร่างบางเอ่ยดุขมวดคิ้ว แล้วคำดุก็ช่างสุภาพอย่างผู้ดีไม่มีกระบิดนิ้วเลยจริงๆ “มาเดี๋ยวผมทำเอง”   

 

 

“...” ทรายยืนมองชะเอมใช้มีดอย่างคล่องแคล่วด้วยความทึ่ง “นายทำอาหารเก่งนะ”

 

 

“ผม...ทำอาหารทานเองบ่อยๆ ครับ” ปากบางพูดแต่ก็มือก็ยังทำต่อไปไม่ขาดตอน

 

 

“ฉันไม่ค่อยเห็นผู้ชายทำอาหารน่ะ แปลกตาแต่มีเสน่ห์มากเลย รู้มั้ย”

 

 

ฟังหญิงสาวพูดแล้วชะเอมก็หัวเราะออกมาเสียงใส...ยิ่งมีเสน่ห์ “ขอบคุณครับ”

 

 

เม็ดทรายสำรวจใบหน้าตั้งใจของคนด้านข้าง ทั้งตาปากจมูกรับกันอย่างพอดี ให้ตายเถอะ ทั้งๆ ที่เธอคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองสูงแล้วก็ชอบผู้ชายที่มั่นใจว่าจะดูแลตัวเธอได้...แต่ว่าผู้ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนใจมาดูแลแทน ถ้าไม่ติดว่าเธอมีแฟนอยู่แล้วล่ะก็นะ

 

 

น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ เลย...เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ

 

 

“แล้วคุณทรายชอบทำอาหารมั้ยครับ” ชะเอมชวนคุยบ้าง...ก็รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่แค่หน้าตาดี ทั้งยังคุยเก่ง คุยสนุกอีกต่างหาก

 

 

สาวสวยส่ายหน้าทันที “ไม่เลย ชอบกินมากกว่า”

 

 

“แล้วคุณทรายชอบกินอะไรเหรอ”

 

 

“อืม...” หญิงสาวครางทำท่านึก เอ...มันก็หลายอย่างนะ “ถ้าจะให้พูดก็คงเป็น...ของอร่อยๆ”

 

 

ชะเอมหลุดหัวเราะกับคำตอบ “ครับ...งั้นเดี๋ยวผมทำสุดฝีมือเลย คุณทรายจะได้ชอบ” ร่างบางเอ่ยคำอย่างมั่นเหมาะ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เงียบ ชะเอมก็ตั้งใจทำงานตรงหน้าไป ส่วนเม็ดทรายก็ตกอยู่ในภวังค์

 

 

ทำไมคินถึงเลิกกับคนๆ นี้ได้นะ...หญิงสาวได้แต่ครุ่นคิด เท่าที่เธอคุยมา ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ดีมากๆ ...นิสัยก็น่ารัก ทั้งอ่อนโยน ทั้งเอาอกเอาใจ และเอาใจใส่คนรอบข้าง

 

 

อยากจะรู้...ว่าชะเอมคิดยังไงกับเรื่องของคินกับเรย์

 

 

“เวลาเอมทำอาหารแล้วดูมีความสุขนะ...แบบดูเพลิดเพลินไปกับมันอะไรประมาณนั้น”

 

 

“เหรอครับ” ร่างบางเลิกคิ้ว...งั้นเหรอ ไม่เห็นรู้ตัวเลย

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ”

 

 

“อาจเป็นเพราะ...” ชะเอมคิดจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป...ดวงตาฉายแววเศร้าหมอง

 

 

“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดก็ได้นะ” หญิงสาวบอก ถึงแม้เธออยากจะรู้มากแค่ไหน...และเธอก็คาดเดาไว้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของคินแน่ๆ

 

 

“อื้อ ไม่เป็นไร” ใบหน้ามนส่ายน้อยๆ “ที่ผมชอบทำอาหารอาจเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนผมทำอาหารแล้วมีคนชมว่าผมทำอร่อยน่ะ”

 

 

หญิงสาวสดับฟังเสียงใสที่เอ่ยออกมาอย่างเศร้าๆ ดวงตากลมโตเหม่อลอยอย่างคนที่นึกถึงอดีต เธอก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ใครเหรอ คนที่ชมคนนั้น...”

 

 

“...”

 

 

“หรือว่า...จะเป็นคนที่ชอบ”

 

 

ชะเอมเม้มปากแน่น พยักหน้าน้อยๆ มือบางสั่นระริกจึงต้องหั่นของในมือเชื่องช้าลง “ครั้งแรกผมทำอาหารไม่ได้เรื่องเลย...แบบว่ามันแย่มากๆ เลย...แต่เขาก็ยังยอมกินแล้วก็ให้กำลังใจผม”

 

 

“...”

 

 

“ทุกครั้งที่ผมปรับปรุงฝีมือ เขาก็จะกิน...แล้วก็จะชมผมทุกครั้งว่ารสชาดดีขึ้นมาก”

 

 

“...”

 

 

“มันทำให้ผมมีกำลังใจและก็ตั้งใจทำทุกครั้งเพราะผมคิดว่าคนที่กินมันจะชอบในสักวันหนึ่ง” เสียงใสสั่นเครือ ยิ่งพูดน้ำตายิ่งบดบังให้ภาพพร่าเลือน คิดถึง...วันเหล่านั้น “ทุกๆ วัน...ทุกๆ ครั้งที่ผมทำอาหารผมมีความสุขมาก”

 

 

“...”

 

 

“จนวันหนึ่งเขาก็บอกว่าชอบอาหารของผม อยากกินอาหารที่ผมทำทุกวัน...มันทำให้ผมดีใจมาก อึก แต่ว่า...แต่ว่า...” ริมฝีปากบางขบกัดหวังจะกลั้นหยาดน้ำที่มันกำลังล้นจากขอบตา “ตอนนี้เขาคงไม่อยากกินมันอีกแล้ว”

 

 

เสียงทุ้มที่เคยเอ่ยชมเขา...เสียงอ่อนโยน...ใจดี

 

 

‘นายนั่นแหละหยุดพูดได้แล้ว!!’ ...มันยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท

 

‘บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งอีกทำไมไม่ฟัง!’ ทั้งสายตารังเกียจที่ทำให้ผมไม่แม้แต่จะกล้ามองมันอีกครั้งเพราะยังคงติดตาไม่เลือนหายไป

 

 

 

 

 “เพราะเขาเกลียดผมแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************





ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ชะเอม หาใหม่เลยลูก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
Whose Fault ?



 

 

ผิด...ครั้งที่ 14

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

 

 

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน

 

 

ครืด...

 

 

"สวัสดีคิน" เมื่อเห็นคนเปิดประตูออกมาไม่ใช่แค่เอมแต่เป็นหมอกฤษณะ ผมที่นั่งรอคนที่มาตรวจอยู่ก็รีบลุกขึ้นไหว้ทันที

 

 

 

"หวัดดีครับ อากฤษ"

 

 

ร่างบางที่อยู่เยื้องด้านหลังอาหมอมองผมแล้วทำสีหน้าแปลกใจ...คงแปลกใจว่าทำไมผมยังอยู่...คงนึกว่าผมจะออกไปกับเรย์แล้วสินะ

 

 

ผมไม่คิดจะพูดอะไร...ถึงจะไม่ค่อยชอบใจที่เจ้าตัวเข้าใจอย่างนั้นก็เถอะ

 

 

เรย์ที่นั่งข้างๆ เห็นผมไหว้อาหมอก็ลุกตาม ร่างเล็กยกมือไหว้แล้วส่งยิ้ม "สวัสดีครับคุณหมอ"

 

 

คำทักทายเป็นกันเองเหมือนเคยเจอกันมาก่อน ทำให้ชะเอมที่ไม่รู้เรื่องมองอย่างสงสัย

 

 

"อ้าวเรย์ นี่มาด้วยกันเหรอ หรือว่าไปทำอะไรมาอีก ฮึ? แผลคราวที่แล้วดีขึ้นเยอะแล้วนะ เฮ้อ เด็กสมัยนี้ทำอะไรไม่รู้จักระวังเอาซะเลย" กฤษณะเดินเข้ามาตบไหล่เล็ก ประโยคหลังพึมพำแต่ร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ยังได้ยิน ชะเอมเบิกตากว้างมองมาที่ผม

 

 

ใช่ ครั้งก่อนที่ชะเอมมีปากเสียงกับเรย์จนบาดเจ็บเพราะเศษแจกันบาดผมพาเรย์มาโรงพยาบาลที่นี่ และคนที่ทำแผลให้ก็คืออากฤษนี่แหละ เพราะงั้นพวกเราก็เลยรู้จักกันตั้งแต่ครั้งที่แล้วแล้ว

 

 

และหลังจากนั้นผมก็พาเรย์ไปส่งที่บ้าน เจ้าตัวมีอาการไม่สบายไข้ขึ้นเนื่องจากแผลอักเสบ ผมจึงดูแลเขาตลอดสามวันสามคืนจนไม่ได้กลับไปตามที่บอกไว้กับใครบางคน...ผมลืมไปเสียสนิท

 

 

"ครับ เพราะคุณหมอทำแผลให้ กับคินที่ช่วยดูแลให้ทุกวันก็เลยหายเร็วแบบนี้ล่ะครับ" เรย์เบ่งกล้ามทำท่าเหมือนคนแข็งแรง น่าเอ็นดูจนเรียกเสียงหัวเราะของอากฤษและผม

 

 

มีแค่คนเดียวที่ยืนนิ่ง...ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเอมถึงไม่ชอบเรย์...ทั้งๆ ที่เรย์ก็นิสัยน่ารัก ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะเข้ากันได้ดีด้วยซ้ำไป

 

 

แต่ทำไม...ทำไมชะเอมที่ปกติมีนิสัยเรียบร้อยน่ารัก ถึงมีเรื่องทะเลาะถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเรย์ที่ตัวเล็กกว่าล่ะ...ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นพวกเขาคุยอะไรกัน...ที่คิดออกก็มีเพียงแค่อาจจะเถียงกันเรื่องที่เรย์ชอบผมเท่านั้น...แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่เห็นจะต้องโมโหหรือหึงจนทำร้ายกันเลยไม่ใช่เหรอ?

 

 

เรย์ชอบผมแล้วยังไง...ชะเอมที่นิสัยก้าวร้าวแบบนั้น...ผมไม่รู้จัก

 

 

“อ้าวคิน อย่ามัวแต่ดูแลเรย์จนลืมชะเอมนะ” เสียงทุ้มของอากฤษทำให้ผมหลุดจากความคิด คนตัวใหญ่ใส่ชุดกราวน์สีขาวโอบไหล่บางของชะเอมที่มีสีหน้าเพลียๆ ก่อนจะหันมาพูดกับผม “วันนี้อาการไม่ค่อยดีด้วย อาว่า...”

 

 

แต่ยังไม่ทันพูดจบ เอมก็เอ่ยขัดขึ้นมาซะก่อน "ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะไปห้องน้ำแล้วขอตัวกลับเลยครับ สวัสดีครับอาหมอ" เจ้าตัวไม่ลืมไหว้อย่างสุภาพแล้วหันหลังเดินออกไปให้อาหมอได้แต่มองตามอย่างงุนงงและถอนหายใจ

 

 

​“คินต้องไปส่งเอมไม่ใช่เหรอ ที่คุณพ่อของคินบอก” เรย์ว่า ผมก็ขยับตัวเมื่อนึกขึ้นได้กำลังจะเดินตามทิศที่ร่างบางเดินออกไปเมื่อครู่

 

 

​“อ้าวจะไปแล้วเหรอ อาว่าจะขอคุยกับคินแปปนึงซักหน่อยเชียว” กฤษณะพูดอย่างเสียดาย นานๆ ทีเจอหลานทีอยากจะพูดคุยด้วย แต่นี่จะรีบไปธุระกันอีกแล้วเหรอ

 

 

แล้วอันที่จริงตัวเขาก็อยากคุยกับหนูเอมด้วย แต่ว่าเจ้าตัวเล็กไม่สบายเลยอยากให้กลับไปพักผ่อนมากกว่า

 

 

​ร่างสูงฟังคนแก่ (ถ้าอากฤษรู้ว่าโดนเรียกแบบนี้คงซึมไปหลายวันแน่) บ่นแล้วก็ยิ้มเจื่อน

 

 

​“ถ้างั้นเดี๋ยวเรย์ไปตามเอมให้ คินคุยกับคุณอาหมอไปก็แล้วกันนะ” เรย์ออกตัว แถมพูดเสร็จก็รีบวิ่งออกไปเลย

 

 

​“ฮะ เฮ้ เดี๋ยว” ผมยืนงง เจ้าตัววิ่งไปนู่นแล้ว

 

 

​“เอาเถอะคิน มานี่ มาคุยกับอาหน่อย” กฤษณะเดินล้วงกระเป๋าเสื้อกราวน์ไปนั่งเก้าอี้ตรงหน้าห้องตรวจของตัวเอง มือใหญ่ตบที่นั่งข้างๆ ดังแปะๆ เชิญชวนให้ผมไปนั่ง

 

 

​“ครับ”

 

 

​“ช่วงนี้ทะเลาะกับเอมอยู่รึเปล่าน่ะ?” จู่ๆ อาหมอก็ถามขึ้นมา ผมที่ยังไม่ทันหย่อนตัวลงนั่งก็เลิกคิ้วแปลกใจ

 

 

​“เอมบอกเหรอครับ”

 

 

​“ก็เปล่าหรอก...เด็กคนนั้นขี้เกรงใจจะตายคินก็น่าจะรู้” อาหมอโบกมือบ่นเสียงระอาระคนเอ็นดู “อาแค่เดาเอาน่ะ คุยกับเจ้าตัวเล็กแล้วรู้สึกเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แล้วตกลงว่าทะเลาะกัน?”

 

 

​“...”

 

 

​“เฮ้อ รีบคืนดีกันเถอะนะ เด็กคนนั้นไม่มีเธออยู่ด้วยก็ตัวคนเดียว อาเป็นห่วง” อากฤษขมวดคิ้วเหมือนอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ผมก็ได้แต่พยักหน้า

 

 

​“โอเค ถ้างั้นก็รีบไปเถอะ ต้องไปส่งเอมใช่มั้ย ดีเหมือนกัน เด็กคนนั้นยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย”

 

 

​“จริงเหรอครับ” ร่างสูงถามอย่างแปลกใจ...จะว่าไปสีหน้าอ่อนเพลียนั่น

 

 

​“อ๊ะ เอ้อ ตายล่ะ” กฤษณะเกาท้ายทอย หัวเราะกลบเกลื่อน “จริงๆ เจ้าตัวเล็กบอกว่าจะบอกเธอเอง แต่อาคิดว่าชะเอมคงเกรงใจเลยไม่บอกแน่ๆ งั้นอาบอกเธอเลยก็แล้วกัน เอมน่ะมีรอยช้ำใหญ่ตรงใต้ต้นแขนขวาสงสัยจะไปกระแทกอะไรมา คิดว่าคงอักเสบจนน่าจะเป็นไข้ได้ อาถึงบอกไงว่าถ้าทะเลาะกันก็ให้คืนดีซะเพราะถ้าเขาอยู่คนเดียวไม่มีใครดูแลมันจะลำบาก”

 

 

แม้กฤษณะจะยังไม่รู้ว่าทะเลาะกันจริงรึเปล่าเพราะเจ้าคินก็ดันไม่ยอมพูด แต่ขอคิดไปตามนั้นแล้วกัน

 

 

​ร่างสูงผุดลุกขึ้น...แล้วเมื่อกี้ก็ดันทุรังออกไปคนเดียวอีก

 

 

“งั้นผมขอตัวก่อนละกันครับ ไม่รู้เรย์ไปตามถึงไหนแล้ว” แถมไม่กลับมาทั้งคู่เลย

 

 

​คินล้วงมือถือขึ้นมาจะโทร พลันเสียงโหวกเหวกโวยวาย และเสียงกรีดร้องดังขึ้นให้ทั้งสองรีบวิ่งออกไป

 

 

​“เกิดอะไรขึ้น!” หมอกฤษณะถามตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ใกล้กับประตูทางออก ซึ่งตอนนี้มีคนมุงดูอะไรบางอย่างทั้งๆ ที่ข้างนอกมีแต่สายฝนกระหน่ำ

 

 

​“คะ คือว่าเมื่อกี้มีคนโดนมอเตอร์ไซค์ชนหน้าโรงพยาบาลค่ะ” สาวเจ้ารีบรายงานอย่างรวดเร็วเพราะรู้จักว่ากฤษณะคือแพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาล

 

 

คินรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ยิ่งไม่เห็นทั้งสองคนก่อนหน้าที่พยายามมองหาตั้งแต่เมื่อกี้ก็ยิ่งร้อนใจ เร่งถามหญิงสาว “อายุประมาณเท่าไหร่ครับ!”

 

 

​“คือ...” เจ้าหน้าที่หญิงลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนที่ถามเกี่ยวข้องอะไรกับคนไข้

 

 

​“คุณรีบตอบไปสิ นี่หลานผมเอง” เมื่อได้ยินคำอนุญาต หญิงสาวจึงพยักหน้ารีบรายงาน

 

 

​“อ๋อค่ะ เป็นผู้ชาย อายุน่าจะสักยี่สิบได้มั้งคะ” ร่างสูงนิ่งอึ้ง ไม่อยากจะคิดว่าเป็นคนที่ตนรู้จักหรือไม่ “ตอนนี้ถูกหามไปห้องผ่าตัดฉุกเฉินแล้วค่ะ”

 

 

คินได้ยินก็ออกตัววิ่งไปก่อน ไม่รอฟังอะไรอีก

 

 

ไม่จริง...ไม่จริงน่า



 

สองขายาวก้าวมาถึงหน้าห้องฉุกเฉินที่ขึ้นป้ายแดงอยู่ ร่างคุ้นตานั่งตัวเปียกโชกอยู่บนเก้าอี้บริเวณนั้น แผ่นหลังบอบบางคู้ตัวกุมมือจนไม่ได้สังเกตรอบข้างว่ามีใครมา

 

 

ถ้าเจ้าตัวนั่งอยู่ตรงนี้ก็แสดงว่า...!

 

 

คินตวัดมองแผ่นป้ายสีแดงของห้องฉุกเฉิน

 

 

เรย์!

 

 

นี่มัน...เรื่องบ้าอะไร!



 

“ชะเอม!” อากฤษส่งเสียงเรียกหอบๆ เจ้าของชื่อที่ก้มหน้าอยู่ได้ยินก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้ามนบัดนี้ซีดเซียวเหยเก น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ร่างบางผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาร่างใหญ่ในชุดเสื้อกราวน์

 

 

“อาหมอ อาหมอครับ”

 

 

"ไม่เป็นไรเอม อามาแล้ว ใจเย็นๆ หน้าซีดมากเลย นั่งรอตรงนี้ก่อนนะ"

 

 

"อาหมอช่วยด้วย...ช่วยด้วยครับ" ชะเอมสะอื้นไห้เหมือนเด็กน้อยเสียขวัญ มือไม้สั่นจนต้องกอบกุมกันเองเพื่อช่วยบรรเทา

 

 

"ใจเย็นๆ เอม นั่งรอตรงนี้ เดี๋ยวอามานะ เดี๋ยวอามา" อากฤษเอ่ยปลอบพร้อมลูบใบหน้าที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตา เจ้าตัวก็ได้แต่พยักหน้าอ่อนแรง

 

 

"ฮึกๆ คะ ครับ" ผมมองจนกระทั่งอาหมอหายไปหลังแผ่นประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดลง ผมตรงเข้าไปกระชากแขนร่างบาง

 

 

‘เอมน่ะมีรอยช้ำใหญ่ตรงใต้ต้นแขนขวาสงสัยจะไปกระแทกอะไรมา’

 

 

...ผมไม่สน...ว่ามือที่กำอยู่นี่จะออกแรงจนอีกฝ่ายเจ็บแค่ไหน...ไม่สนว่าความร้อนที่แผ่ออกมาผ่านฝ่ามือนั้นคืออะไรทั้งๆ ที่อีกฝ่ายตัวเปียกโชก

 

 

ผมจ้องใบหน้าอิดโรยและซีดเซียวเหมือนคนจะเป็นลมนั่นด้วยความคาดคั้น

 

 

‘เด็กคนนั้นยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย’

 

 

​...ตอนนี้ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น...ผมแค่อยากรู้ว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร! ทำไมถึงเป็นแบบนี้!

 

 

“มันเกิดอะไรขึ้น” ผมถามเสียงดังก้อง แถมเขย่าคนที่น้ำหนักเบาหวิวปลิวแรงตามมือ แต่เจ้าตัวยังเงียบ ร่างบางสั่นจนผมรู้สึกได้ แต่กระนั้นผมก็ยังถามเสียงดังขึ้นอีก "เกิดอะไรขึ้น...อธิบายมา!"

 

 

"ขะ ขอโ...ทษ  คิน เอมขอโทษ"

 

 

ยิ่งผมต้องการจะรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรำคาญท่าทางสะอึกสะอื้นมากขึ้นเท่านั้น "คินไม่ต้องการคำขอโทษ ตอบมาว่าเกิดอะไรขึ้น!"

 

 

"เอม...ไม่ได้ตั้งใจ...เอม...ผลักเรย์ ฮึก ละแล้ว ก็มีมอเตอร์ไซค์...มา...ชน" เจ้าตัวอธิบายอย่างอ่อนแรงและน้ำตาไหลอย่างน่าสงสาร แต่ความจริงที่ออกจากปากบางทำให้ผมช็อค...ว่าอะไรนะ "เอมไม่รู้ เอมไม่ได้ตั้งใจ เอมขอโทษ"

 

 

ชะเอมทั้งส่ายหน้า ร้องไห้อย่างสับสน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรับรู้อีก

 

 

ผลักเรย์แล้วมอเตอร์ไซค์มาชน? แล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ?

 

 

ไม่อยากจะเชื่อ...

 

 

‘ถ้างั้นเดี๋ยวเรย์ไปตามเอมให้ คินคุยกับคุณอาหมอไปก็แล้วกันนะ’

 

 

ไม่ได้ตั้งใจเหรอ...

 

 

ขอโทษเหรอ...

 

 

นานนับหลายนาทีกว่าผมจะหาเสียงของตัวเองเจอ "เรย์ไปทำอะไรให้นาย"

 

 

คำตอบที่ได้รับคือความเงียบมันยิ่งทำให้ผมโมโหมากขึ้น! “เรย์ไปทำอะไรนายเหรอ ทำไมต้องทำถึงขั้นฆ่าแกงกันด้วย ห้ะ ตอบมาเซ่!”

 

 

ชะเอมตัวสั่นหนัก แววตาฉายความกลัว

 

 

"เอมไม่ได้ตั้งใจนะคิน เอมไม่ได้ตั้งใจ"

 

 

"ถ้าเรย์เป็นอะไรไป นายจะทำยังไง"

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ผมไม่แม้อยากจะนึกถึงตอนที่ร่างเล็กๆ นั้นโดนรถที่วิ่งด้วยความเร็วกระแทกอย่างแรง...เจ้าตัวจะเจ็บมากแค่ไหน...ใครจะรู้!

 

 

"เอมไม่รู้” คำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบ ยิ่งทำให้โมโหเลือดขึ้นหน้า

 

 

“ไม่รู้ได้ยังไง! เขาเจ็บก็เพราะนาย...ถ้าเรย์ตาย ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ!” ผมสาดคำพูดเจ็บแสบใส่อีกฝ่าย เพราะหวังว่าจะให้อีกคนสำนึกเพียงเท่านั้น

 

 

อยากให้เจ็บ อยากให้สำนึก

 

 

“เอมจะ...รับผิดชอบ"

 

 

รับผิดชอบ...?

 

 

"นายจะรับผิดชอบยังไง รับผิดชอบไหวเหรอ" ผมแค่นเสียง

 

 

"ถะ...ถ้า ค่ารักษา เอม..."

 

 

"หมายถึงเงินของพ่อเหรอ หึ" ผมไม่เคยคิดว่าจะได้พูดเรื่องนี้กับเขาเลย แต่เขาดันมาพูดง่ายๆ ว่าจะจ่ายค่ารักษาให้ราวกับว่ามันจะแก้ไขเรื่องที่ผ่านมาได้ทั้งหมด...แล้วจะเอาเงินที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่ของพ่อเขาเอง

 

 

พูดง่ายราวกับว่าเงินมันจะแก้ไขเรื่องที่ผ่านมาได้ทั้งหมด...เงินมันชดใช้ชีวิตคนไม่ได้!

 

 

ชะเอมมองผมด้วยสายตาเจ็บปวดเหลือล้น...แต่ผมไม่สนใจ

 

 

"เงินแค่นี้ ครอบครัวเรย์เขาก็มีปัญญาจ่าย เงินของพ่อฉันเขาไม่ต้องการหรอก"

 

 

"ละ แล้ว...ฮึก จะให้ทำยังไง" เสียงใสสั่นเครือ ร่างบางสั่นระริก รู้สึกความร้อนระอุผ่านฝ่ามือในตอนแรกมันยิ่งเพิ่มมากขึ้น...ดวงตากลมกระพริบถี่อย่างคนมองไม่ชัดเจน

 

 

"เอม ไม่รู้...คินจะให้ทำยังไง...ก็ได้" ชะเอมพูดเสียงแผ่ว

 

 

"เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ" เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน “ฉันกับนาย”

 

 

ตาโตมองผมตะลึง “เป็น...อย่างอื่นไม่ได้...เหรอ ฮึก ทำไมถึงต้องขั้นเลิกกันด้วย” มือเล็กเข้ากอบกุมชายเสื้อของผมและเอ่ยอย่างอ้อนวอน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไร...แต่ผมทนคบกับเขาต่อไม่ได้จริงๆ

 

 

ผมรู้สึกเสียใจ...ที่เขากลายเป็นคนแบบนี้

 

 

“ยังต้องถามอีกเหรอ”

 

 

“เอมไม่เข้าใจ ไม่เอาเอมไม่เลิกนะ”

 

 

“ฉันไม่อยากทนคบกับคนใจอำมหิตอย่างนายแล้ว!” ผมปัดมือเล็กออกอย่างแรง ทว่ามันหลุดอย่างง่ายดายเพราะเจ้าตัวคงไม่มีแม้แต่แรงจะมาจับ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงเป็นเด็กกำพร้าโดนพ่อทิ้ง...เพราะนิสัยอย่างงี้ไง”

 

 

ผมพูดเรื่องแย่ๆ ออกไปเพื่อหวังให้เขาเจ็บ...เพียงเท่านั้น

 

 

ไอ้เรื่องแบบนี้น่ะ...

 

 

“เข้าใจแล้วก็ทำตามด้วย แล้วจากนี้ไปก็อย่ามายุ่งกับเรย์อีก”

 

 

ปึง!

 

 

"คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว"

 

 

ผมเดินตามเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกไป ปรายตามองไปด้านหลังเห็นร่างบางที่ยืนนิ่งงัน...

 

 

โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ขาดสติเหล่านั้นจะคืนสนองผมเข้าในสักวัน



 

 

 

 

มารู้ตัว...

.

.

.



 

...ก็ตอนที่สายเกินไป



 

 

 

 

************************Whose fault? ************************



ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2



ต่อจากด้านบน



 

"อือ..."

 

 

“เรย์” ร่างสูงนั่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยที่นอนหลับพริ้มหลังจากออกจากห้องผ่าตัดได้เกือบสี่ชั่วโมง เมื่อเห็นคนที่นอนนิ่งเริ่มขยับตัวก็รีบชะโงกหน้าไปดู “เป็นอะไรมั้ย เจ็บตรงไหนบ้าง”

 

 

“อือ...คิน? โอ๊ย!” ร่างบางสลึมสลือพยายามยกตัวขึ้นแต่การขยับตัวไปกระเทือนหัวจนเจ้าตัวร้อง “เจ็บ”

 

 

“อย่าเพิ่งขยับเลย นายหัวแตกน่ะ...อย่าจับสิ เย็บไปหลายเข็มอยู่นะ” ผมจับมือเล็กของเขาที่พยายามจะลูบคลำผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบศีรษะออก

 

 

 “อ่ะกินน้ำก่อน คงจะคอแห้ง”

 

 

“ขอบคุณนะคิน” ร่างเล็กยิ้มอิดโรย ตามแขนประดับด้วยผ้าพันแผลกับผ้าก๊อซสีขาว “อยู่เฝ้าเรย์ตลอดเลยเหรอ”

 

 

“อืม” ผมพยักหน้า

 

 

ผมเห็นเรย์นิ่งไปก่อนขมวดคิ้ว ก่อนจะกวาดสายตามองหาใครบางคนอย่างกังวล “...เอมล่ะ”

 

 

ผมเงียบไม่ตอบ พูดเปลี่ยนเรื่องแทน “ตอนนี้นายอาจจะเพลียๆ นอนพักก่อนแล้วค่อย...”

 

 

“เรย์น่ะ...ตอนนั้นเรย์ก็แค่อยากออกไปตามเอม แล้วก็อยากขอโทษเรื่องวันนั้น” มือขยุ้มผ้าปูสีขาวซีดแน่นจนยับย่น เจ้าตัวเม้มปากน้ำตารื้น “ทั้งๆ ที่อยากจะคุยดีๆ ด้วยแท้ๆ ...แล้วทำไมเขาถึง...”

 

 

ผมยื่นมือลูบหัวปลอบเขาที่ใจเสีย “ไม่ต้องกลัว...ไม่ต้องกลัวแล้วนะ”

 

 

มือเล็กยกขึ้นจับมือของผมออกมากุมไว้แล้วลูบมันเบาๆ เราทั้งสองคนเงียบ ก่อนเขาจะพูดขึ้น “ทำแบบนี้คงจะไม่ดีสินะ กับคนที่มีแฟนแล้วอย่างคิน”

 

 

ผมส่ายหน้า “ไม่หรอก...ฉันเลิกกับเอมแล้ว”

 

 

“เอ๊ะ?”

 

 

“ก็เขาทำกับนายขนาดนี้ ฉันทนไม่ได้หรอก”

 

 

ร่างเล็กทำหน้าซึม “แบบนี้ที่คินเลิกกับเอมก็เป็นเพราะเรย์น่ะสิ”

 

 

“ไม่หรอก...ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น เพราะเขาทำตัวเองต่างหาก” ผมพูด

 

 

ไม่ใช่เพราะเรย์...หรือผม...

 

 

ต้องพูดซ้ำๆ ย้ำกับตัวเอง...ไม่ให้รู้สึกผิดไปมากกว่านี้

 

 

“แล้วแบบนี้เอมจะโกรธรึเปล่า ที่คินบอกเลิกกับเค้าเพราะเรย์เป็นต้นเหตุ...ยังไงมันก็เป็นเพราะเรย์อยู่ดี”

 

 

โกรธเหรอ...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะโกรธรึเปล่า

 

 

สิ่งที่ผมเห็นดวงตาสีดำของเขาที่สะท้อนออกมาในตอนนั้น...ก็มีแต่ความเจ็บปวดและเสียใจเท่านั้น

 

 

“เรย์กลัว...” เสียงสั่นเครือที่ทำให้ผมหันไปมอง แขนบางกอดรัดตัวเอง “ฮึก กลัว”

 

 

ผมมองเขาด้วยความสงสาร ผมรู้และเข้าใจเพราะตั้งแต่เขาเจอกับชะเอมก็มีแต่เจ็บตัวทุกครั้ง ไม่รู้ว่าครั้งต่อๆ ไปจะเจอมากกว่านี้อีกหรือเปล่า

 

 

“ไม่ต้องกลัวแล้ว คินก็อยู่ตรงนี้ไง อยู่ข้างๆ เรย์นี่ไง” ผมปลอบด้วยคำพูดที่เหมือนพูดกับเด็กน้อย เจ้าตัวผวาเข้ากอดผมเหมือนต้องการความอบอุ่นผมก็กอดตอบลูบหลังเบาๆ เรย์กำลังขวัญเสียเพราะงั้นผมไม่มีทางเลือก “ถ้ายังกลัวอีก เดี๋ยวเรียกพวกไอ้เอกมาอยู่เป็นเพื่อนดีไหม”

 

 

“ไม่เอา...” ใบหน้ามนส่ายไปมาบนอกผมอย่างงอแง

 

 

“หรือว่าจะให้โทรเรียกคุณป้ากับคุณลุง? หรือว่าน้องรินดี?”

 

 

เจ้าตัวยังส่ายหน้าอยู่อีก “...แค่คินก็พอ” เสียงอู้อี้ทำให้ผมเลิกคิ้ว “แค่คินอยู่ด้วยก็พอแล้ว”

 

 

ผมไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่เงียบคอยกอดปลอบร่างเล็กในอ้อมแขนเท่านั้น ผมไม่ลืมหรอกว่าความรู้สึกที่เรย์มีต่อผมคืออะไร

 

 

“คิน...ชอบนะ” เสียงใสดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นจากอกผม “เรย์ชอบคิน”

 

 

“เรย์...”

 

 

“เรย์ชอบคิน...เรย์ชอบคิน” ร่างเล็กบอกซ้ำๆ ใบหน้าหวานที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ให้ผมต้องดันเขาออกเบาๆ เพราะไม่อยากให้กระเทือนแผลบนร่างกาย แต่แขนบางกลับตวัดกอดคอผมแน่น

 

 

“เรย์...ฉันน่ะไม่...”

 

 

“คินก็รู้ว่าเรย์ชอบคินมาตั้งนานแล้ว”

 

 

“...ก็ใช่” ผมจำวันนั้นได้ดี แม้คนตรงหน้าจะเคยบอกชอบผม แต่เราก็ยังกลับไปเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม

 

 

“เรย์อดทนมาตลอดเลยนะ ทั้งๆ ที่เรย์ชอบคิน แต่คินก็มีเอมอยู่แล้ว เรย์เลยทำอะไรไม่ได้”

 

 

“...”

 

 

“แต่ตอนนี้คินไม่มีใครแล้วไม่ใช่เหรอ” เรย์มองผมด้วยสายตาอ้อนวอน “นะคิน ให้โอกาสเรย์บ้าง”

 

 

ผม...ผมสบตากลมที่มองมาที่ผม เรย์เคยบอกว่าชอบผม แต่ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเค้าเลย...ตอนนี้ก็ด้วย

 

 

“คบกับเรย์นะ”

 

 

‘นะคิน ให้โอกาสเรย์บ้าง’

 

 

แต่ผมอยากให้โอกาสกับร่างเล็ก...และกับตัวผมเอง

 

 

ยังไงซะ ตอนนี้ผมก็ไม่มีใคร

 

 

“อืม...ก็ได้...!”

 

 

ตาเรียวคมเบิกตะลึงเมื่อจู่ๆ ใบหน้าของเรย์อยู่ใกล้จนเห็นแพขนตาหนาที่เคลียกับแก้มใส เผลอกลั้นหายใจกับสัมผัสนุ่มชื้นตรงริมฝีปาก ร่างสูงปรือตาเพื่อรับความรู้สึกเบาหวิวราวกับขนนกนี้ไว้

 

 

ทั้งๆ ที่ร่างกายรู้สึกดีกับมัน...แต่ในใจรู้สึกขมขื่น

 

 

‘เป็น...อย่างอื่นไม่ได้...เหรอ ฮึก ทำไมถึงต้องขั้นเลิกกันด้วย’ เสียงอ้อนวอนของใครบางคนกำลังดังแทรกในโสตประสาท

 

 

ผม...



 

นานนับนาทีกว่าใบหน้าของทั้งสองจะผละออกจากกัน

 

 

“ดีใจจัง” ร่างเล็กยิ้มตาปี๋ ตรงแก้มแดงระเรื่อเขินอายกับสิ่งที่ทำไปเมื่อครู่ “ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราก็เป็นแฟนกันแล้วเนอะ...เวลาคุยกันคินแทนตัวเองว่าคิน แล้วเรียกเรย์ว่าเรย์ได้มั้ย” เสียงใสเอ่ยสิ่งที่ปรารถนา มือเล็กเข้ากอบกุมมือใหญ่

 

 

ผมฟังสิ่งที่เรย์ขอแล้วก็นิ่งไป...อย่างนั้นมันก็เหมือนกับ...

 

 

“ไม่ได้เหรอ” ร่างเล็กเอ่ยซึมๆ ทำให้ผมสะบัดความคิดที่แทรกเข้ามาออกไป กดความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้และต้องสนใจแต่คนตรงหน้า

 

 

คนที่ควรสนใจน่ะ คือคนๆ นี้

 

 

“ได้สิ”

 

 

“คินรู้มั้ย...นั่นน่ะ จูบแรกของเรย์เลยนะ” ร่างเล็กพูดอุบอิบ ใบหน้าแดง “คินโชคดีมากเลยนะเนี่ย”

 

 

“หึๆ ครับๆ” ผมอดหัวเราะไม่ได้กับความหลงตัวเองของอีกฝ่าย เจ้าตัวพองลมแล้วใช้กำปั้นเล็กทุบลงบนไหล่กว้างด้วยความหมั่นไส้



 

โชคดีเหรอ

 

 

สีหน้าที่สดใสเริ่มเพลียๆ ปรือตาเหมือนจะปิดต่อมาก็เริ่มปิดปากหาวเสียงดัง ผมจึงจัดแจงให้เขานอนดีๆ จะได้นอนพักผ่อนเสียที ไม่นานเรย์ก็หลับไป ร่างสูงดึงผ้าให้ห่มจนถึงคอกันหนาว แล้วหย่อนตัวนั่งมองใบหน้าที่หลับพริ้มบนเก้าอี้ข้างเตียง...สายตาคมจ้องมองอยู่อย่างนั้น แต่ใจมัวครุ่นคิดจดจ่อกับอย่างอื่น

 

 

ความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจนี้มันคืออะไร...

 

 

ใช่ ผมกำลังรู้สึกเสียใจ...ไม่ว่าจะสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้หรือสิ่งที่พูดออกไปก่อนหน้านี้ก็ตาม

 

 

ตอนนี้เรย์ปลอดภัยดีแล้ว และกำลังนอนหลับอยู่ตรงหน้าผม

 

 

‘ถ้าเรย์ตาย ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ!’

 

 

ถึงจะยังไม่รู้ว่าเอมมีเจตนาอะไรที่ทำกับเรย์แบบนั้น แต่ผมก็ไม่ควร...

 

 

'เพราะนิสัยอย่างนี้ไง...นายถึงเป็นเด็กกำพร้าโดนพ่อทิ้ง'

 

 

คำพูดที่สาดด้วยความรู้สึกโมโหและกราดเกรี้ยว...พูดออกไปโดยไม่คิด

 

 

สายตาเจ็บปวดรวดร้าวในตอนนั้น...ผมทำให้เขาต้องร้องไห้เพราะคำพูดของผม...และในตอนที่เขาทำสีหน้าอ้อนวอนตอนที่ผมขอจบความสัมพันธ์ของเราก็ด้วย

 

 

'ต่อไปนี้พ่อต้องฝากเอมไว้คินแล้วนะ ดูแลกันดีๆ ล่ะ' ฝ่ามือใหญ่อบอุ่นที่ลูบลงมาบนหัวของเด็กน้อยที่ยิ้มรับและสายตาฝากฝังของพ่อ

 

 

'เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ ฉันกับนาย'

 

 

‘เอมไม่เข้าใจ ไม่เอาเอมไม่เลิกนะ’

 

 

'ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราก็เป็นแฟนกันแล้วเนอะ' น้ำเสียงดีใจกับตาโตเป็นประกายยินดีของเรย์ที่มองตรงมาที่ผม

 

 

ร่างสูงหลับตาอย่างรู้สึกเหนื่อยล้า

 

 

ผม...ตัดสินใจถูกต้องแล้วใช่มั้ย

 

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
เชื่อคนที่รู้จักไม่นานมากกว่าเหรอ

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อย่างน้อยก็มีคนไม่เชื่อว่าเอมเป็นคนเลวร้าย และก็มีคนจับโป๊ะของเรย์ได้ รอแค่วันกระชากหน้ากาก คนที่ได้สัมผัสตัวจริงหรืออยู่ข้างๆยังสัมผัสได้เลยว่าชะเอมเป็นคนใสซื่อไม่เป็นอย่างที่เขาเล่าลือ อยากให้ถึงวันที่นังเรย์โดนคืนจริงๆ รวมทั้งผู้ชายโง่ๆอย่างคิน

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
คนรอบข้างของชะเอมดีที่สุด ยกเว้น นายคิน

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


                                            Whose Fault ?



                                            ผิด...ครั้งที่ 15







โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม




"ไหวรึเปล่า"



"อื้อ"





"ไม่ไหวก็ไม่ต้องไปก็ได้นะ นายยังไม่หายดีเลย" สายตาคมมองผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบศีรษะเล็กแล้วอดเป็นกังวลแทนไม่ได้...ถึงจะไม่รู้ว่ามันเจ็บขนาดไหนก็เถอะ





"ก็เรย์บอกว่าไม่เป็นไรแล้วน่าคิน ถ้าเป็นห่วงขนาดนี้คินก็ดูแลเรย์ดีๆ สิ" ร่างเล็กกอดแขนเอ่ยอ้อนๆ หัวเล็กถูไถกับไหล่ข้างซ้ายของผม "อีกอย่างถ้าขาดกิจกรรมนี้เรย์อาจจะไม่จบก็ได้นี่นา ไม่อยากเสี่ยง"





"ทางมหา’ลัยเขาคงไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกน่า ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเดี๋ยวฉันไปบอกให้ก็ได้"





"ไม่เอา ก็บอกแล้วไงว่าให้แทนชื่อเวลาคุยกันอะ" เรย์เริ่มออกอาการอมลม หันมาพูดกับผมทั้งๆ ที่ใบหน้าก็ใกล้กันแค่ลมหายใจ เจ้าตัวไม่เกรงสายตารอบด้านเลยแม้แต่นิด





ผมเบนหน้าออกนิดๆ รู้สึกกระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก "อ่า...ครับๆ"





เรย์ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหน้าแดงระเรื่อนิดๆ หันกลับไปนั่งดีๆ แต่ยังไม่ไถหัวกับไหล่ของผมไม่เลิก "ชอบเวลาคินพูดครับจัง ฟังแล้วรู้สึกดี" ผมยิ้มรับแต่ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ไม่ได้ท้วงอะไรกับอาการอ้อนๆ ของเขาด้วย





ตั้งแต่สถานะระหว่างผมกับเรย์เลื่อนจาก ‘เพื่อน’ กลายมาเป็น ‘แฟน’ ร่างเล็กก็เริ่มออกอาการขี้อ้อน หวงผมออกหน้าจนเกินพอดี พยายามแสดงออกให้ใครๆ เห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นคนสำคัญหรืออะไรประมาณนั้น...ทั้งที่ชะเอมไม่เคยทำ





ไม่สิ อย่าไปคิด ร่างสูงส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัว ผมตอบรับเรย์ไปแล้ว...และผมกำลังให้โอกาส...ผมกำลังให้โอกาสกับตัวเองอยู่





“คิน?” เรย์เห็นท่าทางผิดปกติของคนรักก็ถามอย่างเป็นห่วง มือเล็กยกมือวางบนแผ่นอกกว้างอย่างแผ่วเบา...อยากจะทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว





ผู้ชายคนนี้เป็นของเรา...ในที่สุด...





“ไม่มีอะไร” ผมเหยียดยิ้มบาง สายตาคมมองออกไปนอกรถเช่นเดิม





ตอนนี้ผม ไม่สิ พวกเราทั้งมหาวิทยาลัยกำลังจะเดินทางไปค่ายปลูกป่าเป็นเวลาสี่วันสามคืน ซึ่งวันนี้เป็นวันออกเดินทาง และผมก็กำลังนั่งรอรถทัวร์ออกอยู่ทั้งๆ ที่ได้เวลาแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังติดอะไรบางอย่าง





จากวันนั้น...ก็ผ่านมาแล้วสองวัน...ไม่รู้ว่าทางนั้นจะเป็นยังไงบ้างเพราะผมไม่ได้ไปเจอเขาเลย





ในระหว่างที่ผมมองออกไปข้างนอกดูวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น





"หวัดดีเอม" ผมหันขวับเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมาตลอดสองวันเต็ม เห็นร่างบางที่ผมคิดถึงและกังวลมาตลอดอยู่ตรงหน้า สายตาอดสำรวจร่างกายผอมบางไม่ได้ ใบหน้าหวานขาวซีดเซียว ดูอิดโรยและเหนื่อยเพลีย เจ้าตัวใส่เสื้อทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวที่ดูหลวมโพรกมากขึ้นกว่าเดิม





เท่าที่จำได้ผมว่าเสื้อตัวนี้ไม่ได้ดูใหญ่ขนาดนี้นะ





'เอมก็ดูไม่ค่อยสบายด้วย อาว่าอาจจะอักเสบจนเป็นไข้ได้' ...จู่ๆ ก็คิดถึงคำพูดของอากฤษจากตอนนั้นขึ้นมา...แต่จนป่านนี้แล้วคงจะไม่เป็นไรแล้วล่ะมั้ง





ดวงตากลมโตสีดำสั่นไหวมองตรงมาที่เรย์ "หวัดดีเรย์"





แล้วผมก็นึกได้ว่าเสียงตอนแรกก็เป็นคนข้างๆ ผมนั่นแหละที่เอ่ยทักทายก่อน





จากนั้นก็เกิดความเงียบ ชะเอมเม้มปากแน่นเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แววตาฉายความรู้สึกผิด





"แล้วคนคณะอักษรขึ้นรถคณะวิศวะมาได้ยังไง" เสียงใสโพล่งขึ้นเรียกเสียงซุบซิบนินทาของคนในรถได้เป็นอย่างดี ผมรู้ทันทีโดยไม่ต้องคิดเพราะเสียงนั้นคือริน น้องสาวแท้ๆ ของเรย์นั่นแหละ





ใบหน้ามนของชะเอมมองไปตามที่มาของเสียงแล้วก็เบิกตาน้อยๆ จากนั้นเจ้าตัวก็เม้มปาก ใบหน้าซีดเซียวกว่าเดิม "คะ คือว่า..." เสียงใสสั่นเครือ





"ในรถคันนี้ไม่มีที่นั่งว่างสำหรับนาย ถ้าจะมีก็คือตรงบันไดขึ้นลงรถโน่น" เสียงของรินที่พูดไม่ใช่เบาๆ และหลายสายตาก็เมินหลบ ชะเอมหน้าเสียที่มองทางไหนก็ไม่มีใครเอ่ยปากช่วย ยิ่งสายตาตัดพ้อส่งมาเมื่อผมเผลอสบตากลมโตแวบหนึ่งมันยิ่งทำให้ใจกระตุก





ผม...





ได้ยินเสียงลากล้อกระเป๋าออกไป ผมก็หันไปมองเห็นเพียงแผ่นหลังบางที่เดินไปด้านหน้ารถแล้วก็ลงบันไดไป





ผมกำหมัดแน่นขนาดไหน ก็เพิ่งรู้สึกตัวตอนคลายมือออกมา





ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้





เรื่องในวันนั้นมันกระจายไปทั่ว ข่าวลือบอกว่าเอมเป็นคนทำให้เรย์โดนรถชนจนอาการโคม่าเข้าห้องผ่าตัด ซึ่งอันที่จริงมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นซะทีเดียว





...ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่คือการจงใจ





คนที่โพนทะนาเรื่องนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็น้องสาวของเรย์ สาวสวยผมยาวตรงชื่อว่ารินที่โกรธแค้นแทนพี่ชายที่โดนกระทำแบบนั้นอย่างไร้เหตุผล





ผมเข้าใจรินนะ ความรู้สึกโกรธแทนใครสักคน





แต่สายตาของชะเอมยิ่งทำให้ผมรู้สึกสับสน...สายตาของคนรู้สึกผิด...ไม่ได้ตั้งใจ...แล้วมันก็มีอะไรที่มากกว่านั้น



อะไรที่ผมยังไม่รู้





แล้วนี่ผม...ใจร้ายเกินไปรึเปล่าที่ทำเป็นไม่สนใจ...ไม่รู้ไม่เห็นอะไรแบบนี้

















ผมหลับไม่ลง





ทั้งๆ ที่การเดินทางมันก็เงียบเชียบมีแต่เสียงแอร์และเครื่องยนต์เป็นอาวุธกล่อมคนให้เคลิ้มหลับได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลายๆ คนก็หลับตาพักผ่อนไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนน้อยที่ยังมองวิวถนน รถกับต้นไม้ บางคนเล่นมือถือ เสียบหูฟัง...ร่างเล็กข้างๆ ผมก็หลับปุ๋ยโดยเอนศีรษะพิงไหล่ผม





ผมจับหัวทุยเบาๆ ให้เอนพิงเบาะดีๆ เรย์ขยับตัวส่งเสียงอืออาก่อนจะนิ่งไปเพราะดูเหมือนจะหาท่านอนที่สบายที่สุดเจอแล้ว ผมค่อยๆ ขยับตัวออกจากที่นั่งข้างหน้าต่างของตัวเองโดยไม่ให้ไปโดนร่างเล็กที่กำลังนอนสบายอยู่ ขาคู่ยาวภายใต้กางเกงยีนส์สีเข้มเดินไปหน้ารถ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม...





ผมหลับไม่ลง...เพราะผม…





สายตาคมหลุบมองลงตรงบันไดเห็นร่างผอมบางนอนซบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเอง มันไม่ใช่ท่านอนที่สบายอะไรเลย ใบหน้าหวานขาวซีดเหงื่อซึมน้อยๆ อาจจะเพราะลมร้อนๆ ที่ตีหวนจากเครื่องยนต์ด้านหน้า แต่เจ้าตัวก็ยังใส่เสื้อคลุมตัวนั้นไม่ยอมถอด





นั่งตรงนั้นนอกจากจะไม่โดนแอร์แล้วพื้นก็ยังแข็งอีก





ทำไมเจ้าตัวถึงไม่ขึ้นรถคณะของตัวเองไป?





ชะเอมขยับตัวเหมือนจะตื่นทำให้ขายาวเผลอถอยหลังกลับมาอัตโนมัติ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองต้องลับๆ ล่อๆ ผมชะโงกหน้าดูอีกทีก็ยังเห็นเจ้าตัวขมวดคิ้วหลับตาอยู่แต่เปลี่ยนท่าแล้ว





ผมยืนมองอยู่สักพัก นานนับหลายนาที...ก็ถอยกลับมานั่งที่เดิม คราวนี้เรย์ปรือตาขึ้นมามองผม ถามเสียงงัวเงีย





"คินไปไหนมาเหรอ"





"ไปห้องน้ำน่ะ" ผมพูดปด "โทษทีทำให้ตื่นเหรอ"





"อื้อ" ร่างเล็กส่ายหน้าซบลงมาที่ไหล่และกอดแขนข้างซ้ายของผมแน่น ผมก็ลูบหัวเขาเบาๆ จนกระทั่งเสียงลมหายใจดังสม่ำเสมอ แพขนตาคลอเคลียนิ่งบนแก้มใส ริมฝีปากบางที่เคยสัมผัสมาครั้งหนึ่งก็เผยอนิดๆ พรูลมเข้าออก ดูๆ ไปก็ทั้งตลกทั้งน่ารัก





ผมมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่ วิวทิวทัศน์ผ่านตาไปเรื่อยๆ





กับดวงตาที่คิดว่านอนไปแล้วลืมขึ้นมองสันหน้าคมอย่างแปลกประหลาด...เขาน่ะไม่ได้หลับตั้งแต่แรกแล้ว











************************Whose fault? ************************











ผมรู้สึกอารมณ์ของตัวเองคุกรุ่นอย่างประหลาด ขายาวเดินตรงฉับๆ เข้าไปหาเพื่อนทั้งสองคน





"เมื่อกี้พวกมึงทำอะไร" ผมพูดกับตาลกับเอกที่กำลังหยิบกระเป๋าออกจากที่เก็บด้านข้างของรถทัวร์ ทั้งสองหันมามองผมงงๆ  โดยเฉพาะตาลที่ดูจะงงพิเศษกว่าใครเพื่อน





"เมื่อกี้? อะไร? ตอนไหน?? ไม่ได้ทำอะไรนะ ใช่มั้ยเอก" ตาลถามผม สลับกับมองหน้าคมข้างๆ ตัว ร่างโปร่งดูสงสัยสุดๆ ว่าตนทำอะไรผิด ผมจึงเบนหันไปจ้องคาดคั้นกับเอกแทน ซึ่งเอกสบตาผมไม่หลบหนี จ้องตากันสักพักและในที่สุดดูเหมือนเขาจะเข้าใจและรู้ว่าผมถามอะไร





"อะไรกัน นี่มึงสนด้วยเหรอเนี่ย หึหึ" แถมยังยิ้มหัวเราะเยาะผมอีกต่างหาก





"..."





"แล้วมึงรู้ตัวรึเปล่าว่าตอนนี้มึงโกรธอะไร" เอกเลิกคิ้ว





โกรธ?...ผมเนี่ยนะ





"กูไม่ได้โกรธ" ผมตอบสั้นห้วน





"มึงโกรธสิ! หน้ามึงตอนนี้น่ากลัวสุดๆ เลย" ตาลพูดแทรกหน้าตาตื่น เจ้าตัวหันไปสะกิดถามเอกยิกๆ "แล้วตกลงมึงเข้าใจเหรอว่าไอ้คินพูดเรื่องอะไรอ่ะเอก บอกหน่อยสิ นี่กูงงไปหมดแล้วนะ"





เอกยิ้ม "ไม่มีอะไร มันก็แค่โมโห 'หึง' ที่มึงไปยุ่งกับคนของเขาน่ะ"





ผมถลึงตาใส่ไอ้คนที่พูดอะไรไม่เข้าท่า แต่น่าโล่งอกที่ดูเหมือนตาลจะไม่ได้สนใจประเด็นตรงนั้น





"เอ๊ะ? ใคร? เรย์?" ร่างโปร่งยังคาดเดา แต่วันนี้เขาไม่ได้คุยกับเรย์เลยด้วยซ้ำนา ตาลกุมคางทำท่านึก วันนี้ยังไม่ได้กินของหวานๆ สมองก็เลยไม่แล่นเท่าไหร่ อ๋อ หรือว่า... "ชะเอมเหรอ"





ร่างสูงเอ่ยชมแล้วลูบหัวอีกฝ่ายเป็นรางวัลที่คิดตั้งนานกว่าจะออก "ฉลาดขึ้นแล้วนะ"  ร่างโปร่งใช้มือปัดมันออกแล้วมองค้อน 'นี่มันหลอกด่ากันชัดๆ ...ก็เพราะมึงนั่นแหละไม่ให้กูกินนมเย็น'





"แต่ว่านั่นกูแค่ชวนเขามานั่งด้วยเฉยๆ เองนะ ก็นั่งตรงนั้นทั้งร้อนทั้งแข็ง ลำบากจะตาย" ตาลโอดครวญเหมือนเจ้าตัวเป็นคนนั่งตรงนั้นเอง ร่างโปร่งหันมาส่งสายตาคาดคั้นผม "แต่มึงนั่นแหละคิน ชะเอมเป็นเพื่อนมึงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม..."





"แฟนเก่า" เอกแก้คำด้วยใบหน้านิ่ง





"เออ นั่นแหละๆ นั่นแหละยิ่งแย่เลย นี่เขาเป็นแฟนเก่ามึงนะ ทำไมมึงไม่สนใจเขาเลยล่ะ ชะเอมน่าสงสารออกนะ" ตาลพูดด้วยความซื่อ ยิ่งขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงหน้าเศร้าๆ ของร่างผอมบาง





"ก็เพราะเขาทำเรย์เจ็บตั้งสองครั้งแล้วไง กูถึงยกโทษให้เขาไม่ได้" ผมตอบ เพราะนิสัยของเขาที่เปลี่ยนไปนั่นแหละผมถึงต้อง 'เลิก' กับเขา





“ยกโทษให้ไม่ได้...ปากพูดแบบนั้นแต่ก็ตามหวงเขาอยู่ได้นะมึง” เอกแทรกเสียงเข้ม “ชอบเขาอยู่แล้วแต่เสือกปากแข็งพูดวกวนอยู่ได้”





“มึงก็พูดเกินไปเอก” ตาลพูดขึ้นเมื่อเห็นผมยืนเงียบ...ร่างโปร่งก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะในตอนนี้เอกช่างดูน่ากลัว





“ตกลงมึงเลิกกับเอมเพราะอะไรกันแน่วะคิน กูชักไม่เข้าใจ” เอกมองเพื่อนที่ความสูงเท่าตัวเอง...มองไอ้คนที่ไม่รู้แม้แต่ใจของตัวเอง “ถ้าหากว่าที่มึงเลิกคบกับเขาเพราะว่าเขาทำร้ายเพื่อนของเราล่ะก็ ตอนนี้เรย์หายดีแล้วไง มึงก็กลับไปคืนดีกับเขาซะสิ”





“พูดบ้าๆ” ผมแค่นเสียง





“มึงนั่นแหละที่บ้า เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกับชะเอมแล้วมึงจะมาห่วงเขาทำไม โมโหพวกกูทำไมกับแค่เข้าไปคุย...แล้วมึงหึงเขาทำไมถ้าบอกว่าไม่ได้ชอบ...กูว่ามึงเอาเวลาไปดูแลแฟนที่เพิ่งคบกันหมาดๆ ของมึงดีกว่ามั้ง”





น้ำเสียงและคำพูดของไอ้เอกมันทำให้ผมที่ทนฟังกัดฟันกรอด





"กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ ไม่ได้หึงหรือหวงอะไรอย่างที่มึงพูดทั้งนั้น...!"





ขวับ!





“เฮ้ย!”





“กรี๊ด เกิดอะไรขึ้นน่ะ”





“ใจเย็นดิวะพวกมึง”





ผมตกใจที่จู่ๆ เอกตรงเข้ามากระชากคอเสื้อของผม พร้อมกับเสียงรอบข้างที่ดังระงมถอยกรูเหมือนกับเห็นคนจะต่อยกัน ซึ่งร่างโปร่งของตาลก็เข้าพยายามเข้ามาห้ามโดยการดึงแขนใหญ่ของเอกไว้ “เฮ้ย เอกใจเย็น!” แต่แน่นอนว่าด้วยแรงที่น้อยกว่ายังไงมันก็ไม่มีผล





ผมถอยหลังเล็กน้อยเพื่อทรงตัว เพราะแรงของไอ้เอกที่โถมเข้ามาก็ไม่ใช่น้อย สายตาของเอกมันจ้องเขม็งดูดุดันผิดกับที่แสดงออกมาปกติ





“มึงอย่ามัวแต่พูดพล่ามอะไรไร้สาระให้กูขำไปหน่อยเลยดีกว่าว่ะคิน เพราะการกระทำของมึงก็ชัดเจนอยู่อย่างนี้” คนตรงหน้าพูดเค้นเสียงลอดไรฟัน





“แล้วคนอย่างมึงจะไปรู้อะไร” ผมถามมันกลับบ้าง ที่ผมยืนเงียบฟังมันพูดอยู่ตลอดก็ไม่ใช่ว่าผมจะยอมมัน





“เออ แน่นอนกูไม่รู้อะไรหรอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมึง เรย์ หรือเอม...แต่ว่ากูอยากจะขอเตือนอะไรสักหน่อยในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของมึง...ในฐานะคนที่ไม่อยากเห็นมึงทำตัวน่าสมเพช...”





“...”





 “สิ่งที่มึงเห็นมันไม่ใช่ความจริงไปซะทุกอย่างหรอก...” นัยน์ตาจริงจังมองลึกเข้ามาในดวงตาของผม “เพราะงั้นมึงก็เลิกใช้แต่ตามองได้แล้ว!”





“...เอก” ตาลปราม เพราะเสียงตะโกนของเพื่อนทำให้หลายคนเริ่มหันมามอง





“นี่มึง...รู้อะไรมา...” ผมสูดลมหายใจลึก





ที่ไอ้คนตรงหน้ามันพูดออกมา....หมายความว่ายังไง





 “ ‘คนเรามักเห็นค่าในตอนที่สูญเสียมันไปแล้ว’ ...มึงคงเคยได้ยินประโยคนี้ อย่าให้สิ่งที่มึงเลือก มาทำให้ตัวเองเสียใจภายหลังเลยว่ะ” มือใหญ่คลายคอเสื้อของผมออก เอกหันหลังเดินออกไปก่อนจะชะงักหันกลับมาปรายตามองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ “แล้วเรื่องคนของมึงกูไม่สะเหร่อเข้าไปยุ่งหรอก จำใส่หัวไว้...จะได้เลิกฟาดงวงฟาดงาเขาไปทั่ว”





ร่างโปร่งที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ จริงๆ ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่หรอก "กูขอพูดอะไรหน่อยนะคิน...ที่มึงหรือคนอื่นๆ เข้าใจกันเกี่ยวกับเอมเรื่องเรย์น่ะ กู...ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้นหรอกนะ"





"..."





"ก็อย่างที่มึงบอกแหละ กูไม่รู้อะไรหรอกแต่กูก็เคยคุยกับชะเอมมาแล้วครั้งหนึ่ง และเขาดูไม่เหมือนอย่างที่ใครๆ พูดกันเลยสักนิดเดียว”





“...”





“แหม เห็นแบบนี้กูก็มองคนเก่งเหมือนกันนะจะบอกให้” ตาลยิ้มโชว์เขี้ยวตาหยี “อย่างน้อยน้า กูก็หวังให้มึงคิดเหมือนกัน เพราะมึงเป็นคนเดียวที่รู้จักชะเอมมากกว่าใครไม่ใช่เหรอ" ร่างโปร่งพาดกระเป๋าบนลาดไหล่เดินตามตูดไอ้เอกออกไปทิ้งบทสนทนาที่ยังไม่จบนี้เอาไว้ ทิ้งคำพูดที่ทำให้ผมได้แต่ยืนนิ่งงัน





'มึงเป็นคนเดียวที่รู้จักชะเอมมากกว่าใครไม่ใช่เหรอ'





"คิน ขอโทษที่ให้รอ" เรย์ที่เพิ่งเดินไปเข้าห้องน้ำเพิ่งกลับมา เห็นสีหน้าของผมก็ถามออกมา “เป็นอะไรไปเหรอ...แล้วเมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงโหวกเหวกอะไรด้วย”





"ไม่มีอะไร อ่ะ นี่กระเป๋า" ผมปรับสีหน้าส่งกระเป๋าให้ร่างเล็กที่ยังส่งสายตาสงสัย





"ขอบใจนะที่หยิบมาให้"





"อืม ไม่เป็นไร"





"ถือให้ด้วยได้มั้ย" ร่างเล็กเอ่ยอ้อนๆ ช้อนตามองผม จริงๆ กระเป๋ามันก็ไม่ได้หนักมากผมเลยไม่ได้พูดอะไร มือใหญ่คว้ากระเป๋าจากมือเล็ก "ขอบใจนะ~ น่ารักที่สุดเลยแฟนใคร"





'ไม่เป็นไรคิน เอมถือได้ มันเบานิดเดียวเอง แล้วคินล่ะ...หนักรึเปล่า? เอมช่วยนะ' ใบหน้าหวานในความทรงจำส่งยิ้มให้เขา





...ไม่เหมือนกันเลย





"ฮะๆ" เสียงทุ้มหัวเราะที่ไม่ดังมากเรียกความสนใจของผมกับเรย์ที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังที่พัก หลายๆ คนหันมองที่มาของเสียง เห็นร่างสูงใบหน้าหล่อขาวใสโดดเด่นเดินยิ้มคู่กับร่างบอบบางคุ้นตาที่ผมเห็นก็รู้ทันทีว่าคือใคร





สองคนเดินที่ซุบซิบกัน ใบหน้ามนขาวเกือบซีดที่เปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้ม ขึงขัง ขมวดคิ้วไปมา





ไม่รู้ตัวว่าขาตัวเองก้าวเดินเข้ามาใกล้ขนาดได้ยินที่ทั้งสองคุยกัน...มันทำไปเองอัตโนมัติ





"เดี๋ยวก่อนติม...เมื่อกี้หัวเราะอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้เลย" ชะเอมขมวดคิ้วพูดเสียงเข้ม





"คำสั่งของรุ่นพี่เหรอครับ" ไอ้หมอนั่นพูดท่าทางจริงจังแต่สายตาที่มองคนข้างตัวนั้นโคตรเจ้าเล่ห์





"...ก็เปล่า" ใบหน้ามนซึม เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ตากลมโตเบิกกว้าง "หัวเราะอีกแล้ว...นั่นไงอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ติมหัวเราะพี่"





"รู้แล้วจะถามทำไมครับ"





"พี่น่าตลกเหรอ"





"ผมขำเพราะพี่ชะเอมทำตัวน่ารักต่างหาก"





ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นรู้สึกอะไรบ้าง...แต่ที่รู้สึกอย่างเดียวคือ...ไม่พอใจ





"พี่ไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อย" เจ้าตัวหน้าบูด





"ผู้ชายก็น่ารักได้ครับ"





เขารู้อยู่แล้วว่าเอมน่ารัก...น่ารักตั้งแต่เด็กๆ ยิ่งโตมายิ่งหน้าหวานจนบางทีผู้ชายยังมาจีบ แต่ผมเพิ่งเคยเห็นผู้ชายคนอื่นมาชมร่างบางต่อหน้าต่อตาของผมแบบนี้...มันกล้าดียังไง





"คิน...จะไปไหน" ผมหยุดชะงักเมื่อมีอะไรบางอย่างมารั้งไว้





"ห้ะ..." สายตาคมไล่มอง มือเล็กคว้าแขนผมไว้ สายตาที่มองมาทำให้ผมประหลาดใจ แวบหนึ่งผมเห็นความมืดมนและเกรี้ยวกราดก่อนจะหายวับไปเหลือแต่ความสงสัย





แล้วนี่ผมกำลังจะทำอะไร





‘มึงอย่ามัวแต่พูดพล่ามอะไรไร้สาระให้กูขำไปหน่อยเลยดีกว่าว่ะคิน เพราะการกระทำของมึงก็ชัดเจนอยู่อย่างนี้’





"จะไปหาเอมเหรอ ก็ไหนบอกว่าเลิกกันแล้วไง"





"ก็เลิกกันแล้ว..."





"เลิกกันแล้วก็ปล่อยเขาไปเถอะ เอมเขาน่าจะมีคนใหม่แล้วล่ะ ดูสิ เลิกกับคินแค่ไม่กี่วัน" ร่างเล็กตรงเข้ามากอดแขนผม ส่งสายตาบุ้ยปากไปอีกทาง ก่อนจะกระตุกแขนเรียกความสนใจให้ผมเบนสายตากลับมา "ตอนนี้คินเป็นแฟนเรย์แล้ว ถ้ามัวแต่สนใจคนอื่นเรย์จะโกรธแล้วนะ" เรย์ขมวดคิ้วอมแก้มพองลมเหมือนเคย ทำให้ผมคิดว่าสิ่งที่เห็นเมื่อกี้อาจจะตาฝาดไปเอง





ผมหันไปมองสองคนนั้นอีกที พวกเขาก็เดินไปไกลแล้ว





'เอมเขาน่าจะมีคนใหม่แล้วล่ะ ดูสิ เลิกกับคินแค่ไม่กี่วัน'





"ไม่มีทาง" สายตาคมกริบปรายตามองร่างเล็ก ไม่รู้ตัวว่าทำหน้าแบบไหนออกไปแต่ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นสายตาของผม "อย่าพูดแบบนั้นให้ได้ยินอีกนะ"





เรย์กำหมัดแน่น ดวงตาเหมือนมีไฟสุมมองเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่เพิ่งได้เลื่อนสถานะเป็นแฟนเดินห่างออกไป





"ไอ้เด็กกำพร้านั่นมันมีดีอะไรนักหนาวะ"





มีแต่คนสนใจ...





แม้แต่คนที่เขาชอบ...แม้แต่คิน มันก็ยังจะเอาไป!





ไอ้เวรเอ๊ย!!





เท้าเล็กเตะหินก้อนหนึ่งเข้าพงหญ้าข้างทางเพื่อระบายอารมณ์อึดอัดที่อยู่ในอก





มือกุมข้างขมับเมื่อรู้สึกปวดแผลที่ศีรษะตุ้บๆ





นี่เขาต้องทำอะไรอีก ต้องเจ็บตัวแค่ไหนถึงจะพอ





แค่นี้ยังทำให้คินมาสนใจเขาไม่พอเลย...มันไม่พอ





ไม่พอ!!!





ขนาดทำให้คินกับมันเลิกกันได้ ขนาดเขาทำให้คินมาเป็นแฟนได้...มันก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ





ก็เพราะมีมันนั่นแหละ...เพราะไอ้เอมคนเดียว...ไอ้เด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่...แค่ไม่มีมัน!





ขอแค่ไม่มีมันเท่านั้น





ร่างเล็กแสยะยิ้มมุมปากเมื่อคิดอะไรได้ แววตาฉายความมุ่งร้าย











************************Whose fault? ************************


ต่อด้านล่างค่ะ


ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


ต่อจากด้านบนนะคะ











“เรย์หายไปไหนอะ” ตาลถามผม ขณะที่กำลังเดินไปที่รถบรรทุกต้นไม้ด้วยกัน





“ไปพักน่ะ” เจ้าตัวบอกว่าจะไปนั่งพัก เพราะเห็นบ่นว่ายกต้นไม้เหนื่อย ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเมื่อเห็นสีหน้าเพลียๆ ของเขา จริงๆ ตอนแรกผมก็บอกให้เขาไปนั่งเฉยๆ อยู่แล้วแต่ดันดื้อบอกว่าจะช่วยงานให้ได้





ตาลร้องออแล้วก็พยักหน้าเหมือนถามไปงั้น มือรับต้นไม้จากเอกที่ส่งมาจากคนที่คอยทยอยส่งต้นไม้ให้บนรถอีกที สายตามองเห็นจ่อยยืนโบกมือแล้วคอยตะโกนควบคุมคนอยู่ไกลๆ





“ขอบใจ” ผมที่รับของมาเอ่ยกับเอกซึ่งมันไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้าให้





เราสามคนเดินกันเงียบๆ เพราะนอกจากแดดที่ทำให้เหงื่อไหลแล้ว ของที่ไม่ได้หนักมากนี่พอถือนานๆ เดินไปมาหลายๆ รอบก็ทำให้เหนื่อยได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครพูดให้เปลืองแรงไปมากกว่าเดิม





“โกรธกูป่ะ” เอกถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ





ผมเลิกคิ้วที่จู่ๆ มันก็พูดเรื่องชวนงง ก่อนจะนึกได้ถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ภาพที่มันกระชากคอเสื้อผม ก็เลยส่ายหน้าบอก “ไม่นี่”





“อ้อเหรอ ก็ดี” เอกยักไหล่





“ถามทำไม กลัวกูโกรธเหรอ” ผมยิ้ม





“ไม่นี่” มันส่ายหน้าทำเสียงล้อเลียนผม “มึงไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นป่ะ”





“อย่าพูดแบบนั้นสิ กูเสียใจนะ”





“เสียใจแล้วทำไม กูต้องง้อเหรอ”





“พวกมึงเลิกคุยเรื่องน่าขนลุกสักทีได้ไหมวะ” ตาลทำหน้าขยะแขยง “หน้าพวกมึงไม่เหมาะกับบทสนทนาเลย”





“...”





“นี่พวกมึงหายแง่งๆ ใส่กันแล้วเหรอ” ร่างโปร่งถามเสียงซื่อเงยหน้าพูดเหมือนถามท้องฟ้า แต่เปล่าหรอก คือเหงื่อมันจะไหลเข้าตาอ่ะ





“คุยกับใครฮึ” เอกอดหัวเราะในลำคอไม่ได้กับท่าตลกๆ ของตาล





“ก็เหงื่อมันจะเข้าตา! มันแสบ...โอ๊ยเดี๋ยวๆ พวกมึงรอกูด้วย” ตาลหลับตาปี๋ เขามองไม่เห็น! จะยกมือเช็ดก็ไม่ได้เพราะสองมือถือต้นไม้อยู่





“มาเช็ดแขนเสื้อกูนี่มา” เอกบอก





“ได้เหรอ...ไหนอ่ะๆ” ใบหน้าใสหันตามเสียงทุ้ม ก็เขาหลับตาอยู่จะมองเห็นได้ไงเล่า!





“ซ้ายหน่อย ไม่ใช่ๆ ทางขวาๆ ฮ่าๆ” เอกหัวเราะร่ากับท่าขยับตัวขยึกขยือของร่างโปร่ง กว่าจะได้เช็ดเหงื่อออกจากตาก็เล่นเอาแทบเหนื่อย





คินยืนมองแล้วกระพริบตาปริบ...แล้วทำไมมึงไม่บอกให้มันวางของในมือแล้วยกแขนเสื้อตัวเองเช็ดล่ะวะ





ไอ้ตาลนี่มันก็บื้อจริงๆ เลยที่เต้นไปตามเกมของไอ้เอกอย่างไม่สงสัยอะไรเลยแบบนี้





“ฮ้า ขอบใจนะเอก” ตาลยิ้มแยกเขี้ยวสดใส เขาไม่แสบตาแล้ว!





“ไม่เป็นไร อย่าลืมบุญคุณกูละกัน” เอกยิ้มเจ้าเล่ห์





“อื้อๆ” เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ให้คนมองทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ ช่างมองโลกในแง่ดีจริงๆ





“แล้วสรุปแง่งๆ คือ...” ผมถาม...อยู่กับสองคนนี้แล้วรู้สึกเป็นส่วนเกิน





“แง่งๆ ก็คือกัดกัน เหมือนหมากัดกันอะไรแบบนั้นอ่ะ” ตาลแจกแจง “ก็คือจะถามว่าพวกมึงเลิกกัดกันแล้วเหรอ”





“อ๋อ” ผมกับเอกร้องคราง...ศัพย์บ้าอะไรของมันวะน่ะ!





ผมขมวดคิ้วตอบคำถาม “ก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันตั้งแต่แรกแล้ว”





“เอ๋!” ตาลร้องเสียงสูง ตาตี่ๆ เบิกกว้างตกใจอย่างเห็นได้ชัด





“อืม” เอกส่งเสียงในลำคอ





“เอ๋!?”





“โกหกน่า ก็พวกมึงกระชากคอเสื้อกันด้วยนะ” นั่นน่ะดูยังไงก็เหมือนทะเลาะรุนแรงจะตายไป “แบบนั้นไม่ได้เรียกทะเลาะกันเหรอ”





“นั่นเขาเรียกคุยกันแบบลูกผู้ชาย” เอกบอก





“เหรอ” ตาลนิ่งคิดไปพักหนึ่ง หันมาทำหน้าสงสัย “เอ๊ะ มันใช่เหรอ”





ก็พี่ชายสองคนของเขาไม่เห็นเคยกระชากคอเสื้อแบบนี้เลยนี่นา





ก็ไม่ใช่น่ะสิ! ...ผมคิดในใจ มองหน้าเอกที่ยิ้มๆ เวลาคุยกับตาล...มันชอบแกล้งตีรวนร่างโปร่งให้มึน เพราะเวลาคุยอะไรมันก็มักจะตามไม่ทัน หลอกอะไรมันก็เชื่อหมดเลย





ผมรู้ดีว่าเอกเป็นห่วง เนื่องจากคบกันมาได้สามปี...ที่มันพูดมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด ผมเข้าใจว่ามันอยากจะเตือนผมจริงๆ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง เพราะงั้นท่าทางรุนแรงที่แสดงออกมานั่นก็เรื่องธรรมดาที่คนอื่นไม่เข้าใจ





“คิน” เอกมองหน้าผมเครียดๆ “จริงๆ กูแอบเป็นห่วงนิดหน่อยว่ะ”





“เรื่อง?” ผมเลิกคิ้ว ผมวางของเมื่อถึงบริเวณที่ต้นไม้วางเรียงเยอะแยะมากมาย





“เรย์” สายตาคมของเอกมองไปรอบๆ เหมือนหาอะไรบางอย่าง “มึงจะไปดูหน่อยมั้ย”





ผมยังไม่เข้าใจ “มึงหมายความว่ายังไงวะ”





“นั่นเพื่อนสามคนที่ชอบอยู่กับเอม แต่ตอนนี้เอมไม่อยู่” ผมหันไปมองทางที่เอกชี้ เห็นคนสามคนที่ผมไม่รู้จักมาก่อน “ก็แค่สังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กูว่ามึงรีบไปหาเรย์ก่อนดีกว่า”





“แล้วมึงรู้ได้ยังไง” ผมหมายถึงเรื่องของสามคนนั้น ผมไม่เห็นรู้จัก แล้วไอ้เอกมันไปรู้จักได้ยังไง





“กูรู้ก็แล้วกันน่ะ” เอกตอบเลี่ยงๆ อย่างตัดรำคาญ “รีบไปสิ”





 “เออ” แม้จะยังสงสัยแต่ผมก็เดินเร็วๆ ออกไปหาตรงบริเวณที่คนพักกันเยอะๆ สายตามองหาแต่ในหัวนึกถึงสิ่งที่เอกพูด





เอมไม่อยู่...เรย์ก็ไม่อยู่...นั่นหมายความว่าทั้งสองคนอาจอยู่ด้วยกัน! พอคิดได้แบบนั้นขายาวยิ่งเร่งเดิน







ทั้งตอนครั้งแรกที่อยู่ในห้อง และครั้งต่อมาที่โรงพยาบาล





ทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังมันก็มักจะมีเรื่อง...ทุกครั้งไป





"อะ โอ๊ย! เจ็บ..."





ผมได้ยินเสียงร้องของเรย์แว่วมายิ่งทำให้รีบสาวเท้าเข้าไปตรงที่มาของเสียงเมื่อครู่





ก้อนเนื้อในอกเต้นดังกึกก้อง





เกิดอะไรขึ้น





“ฮึก...ปวดหัว”





แซ่ก...







ภาพที่ผมเห็นหลังต้นไม้ใหญ่ เห็นเรย์นอนกุมศีรษะสีหน้าบิดเบี้ยวระคนเจ็บปวด ชะเอมก็ยืนหน้าซีดอยู่ไม่ไกลหันมามองผมอย่างตกใจ





“เรย์!” ผมตรงเข้าไปหาเขา ช้อนตัวที่เบาหวิวขึ้นแนบอก โดยไม่ให้กระทบแผลบนหัวของเขา “เป็นอะไร เรย์ เจ็บตรงไหน”







“เรย์ปวดแผลอะคิน” เรย์กอดคอผมแน่นแล้วซบหน้าลงกับไหล่ แต่ผมสำรวจแล้วแผลน่าจะไม่ฉีก...เลือดก็ไม่ซึม น่าจะไม่เป็นอะไรมาก ก็ก่อนหน้านี้ยังไม่เป็นอะไรเลย แล้วจู่ๆ จะมีอาการแบบนี้ได้ยังไง





ทุกครั้งที่คลาดสายตา ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกที





"ยาแก้ปวดอยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวคินหยิบให้" ผมกระซิบบอกเขา จริงๆ แล้วผมคิดว่าเขาน่าจะหายแล้วแต่ดีจริงๆ ที่เตรียมพกยามาเผื่อเอาไว้ ผมลุกขึ้นทั้งๆ ที่อุ้มเขาอยู่ มันไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเลยกับน้ำหนักตัวแค่นี้





และผมห่วงอาการของเขาเกินกว่าจะสนใจใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย





"เรย์ขอโทษนะเอม" ผมชะงักเมื่อร่างเล็กตัวสั่นพูดเสียงเครือ แรงรัดรอบคอแน่นขึ้น "เรย์ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้เอมทะเลาะกับคิน ฮึก เรย์ไม่ได้ตั้งใจ"





ผมยืนนิ่งงันเพื่อฟังสิ่งที่เรย์พูด เจ้าตัวพูดไปสะอื้นร้องไห้ไป





"คินอย่าโกรธเรย์นะ เรย์แค่กลัว...แต่เอมเขาโกรธเรย์ที่ทำเหมือนแย่งคินมา ฮึก คิน" ผมกอดตอบเขาที่พูดกับผมแน่น ลูบหลังที่สะท้านเฮือกราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร





ผมรู้สึกโกรธที่เอมบอกว่าเรย์เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมทะเลาะกับเขา...ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย





มันเป็นเพราะสิ่งที่เขาทำต่างหาก...เพราะเขาทำแบบนี้ จะไม่ให้ผมโกรธได้ยังไง





ทั้งโกรธ ทั้งไม่เข้าใจ ทำไมเรย์ถึงต้องมาเจ็บตัวทุกครั้งที่อยู่กับเอมด้วย...ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ





บอกกูว่าอย่าใช้แต่ตามองเหรอ...แต่ทุกครั้งที่กูเห็น มันก็เป็นแบบนี้ แล้วจะให้กูเข้าใจว่ายังไงล่ะเอก





สัมผัสเปียกชื้นตรงซอกคอที่ร่างเล็กร้องไห้ซุกซบจนผมรู้สึกได้ "เจ็บ ไม่เอาแล้ว"





“หยุดพูดนะเรย์!” คนที่ยืนเงียบอยู่โพล่งออกมาราวกับทนไม่ไหว "ไม่ใช่นะคิน เรย์โกหก เอมไม่ได้..."





"นายนั่นแหละหยุดพูดได้แล้ว!!"





ร่างผอมบางสะดุ้งเฮือกกับเสียงตะคอก ใบหน้าหวานซีดเซียวมองผม ใบหน้าเจ็บปวดที่เหมือนจะร้องไห้นั่น...อีกแล้ว





สายตารอบข้างที่หันมามองไม่ทำให้ผมสะทกสะท้าน มือใหญ่ลูบปลอบแผ่นหลังเล็กที่กระตุกเพราะแรงสะอื้นอยู่ในอ้อมแขน “เรย์เป็นขนาดนี้ยังไม่พอใจอีกหรือไง...บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งอีก ทำไมไม่ฟัง!”





ผมเคยบอกเขาแล้ว...แล้วทำไมเขาถึงไม่ฟังผม ทำไมเขาถึงไม่หยุดเสียที





“เงียบทำไม ฉันถามว่าไม่พอใจหรือไง!!”





ไม่ใช่แค่ชะเอมที่ตกใจ ร่างเล็กๆ ของเรย์ก็สะดุ้งกับเสียงดังของผมเช่นกัน ร่างผอมบางหน้าซีดเซียว ริมฝีปากอ้าค้างแล้วขบกันเองแน่น เหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดเสียที...นานเกินกว่าที่ผมอยากจะฟัง





ขายาวเดินออกมาจากที่ตรงนั้น







ไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อที่แผ่วเบา...เสียงที่เรียกสุดลมหายใจ











************************Whose fault? ************************











“หึ...หึหึ”





“…”





"ฮ่าๆ โอ๊ย สะใจเป็นบ้า เห็นหน้ามันวันนี้รึเปล่า ซีดอย่างกับไก่ต้ม"





เสียงใสหัวเราะดัง ดูฉอเลาะจนคนฟังขมวดคิ้ว





"ทำเกินไปรึเปล่านะ" เสียงแหบโหยพูดขึ้นเมื่อมองใบหน้าน่ารักหัวเราะอย่างน่ารังเกียจ





"มึงว่าอะไรนะ" เรย์หันขวับเมื่อได้ยินอะไรไม่เข้าหู สายตาหาเรื่องผิดรูปลักษณ์ปกติที่มักจะแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น "มึงกล้าขัดกูเหรอ?"





อีกฝ่ายหุบปากฉับ พูดเสียงแผ่ว "...เปล่าครับ"





"ทีหลังไม่ต้องสะเออะ แล้วก็ห้ามขัดกู อย่าลืมว่ากูมีความลับของมึงอยู่"





อีกฝ่ายเบิกตาทันที "แต่นั่นน่ะมันเพราะคุณ...!"





"พูดอะไรคิดให้ดีๆ ไม่ใช่เพราะพ่อกูเหรอครอบครัวมึงถึงอยู่รอดได้จนมาถึงวันนี้น่ะ" เรย์หรี่ตา





ริมฝีปากแห้งผากขบกัดกันอย่างอึดอัดคับใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ "...ครับ คุณเรย์"





"เออ ทำตามที่สั่ง เอาเงินไปใช้สบายๆ แล้วก็ปิดปากเงียบซะมันไม่เห็นจะยากตรงไหน" เรย์พูดยิ้มๆ ก่อนกุมคางทำหน้านึก "ครั้งหน้ากูจะให้มึงทำอะไรดีนะ...ให้ไปดักตีหัวมันไปเลยดีไหม เอาแบบให้ความจำเสื่อมหรือตายไปเลยอะไรแบบเนี้ย"





ร่างเล็กแสยะยิ้มบิดเบี้ยว ยิ่งนึกถึงตอนที่ไอ้เอมทำตัวสำออยแล้วมันยิ่งน่าหมั่นไส้





"...คะ คุณเรย์...มะไม่เอานะครับ ผม...ผมไม่...!" อีกฝ่ายหน้าซีดปากสั่นทันทีกับความคิดน่ากลัวที่ร่างเล็กพูดออกมาได้อย่างหน้าระรื่น





คนๆ นี้...น่ากลัว...





"ล้อเล่นๆ" เรย์ว่าแล้วหัวเราะดัง "มึงนี่ก็นะ ขับรถชนกูก็เคยมาแล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก"





"!!"





"เฮ้อ...เอาเถอะ ตอนนี้ยังก่อนก็ได้ รอดูท่าทีของคินแล้วค่อยคิดอีกที" เรย์หมดเรื่องจะพูดแล้วกำลังก้าวขาเดินออกไปจากหลังต้นไม้ต้นนั้น แต่ก็ชะงักก่อนหันมาชี้นิ้วสั่งเสียงเข้ม "มึงรออยู่นี่ ให้กูออกไปก่อน แล้วมึงค่อยตามออกไป อย่าให้คนเห็นว่ามึงกับกูคุยกัน...เข้าใจ๊"





"..."





แซ่ก แซ่ก





คนที่เหลืออยู่ยืนก้มหน้านิ่งงัน ภายในความมืดและเงียบได้ยินแต่เสียงลมและใบไม้เสียดสี มือทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่น กรามขบกัดจนปูด น้ำตารื้นขึ้นมาปริ่มขอบตาด้วยความสมเพชตัวเอง





ทำไม...ทำไมเราต้องมายอมทำเรื่องน่าละอายแบบนี้ด้วย





...ช่างน่าละอายใจตัวเองเหลือเกิน...



"คุณท่าน..."





เสียงสั่นเครือเพรียกหาใครบางคนที่อยู่แสนไกล





************************Whose fault? ************************



ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


                                                    Whose Fault ?



                                                     ผิด...ครั้งที่ 16









โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม





เอกหันมาหรี่ตามองหน้าผม “เมื่อกี้มึงว่าไงนะ”





​“ก็กูบอกว่าเอมทำอะไรเรย์ก็ไม่รู้ เรย์ก็ไม่ยอมพูดซะที...กูก็เลยไม่อยากพูดไง” ผมอธิบาย เมื่อกี้ผมให้เขานอนพักเพราะเจ้าตัวบอกว่ายังปวดหัวไม่หาย แถมถามอะไรก็ไม่พูดสักคำ





“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ...”





"งั้นเรื่องวุ่นวายเมื่อกี้คือเรื่องนี้เองเหรอ" ตาลถาม "แล้วเอมเป็นไงบ้างอะ"





"..." คำถามของตาล ชั่วแวบหนึ่งดวงตากลมโตสั่นไหวที่ทำให้ผมรู้สึกผิดได้ทุกครั้งแล่นเข้ามาในหัว





ผมเงียบเมินคำถามนั่น





อย่ามาทำให้สับสน...กดความรู้สึกนั่นลงไปซะ





​เอกกุมคาง “แล้วมึงว่าเอมทำอะไรเรย์”





​ผมขมวดคิ้ว ไอ้นี่มันถามรวนอะไรอยู่ได้ “ก็กูบอกว่ากูไม่รู้ไง มึงเข้าใจความหมายของคำว่าไม่รู้มั้ย”





"แล้วเขาพูดอะไรบ้าง"





ร่างสูงชักสีหน้า "ไม่..."





ก่อนหน้านี้ที่เกิดเรื่องชะเอมไม่ได้พูดอะไรสักคำ...ไม่สิ ตอนที่จะพูดผมก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะฟังด้วย





'คิน ไม่ใช่นะ เรย์โกหก...เอมไม่ได้...’





ตอนนั้นร่างบางจะพูดอะไรนะ...เป็นผมเองต่างหาก...ที่ไม่คิดจะฟังเขาอธิบาย







“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ กูก็แค่...” เอกเห็นสีหน้าของผมก็หันมาถาม แววตาไม่เข้าใจบางอย่าง “มึงไม่สงสัยบ้างหรือไง...ทำไมเรย์ถึงเจ็บตัวทุกครั้งที่อยู่กับเอม ที่สำคัญคือเฉพาะอยู่กันตามลำพังสองคน” แล้วก็ดันเป็นตอนที่มึงไปเจอช็อตเด็ดเข้าให้ทุกครั้งด้วย...เอกต่อประโยคนั้นในใจ





“มึง...” ผมฟังแล้วก็อดสะกิดใจไม่ได้ เพราะผมก็เคยคิดแบบนั้นจริงๆ “คิดอะไรอยู่”





​“กูก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่เลยไม่อยากฟันธง” สายตาคมปรายตามองผม “แล้วกูก็ไม่อยากบอกมึงตอนนี้ด้วย”





ผมที่ยืนฟัง คิ้วกระตุกทันทีที่มันบอกแบบนั้น ตาลที่ยืนข้างๆ ก็ยิ้มแหยกับการกวนอารมณ์ที่ไม่ถูกกาลเทศะของเอก





"ทำไมวะ"





มุมปากคมเหยียดยิ้ม "ไว้มึงเปิดใจให้กว้างกว่านี้อีกหน่อยกูจะบอกก็แล้วกัน"





ไอ้เอกนี่แม่งชอบกวนประสาทผมอยู่เรื่อย มันบอกว่าผมพูดวกวน มันก็พูดวกวนเหมือนกันล่ะวะ...ยิ่งพูดยั่วโมโหผมเนี่ยถนัดชิบหาย





'กูสังหรณ์ไม่ค่อยดี มึงจะไปดูหน่อยมั้ย'





คินนึกขึ้นได้ "แล้วเรื่องที่มึงพูดก่อนหน้านี้...ทำไมเหมือนมึงถึงรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น"





"นั่นกูก็ไม่บอก"





"มึงจะทำตัวเป็นนักสืบกลัวความลับรั่วไหลเพื่อ" ผมพ่นลมหายใจกับอาการเล่นตัวของเพื่อนตัวเอง ผมว่ามันน่าจะไปเรียนเกี่ยวกับตำรวจหรือไม่ก็กฎหมายดีกว่าเรียนวิศวะนะ





พูดถึงตำรวจ...นี่ผมลืมไปได้ไงว่าพ่อมันเป็นผู้กำกับการตำรวจแห่งชาติ...ยศใหญ่ซะด้วย





"กูแค่สังหรณ์ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้บอกว่าจะมีจริงๆ ซักหน่อย...ถึงมันจะมีจริงๆ ก็เหอะ" เสียงทุ้มพึมพำท้ายประโยค





ผมมองมันด้วยสายตากดดัน สายตาที่บอกว่า 'อย่ามาเล่นลิ้นกับกูให้มาก'





"มองแบบนั้นกูไม่กลัวหรอกนะจะบอกให้" เจ้าตัวยักคิ้วให้ผมชวนให้อยากเอาฝ่าเท้าประทับบนหน้า ใครบอกไอ้นี่มีบุคลิกนิ่งขรึม พูดน้อย ผมนี่แหละค้านสุดฝ่าเท้าเลย





"จะบอกไม่บอกวะ"





"กูบอกแล้วไงให้มึงเปิดตาที่สาม อย่าใช้สองตามอง แล้วกูถึงจะบอก"





"ไอ้เชี่ยนี่กวนส้นตีนอยู่ได้!"





"พวกมึงอย่าทะเลาะกันนะเว้ย" ร่างโปร่งแทรกตัวเข้ามาคั่นระหว่างผมที่จะพุ่งไปหาเอก แต่ด้วยความสูงที่ถึงแค่ปลายจมูกก็ยังขวางสายตาคมสองคู่ที่จ้องกันไม่ได้





"เอก ห้ามทะเลาะกันนะ~" ตาลเห็นท่าไม่ดี ห้ามคินก็ไม่น่าจะได้ อย่างน้อยตัวเองก็น่าจะพูดให้เอกใจเย็นได้ ร่างโปร่งยกมือสองข้างปิดตาคนตัวสูงไม่ให้สบกัน





...ก็เคยได้ยินเขาว่ากันว่าแค่จ้องตาก็ฆ่ากันได้





เอกเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "ฮืม...แต๊ะอั๋งกันเหรอ ฮะ...นี่แน่ะๆ แต๊ะอั๋งต้องโดนแบบนี้"





"อ๊ะ เฮ้ย ฮ่าๆ จะ...จั๊ก...จี๋ ฮ่าๆ โอ๊ย" ตาลดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนใหญ่ที่กอดเอวบางแน่น สองมือไม่อยู่สุกลงแรงกับจุดที่รู้ว่าทำยังไงให้ร่างโปร่งหัวเราะน้ำตาเล็ดได้ "ฮื้อ ปล...ปล่อยได้แล้ว เหนื่อย คิกๆ"





ผมยืนมองเป็นหมาหัวเน่า หมดมู้ดจริงจังเพราะไอ้ห่าสองตัวนี่แหละ เอกสบตาผมก่อนที่จะยกร่างในอ้อมแขนขึ้นพาดไหล่ "เฮ้ย! ปล่อยนะ~ คิน ชะ..ช่วยกูด้วย~" สองมือเรียวทุบแผ่นหลังหนาดังปั้กๆ หลายครั้งแต่ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้าน





"ถ้ามึงเป็นห่วงเรย์นัก ก็ 'ดูแล' ดีๆ ก็แล้วกัน" เอกหันมาพูดกับผม ใบหน้าของมันยิ้มระรื่นอารมณ์ดีมากกว่าเดิม ไม่สนใจคำท้วงเสียงดังและแรงประทุษร้ายของตาลสักนิด





"เรย์ก็เพื่อนมึงเหมือนกัน ทำไมดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยวะ" ผมข้องใจถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย ตั้งแต่คราวที่เจ้าตัวนอนโรงพยาบาลครั้งที่แล้ว มีแค่เอกคนเดียวที่ไม่มาเยี่ยม





"นี่กูก็เดือดร้อนเหมือนกันนะ เพราะเพื่อนของเราคนนี้ชอบทำตัวให้ 'เป็นห่วง' อยู่เรื่อย" เสียงทุ้มใสยังโหวกเหวกโวยวายไม่หยุดท่ามกลางความเงียบที่ผมยืนมองตาไอ้คนความลับเยอะ ประโยคที่มันพูดมีความนัยอะไรบางอย่างที่มันเข้าใจอยู่คนเดียว





"อีกอย่างแค่มีมึง เรย์มันคงไม่อยากได้ความเป็นห่วงของกูหรอกเว้ย...เดี๋ยวกูขอตัวไปจัดการ 'ธุระส่วนตัว' ก่อน" เอกหันหลังโบกมือให้





“เดี๋ยว!”





“อะไรอีก” เอกทำเสียงเนือยๆ อย่างรำคาญ





“เรื่องที่มึง ‘รู้’ เมื่อไหร่ถึงจะบอกกู”





“เอกปล่อยกูนะ~” เสียงทุ้มใสของตาลแทรกขึ้นมา แต่เอกก็ทำหูทวนลมคุยกับคินต่อด้วยใบหน้านิ่ง





“กูว่ากูบอกมึงไปแล้วนะ”





“อย่าเมินกันเซ่!”





“อันที่จริงเรื่องที่กูรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันไม่สำคัญเท่าเรื่องที่มึงคิดและเชื่อว่าจะให้มันเป็นยังไงหรอก”





ผมขมวดคิ้ว





“กูรู้ว่ามึงไม่เข้าใจ ถึงมึงจะฉลาดในเรื่องการเรียนหรือเรื่องอื่นหลายๆ เรื่อง แต่เรื่องความรักมึงโง่มาก” เอกแสยะยิ้มเหมือนสะใจที่ได้ด่าผมอย่างเนียนๆ “เอาเป็นว่าหลังจากนี้ถ้ามึงรู้ความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ได้เมื่อไหร่ และถึงตอนนั้นยังอยากจะ ‘รู้’ อยู่ล่ะก็ค่อยมาถามกูอีกทีก็ได้...ถ้ามันยังไม่สายเกินไปล่ะก็นะ”





ประโยคหลังที่บ่นพึมพำ คำพูดนั้นก็ถูกพัดให้หายไปกับสายลมและกลืนไปกับป่าไม้ ไม่มีวันที่คินจะได้ยิน





ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าหากมึงยังไม่ ‘รีบ’ รู้สึกตัวเร็วๆ ...มึงอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตจริงๆ แน่...คิน





“กูไปทำ ‘ธุระ’ ของกูละ”





เอกบ่น พร้อมกับขายาวตวัดก้าวออกไปทันที พร้อมกับเสียงโวยวายของตาลที่ค่อยๆ เบาลง





"หึ" 'ธุระส่วนตัว' ที่ว่าก็คือร่างโปร่งที่โหวกเหวกโวยวายที่ถูกพาดบนไหล่ของมันเหมือนปลาตากแห้งนั่นล่ะสิ





ขาคู่ยาวเดินกลับไปที่ๆ ทำงานกันเมื่อครู่ เขายังไม่ลืมว่ามาที่นี่ทำไม ถึงความสงสัยจะมากมาย...แต่งานของมหาลัยเป็นเรื่องส่วนรวมที่ต้องนึกถึงเป็นอันดับแรก





เรื่องส่วนตัวพักเอาไว้ก่อน





แต่หลังจากนั้นไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ ในระหว่างทางการทำงาน สายตาคมที่กวาดมองหาอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่ได้เจอร่างผอมบางนั่นอีกเลยตลอดทั้งวัน











************************Whose fault? ************************











ฉึก! ฉึก!





ผ่านมาวันที่สอง หลายๆ อย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทางกรรมการนักเรียนแบ่งครึ่งนักศึกษาหลายคณะไปทำอาหาร อีกครึ่งมาทำกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งพรุ่งนี้ก็จะสลับกัน จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่...แต่ผมก็ได้เจอกับคณะอักษร ซึ่งนั่นหมายถึงผมได้ทำงานร่วมกับชะเอม คนที่เมื่อวานผมพยายามมองหาแต่ก็หาไม่เจอ





หนีไม่พ้น...จะเรียกแบบนั้นก็ได้มั้ง





เจ้าตัวพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ผมอย่างเห็นได้ชัด แถมยัง...ไม่สบตา





และทั้งผมทั้งเขา ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น





"...เดี๋ยวเอม...ผะ ผมไปเอาต้นไม้มาให้นะ" เจ้าตัวก้มหน้าก้มตาบอกแล้วเดินออกไป





สรรพนามแทนตัวที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว เขาแทนตัวเองว่าผมยิ่งให้ดูห่างเหินเหมือนไม่เคยรู้จักกัน...ทั้งๆ ที่เคยพูดชื่อกับผมมาตลอดเวลาคุยกัน





'คิน...รอด้วย รอเอมด้วย' ร่างเล็กผิวขาวใสวิ่งเข้ามาเกาะชายเสื้อของผม น้ำตาใสคลอหน่วยอยู่ที่ขอบตากลมโตที่ไม่เคยเบนสายตาไปที่อย่างอื่นนอกจากเด็กชายผู้ตัวโตและแข็งแรงกว่าคนนี้





'โตแล้วอย่าร้องไห้สิ' เด็กชายคินอายุเก้าขวบเอ่ยดุๆ กับชะเอมที่เด็กกว่าหนึ่งปี แต่ก็ไม่ได้แกะมือเล็กๆ ที่เกาะชายเสื้อตัวเอง





'ก็คินไม่รอเอม...คินจะไปคนเดียว...คินจะทิ้งเอม' ยิ่งพูดยิ่งจะร้องไห้ ความโยเยของเด็กชายเรียกความเอ็นดูของพี่เลี้ยงและพ่อบ้านแม่บ้านได้เป็นอย่างดี





เป็นภาพที่น่ารัก...





'พูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว' เด็กชายคินเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าตัวเล็กที่ต้องคอยดูแลอยู่เสมอตามคำของพ่อ 'คินไม่ทิ้งเอมหรอกน่า'





'คินจะไปเล่นคนเดียว ไม่ชวนเอม' ร่างเล็กส่ายหน้าไม่ยอมเชื่อ แถมเบะปากเตรียมโฮเหมือนเคย 'คินจะทิ้งเอมแล้ว'





'ถ้าคนขี้แยล่ะก็คินทิ้งแน่ๆ แต่ถ้าเอมไม่ขี้แยคินไม่ทิ้งหรอก' คินกอดอกพูดขู่วางท่าเป็นพี่ชายท่าทางน่าเอ็นดู





'เอมไม่ขี้แย!' แขนเล็กปาดน้ำตาบนหน้าทิ้งอย่างรวดเร็ว แต่อีกข้างก็ยังจับเสื้ออีกฝ่ายแน่นไม่ปล่อย 'เอมไม่ขี้แยแล้ว' ปากเล็กพูดฉะฉานพลันยิ้มสดใสประกอบ เมื่อคินเห็นก็ยิ้มหัวเราะออกมา





'ดีมากๆ เอมเก่งๆ' มือป้อมที่ใหญ่กว่าลูบหัวเล็ก ผู้ได้รับคำชมก็หัวเราะคิกคักดีใจใหญ่ เจ้าตัวพูดทวนว่าเอมเก่งยิ้มตาปี๋ และลืมเรื่องเมื่อกี้ไปเสียสนิท





‘เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ ฉันกับนาย’ ...หรืออาจเป็นเพราะผมทำเย็นชาแบบนั้นกับเขาก่อน ไม่แปลกหรอกที่เขาจะทำตัวเหินห่างกับผมบ้าง





ไม่สิ...ไม่ใช่ว่าผมต้องการแบบนี้หรอกเหรอ





นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากให้มันเป็น





และการทำงานบ่ายนี้เป็นคู่และบังเอิญชื่อของผมได้คู่กับเขา ส่วนนักศึกษาคนอื่นๆ ที่จับเป็นคู่ๆ ก็ทำความรู้จักกันแล้วกระจายพื้นที่กันไปทำงานเป็นหย่อมๆ ซึ่งเป็นงานที่ทำต่อจากเมื่อวาน หลังจากที่ยกต้นไม้มาแล้ว  วันนี้ก็จะทำการปลูกมันลงดินซะ





ผมขุดดินให้เป็นหลุม ส่วนร่างผอมบางอาสายกต้นมาวางเตรียมลงให้ ซึ่งนั่นก็ดีแล้วเพราะคนที่ใช้แรงมากกว่าคือคนขุดนี่แหละ และผมว่าผมเหมาะกับหน้าที่นี้มากกว่าชะเอมแน่นอน





แดดแรงจ้าที่ทำให้เหงื่อไหลจากหน้าผากไหลลงเข้าตา ผมชะงัก มือวางพลั่วลง หลับตาแน่นกำลังจะเช็ดมันออกจากดวงตา แต่กลับมีสัมผัสแผ่วเบามาซับลงที่ใบหน้าของผม





"อย่าเพิ่งลืมตานะ" เสียงใสพูดเบาในระยะใกล้แค่นี้ ทำให้ผมได้ยินชัดเจน ผิวผ้านุ่มเย็นชวนให้รู้สึกดีซับทั่วใบหน้าแผ่วเบา จนกระทั่งสัมผัสละออกไป "เสร็จแล้ว"





เปลือกตาเปิดขึ้น ภาพแรกที่ผมเห็นคือใบหน้าหวานสว่างใส เด็กคนนั้นที่อยู่ในความทรงจำ โตขึ้นมาแล้วยิ่งสวย...





ตาที่เผลอสบกัน เจ้าตัวรีบหลุบลง ปากบางเม้มแน่นจนไร้สี "ขะ ขอโทษ" เสียงใสหวั่นกลัว





ขอโทษทำไม?





"ผมทำอะไรโดยพลการ ขอโทษครับ" เจ้าตัวก้มหน้าพูดเสียงเบา





ชะเอมเป็นคนขี้กลัวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?





"นายก็เหงื่อออกเหมือนกัน ทำไมไม่เช็ดให้ตัวเอง" ผมถาม สายตาจ้องมองใบหน้าขาวเกือบซีดที่มีเหงื่อไหลซึมเยอะไม่แพ้กัน แถมยิ่งโดนแดดแบบนี้ชะเอมยิ่งดูสว่างมาก





เจ้าตัวก้มมองผ้าเย็นในมือที่ถูกใช้แล้ว ยิ้มบางๆ "ไม่เป็นไรครับ"





ผมไม่ชอบเลยที่เขาใช้คำพูดสุภาพแบบนี้





"ลงต้นเลยมั้ย" เสียงใสถามเปลี่ยนเรื่องมือยัดผ้าลงกระเป๋าเสื้อคลุมด้านใน





แดดร้อนขนาดนี้ยังใส่เสื้อคลุมอีกเหรอ





แขนผอมบางยกต้นกล้าที่ถูกหุ้มรากด้วยถุงสีดำเตรียมไว้มาวางในหลุมที่ผมเพิ่งขุด





"ไม่พอดีนี่นา" เสียงใสพึมพำ แพขนตายาวกับตากลมโตสีดำ ริมฝีปากบางที่ขยับขึ้นลง "ตื้นเกินไป"





"คิน...คิน" เสียงเรียกชื่อชวนคิดถึงทำให้รู้สึกตัว สายตาที่มองมาที่เขาอย่างเป็นห่วง "เหนื่อยเหรอ"





"เปล่า" ผมตอบสั้นๆ เสียงห้วน ไม่อยากให้รู้ว่าเมื่อกี้เขาเผลอมองอีกฝ่ายนานขนาดไหน





"ขอโทษครับ" ชะเอมเม้มปาก สายตาเป็นห่วงเมื่อกี้เหลือแต่ความหวาดหวั่น





ขอโทษอีกแล้ว จะขอโทษทำไมนักหนา





นี่ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง





ยิ่งอยู่กลางแดดนานๆ ใบหน้าหวานซีดเซียวมากกว่าเดิม เหงื่อออกเยอะมากแต่เจ้าตัวไม่เห็นสนใจ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังเช็ดเหงื่อให้ผม แต่กลับไม่ยอมเช็ดให้ตัวเอง





ร่างสูงผุดลุกขึ้นเดินออกไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร ยิ่งทำให้ใจน้อยๆ เสียมากขึ้นไปอีก





ร่างบางมองตามคินที่หันหลังเดินไปไหนไม่รู้ ริมฝีปากเม้มแน่นพยายามกลั้นน้ำตาที่ผุดขึ้นจากความน้อยอกน้อยใจ แค่ความเป็นห่วงที่เขามีให้ยังทำให้อีกฝ่ายรำคาญได้ขนาดนี้เลยเหรอ





ทั้งๆ ที่เขาดีใจขนาดไหนที่ได้ทำงานคู่กับคิน แต่เขากลัว กลัวมาก...ความเย็นชาและความโกรธที่ร่างสูงมีต่อเขา





ชะเอมมองไปทิศทางที่คินเดินออกไปมันคือจุดที่ให้คนไปนั่งพัก มีน้ำมียาแล้วก็หลายๆ อย่างที่ทุกคนต้องการไปหยิบได้ ซึ่งผ้าเย็นที่เขาใช้มาซับเหงื่อให้ร่างสูงก็ขอมาจากตรงนั้นแหละ





แต่ภาพที่เห็นช่างบีบหัวใจเป็นอย่างมาก...





คินกำลังเช็ดหน้าให้เรย์อย่างอ่อนโยน เหมือนที่เขาเช็ดให้ร่างสูง ร่างเล็กยิ้มดีใจ...อดคิดไม่ได้ว่าเหมาะสมกันเหลือเกิน...เหมาะสมกันมากกว่าเขา





เขาไม่น่ามองเลย...ไม่น่าหันไปมองเลย





สัญญาแล้วไงว่าเจ็บแค่ไหนก็จะทนไง...เขาน่ะ...





ร่างบางหันขวับมามองหลุมดินตรงหน้า หยิบพลั่วที่ถูกวางทิ้งไว้ออกแรงขุด สนใจแต่สิ่งตรงหน้าซะ...อย่าไปนึกถึง





อย่าไปนึกถึง





"อึก..." ไม่ไหว...ไม่ไหวจริงๆ





ฉึก!! ฉึก!!





มือบางออกแรงมากขึ้น ต้องขุดแรงๆ ...เพื่อฝังความรู้สึกเสียใจนี่ลงไปให้ลึก





อดทนไว้ ถ้าแค่นี้ยังทนไม่ได้...





หลังมือที่ว่างปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่สนใจว่าจะทำให้หน้าของตัวเองเปรอะดิน...ยังไงก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว

ไม่ว่าใคร...





เมื่อได้ความลึกที่น่าจะพอดี ก็ใช้สองมือยกต้นกล้าลงแล้วใช้มือกวาดดินที่ขุดขึ้นมากองอยู่ข้างๆ กลบให้พอดีกับหน้าดินส่วนอื่น





สองขาเรียวผุดลุกขึ้น เอาล่ะ ต่อไป...





"อะ..." ภาพที่มองเห็นมันพร่ามัว เข้าใจว่าตัวเองหน้ามืดเพราะลุกเร็วเกินไป แต่พอหลับตาแล้วลืมขึ้นใหม่ ก็เหมือนจะรู้สึกดีขึ้น





ปุ!





ร่างผอมบางทรุดตัวลงเมื่ออาการวิงเวียนแทรกเข้ามาอีกครั้งเพียงก้าวขาเดินไม่กี่ก้าว พลั่วหลุดจากมือที่อ่อนแรง กระแทกลงบนพื้นดินร่วนเสียงดังพอจะให้คนรอบข้างหันมามอง





"แฮ่ก..."





ดวงตากระพริบถี่เห็นจุดด่างดวงสีดำไม่ยอมหายไปเสียที ในหัวรู้สึกหวิวๆ ลมหายใจเข้าออกเร็ว





ควบคุม...ไม่ได้เลย





เขา...





"กรี๊ด มีคนเป็นลมค่ะ!"





ใคร...เป็นลม





"อย่ามุงครับ! ขอทางหน่อย!"





ใครน่ะ...





"เอม!"





ใคร...





เสียงโหวกเหวกดังอื้ออึง กับเสียงเรียกชื่อตัวผมเป็นเสียงสุดท้าย ก่อนทุกอย่างค่อยๆ แผ่วเบาลงพร้อมกับสติสัมปชัญญะ









************************Whose fault? ************************


ต่อด้านล่างค่ะ








ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


ต่อจากด้านบน











“อ้าวคิน มาพักเหรอ”





“เปล่าหรอก มาเอาของ” ผมตอบ ตามองหาของที่ว่า “แล้วเรย์ล่ะ”





“เรย์หิวน้ำน่ะ ต้องตากแดดแบบนี้เหนื่อยมากเลยเนอะ” ผมครางรับในลำคอ ไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ “ว่าแต่คินหาอะไร”





“ผ้าเย็น”





“เห...” เสียงใสยานแปลกๆ ผมเลยหันไปมองซึ่งเขาก็มองผมด้วยสายตาแปลกๆ อยู่เหมือนกัน เจ้าตัวชี้ไปทางโต๊ะที่มีของวางเรียงรายซึ่งมีคนเฝ้าอยู่ “อยู่ตรงนั้นไง”





ขายาวเดินไปตรงโต๊ะที่ว่าทันที “ขอผ้าเย็นผืนนึงครับ ขอบคุณครับ” มือใหญ่รับมา กำลังจะกลับไปที่เดิมที่เพิ่งเดินออกมาได้สักพัก แต่ก็ต้องชะงักเพราะเรย์ยืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้





“มีอะไรรึเปล่าเรย์ คินจะกลับไปทำงาน”







“คินเช็ดหน้าให้เรย์หน่อยสิ” ได้ยินแบบนั้นผมก็เลิกคิ้ว





“ขออีกอันนึงครับ” ผมหันไปขอคนแจกผ้าเย็น รับมาแล้วยื่นให้เจ้าตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ “อ่ะ”





“ไม่เอา เช็ดให้ด้วยสิ” ตากลมมองด้วยสายตาอ้อนวอน ผมก็แกะห่ออย่างช่วยไม่ได้ ช่วยซับเหงื่อที่ซึมบนหน้าผากและข้างขมับให้ เรย์ก็ยืนหลับตาพริ้มนิ่ง





“สบายเชียวนะ” เสียงทุ้มแขวะ เจ้าตัวไม่รู้สึอะไรแถมหัวเราะแหะๆ





“งั้นให้เรย์เช็ดให้คินนะ มา” มือเล็กดึงของในมือผมออกไปและทำท่าจะแกะห่อ แต่ผมเอากลับคืนมา เรย์ก็ชักสีหน้าไม่พอใจ “เอ้า! เอามาสิ”





“ไม่เป็นไร คินเช็ดแล้ว” ผมถอยออกมาหนึ่งก้าวกับการกระทำที่เริ่มรุกรานแปลกๆ ของเรย์





"กรี๊ด! มีคนเป็นลมค่ะ!"





เสียงกรีดร้องดังขึ้นเรียกหลายคนหันไปมอง นั่นรวมถึงผมด้วย





"ใครน่ะ!?"





"ไม่รู้ว่ะ อยู่ตรงนี้มองไม่เห็น!"





หลายคนแตกตื่น เพราะไม่ค่อยเจอสถานการณ์แบบนี้





"นั่นมันชะเอมไม่ใช่เหรอ คนนั้นไงที่ได้ยินบ่อยๆ"





เอม!?





“ดะ เดี๋ยวสิคิน!” เรย์ร้องเรียก





ขายาวก้าวไปก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ ผมเพิ่งจะออกมาแปปเดียว...แค่คลาดสายตาไปแค่แปปเดียว





ร่างสูงเดินแหวกคนที่ยืนมุงตรงที่ๆ ทำงานอยู่เมื่อครู่





"อย่ามุงครับ! ขอทางหน่อย!" ผมตะโกนบอกอย่างร้อนรน





พลันเห็นร่างผอมบางนอนอยู่ในอ้อมแขนของคนอื่นก็คว้าเขาออกมาทันที ชะเอมหน้าซีด ลมหายใจผิดปกติ แถมเหงื่อออกมาก ดูท่าจะยังไม่หมดสติซะทีเดียวแต่ก็น่าเป็นห่วง





ผมประคองเขาขึ้นแนบอก มือเล็กเย็นเฉียบทั้งๆ ที่แดดร้อนขนาดนี้





แขนใหญ่อีกข้างช้อนเข้าใต้ข้อพับขา ยกร่างบางขึ้นอย่างง่ายดาย ขายาวรีบรุดเดินผ่านผู้คน...ต้องพาไปที่ร่มๆ เดี๋ยวนี้





"เอม!" เสียงทุ้มคอยเรียกเพื่อให้เจ้าตัวรู้สึกตัวอยู่ตลอด แต่เจ้าของชื่อไม่ตอบสนอง ตาที่ปรืออยู่ปิดลง หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง "เอม!!"





"อย่ามุงครับ ขออากาศให้คนป่วยหน่อยนะครับ" เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นทันทีที่ผมวางร่างเบาหวิวลงนอนบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ เขาคือรุ่นพี่ที่เป็นแพทย์ชื่ออะไรสักอย่างผมจำไม่ได้





จ่อยปรบมือเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจและให้เสียงซุบซิบนินทาเงียบลง “เอาล่ะ ใครที่ไม่เกี่ยวข้อง ก็ไปทำงานของตัวเองนะครับ”





ร่างโปร่งในชุดกาวน์ทรุดตัวคุกเข่าลงข้างร่างหมดสติ เอากระเป๋าบางอย่างสอดเข้าใต้เข่าให้ยกสูง จับข้อมือเช็คชีพจร หลังมือแนบหน้าผากมนและข้างใบหน้าซีดเหมือนเช็คอุณหภูมิ ก่อนเงยหน้าตะโกนบอกใครบางคน "ขอผ้าชุบน้ำเย็นๆ หน่อยครับ"





ทุกอย่างทำรวดเร็วอย่างคล่องแคล่ว สมกับเป็นนักศึกษาแพทย์





ผมมองหน้าของชะเอมที่ซีดขาวจนน่าเป็นห่วง มือเล็กยังเย็นเฉียบเหมือนคนตายไม่มีผิด





ผมส่ายหน้า...ก็แค่เป็นลม คิดอะไรไม่เข้าท่า





ก็เพราะผมปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวนั่นแหละมันถึงได้เป็นแบบนี้





"มีไข้นิดหน่อย มาทำงานกลางแจ้งแบบนี้ไม่แปลกที่จะเป็นลมน่ะ ฝืนเกินไปหน่อยนะ" เสียงทุ้มพูดเรียกความสนใจของผม





เป็นไข้เหรอ...แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกผมสักคำ





รุ่นพี่ส่งยาดมหลอดหนึ่งมาให้ "นี่ครับ โบกไปมาเหนือจมูกน้องเขา ดมแล้วจะได้รู้สึกดีขึ้น"





ผมก้มหัว "ขอบคุณครับ"





"พี่หมออิฐคะ ผ้าชุบน้ำเย็นค่ะ"





"ขอบคุณครับ" หมออิฐยิ้มสว่าง ทุกกิริยาที่เหมาะสม ผมว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอจริงๆ เขาหันมาถามผมยิ้มๆ "จะให้พี่เช็ด หรือนายจะเช็ดเอง"





คำถามที่ไม่ต้องตอบก็รู้ มือใหญ่รับผ้าเย็นๆ มาซับเบาๆ ลงบนใบหน้าซีดเซียวที่ยังไม่ได้สติ สายตาคมพิศมองใบหน้าทุกกระเบียดนิ้ว นึกถึงสัมผัสเดียวกันที่เขาทำให้กับผม





ยังไงก็หนีไม่พ้นจริงๆ ...ทั้งผม ทั้งเขา เราทั้งคู่





"รอสักพักถ้าเขารู้สึกตัวแล้วให้นอนพักไปก่อนนะ อย่าเพิ่งออกแรง เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก แต่ถ้ายังไม่รู้สึกตัว พี่แนะนำให้ไปนอนห้องพยาบาลเลยน่าจะดีกว่า"





หมออิฐพูด ร่างสูงสดับฟังก็ได้แต่พยักหน้ารับ





"ครับ" มือเกลี่ยผมเปียกชื้นออกจากหน้าผาก มือใหญ่ทำหน้าที่แทนพัดโบกสะบัดเรียกลมอ่อนๆ ให้





ใบหน้าอ่อนเพลียนี่...ร่างผอมบางนี่ นิสัยที่แก้ไม่หายของเขาคือเป็นอะไรแล้วไม่ยอมพูด...ไม่บอกเพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นเป็นห่วง





ไม่ได้รู้เลยว่าพอเป็นแบบนี้จะยิ่งทำให้เป็นห่วงมากกว่าเดิม...เจ้าตัวไม่เคยรู้บ้างเลยหรือไง





"คิน เป็นไงบ้าง" เรย์เดินเข้ามาจากที่ไหนผมไม่ได้มอง ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งข้างร่างผอมบาง





'ถ้ามึงเป็นห่วงเรย์นัก ก็ดูแลดีๆ ก็แล้วกัน'





จู่ๆ คำพูดของเอกก็แล่นเข้ามาในหัว...มึงหมายความว่ายังไงวะ





"ไม่เป็นไร แค่มีไข้ ไปฝืนทำงานก็เลยเป็นลมน่ะ"





"เหรอ...ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก" เรย์พูดอย่างโล่งอก "เอมนี่ก็จริงๆ เลย รู้ว่าตัวเองไม่สบายยังมาทำงานอีก สุดท้ายก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนจนได้"





ผมขมวดคิ้ว ประโยคที่เรย์พูดถ้าเป็นแต่ก่อนผมเข้าใจว่าเขาคงเป็นห่วง แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกแปลกๆ เหมือนเขากำลังตำหนิชะเอม





"ทำไมพูดแบบนั้น" ผมมองเขาเครียดขึง "เอมกำลังป่วย แต่เขาก็ยังมาช่วยงานคนอื่นแบบนี้จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนตรงไหน"





"เดือดร้อนคินไง ก็คินเป็นแฟนเรย์มาดูแลคนอื่นแบบนี้ทั้งๆ ที่เรย์ก็ไม่สบายเหมือนกัน เรย์ก็น้อยใจเป็นนะ"





"ไปกันใหญ่แล้ว" ผมส่ายหน้ากับความแง่งอนที่ดูไร้เหตุผลของร่างเล็ก ตอนเขาเจ็บผมก็อยู่ด้วยตลอด คอยเอาใจ ไม่สบายก็เช็ดตัวให้ ป้อนข้าวป้อนน้ำ เฝ้าไข้...มีอะไรที่ยังไม่พอใจอีก





ในขณะที่ร่างผอมบางของใครอีกคนไม่เคยเลยที่จะขออะไรจากผม...มีแต่ให้





แล้วอีกอย่าง...สำหรับผมเอมก็ไม่ใช่ 'คนอื่น'





"ที่เรย์ยอมให้ทำงานคู่กันทั้งที่เคยเป็นแฟนกันมาก่อนก็มากเกินพอแล้ว แล้วคินยังทำท่าเป็นห่วงเขาทั้งๆ ที่เขาทำร้ายเรย์ตั้งหลายครั้งนะ" ผมมองเขาอย่างแปลกใจ เรย์พูดเรื่องเก่าๆ ที่เขาไม่เคยพูดออกมาเลย ผมเคยมองเขาว่าน่าสงสารเพราะเขาเจ็บตัวเพราะชะเอม...แต่นี่อะไร? คำพูดที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่ตอนนี้ มันเป็นคำพูดของคนเห็นแก่ตัว ไม่ได้ดูน่าสงสารเลยแม้แต่นิดเดียว





"..."





"พวกคุณถ้าจะคุยกันขอให้เป็นที่อื่นนะครับ ตรงนี้มีคนนอนพักอยู่ อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักคำว่าเกรงใจ" พี่หมออิฐที่หายไปและมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้พูดแทรกขึ้น ผมรู้สึกขอบคุณที่เขาเข้ามาขัดบทสนทนาของผมกับเรย์ที่เริ่มจะบานปลาย ส่วนร่างเล็กดูจะหน้าเสียไปหน่อยๆ เมื่อโดนว่าที่หมอตำหนิเรื่องมารยาท "ขอบคุณครับ"





สาบานได้ว่าผมเริ่มกลัวหน้ายิ้มสุภาพของพี่เขาแล้วล่ะ





"อะ...อือ"





ผมสะบัดความคิดทุกอย่างทิ้งเมื่อชะเอมเริ่มขยับตัว ส่งเสียงเรียกเขา "เอม"





"เอมเป็นไงบ้าง" เรย์รุดเข้ามา รีบยื่นใบหน้าเข้าใกล้





เปลือกตาบางค่อยๆ ยกขึ้น กระพริบขึ้นลงนานนับนาทีอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่ส่งเสียงอะไรเหมือนคนมึนเบลอจนพี่หมออิฐต้องเข้ามาดูอาการ





"ถอยหน่อยครับ คนป่วยต้องการอากาศหายใจ" เสียงทุ้มเรียบนิ่งบอกเรย์ที่นั่งซะชิด จนเจ้าตัวหน้าเสียอีกครั้ง ร่างเล็กผุดลุกขึ้นถอยออกมา





"น้องครับ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง" ชะเอมไม่ตอบ แต่ดูเหมือนเขาจะยังได้ยินอยู่เลยผินหน้ามามองช้าๆ หมออิฐโบกยาดมใต้จมูกเล็กเบาๆ "หายใจเข้าลึกๆ...เป็นยังไงบ้าง มองเห็นหน้าพี่มั้ย"





คำถามถ้าฟังทั่วไปอาจจะดูตลก แต่ผมมองอาการของชะเอมตอนนี้แล้วเจ้าตัวกระพริบตาเหมือนคนยังไม่ได้สติ เขาดู...อ่อนแรงมาก





"...ครับ" เขาตอบเพียงแค่นั้นก็หลับตาลง แผ่นอกบางสะท้อนลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ





หลับไปแล้ว





"ดูท่าทางเขาจะเหนื่อยอ่อนมาก เป็นอาการปกติของคนเพิ่งฟื้นจากเป็นลมนะครับ...แต่คิดว่าเขาน่าจะมีโรคประจำตัวอะไรบางอย่างด้วย" หนุ่มคณะแพทย์อธิบาย เขาขมวดคิ้วมองผม "แล้วนายเกี่ยวข้องอะไรกับน้องคนนี้เหรอ"





ทันทีที่ได้ยินคำถาม ร่างสูงก็ขมวดคิ้ว นั่นสิ เป็นอะไร





"ผมเป็น..."





ครอบครัว?





แฟนเก่า?





เพื่อน?





คนรู้จัก?





"พอดีเขาเป็นแฟนผม เพิ่งรู้จักกับเอมก็ตอนมาค่ายเท่านั้นเองน่ะครับ" เรย์พูดขึ้น ร่างเล็กสอดแขนเข้ามากอดแขนผม ผมรีบดันเขาออกเพราะการกระทำไม่เหมาะสมแต่แขนเล็กกอดแน่น ยิ้มระรื่นไม่สนใจ เสียงใสถามว่าที่แพทย์หนุ่ม "พี่หมอมีอะไรงั้นเหรอครับ"





"อืม...เปล่าหรอก ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่รบกวนดีกว่า" ร่างโปร่งลุกขึ้น ตะโกนไปอีกฝั่ง "ขอเปลหน่อยครับ!"





ได้ยินแบบนั้นผมรีบลุกขึ้น "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผม...!" แต่โดนร่างเล็กดึงเอาไว้ "เรย์ทำอะไร ปล่อยแขนคินก่อน"





“คินจะไปไหน มาคุยกันก่อน นี่คิดจะทำอะไร แค่นี้ยังทำตัวเด่นไม่พออีกเหรอ จะประกาศให้คนเขารู้ใช่มั้ยว่าจะรีเทิร์นน่ะ” เรย์ทำเสียงแข็ง ตาจ้องเขม็งอย่างดุดัน “อยู่กันแค่แปปเดียว ถ่านไฟเก่าจะคุเหรอ”





"พูดบ้าอะไรตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว! แล้วนี่เอมเค้าเป็นแบบนั้นจะปล่อยไปคนเดียวได้ยังไง"





"แค่เป็นลมแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก มีคนดูแลตั้งเยอะแยะ" แล้วยังมีพี่หมอสุดหล่อนั่นอีก มือเล็กเผลอบีบแขนใหญ่...ร้ายนักนะชะเอม เรียกร้องความสนใจกันแบบนี้ จะเอาทั้งผัวเก่าผัวใหม่พร้อมกันเลยสิท่า





"วันนี้เป็นอะไรเรย์ โมโหอะไรมาทำไมพูดไม่รู้เรื่อง"





"ก็คินนั่นแหละ! ลืมไปแล้วเหรอว่าเอมทำอะไรเรย์ ยกโทษให้เค้าแล้วเหรอ หึ...ง่ายจังนะ"





"เรย์!"





ทำไมวันนี้คนน่ารักถึงเป็นแบบนี้ เจ้าตัวไม่เคยดูถูกคนอื่น วันนี้ดูโมโหง่าย...งี่เง่า





"เรย์ชอบคินขนาดไหน คินไม่รู้หรอก" ร่างเล็กน้ำตาปริ่มขอบตา "เรย์รอคอยวันที่คินจะมารักเรย์ แต่คินเป็นแบบนี้ เรย์ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว"





"..."





"คินบอกว่าเลิกกับเอมแล้ว แต่จริงๆ ยังรักอยู่ใช่มั้ยล่ะ!?"





เจ้าตัวโวยวายเสียงดังทั้งน้ำตา ไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทากับสายตารอบข้าง แต่ผมว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาไม่สามารถคุยกันได้แล้วล่ะ ยิ่งจะมีแต่ทะเลาะกันมากขึ้นไปเปล่าๆ





"เรย์ ไปสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน" ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้รู้สึกยังไง แต่ใจไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว...ใจผมไปตามไปตั้งแต่ใครอีกคนถูกหามเปลออกไปแล้ว

















“นี่คุณไม่มีงานทำหรือไงครับ” จ่อยที่เห็นคนยืนนิ่ง ท่าทางจะอู้งานเลยเข้ามาถาม ซึ่งร่างเล็กตวัดหันมองตาขวาง “ฮึ่ย” ส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเดินกระทืบเท้าออกไป





ทั้งคิน ทั้งไอ้ชะเอม ทั้งพี่หมอ ทั้งไอ้จ่อยหัวเกรียน...แต่ละคนทำเหมือนเขารกหูรกตา เป็นส่วนเกิน





ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ขวางหูขวางตาไปหมด





ไม่สบอารมณ์...ไม่สบอารมณ์จริงๆ!!







ร่างสูงทรงสกินเฮดมองแล้วก็กระพริบตางงๆ “อะไรวะ” ส่ายหน้าอย่างระอาแล้วเดินไปทางอื่นเพื่อทำหน้าที่ต่อ







************************Whose fault? ************************

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด