ตอนพิเศษ วันเด็ก ❤ เด็กๆมักถูกล่อลวงด้วยไอศกรีม ลูกอม ลูกโป่ง ขนม และไดโนเสาร์ ผมไม่ได้หมายถึงไดโนเสาร์จริงๆนะ คือไดโนเสาร์ที่ทำจากพลาสติก แต่นั่นแหละ ผมกำลังเฝ้ามองอยู่ คอยดูว่าเขาจะทำยังไง...
งานวันเด็กที่สวนสนุกเป็นสถานที่ที่วุ่นวายที่สุดติดอันดับ เป็นงานที่รวบรวมไว้ซึ่งบรรดาเด็กจากทุกสารทิศทั้งเด็กเล็กเด็กโตและเด็กไม่ยอมโตอีกทั้งบรรดาผู้ปกครองที่เห็นโฆษณาชวนเชื่อทางทีวี
มันก็สนุกดี มีกิจกรรมให้เล่นเยอะ พร้อมของรางวัลมากมายก่ายกอง และอาหารแจกไม่อั้น เรียกว่ามองไปทางไหนก็มีแต่คำว่าฟรีฟรีฟรีแปะหน้าเต็มไปหมด โชคดีที่เกิดเป็นเด็ก
ผมอาจจะรู้สึกตื่นเต้นมากกว่านี้ ถ้าผมเป็นเด็กแค่วันนี้วันเดียว ไม่ใช่เป็นเด็กมา7ปี และ มางานวันเด็กแล้ว4ครั้ง
ผมนั่งรอพี่ชายกับพ่อไปเข้าห้องน้ำที่ม้านั่งเพราะว่ารองเท้ากัดเลยต้องนั่งรออยู่นิ่งๆ มองเด็กคนอื่นเล่นก็แล้ว มองผู้ปกครองกำลังป้อนข้าวเด็กก็แล้ว ยังรู้สึกเบื่อ เลยลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ มองผ่านพุ่มไม้ตัดประดิษฐ์ไปที่ฝั่งตรงข้ามแทน
ที่บ่อน้ำพุ มีคนหลายคนนั่งอยู่ ผมมองเห็นสิ่งแปลกปลอมสิ่งหนึ่ง นั่งอยู่โดดเดี่ยว ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ตากแดดจนตัวเป็นสีแดง ผมยาวเท่าบ่า แต่ดูออกว่าเป็นเด็กผู้ชายแน่นอน
เด็กตัวเล็กนั่งหน้าตื่นอยู่สักพักก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหา คนนั้นใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า ผมคิดว่าน่าจะเป็นพ่อของเด็กคนนั้น เขาพูดอะไรกันสักอย่าง เด็กก็ส่ายหน้า และหันหนีไปอีกทาง ปฏิกิริยาแบบนั้นผมมักทำเวลาต้องคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นจึงเข้าใจทันทีว่าคงไม่ใช่พ่อ
ผมคอยมองต่อว่าเขาจะทำยังไง ผู้ชายคนนั้นยื่นบางอย่างให้เด็ก เป็นสิ่งเล็กๆที่อยู่ในมือ ผมมองไม่เห็น แต่คิดว่าคือลูกอม ผู้ใหญ่ยิ้มให้ แต่เด็กส่ายหน้า ผมจุดยิ้ม และมองว่าเขาจะทำยังไงต่อไป
ผู้ใหญ่คนนั้นเดินหายไปและกลับมาอีกครั้งพร้อมของเล่นหลายชิ้นในมือ มีอะไรบ้างผมไม่แน่ใจ เพราะรู้จักแค่เบย์เบลด เด็กยังส่ายหน้าไม่สนใจและไม่ยอมพูดอยู่แบบเดิม
ผมขยับตัวขยุกขยิกด้วยความตื่นเต้น เด็กคนนี้รับมือกับคนแปลกหน้าได้ดี
จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นยื่นของสิ่งหนึ่งให้ มันคือไดโนเสาร์พลาสติกสีเขียว ผมแทบมองเห็นประกายระยิบระยับจากตาเด็กคนนั้น เมื่อผู้ใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพยักหน้า เขาก็รับมากอดไว้ในทันที ยิ้มไร้เดียงสาแบบเด็กๆถูกจุดขึ้นเต็มใบหน้า
อ่อนหัด อ่อนหัดเกินไปแล้ว!
ผมแทรกตัวผ่านรอยแหว่งของต้นไม้ไปที่ทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว ทันดึงแขนเด็กอีกข้างไว้ก่อนที่เขาจะเดินตามผู้ชายคนนั้นไป ทั้งสองคนหันมามองผมทันที เด็กทำท่าทางงุนงง แหงอยู่แล้ว เราไม่รู้จักกันนี่ แต่ผู้ใหญ่คนนั้นทำท่าเหมือนโกรธหรือ อารมณ์เสีย เพราะคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“แม่ให้มาตาม จะกลับแล้ว” ผมไม่รอให้เด็กคนนี้พูดอะไรงี่เง่าออกมา ออกแรงกระชากให้เขาเดินตามทันที
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ” ผู้ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาขวาง อันที่จริงเขาดูเด็กพอๆกับพี่บ้านตรงข้ามของผมที่กำลังเรียนชั้นมหาวิทยาลัยอยู่ แต่ขอโทษนะ อดไม่ได้จริงๆ
“คุณลุงมีอะไรเหรอฮะ” ผมถามออกไป คำว่า คุณลุง ทำให้ผู้ชายคนนั้นชะงัก ทำตาโตพูดออกมาไม่เต็มเสียง
“พี่กำลังจะพาเด็กคนนี้ไปตามหาแม่อยู่พอดี”
“ไม่ต้องแล้วฮะ แม่รออยู่ตรงนู้นพร้อมคุณตำรวจ กำลังตามหาผมกับน้องอยู่” พอพูดว่าตำรวจปุ๊ป เขาดูชะงักไปเลยนะ เห็นไหมไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
“ไปก่อนนะฮะ แม่รออยู่ ...เร็วๆ อย่าชักช้า” ผมรีบลากเด็กคนนั้นออกมา ดูเอาเถอะ ทำถึงขนาดนี้แล้วยังหน้าตาไม่รู้เรื่องรู้ราวกอดไดโนเสาร์แน่นอยู่อีก
ผมลากเขามาที่ม้านั่งเดิม เด็กส่งสายตาลอกแลก เหมือนมองหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันมามองหน้าผม ตาสีดำกลมกระพริบปริบๆ ดูน่าแกล้ง
“นั่งอยู่ตรงนี้แหละ”
“ไหนแม่เราล่ะ” เขาเอ่ยถาม
“จะรู้มั้ย แม่นายไม่ใช่แม่เรา”
“อ้าว”
เด็กโง่เง่า
“เอ้า โทรศัพท์หาแม่นายสิ ให้มาหาที่นี่ จำเบอร์โทรศัพท์ได้หรือเปล่า” ผมล้วงกระเป๋าเป้ หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมายื่นให้เขา อีกคนทำตาโต
“นายมีโทรศัพท์มือถือได้ไง”
“แม่ซื้อให้”
“โห...เครื่องนึงราคาตั้งแพงเลยนะ...” เป็นเรื่องปกติของเด็กที่เมื่อเพื่อนทำท่าตื่นเต้นกับของของตัวเองแล้วจะรู้สึกตัวลอย แต่ไม่ต้องทำท่าทางเหมือนเกิดมาเพิ่งเคยเห็นโทรศัพท์มือถือขนาดนั้นก็ได้ ผมมองสีหน้าดีใจเหมือนได้กินไมโลฟรีของเด็กที่นั่งข้างๆหลังได้โทรศัพท์หาแม่แล้วพลันรู้สึกอุ่นในอก หัวใจเหมือนพองฟูขึ้นมา เขาเรียกว่าอะไรนะ คล้ายๆภูมิใจ ปลื้มใจ?
“รออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวแม่นายก็มา”
“อื้อ” หมอนี่พยักหน้าหงึกหงัก มองผมตาใสแจ๋วอย่างเชื่อคนง่าย เดี๋ยวหลอกไปขายทำลูกชิ้นซะเลย
“แม่ไม่เคยสอนเหรอว่าอย่าเชื่อคนแปลกหน้า”
“ไม่แปลกหน้านะ พี่เคยเจอนายที่โรงเรียน”
“โม้” ผมขมวดคิ้ว เคยเจอกันที่ไหน ไม่ใช่เอาผมไปจำสลับกับเด็กคนไหนไม่รู้ที่โรงเรียนหรอกนะ เด็กหลายๆเด็กหน้าเหมือนกันจะตาย แถมกล้าดียังไง ตัวก็เตี้ย มาเรียกแทนตัวเองว่าพี่
“ไม่โม้ นายอยู่ชั้นป.2 ห้องครูเจน” เขาคงจะเห็นผมสะดุ้งถึงรู้ว่าตัวเองพูดไม่ผิด “ใช่มั้ยล่ะ พี่อยู่ชั้นป.4 แล้วนะ” เขาว่าแล้วก็ยิ้มออกมาอีก น่าหมั่นไส้ น่าหมั่นไส้จริง!
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทำท่าทางปัดกางเกงก่อนหันไปมองเด็กที่นั่งข้างกัน “ไปเอาสายไหมกันเถอะ”
“ไม่อยากไปไหนแล้ว พี่ร้อน” เขาบ่นเสียงไม่ดังนัก เหงื่อซึมชื้นจนผมเปียก มือเกาแขนที่ขึ้นรอยแดงเป็นปื้น คงคันที่รอยแดดเผา เห็นแบบนั้นเลยปล่อยให้นั่งรอไปคนเดียว ตอนเดินไปเอาสายไหมที่รถเข็นไม่ไกลก็คอยมองว่าจะมีคนแปลกหน้าที่ท่าทางไม่ไว้ใจโผล่มาอีกหรือเปล่า
“เอาสีม่วงหรือสีฟ้า” ผมยื่นไม้สายไหมให้เขาเลือก คนที่บอกว่าเป็นพี่จ้องตาแป๋วไปที่สีม่วงก่อนแล้ววกกลับมามองหน้าผมอีกที
“นายเป็นน้อง ให้นายเลือกก่อน”
ผมหยุดคิดกับคำพูดนั้นแล้วเลือกไม้สีฟ้าไว้และยื่นไม้สีม่วงไปให้เขา ไม่ได้อยากเอาใจหรอกนะ ผมแค่ชอบรสสีฟ้าเฉยๆ
“ทำไมถึงต้องให้น้องเลือกก่อนล่ะ” ผมถามคนที่นั่งแกว่งขาเล่น เขาเงยหน้าขึ้นเหมือนไม่ได้ยินคำถาม ผมจึงต้องเอ่ยถามอีกครั้ง “ทำไมถึงให้น้องเลือกก่อน”
“หม่าม๊าสอนว่าเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง” เขายังพูดด้วยใบหน้ายิ้มแบบเดิม แต่ผมรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่ ไม่ว่าใครก็ควรที่จะมีสิทธิ์เท่าเทียมกันสิ ไม่เห็นจะเกี่ยวเลยว่าเป็นพี่หรือเป็นน้อง เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคนที่โตกว่าไม่ต้องเสียสละของที่ตัวเองชอบให้คนที่เด็กกว่าตลอดเลยเหรอ จินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าเลิศจะเสียสละให้ผมก่อนยังไง และผมก็นึกถึงว่าตัวเองยอมให้คนที่เด็กกว่าตลอดไม่ออกเหมือนกัน
พอเห็นว่าผมจ้องมอง อีกคนก็ยักคิ้วส่งให้
ถูกสอนอะไรใจร้ายแบบนั้นมา ทำไมยังมีรอยยิ้มที่สดใสได้อยู่อีกนะ
“งี่เง่าจัง”
“ไม่งี่เง่าหรอก เดี๋ยวนายโตเป็นพี่ นายก็เข้าใจ” เขาพูดด้วยท่าทางมั่นใจ
แต่ ไม่มีทางอ่ะ แม่บอกผมว่าทำหมันแล้ว ผมอ่านเจอจากในหนังสือ การทำหมันก็คือ การตัดอวัยวะหนึ่งในการมีบุตรออก หมายความว่า จะไม่สามารถมีลูกได้แล้วนั่นเอง เพราะแบบนั้นผมถึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องคอยแบ่งของเล่นให้ใครหรือรอให้ใครมาแบ่งของเล่นให้
พวกเรานั่งแกว่งขาไปมา คอยมองเด็กคนอื่นวิ่งเล่น ไม่ก็มองบรรดาเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวอื่นที่สามารถมองเห็นได้ในสายตาพร้อมกินสายไหมในมือไปด้วย ตอนผมกินหมดไม้ คนที่นั่งด้านข้างยังกินพร่องไปแค่นิดเดียวเท่านั้น
“ทำไมนายกินช้าจัง” ผมถาม
“ก็มันหวานพี่กินไม่หมด พ่อพี่บอกว่าของหวานถ้ากินเยอะๆจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง และทำให้เกิดโรคอ้วน”
“อ้วนไม่ดีตรงไหน ตัวใหญ่ได้เป็นหัวหน้าแก๊ง ใครๆก็กลัว” ผมชอบที่ตัวเองอ้วน
“อ้วนมากๆไม่ดีนะ อาจจะป่วยได้ เสี่ยงทำให้เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ” พอได้ทีล่ะพล่ามใหญ่เชียวเจ้าเด็กนี่ ผมมองใบหน้าเล็กๆที่ทำท่าทางจริงจังสั่งสอน บางทีก็ดูโตกว่า ดูสมกับเป็นพี่ แต่บางทีก็ดูเหมือนเด็กเล็กไม่มีสมองที่น่าแกล้งแหย่ให้ร้องไห้
“รู้แล้วๆ เอาไว้ตอนโตขึ้นจะลดความอ้วนแล้วกัน ตอนนี้ยังเป็นเด็กอยู่ ขอกินก่อนได้เปล่าล่ะ”
“ได้ แต่พอโตแล้วต้องลดความอ้วนนะ จะได้สุขภาพดีๆ”
“อือ” พูดมากชะมัดเจ้าเตี้ย
“เก่งมาก พอนายผอมแล้ว มาแต่งงานกับน้องสาวเรานะ มาเป็นน้องพี่อีกคน จะได้มีน้องชายกับน้องสาว”
“งี่เง่า ใครจะชอบน้องสาวนาย”
“แต่น้องสาวพี่น่ารักมากเลยนะ พ่อพี่ก็ใจดีมากๆ”
“ที่บ้านพี่มีหมาด้วย มีเครื่องบินบังคับกับรถจี๊ป เดี๋ยวแบ่งให้เล่นทุกอย่างเลย” ผมมองปากเล็กที่ขยับพูดไม่หยุดที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาลสีม่วงมองดูเหมือนสุนัขโง่ๆเวลากินข้าวคลุกตับแล้วเปื้อนไปทั้งปากทั้งจมูก จึงเขย่งตัวเข้าหาใช้ชายเสื้อยืดของตัวเองเช็ดคราบเปื้อนที่ปากและปลายจมูกของเด็กคนที่นั่งด้านข้างจนขึ้นสีแดง อีกคนพยายามเบี่ยงตัวหลบร้องประท้วงเหมือนลูกแมวตัวเล็ก
“เจ็บๆๆ”
“กินมูมมามสกปรก”
“ไม่อยากเป็นน้องเราเหรอ...” ตาใสแจ๋วมองมาอย่างไม่ลดละความพยายามดูน่ารัก
“ไม่เอาอ่ะ”
“ใครกันจะอยากเป็นน้องนาย”
“หื้อ! ไม่เป็นน้องแล้วมาหอมแก้มพี่ทำไม”
“แก้มเหม็น”
“เหม็นแล้วหอมทำไม เด็กไม่ดี!”
หวา แย่ละ ผมรู้สึกปลื้มใจอีกแล้ว
สั้นๆย้อนวัยเด็กของน้องรวยกับพี่จูน จริงๆตั้งใจจะเขียนตอนพิเศษวันรับปริญญาพี่จูนสิ้นปีที่ผ่านมา แต่เขียนไม่ทัน