บทที่ ๓๕นาฬิกาดิจิทัลของร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งในตัวเมืองบอกเวลา 01.12 นาที ขณะที่คนในห้องคาราโอเกะ VIP ยังคงร้องเพลงสังสรรค์และดื่มเครื่องดื่มมึนเมาอย่างสนุกสนาน แต่ชายหนุ่มร่างบางคนหนึ่งอยู่ในสภาพมึนหนัก เพราะโดนหัวหน้าชนแก้วหลายครั้งทำให้ต้องปลีกตัวออกมาเข้าห้องน้ำ และสูดอากาศนอกห้องที่มีกลิ่นบุหรี่สักหน่อย
ปึก!
“โอ๊ะ! ขอโทษครับ” ณิชก้มหัวขอโทษคนที่เขาเดินชนเสียงอ้อแอ้ เขาพยายามเบิกตาให้โตที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เหมือนเปลือกตาจะไม่ฟังการสั่งการเท่าไหร่ เพราะมันทำได้แค่ปรือตามองคนตรงหน้าเท่านั้น
“คุณณิช! ทำไมเมาขนาดนี้ล่ะครับ” เสียงทักอย่างคุ้นเคยทำให้ณิชอึ้งไปพักหนึ่งอย่างคนกำลังประเมินผล ก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อนึกได้ว่าเป็นใคร
“คุณสุทินนี่เอง อ่า...พอดีหัวหน้าพามาเลี้ยงน่ะครับ”
“แล้วทำไมดื่มหนักขนาดนี้ คุณเมามากเลยนะครับ” สุทินพูดด้วยความตกใจเพราะเขาไม่เคยเห็นณิชดื่มหนักขนาดนี้มาก่อน
ณิชเกาะผนังไว้แต่เหมือนจะยืนไม่ไหวเขาจึงต้องโอบเอวประคองไว้ก่อน กลิ่นเหล้าคละคลุ้งปนกลิ่นบุหรี่หึ่งไปหมด สภาพสถาปนิกฝีมือดีแทบดูไม่ได้ เสื้อหลุดลุ่ยออกนอกกางเกง ผมเผ้ายุ่งฟูแก้มใสแดงระเรื่อ มองปราดเดียวก็รู้เลยว่าดื่มหนัก
วันนี้สุทินออกมาเที่ยวกับเพื่อน พวกเขานั่งอยู่ข้างนอกที่เป็นโซนบาร์ เขาขอตัวมาเข้าห้องน้ำจึงมาชนเข้ากับณิชที่ออกมาจากห้องคาราโอเกะพอดี เขามองเข้าไปภายในห้องคาราโอเกะเห็นเพื่อนร่วมงานของณิชออกลีลาเต้นกันมันหยด ท่าทางเมาพอๆ กับณิชนี่แหละ
“คุณสุทินมายังไงครับ อ่า...ทำไมคุณยืนไม่นิ่งเลย” ณิชจับหน้าสุทินล็อกไว้เพื่อให้อีกฝ่ายอยู่นิ่งๆ แต่ในสายตาเขาสุทินก็ยังขยับไปมาอยู่ดี
สุทินถอนหายใจกับอาการคนเมาที่ยืนตัวไม่ตรงแถมยังตาลายอีก เขากระชับอ้อมกอดก่อนจะพาณิชไปห้องน้ำ หากได้ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยเจ้าตัวคงดีขึ้น
“ล้างหน้าหน่อยนะครับจะได้สร่างเมาบ้าง แล้วนี่คุณณิชจะกลับยังไงครับ”
“อือ...” ณิชก้มลงเกาะขอบอ่างล้างหน้าแล้วกวักน้ำใส่หน้าตัวเองหลายครั้ง เสียงครางรับในลำคอดังขึ้นก่อนเจ้าตัวจะเงียบไปหลายนาที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสุทินพร้อมตาแดงก่ำเพราะน้ำเข้าตา “ผมขับรถมาเอง”
“เมาขนาดนี้ขับกลับเองไม่ไหวหรอกครับ ให้ผมไปส่งไหม”
“หงึ” ณิชส่ายหน้าปฏิเสธ “เดี๋ยวน้องชัชไปส่งครับ”
‘น้องชัช’ คือเด็กหนุ่มฝึกงานของบริษัท สุทินเคยเห็นหน้าอีกฝ่ายที่บ้านของณิช 2-3 ครั้ง ดูเป็นเด็กร่าเริงแต่มีความกวนอยู่ในทื เด็กคนนั้นถือณิชเป็นไอดอลของตัวเองเพราะฝีมือการออกแบบภายในของณิชเก่งมาก ชัชจึงมาขอเรียนวิชากับณิชบ่อยๆ
สุทินมองคนที่เดินไปเกาะโถฉี่แล้วปลดปล่อยของเหลวออกจากร่างกาย เขานึกสงสารณิชจับใจ เพราะนี่ผ่านมา 5 ปีแล้วที่ณิชยังคงรอจีรัชญ์ แม้จีรัชญ์จะกลับมาอยู่วังปริพัตรแล้วก็ตาม แต่คนทั้งคู่กลับไม่เคยเจอกันเลย เขาจำได้ว่าครั้งหลังสุดเจอณิชที่วังปริพัตรก็ราวๆ 4 ปีก่อน หลังจากนั้นเมื่อจีรัชญ์กลับมา ณิชก็ไม่ได้ไปที่วังอีกเลย เจ้าตัวให้เหตุผลว่าหากจีรัชญ์ยังจำตนไม่ได้ก็ไม่อยากทำให้จีรัชญ์อึดอัดใจ
“อ้าว! พี่สุทินสวัสดีครับ” ชัชออกมาตามณิชเห็นสุทินกำลังประคองณิชออกจากห้องน้ำพอดีจึงเอ่ยทัก เด็กหนุ่มยกมือไหว้และยิ้มกว้างให้
“เออ เจอก็ดี พาคุณณิชกลับเลยเถอะ อยู่ต่อคงสลบคาห้องคาราโอเกะ”
“อ่า...แต่หัวหน้า...”
“ก็ช่างหัวหน้าสิ คุณณิชเมาขนาดนี้จะอยู่ไหวได้ยังไง อย่าไปเชื่อพวกผู้ใหญ่มันมาก รีบกลับไปก่อนเลยไป ขืนอยู่ต่อตี 4 ก็ไม่ได้กลับ”
สุทินพูดพร้อมกับพาณิชออกจากร้าน ชัชยืนลังเลอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจทำตามที่สุทินบอก เขาเข้าไปเอากระเป๋าของณิชและของตัวเอง ก่อนจะแอบย่องออกมาเพื่อชิ่งหนีงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่
“ขับรถดีๆ ล่ะ” สุทินกำชับเด็กหนุ่มที่ขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ส่วนเจ้าของรถหลับไปแล้ว
“ครับ ขอบคุณพี่สุทินมากครับ ผมไปก่อนนะพี่” เขาไม่ได้ดื่มเพราะตกลงกับพี่ณิชไว้แล้วว่าจะขับรถให้ สติเขาจึงครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด สุทินพยักหน้าให้แล้วยืนมองรถยนต์ของณิชที่มีชัชเป็นคนขับเคลื่อนตัวออกจากร้านไป
ชัชพาณิชเข้าห้องนอนด้วยความทุลักทุเล เพราะคนเมาที่หลับอยู่ตอนนี้ไม่ให้ความร่วมมือใดๆ เลย อีกทั้งร่างกายที่ตัวเท่าๆ กันทำให้เขาแทบแบกณิชไม่ไหว กว่าจะพามาถึงเตียงได้ก็ทำเอาหอบหนักเกือบเป็นลม
“อือ...” ณิชครางในลำคอเบาๆ ชัชที่ทิ้งตัวลงนอนข้างกันนอนมองหน้าณิช
ในสายตาเขาแล้วพี่ณิชคือผู้ชายที่ดูธรรมดาทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวมีเสน่ห์คือฝีมือด้านการทำงาน และเมื่อได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของพี่ณิชยิ่งทำให้เขารู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น พี่ณิชไม่ค่อยดื่ม ไม่ค่อยออกไปเที่ยว สิ่งที่พี่ณิชรักที่สุดในบ้านหลังนี้คือต้นพุดน้ำบุษย์ เจ้าตัวชอบกลิ่นหอมของมันเลยปลูกไว้ริมรั้วหลายต้น พี่ณิชมีเพื่อนสนิทชื่อพี่มิ้ง เขาเคยเจออยู่บ้างแต่ไม่บ่อยนักเพราะรายนั้นจะมาหาพี่ณิชนานๆ ครั้ง
“วันนี้ครบ 5 ปีแล้ว” อยู่ๆ คนที่ชัชคิดว่าหลับก็พูดขึ้นแม้ไม่ลืมตาก็ตาม
“ครับ?”
“มีคนบอกว่าพี่รอใครคนนั้นมา 5 ปีแล้ว”
ณิชพูดอีกครั้ง นึกถึงคำพูดของไอ้มั่นที่ย้ำเตือนเวลาให้เขารู้ว่าเขาเดินทางมาไกลแค่ไหนแล้วก็เศร้า และเพราะเหตุนี้วันนี้เขาจึงดื่มจนเมาหนักขนาดนี้ แค่อยากหยุดความอ่อนล้าที่โผล่ขึ้นมาจากส่วนลึกของความรู้สึก สาดเหล้าเข้าไปกลบฝังมันเพื่อเขาจะได้อยู่ต่อไปได้ในวันพรุ่งนี้ โดยไม่มีคำว่าเสียใจให้ระคายความรู้สึก
“นานขนาดนี้ถ้าเป็นผมผมเลิกรอแล้ว เลิกรอเลยพี่” ชัชออกความเห็น
“หึ... แค่ 5 ปีเอง เขาเคยรอพี่มานานกว่านี้อีก ให้รอเพิ่มอีกสักหนึ่งวันจะเป็นไรไป”
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนบนใบหน้า ดวงตาสวยเหม่อมองเพดาน ต้องขอบคุณชัชที่ไม่ได้เปิดไฟในห้อง ไม่เช่นนั้นเขาคงอายที่ต้องให้อีกฝ่ายเห็นน้ำตา
หากพูดว่า 5 ปีนานแล้วมันก็นาน แต่สำหรับเขาแล้ว การรอคอยจีรัชญ์มีเวลาแค่เพียงหนึ่งวันเท่านั้น การรอคอยของเมื่อวานสิ้นสุดแล้ว เขาเริ่มรอใหม่ในวันนี้และการรอคอยนี้ก็จะสิ้นสุดลงในตอนกลางคืนเหมือนเดิม จากนั้นเขาก็จะเริ่มต้นรอจีรัชญ์อีกครั้งในวันถัดไป
5 ปีคือเวลาที่ยาวนาน แต่ 24 ชั่วโมงคือเวลาที่สั้นแค่นิดเดียว เขาเพิ่งรอจีรัชญ์ได้ไม่นานเพราะนาฬิกาเพิ่งบอกเวลาเข้าสู่วันใหม่ได้แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าจะให้เลิกรอตอนนี้ก็คงเร็วเกินไป
“ดอกพุดน้ำบุษย์กำลังจะร่วงอีกครั้งแล้ว”
ณิชพูดแค่นั้นก็ผล็อยหลับไปพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ และนี่คือสิ่งเดียวของณิชที่ชัชไม่เข้าใจ พี่ณิชไม่คบหาดูใจกับใครเลย ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายพี่ณิชก็ไม่เคยมองใคร ขนาดเขาแกล้งหยอดๆ จีบๆ ไปอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีหวั่นไหว
“ทำไมพี่ยังไม่มีแฟน นี่ผมสงสัยจนต้องถามพี่ตรงๆ เลยนะเนี่ย มีคนชอบพี่แถมจีบพี่ด้วยแต่พี่ไม่เอาสักคน”
“มันยังไม่ถึงเวลา”
“โห อายุ 32 แล้วยังไม่ถึงเวลาอีกเหรอพี่ ถ้าไม่มีตอนนี้แล้วจะไปมีตอนไหน”
“ต่อให้อายุ 80 ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาก็คือยังไม่ถึงเวลา”
ในตอนนั้นเขาไม่ได้ถามต่อเพราะคิดว่าเป็นอารมณ์ศิลปินของพี่ณิช แต่มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่ามันหมายความว่าอย่างไร พี่ณิชกำลังรอใครบางคนและเจ้าตัวก็ยังจะรอต่อไป ต่อให้นานแค่ไหนพี่ณิชก็ยังจะรอ
*
ชัชงัวเงียตื่นขึ้นมาขยี้ตาดูนาฬิกาเห็นว่า 7 โมงเขาถึงกับรีบลุกจากเตียง เมื่อคืนหลังจากนอนฟังพี่ณิชพูดจนหลับไปเขาก็หลับตาม น้ำท่าไม่ได้อาบด้วยกันทั้งคู่ จนตอนนี้พี่ณิชก็ยังนอนหลับอยู่พอปลุกอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตื่น บ่นว่าปวดหัวและจะหยุดงานเพราะไปไม่ไหว
“แกไปเลย ฝากล็อกประตูบ้านด้วย” ณิชพูดแค่นั้นก็นอนต่อ ส่วนชัชก็รีบวิ่งออกไปเรียกวินมอเตอร์ไซค์ที่หน้าหมู่บ้าน
ติ๊งหน่อง
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำลายความสุขของคนแฮงค์ที่กำลังหลับได้ที่ ตอนแรกณิชไม่สนใจเสียงนั้นเพราะเขาลุกไม่ได้ แต่ไอ้มั่นกลับตะโกนโหวกเหวกโวยวายใหญ่
“คุณปราณตื่นขอรับ! ตื่นเถิดขอรับคุณปราณ!”
“ผมมึนหัวจะอ้วกเนี่ยมั่น เงียบหน่อยได้ไหม”
“คุณปราณจะนอนต่อไม่ได้ขอรับ ไปดูสิขอรับว่าใครมา”
“อือออ ไปบอกมิ้งว่ากุญแจสำรองอยู่ตรงกระถางต้นไม้ใบที่สาม ไขเข้ามาได้เลย” ณิชพูดทั้งที่ไม่ลืมตา เขาไม่ตื่นเต้นเพราะมิ้งส่งข้อความมาบอกเมื่อเย็นวานว่าเจ้าตัวจะมาหาเขาวันนี้
ไอ้มั่นที่เห็นว่าเจ้านายของตนไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ จึงยอมถอยและไปบอกคนที่กำลังรอยู่หน้าประตูแทน อีกฝ่ายไขประตูเข้ามาด้วยกุญแจสำรองที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน เมื่อผู้มาเยือนเข้ามาในบ้านได้ไอ้มั่นก็บอกว่าณิชอยู่ในห้อง มันแทบเก็บอาการดีใจไว้ไม่มิดที่ได้เจออีกฝ่าย
แอด...
ประตูห้องแง้มเปิดออกเผยให้เห็นเจ้าของบ้านที่ยังนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง เสื้อผ้าที่ใส่อยู่หลงเหลือแค่กางเกงบ็อกเซอร์เท่านั้น คนที่เพิ่งเข้ามาเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ วางของบางอย่างที่ถือติดมือมาด้วยข้างหมอนที่หนุ่มร่างบางหนุน เขามองชายหนุ่มที่แก้มซีกหนึ่งบี้ไปกับหมอนดูน่าเอ็นดู
“มึงมาทำไมตอนนี้ 5 ปีที่ผ่านมาคุณปราณรอมึงอยู่ทุกวัน ไยมึงเพิ่งมาเอาป่านนี้”
ไอ้มั่นเอ่ยถามพร้อมน้ำตาคลอเบ้า มันสงสารเจ้านายตัวเองจับใจที่ต้องทนอยู่กับการรอคอยทุกวี่ทุกวัน แม้มันจะเข้าใจความรู้สึกรอเป็นอย่างดีเพราะที่ผ่านมามันก็รอคุณปราณกับไอ้หาญมาตลอด แต่ในชาตินี้พอเห็นว่าคุณปราณเป็นฝ่ายต้องรอ บ่าวอย่างมันมีหรือจะไม่เจ็บปวด
“มึงพยายามอย่างที่นายกูพยายามหรือไม่ มึงคิดบ้างไหมว่าถ้าคุณปราณไม่รักมึงคุณเขาจะอยากดูแลมึงไปไยกัน มึง...”
“อื้ออ มั่นนน เงียบหน่อยจะนอน” ณิชบอกทาสผู้ซื่อสัตย์เสียงอู้อี้ เขาได้ยินเสียงไอ้มั่นพูดแต่ไม่ได้ตั้งใจฟังเลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร
จีรัชญ์ไม่ได้ตอบไอ้มั่นเพราะอยากให้ณิชได้นอนหลับเต็มอิ่มอย่างที่เจ้าตัวต้องการ เขาทำเพียงแค่เหลือบมองเพื่อนรักที่มองมาอย่างโกรธเคือง แต่ก็ถือว่าดีที่มันยอมให้เขาเข้ามาในบ้าน
ในตอนที่เขาจำอะไรเกี่ยวกับณิชหรือคุณปราณไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเก็บสมุดบันทึกนั้นไว้เป็นอย่างดี เปิดอ่านแทบทุกวันจนจำทุกข้อความได้ขึ้นใจ ทั้งที่ปกติเขาควรจะคืนของที่ไม่ใช่ของตัวเองให้เจ้าของ แต่เขากลับรับสิ่งนั้นไว้และไม่คิดคืนให้ณิชไป แม้แต่ภาพวาดที่เขาชื่นชอบเขาก็จำไม่ได้ว่ามันคือรูปที่เขาได้มาได้อย่างไร
เขาไม่ได้โทรถามณิชว่าทำไมถึงให้สมุดบันทึกเล่มนั้นมากับเขา ไม่ได้ติดต่ออีกฝ่ายเพื่อพูดคุยหรือขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจ เขาปล่อยเรื่องราวมาจนกระทั่งเมื่อวานที่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก ในตอนเช้าที่ตื่นมาเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกพุดน้ำบุษย์ที่ใกล้ร่วงโรย ในใจหวนคิดถึงรูปดอกไม้หน้าสุดท้ายของสมุดบันทึก ก่อนจะวูบไปและเรื่องราวต่างๆ ก็เข้ามาในหัวราวกับตกอยู่ในความฝัน
เขาหลงลืมเรื่องราวในอดีตจนหมดสิ้น วันเวลาผ่านไปนานหลายปี โดยที่เขาทิ้งให้ณิชจมอยู่กับความทรมานในการรอซึ่งเขาเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ทั้งที่บอกไว้ว่าจะรักและขอรอคุณปราณแต่เพียงผู้เดียว แต่ไอ้หาญกลับทำให้คุณปราณเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้แต่นึกโกรธก่นด่าตัวเองที่ต้องเจอเรื่องราวแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น ก่อนจะตั้งสติแล้วเดินทางไปหาสุทินตั้งแต่เช้าตรู่
สุทินทั้งตกใจและดีใจที่เขาจำเรื่องราวได้หมด ก่อนจะเล่าให้ฟังว่าชีวิตของณิชในระหว่าง 5 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง ณิชสบายดีแต่ความสุขที่มีไม่ได้มากล้นเหมือนคนอื่นๆ เจ้าตัวมักซ่อนความเศร้าไว้เสมอๆ สุทินจึงกลายเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายไปโดยปริยาย เพราะสงสารที่เขาจำณิชไม่ได้สักที
จีรัชญ์ใช้เวลาขับรถออกมาเพื่อตามหาที่บ้านของณิชตามที่อยู่ที่สุทินให้มา หลงทางไปหลายรอบแต่ในที่สุดก็เจอ หัวใจเต้นกระหน่ำเป็นจังหวะหนักหน่วงเมื่อเจอบ้านหลังหนึ่ง จุดเด่นของบ้านณิชก็คือต้นพุดน้ำบุษย์ที่ปลูกไว้ริมรั้วราว 4-5 ต้น มันกำลังออกดอกสีเหลืองเข้มจัด ซึ่งมันบ่งบอกว่าใกล้เวลาร่วงโรยของเจ้าดอกไม้แล้ว
จีรัชญ์เด็ดมันมาหนึ่งดอก เขาก้มลงดมดอกไม้งามในมือ สูดกลิ่นหอมที่ฉุนเอียนในตอนแรกก่อนจะค่อยๆ จางไปทีละน้อยเหลือเพียงความหอมอวลหวานๆ ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มผุดรอยยิ้มอ่อนๆ ตอนแรกเขาชั่งใจอยู่นานว่าถ้าเจอหน้าณิชแล้วจะพูดอะไร เขายืนอยู่หน้าบ้านเชยชมต้นไม้ที่ณิชตั้งใจปลูกและดูแลเป็นอย่างดี จนกระทั่งเห็นเงาทะมึนของใครบางคนที่ไม่ได้เจอกันนานเช่นเดียวกัน
“หึ! โผล่หัวมาป่านนี้ จะทำอันใดให้นายกูช้ำใจอีกรึ!” ไอ้มั่นพูดทันทีเมื่อเห็นหน้าเขา แต่อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าเขานั้นมองเห็นเจ้าตัวแล้ว
“กูขอโทษที่มาช้า”
“นี่มึง...มองเห็นกูรึ?” ไอ้มั่นถาม ตาเบิกโตสีหน้าราวกับเห็นผี
“กูไม่ได้ตั้งใจทำให้นายของมึงต้องเสียใจ”
ไอ้มั่นไม่ได้อยู่ฟังต่อ มันหายไปก่อนจะกลับมาอีกครั้งแล้วบอกว่าให้เอากุญแจสำรองไขประตูเข้ามา และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
จีรัชญ์นั่งรอเวลาให้ณิชตื่น เขาใช้นิ้วเกลี่ยผมนุ่มที่ปิดหน้าผากอยู่ให้เปิดขึ้น ก่อนจะก้มลงประทับจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ทิ้งรอยจูบไว้เนิ่นนานจากนั้นก็ผละออก หน้าตาของณิชเปลี่ยนไปจากเมื่อ 5 ปีก่อนอยู่บ้างด้วยอายุที่มากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนมากจนถึงกับมีริ้วรอย
“อือ...” ณิชครางในลำคอและปัดมือเขาที่กำลังเขี่ยแก้มอีกฝ่ายเล่น ก่อนเจ้าตัวจะลืมตาขึ้นมาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก
“อย่าแกล้งดะ...”
ณิชหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เจ้าตัวกะพริบตาปริบๆ สบตาเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงเพื่อให้สายตาอยู่ระดับเดียวกัน
“ฝันอีกแล้วสินะ” คนเมาค้างพึมพำเบาๆ
“คุณณิช... คุณไม่ต้องรอผมอีกแล้วนะ” จีรัชญ์ลูบหัวณิช คนที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นเม้มปากน้ำตาเอ่อคลอ
“แค่ในฝันคุณก็ยังใจร้ายกับผมเหรอ”
คำตัดพ้อของหนุ่มร่างบางทำจีรัชญ์ยิ้ม เขาโน้มตัวเข้าไปจูบหน้าผากอีกฝ่าย กดย้ำไป 2-3 ครั้งเพื่อสื่อให้รู้ว่านี่คือเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน
“คุณไม่ได้ฝัน ผมมาแล้วนะ”
เพียงแค่การกระทำและคำพูดนั้นณิชก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน อาการแฮงค์จู่โจมทันทีแต่เขาไม่สน ชายหนุ่มโผกอดคนตรงหน้าเต็มรักราวกับกลัวว่าจีรัชญ์จะหายไป ก่อนจะปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น
ในที่สุดการรอคอยก็หยุดลง จีรัชญ์มาหาเขาก่อนที่ดอกพุดน้ำบุษย์จะร่วงโรยรอบที่ 50
ณิชสะอึกสะอื้นกับอกกว้าง อยากตะโกนถามโชคชะตาว่าหลังจากนี้จะทรมานอะไรพวกเขาอีกหรือไม่ จะทำให้พวกเขาพลัดพรากจากกันอีกกี่หนกี่พันครั้ง เขากอดอีกฝ่ายแนบแน่นราวกับกลัวจีรัชญ์จะหายไป ดีใจจนไม่สามารถพูดได้จึงมีเพียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอก
จีรัชญ์ยิ้มเมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดเริ่มสงบ เขาเช็ดน้ำตาตัวเองก่อนจะเช็ดให้อีกฝ่ายด้วย ณิชมองเขาราวกับกลัวว่านี่คือความฝัน มือเรียวของคุณปราณประคองจับใบหน้าไอ้หาญ ดวงตาสวยแทบไม่กะพริบเพราะกลัวคนตรงหน้าจะหายไป น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ว่าไอ้หาญจะเช็ดจะซับอย่างไรมันก็ยังไม่หยุด
“คุณจำได้แล้วจริงๆ เหรอ คุณ...” ณิชเงียบไปก่อนจะเหลือบตามองไอ้มั่น เขายังไม่วางใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาให้เขาดีใจเก้อหรือจำได้แล้วจริงๆ กันแน่ สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือจีรัชญ์ต้องมองเห็นไอ้มั่นด้วย ทุกอย่างถึงจะเรียกได้ว่าเหมือนเดิมอย่างแท้จริง
“ไอ้มั่นมันโกรธที่ผมทำให้เจ้านายของมันเสียใจ ยังดีที่มันให้ผมได้เข้าบ้าน”
ณิชยิ้มกับคำตอบนั้น น้ำตาไหลอีกรอบแต่เจ้าตัวรีบปาดออก ข้างหมอนมีดอกพุดน้ำบุษย์วางอยู่ เขาหยิบมาดมพลางมองหน้าคนที่เด็ดมันมา ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย เพราะเขานอนเน่าตั้งแต่เมื่อคืน รู้สึกอายไม่น้อยที่จีรัชญ์มาเห็นเขาในสภาพนี้หลังจากไม่ได้เจอกันหลายปี
พอออกมาจากห้องน้ำณิชเห็นจีรัชญ์กำลังเดินสำรวจห้องนอนของเขาอยู่ ณิชแต่งตัวเสร็จก็พาอีกฝ่ายออกมาข้างนอก จีรัชญ์ยังคงสำรวจในบ้านเขาไปเรื่อยเหมือนเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ
“คุณจำเรื่องทั้งหมดได้ยังไงหรือคุณตกบันไดแบบผมครับ” ณิชถามออกมาในที่สุด จีรัชญ์ถึงกับหัวเราะกับคำถามนั้น ดวงตาสวยของณิชกำลังจับจ้องเขาด้วยแววตาแห่งความสงสัย
“ไม่ใช่หรอกครับ มันแค่...อยู่ๆ ก็จำได้ขึ้นมาเอง”
ถ้าให้เขาเดาคงเพราะคำว่า ‘ถึงเวลาที่ถูกที่ควร’ เขาสองคนพลัดพรากจากกันหลายภพหลายชาติ มีอุปสรรคมากมายที่ต้องฝ่าฟัน ต้องเจ็บปวดทรมานกับคำว่าเสียใจ ถึงแม้จะเป็นคู่กันแต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาโชคชะตาจึงบันดาลให้เขาทั้งสองต้องจากกัน
ส่วนเรื่องคำสาปที่ถูกแก้ไขแล้วเป็นเพราะตัวณิชเองทำให้ทุกอย่างมันชัดเจนขึ้น แค่คำว่ารักที่คุณปราณมอบให้ไอ้หาญยังไม่มากพอ แต่การกระทำในการเอาตัวเขาไปช่วยไอ้หาญคือข้อพิสูจน์ว่าความรักของคุณปราณมาจากใจอย่างแท้จริง
“สรุปก็คือที่ผ่านมาที่เราสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันสิ้นอายุขัย ก็เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เราสองคนต้องคู่กันสินะ” ณิชถามเสียงแผ่วเบา สีหน้าที่เคยอมทุกข์มาตลอดหลายปีคลายความกังวลลงไปมาก
“แล้วเรื่องคำสาปล่ะครับ ตอนนั้นคุณนิธานเขาจะฆ่าคุณทั้งที่รู้ว่ายังไงคุณก็ไม่ตาย” นี่คือสิ่งที่ยังค้างคาใจณิชอยู่ชายหนุ่มจึงเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ครับ เขาต้องการเอาชีวิตคุณเพื่อทำให้ผมต้องอยู่กับคำสาปต่อไป แต่คุณเอาตัวเข้ามาขวางไว้ โชคยังดีที่ผมไหวตัวทัน ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แต่ใครจะไปรู้ว่ามันคือข้อพิสูจน์ที่ทำให้คำสาปสิ้นสุดลง”
เพียงแค่เสี้ยวนาทีที่เขาเลือกพลิกตัวรับแรงกระแทกจากรถ ตัวเขาก็ลอยละลิ่วขึ้นบนอากาศก่อนจะตกกระแทกอย่างจัง ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสแล่นไปทั่วร่างจนขยับไม่ไหว ตอนนั้นเขาตกใจกลัวว่าณิชจะเป็นอะไร แต่อีกใจก็ดีใจที่เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทางกายแบบนี้ เพราะมันสื่อให้รู้ว่าคำสาปสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ
“ผมดีใจที่คุณยังไม่ตาย ดีใจมากๆ ที่โชคชะตายังปรานีให้เราได้กลับมาเจอกัน”
ณิชคิดย้อนไปตอนนั้นแล้วไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดที่ทำแบบนั้น เพราะถ้าให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกสักสิบรอบเขาก็คงทำแบบเดิม เขายอมแลกชีวิตของตัวเองแทนที่จะให้จีรัชญ์ต้องเจ็บปวดเพิ่ม แม้เพียงเสี้ยวนาทีเขาก็ไม่อยากให้คนตรงหน้านี้ต้องเจอกับคำนี้อีกแล้ว
“เมื่อคืนคุณไปดื่มมาใช่ไหม สุทินบอกผม” จีรัชญ์ถามเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อ่า...ครับ หัวหน้าพาไปเลี้ยงน่ะ”
“แล้วเด็กที่ชื่อชัชคือใครครับ” จีรัชญ์ถามเสียงเรียบ สีหน้าไม่ได้บ่งบอกความรู้สึก แต่สายตาของชายหนุ่มกลับจ้องคนที่กำลังชงกาแฟดื่มไม่วางตา ไอ้มั่นที่เงียบมานานถึงกับเบ้ปาก
“เจ้าชัชเป็นเด็กนิสัยดี มันดูแลคุณปราณดีมาก”
หากไม่ใช่เพื่อนรักกันมานานจีรัชญ์คงปล่อยผ่านคำพูดนี้ไป คิดว่ามันคือประโยคบอกเล่าธรรมดาๆ แต่เขารู้ดีว่าไอ้มั่นกำลังกวนประสาทเขา
“กูถามคุณณิช ไม่ได้ถามมึง” จีรัชญ์หันไปพูดกับไอ้มั่นที่ยืนอยู่ตรงประตูครัว แต่เจ้าดวงวิญญาณกลับโต้กลับในทันที
“กูจะตอบแทนนายกู! มึงเสียอีกที่มาทำกระไรเอาป่านนี้ หึ! อยู่ๆ ก็จำคุณปราณได้ แล้วมึงจำได้หรือไม่ว่ามึงพูดกับนายกูคำสุดท้ายว่ากระไร คิดจะมาก็มากระนั้นรึ ไม่คิดจะขอโทษนายกูสักคำรึ คุณปราณให้อภัยมันง่ายไปนะขอรับ”
“ให้อภัยอะไรกันล่ะมั่น ผมไม่ได้โกรธคุณจีรัชญ์สักหน่อย” ณิชพูดพร้อมยิ้มอ่อน รู้สึกขำกับท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงของไอ้มั่นที่เขาไม่ได้ดั่งใจมัน
“แต่มันทำให้คุณปราณเสียใจนะขอรับ”
“ผมเสียใจแต่ผมไม่โกรธ ผมเข้าใจดี”
“ปัดโถะ!” ไอ้มั่นฟึดฟัดออกจากครัวไปแล้ว ทิ้งเพียงจีรัชญ์กับณิชที่มองหน้ากันแล้วหลุดหัวเราะออกมา
“ที่ไอ้มั่นพูดก็ถูกของมัน ตอนนั้นผมพูดไม่ดีกับคุณเลยผมขอโทษนะครับ” ไม่พูดเปล่าจีรัชญ์ยังขยับเข้ามาใกล้ เขากอดหนุ่มร่างบางจากด้านหลังแล้วกดจูบที่ขมับเบาๆ ก่อนจะลามไปยังท้ายท้อย กกหู และสิ้นสุดที่ไหล่ลาด
“ก็ตอนนั้นคุณไม่รู้จักผมนี่ ช่างมันเถอะครับ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว” ณิชหันไปบอกแต่เมื่อพูดจบกลีบปากนุ่มก็โดนจีรัชญ์ครอบครองในทันที
รสจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึง มันนุ่มลึกและรุ่มร้อนจนไม่อาจห้ามใจได้ จีรัชญ์โอบกอดคนที่ตนรักสุดหัวใจไว้แนบแน่น พอๆ กับสองมือเรียวที่จับประคองใบหน้าคมคายไว้ ก่อนริมฝีปากของคนทั้งคู่จะผละออกจากกัน สองสายตาประสานกันสื่ออารมณ์ที่รู้กันเพียงสองคนอย่างลึกซึ้ง ความโหยหาที่มีให้กันและกันส่งมอบผ่านจูบอันดูดดื่มอีกครั้งและอีกครั้ง
*
“กรี๊ดดดด คุณตรีจำพี่ณิชได้แล้ว!! กรี๊ดดดดด” มิ้งหวีดร้องเสียงดังลั่นบ้านทันทีเมื่อรู้ว่าจีรัชญ์กลับมาจำณิชและเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว หญิงสาวกระโดดโลดเต้นก่อนจะสวมกอดณิชแล้วเขย่าร่างบางไปมาด้วยความดีใจ
มิ้งเพิ่งมาถึงบ้านณิชเมื่อครู่นี้ เธอตกใจแทบช็อกเมื่อเห็นว่าจีรัชญ์ออกมาเปิดประตูให้เพราะณิชกำลังทำกับข้าวอยู่ พอเธอเห็นรอยยิ้มและคำทักทายอย่างคนคุ้นเคยของจีรัชญ์หญิงสาวเก็บอาการแทบไม่อยู่ เธอรีบถามไอ้มั่นก่อนจะเข้ามายืนยันคำตอบสุดท้ายจากณิช จากนั้นก็อย่างที่เห็นว่าเธอทั้งหวีดร้องเสียงหลงราวกับถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง อีกทั้งน้ำตายังไหลพรากด้วยความยินดี
“ฮืออออ หนูจะร้องไห้อะพี่ณิช หนูมาครั้งนี้ก็คิดว่าจะมาชวนพี่ไปเมาเลยนะ เพราะมันครบรอบ 5 ปีที่พี่มาอยู่ที่นี่พอดีอะ หนูจะร้องจริงๆ นะ” หญิงสาวที่น้ำตานองหน้าพูดไม่หยุด ณิชหัวเราะก่อนจะบอกว่า
“แกร้องอยู่เถอะ เช็ดน้ำตาน้ำมูกได้แล้ว”
“ก็หนูดีใจ” มิ้งตอบเสียงเบา ณิชจึงขยี้ผมฟูๆ ของหญิงสาวจนมันยิ่งยุ่งฟูมากกว่าเดิม เสียงหัวเราะจากหญิงชายทั้งคู่ดังไปพร้อมกัน เพราะที่ผ่านมาพวกเขาสองคนเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาก็ว่าได้ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานจนคิดว่าจะอยู่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันแบบนี้ต่อไปทั้งชีวิตนี่แหละ
หลังจากณิชทำอาหารเสร็จมิ้งก็ช่วยจัดโต๊ะเพื่อที่ทุกคนจะได้ทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้า จีรัชญ์นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว ส่วนไอ้มั่นยังหน้าตาบูดบึ้งอยู่กับแก้วชานมไข่มุกที่มิ้งซื้อมาฝากจากกรุงเทพฯ หญิงสาวเพิ่งมารู้ตอนหลังว่าคู่หูของเธอโกรธเพื่อนรักที่ทำให้ณิชเสียใจ เจ้าตัวจึงเมินจีรัชญ์เสียอย่างนั้น
“คุณซื้อบ้านหลังนี้ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่เหรอครับ” จีรัชญ์ถามขณะที่ณิชกำลังล้างจาน พวกเขาทานอาหารกันเสร็จแล้ว จากนี้ก็คือเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ มิ้งที่ลางานมาเพื่อมาหาเขาจึงนอนเอกเขนกอยู่ที่โซฟา เปิดหนังดูสบายใจหลังจากเก็บโต๊ะให้เสร็จแล้ว
“ผมเช่าอยู่ครับ ไม่ได้ซื้อ”
จีรัชญ์อึ้งไปกับคำตอบพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงน ติดจะสงสัยไม่น้อยว่าณิชจะเช่าบ้านอยู่นานขนาดนี้ไปทำไมกัน ถ้าหากซื้อไปเลยคงจะดีกว่า
“เพราะผมคิดว่าสักวันคุณก็จะจำผมได้ และผมจะได้กลับไปอยู่วังปริพัตรผมเลยไม่ซื้อที่นี่ไว้ให้เปลืองเงิน อยู่บ้านเช่าจะสบายเท่าอยู่บ้านตัวเองได้ยังไง อย่าลืมสิครับว่าคุณซื้อวังนั้นไว้และดูแลมันให้ผมน่ะ” ณิชเฉลยพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งนั่นทำให้จีรัชญ์ถึงกับเจ็บแปลบในใจ แสดงว่าณิชตั้งใจรอเขาอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะจำได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ
“คุณรู้ไหม ผมปลูกต้นพุดน้ำบุษย์ตายไปสองรอบกว่ามันจะโตจนออกดอก ตอนนั้นผมท้อมากเลยแต่ผมก็ปลูกมันสำเร็จล่ะ” ณิชเล่าให้ฟังเสียงเจื้อยแจ้ว จีรัชญ์มองคนที่ตอนนี้ยืนอมยิ้มกับเรื่องของตัวเอง เจ้าตัวพูดมันอย่างไม่คิดอะไรแล้ว แต่เขาที่เป็นคนฟังกลับรู้สึกว่าที่ผ่านมาณิชต้องพยายามมากจริงๆ ในการรอเขา
“ผมรักคุณตั้งแต่วันแรกจนตอนนี้ผ่านมาเป็นร้อยปีแล้วแต่ผมก็ยังรักคุณ รักหมดหัวใจจนไม่รู้ว่าถ้าอยากจะรักคุณมากกว่านี้ผมต้องทำยังไง”
คำสารภาพรักที่พูดออกมาดื้อๆ ทำเอาณิชชะงัก จานในมือที่เต็มไปด้วยฟองจากน้ำยาล้างจานลื่นหลุดมือ เขาหันมองชายหนุ่มหุ่นกำยำที่ยืนใกล้กัน ฝ่ายนั้นมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ดวงตาคมมีหยาดน้ำใสเอ่อคลอ มือใหญ่เกลี่ยผมออกจากหน้าผากเขาก่อนความรู้สึกอุ่นวาบจากริมฝีปากของอีกคนจะประทับจูบลง
“เรากลับไปอยู่ในที่ของเรากันนะครับ กลับไปอยู่วังปริพัตรด้วยกัน”
*