ตอนที่ ๑๘
ภูวรินทร์เจ็บแปลบที่ศีรษะ ร่างกายปวดเมื่อยไปทุกส่วน โดยเฉพาะที่แผ่นหลัง เขาพยายามลืมตาขึ้นมอง เปลือกตาค่อยๆเปิดออก ทำให้มองเห็นภาพเพดานสีขาวสะอาด ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วเข้าหู
“เดี๋ยวผมคุยกับภูเองครับ...”เสียงที่กำลังสนทนาอยู่นั้นเป็นของโชติ ทำให้เขาหันไปมองทางด้านข้าง เห็นเป็นโซฟาที่สีน้ำตาลวางอยู่ริมห้อง หันมองที่ปรายเตียงอีกครั้ง พบว่าตนเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
“ฟื้นแล้วค่ะ”เสียงของป้าษอรดังมาจากทางด้านข้าง ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ งุนงง เธอยังสวมชุดสีดำเรียบร้อย เขาขมวดคิ้วรู้สึกคอแห้งไปหมด
“ฉันตกใจแทบแย่แน่ะ เพราะแกตกบันไดบ้านน่ะสิ หัวแตกเย็บไปสี่เข็ม ยังดีที่ไม่มีอะไรแตกหัก”โชติบอกแล้วเดินมานั่งข้างเตียง เขาจ้องมองคนในห้องอีกครั้ง เห็นว่ามีแต่ป้าษอร กับนิรุทเท่านั้น ภูวรินทร์หลับตาลง คนที่ควรมาอยู่ที่นี่ควรเป็นพ่อแม่ของเขาไม่ใช่หรือไง
“แล้วแม่ผมล่ะ”เขาถามทุกคนในห้อง สีหน้าของนิรุทเปลี่ยนไปเป็นนิ่งเฉยขึ้นมา เขามองอีกฝ่ายแต่ไม่ได้รับคำตอบ จึงหันไปทางเพื่อนสนิทแทน
“แม่แกกลับไปเมื่อไม่นานนี่เอง เดี๋ยวก็คงกลับมาใหม่”โชติบอก ชายหนุ่มพยักหน้า กระทั่งรู้สึกเจ็บที่ศีรษะทางด้านหลัง พอยกมือขึ้นไปจับทางด้านหลังพบว่า ผมของเขาโดนตัดออกไปเล็กน้อยเพื่อเย็บแผลและติดผ้าก๊อซไว้
“ฉันอยู่ที่ไหน”เขาเอ่ยอย่างสับสน โชติเลิกคิ้วสูง เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็ที่ร.พ xxx น่ะสิ”โชติบอกน้ำเสียงยินดีอย่างไม่ปกปิด เพราะฉีกฝ่ายต้องการให้เขากลับมาอยู่บ้านในเมืองใหญ่มากกว่าบ้านในชนบทที่มีแต่ความน่ากลัว เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะหลับตาลง ยังคงไม่ลืมเรื่องราวในบ้านภิรมย์สุขแม้แต่นิดเดียว อกซ้ายเหมือนจะบีบแน่นจนหายใจลำบาก ร่องรอยความเสียใจยังมีให้เห็นอยู่ ป้าษอรลูบไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบาเป็นการปลอบประโลม ความอุ่นแผ่จากฝ่ามือของเธอ
“พักผ่อนเถอะค่ะ เรื่องบ้านเดี๋ยวป้าดูแลให้ค่ะ”เธอเอ่ยออกมา เขาขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก
“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นครับ”เขาบอกน้ำเสียงเเข็งกระด้าง ชายหนุ่มลืมตามองหญิงท้วมทันที
“ป้ารู้ค่ะ”ป้าษอรบอกเสียงอ่อนลง เธอยิ้มอย่างเศร้าสร้อย
“ตอนนี้เธอกลับมาอยู่กับพ่อแม่น่าจะดีกว่านะ อย่าให้เขาสองคนเป็นห่วงมากกว่านี้เลย”มีเสียงของนิรุทเอ่ยแทรกอย่างเข้มงวด ใบหน้าของอีกฝ่ายฉายแวววิตกกังวล ภูวรินทร์เงียบ ถูกเช่นนิรุทพูด เขาเข้าใจดี จึงได้แต่พยักหน้าเงียบๆ ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบน่าอึดอัด ชายหนุ่มนอนหลับตารู้สึกว่างเปล่า ต่อจากนี้ไปเขาคงไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
“...นี่ภู พอดีว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกแกด้วยเพื่อน”โชติเอ่ยออกมา สีหน้าและแววตาของเจ้าตัวฉายความไม่มั่นใจออกมา เขามองอย่างสังเกต
“อะไรล่ะ”ภูวรินทร์ถาม เหลือบมองหน้าป้าษอรและนิรุทไปด้วย อีกฝ่ายมีท่าทีและแสดงสีหน้าแปลกๆ กันทั้งคู่ ชายหนุ่มเบนหน้าออกจากการจ้องมองของป้าษาอรหันไปหาโชติแทน เจ้าตัวดูหวั่นวิตก
“แกทำใจไว้หน่อยนะ”โชติบอก คิ้วขมวดแน่นสีหน้าเอาจริงเอาจัง เขาลอบเก็บความวิตกเอาไว้ในใจ แสร้งทำเป็นเหมือนไม่ใส่ใจนัก เขาเห็นปฏิกิริยาของทุกคนแล้วคิดว่าเป็นเรื่องร้าย
“อืม”เขาพนักหน้า โชติเม้มปากสูดหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจจนเขานึกขำ
“หมอตรวจว่าแกเป็นโรคหัวใจ”สิ้นคำบอกกล่าวของโชติ ภูวรินทร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขามองหน้าของโชติที่มีสีหน้าหวั่นเกรง
“อะไรนะ”แม้ว่าร่างกายของเขาจะดูไม่แข็งแรงอยู่บ่อยไม่ มีอาการที่ชวนวิตกบ่อยๆ แต่ก็ไม่ใจหายเท่านาทีที่ได้ยินจากปากคนอื่น ตอนนี้เขาอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีทางที่โชติจะโกหก
“แกเป็นโรคหัวใจชนิดกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ”เพื่อนสนิทอธิบายต่อ ชายหนุ่มถอนหายใจ รู้สึกเหมือนของสำคัญปลิวหายไปจากใจอีกแล้ว ภูวรินทร์พูดไม่ออก เขานิ่ง จ้องมองเพดานอย่างเหนื่อยหน่าย นั่นสินะ นอกจากจะไร้คู่แล้วยังจะโชคร้ายอีกด้วย สิ่งไม่ดีมันมาตกที่ตัวเขาทั้งนั้น
“อย่าห่วงเลย ตอนนี้มีหมอเก่งอีกเยอะแยะ ผ่าตัดแปบเดียวก็หายแล้ว ถึงว่าจะเป็นจากกรรมพันธุ์ก็เถอะ แต่หมอบอกว่ารักษาได้”นิรุทเอ่ยเสียงขรึมเพื่อให้เขาคลายใจ อีกฝ่ายพูดมานั้นไม่ผิด การแพทย์ก้าวไกลมากไม่มีทางที่เขาจะมีจุดจบเช่นเดียวกับท่านหมื่น
“งั้นก็ดีสิ”เขาพึมพำ รู้สึกใจแกว่งไม่หาย แต่ก็ทำให้เขาไม่อาจฝืนยิ้มได้อีก
“พักผ่อนเถอะค่ะ”ป้าษอรเอ่ย ก่อนจะจัดแจงดึงผ้าห่มให้เขา ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ รู้สึกว่าเริ่มง่วงนอนและไม่มีสมาธิ ก่อนจะปิดตาสนิท เขามองเห็นนิรุทเดินเข้ามาหา ท่าทางห่วงใย ชายหนุ่มกลับไปอีกครั้งเพราะฤทธิ์ยา
ภูวรินทร์ฝัน ล่องลอยในถนนที่เต็มไปด้วยหมอกเต็มไปหมด เส้นทางยาวไกลสุดสายตา เขาองไปรอบกายไม่เห็นใครผ่านม่านหมอกสักคน ตะโกนเรียกชื่อคนที่รักอย่างอินทนิล หรือแม้แต่คุณแก้ว เขามึนงงไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร
“มีใครได้ยินไหม!”เขาร้องเรียก มีเสียงเรียกชื่อเขาสะท้อนก้องไปมา ชายหนุ่มเดินหาต้นตอของเสียง เขาวิ่งไปตามเส้นถนนที่ทอดยาวอย่างไร้จุดหมาย เขามองตรงไปข้างหน้าเสียงเรียกยังดังเป็นระยะ ไม่ใช่เสียงของอินทนิล
“ไม่ทันได้ร่ำลาท่านเลยนะภูวรินทร์”กระแสเสียงของชายหนุ่ม คล้ายกับเสียงอินทนิลแต่ไม่ใช่
“คุณแก้ว”เขายินดี มองหาต้นตอของเสียงแต่ไม่เห็นแม้เงาคน
“ต่อจากนี้เราอาจไม่ได้มีชื่อนี้ ทั้งเราทั้งอินน์ หากชะตาลิขิตให้เกิดมาคู่กันจริงคงได้พบเจอกันอีก”เสียงนั้นยังคงดังก้อง เขาหันซ้ายขวา
“แก้ว…คุณอยู่ที่ไหน ยังอยู่ที่บ้านภิรมย์สุขอีกเหรอ”เขาอยากรู้เรื่องนี้มากที่สุด เสียงของคุณแก้วหัวเราะออกมา
“เปล่า เรามีทางของเราเอง”ฝ่ายนั้นตอบกลับมา ภูวรินทร์นิ่งคิด หมายความว่ายังไงกัน คุณแก้วจะไปเกิดยังภพอื่นแล้วงั้นเหรอ ถึงได้พูดเช่นนี้
“ผม…”เขาอยากพูดสิ่งที่รู้สึกอยู่ในใจ แต่พอจะเอ่ยคำพูดคุณแก้วกลับเอ่ยเสียงเสียก่อน ถ้อยคำนั้นฝังลงในใจเขา
“อย่าเอ่ยโดยไม่ไตร่ตรองเสียก่อน อาจสร้างพันธะผูกพันไม่จบไม่สิ้น เราจะอยู่กับท่านเสมอ…”
“แก้ว!”เขาร้องตะโกนอย่างสุดเสียง
พอรู้ตัวอีกทีภูวรินทร์กำลังลืมตามองเพดานอยู่ในห้องพิเศษเช่นเดิม เขาสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ รู้สึกว่าคอแห้งผาดไปหมด ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปมองทางตู้ลิ้นชัก เจอกับสายตาของโชติ เพื่อนสนิทนั่งอยู่ที่โซฟาสีหน้าห่วงใย
“ฝันร้ายเหรอ”อีกฝ่ายเอ่ยถาม เขาพยักหน้า
“อืม โทษทีแต่ขอน้ำให้ฉันหน่อย”ชายหนุ่มเอ่ยบอก เพราะเอื้อมไปไม่ถึง โชติลูกจาก็โซฟาเดินมารินน้ำใส่แก้วน้ำ แล้วยื่นแก้วน้ำมาให้ เขาค่อยๆยันร่างกายลุกขึ้นมานั่ง รับแก้วน้ำมาถือไว้บอกขอบใจก่อนจะยกแก้วน้ำมาดื่มอย่างกระหาย
“ขอถามอะไรอย่างสิ”โชติเอ่ยด้วยความเคร่งเครียด ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ภูวรินทร์มองอย่างสงสัยก่อนจะพยักหน้าตกลง ส่งแก้วน้ำที่ดื่มหมดแล้วไปให้โชติ
“ว่ามาสิ”พอเขาตกลง ฝ่ายนั้นก็อ้ำอึ้งอยู่นานจนกว่าจะกล้าเอ่ยออกมา “แกเป็นอะไรกันแน่”โชติมองหน้า แววตาดูมีประกายแปลกไป เขาขมวดคิ้ว
“อะไรนะ”เขางุนงง รู้สึกกังวลอยู่บ้างแต่ไม่แสดงออกมาก โชติถอนหายใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด
“คืนที่แกตกบันได ก่อนหน้านั้นแกออกจากห้องแล้วไปที่สวนของอีกบ้านหนึ่ง ฉันนึกว่าแกละเมอซะอีก”เพื่อนคนสนิทพูดออกมาช้าๆ ระหว่างนั้นเจ้าตัวสังเกตท่าทีของเขาไปด้วย สายตาของอีกฝ่ายทำให้นิ่งงัน เหมือนถูกมองว่าเป็นคนบ้า ภูวรินทร์ยิ้มออกมา
“อืม แค่เดินไปดูอะไรนิดหน่อย”เขาตอบไปสั้นๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงนัก เขาไม่แปลกใจเลยที่โชติจะคิดว่าเขาทำตัวแปลก
“นั่นมันน่ากลัวออกนะ ดึกดื่นขนาดนั้น …แกทำตัวเป็นพวกเพ้อพกไปได้”โชติเอียอย่างกังวลใจ เขามองเพื่อนคนนี้อย่างตั้งใจ อีกฝ่ายไม่มีเจตนาจะมองเขาไม่ดี แต่คงเพราะความเป็นห่วงนั่นแหละ
“…ผิดด้วยเหรอ”ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะตอโต้กลับไป โชติย่นหน้า
“ฉันป็นห่วงแก”อีกฝ้ายย้ำ เขายิ้มออกมา
“ฉันรู้น่า ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”ชายหนุ่มบอกด้วยความรู้สึกผิด นึกถึงคำพูดของนิรุทอีกครั้ง เรื่องทำตัวใหัคนอื่นเป็นห่วง เขามองเพื่อนสนิทอย่างซึ้งใจ
“ช่างเถอะ ฉันพยายามจะเข้าใจ”เจ้าตัวถอนหายใจ ส่งยิ้มมาให้เขา ภูวรินทร์มองไปรอบห้องอย่างผิดหวัง “แล้วพ่อกับแม่ล่ะ”
“เดี๋ยวก็มานั่นแหละ อาจติดงานอยู่”โชติตอบเสียงเบา เขารู้สึกว่าพ่อกับแม่กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว หลังจากที่เขาผ่านเรื่องของบ้านภิรมย์สุขมาจนถึงตอนนี้ คำว่าครอบครัวสำหรับตนนั้นดูห่างเหินเหลือเกิน โชติตบไหล่เขาเพื่อไม่ให้คิดมาก
“ฉันรู้สึกว่าพ่อกับแม่พยายามตีตัวห่างกับฉันยังไงไม่รู้”เขาบอกออกมา บางทีพ่อกับแม่อาจกลัวเรื่องคำแช่งขึ้นมาก็ได้ ถึงได้ไม่ติดต่อกลับมาแบบนี้ เขาไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย แต่ลางสังหรณ์และพฤติกรรมของพ่อกับแม่ที่ดูเหมือนไม่แยแสต่อความเป็นไปของลูกชายเช่นเขา...โดยเฉพาะกับพ่อ ต่อให้โชติบอกว่าท่านเป็นห่วงเขาก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วท่านก็รู้ความจริงที่เขาไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน ความสัมพันธ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง
“คิดมากน่าเพื่อน”โชติรีบปราม ชายหนุ่มพยายามยิ้ม มองไปรอบห้องอย่างไร้อารมณ์
“...นั่นสิ”
สุดท้ายพ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมเขาจนได้ ส่วนใหญ่ถามถึงโรคหัวใจของเขามากกว่า และเร่งรัดให้เข้าเขารับการรักษาอย่างเร่งด่วนทันที เขาขัดอะไรไม่ได้ ระหว่างพ่อกับแม่ดูไม่เหมือนเดิมอีก มีความเย็นชาจนสังเกตเห็นได้
ช่วงที่เขาเตรียมร่างกายสำหรับการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ เขามอบฉันทะให้โชติไปเข้าประชุมผู้ถือหุ้นให้ และชี้แจงถึงอาการป่วยของเขา เรื่องหุ้นที่เขาถือครองอยู่ เขาโอนให้พ่อไป10% อีก20%เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะมอบให้แม่ หรือว่าให้พี่น้องคนอื่นดี นิรูทยังอยู่ในลิสต์ของเขาอยู่ ได้ยินว่าเจ้าตัวย้ายมาอยู่ไทยแบบถาวรแล้ว ป้าษอรกับลุงชมกลับไปดูแลบ้านภิรมย์สุขให้เขา เหมือนว่าเรื่องราวทุกอย่างกลับเข้าสู่ที่ทางของมัน ร่องรอยของอินทนิลกับคุณแก้วหายไปอย่างง่ายดาย เขาไม่เอ่ยถึง แต่ในใจยังไม่ลืมอยู่ดี
“พ่อมาคุยกับแกให้เข้าใจ”ก่อนวันผ่าตัดหนึ่งวัน พ่อเข้ามาคุยกับเขา พอมองสำรวจท่านแล้ว เส้นผมสีดำแซมสีขาวมากขึ้น ร่างสูงใหญ่กำยำต่างจากเขาที่ผอมสูงมากกว่าตัวหนา เขามันผ่าเหลาต่างจากพี่น้องในบ้านจริงๆนั่นแหละ ภูวรินทร์มองผู้เป็นพ่อ
“ครับ...”
“พ่อไม่ได้รังเกียจอะไรแกเลยนะภู เรื่องแม่ของแก...ถึงมันจะไม่เหมือนเดิม แต่เราก็ยังเป็นครอบครัวกันอยู่ พ่อไม่อยากให้บ้านเราแตกเพราะเรื่องนี้... พี่ๆน้องๆของแกไม่มีใครรู้ และทุกคนก็ยังรักเป็นห่วงแกเหมือนเดิม”พ่อบอก แววตาสีดำนั้นจ้องมองเขาอย่างจริงใจ เขาได้ยินจากปากของพ่อจึงยิ้มออกได้
“ขอโทษครับพ่อ ที่ผมทำตัวไม่เอาไหน...เรื่องงานก็ด้วยที่ผมทิ้งมา”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างรู้สึกผิด พ่อมองเขาก่อนจะเอื้อมมาจับแขนของเขาเบาๆ
“ถ้าแกรู้สึกผิดก็กลับเข้าไปทำงานให้ดี รู้ไหมว่าพ่อพยายามคุยกับผู้ถือหุ้นรายอื่นให้ผ่อนปรนให้แกแค่ไหน พวกเขายอมใจอ่อน เชื่อใจแกอีกครั้ง คราวนี้ก็อย่าทำให้พวกเขาผิดหวังอีก”พ่อบอก ชายหนุ่มรับคำ
“...พ่อ ถ้าหากว่า”อยู่ๆเขาก็พูดไม่ออก การผ่าตัดกล้ามเนื้อหัวใจที่หนาผิดปกติ ทำให้หายขาดได้ก็จริง แต่เขายังต้องระมัดระวังโรคแทรกซ้อนชนิดอื่นด้วย
“แกยังไม่ตายตอนนี้หรอกน่า...พ่อได้ยินเรื่องของแกจากโชติมาบ้าง บ้านหลังนั้นน่ะ ถ้าหากว่ามันมีแต่เรื่องไม่ดีก็อย่ากลับไปอยู่อีกเลย ถึงจะเป็นสมบัติของนายนิรุทนั่น แต่ถ้าบ้านไม่เกื้อหนุนเรา ก็อย่าไปอาศัยเลย”พ่อเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม ภูวรินทร์เงียบ ที่พ่อพูดมันก็มีส่วนถูก แต่บ้านก็ไม่ได้มีแต่เรื่องไม่ดี เขาไม่ได้ตอบอะไร
หลังการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี ภูวรินทร์ต้องพักฟื้นอีกหลายสัปดาห์ ยังคงต้องเช็กเรื่องอัตราการเต้นของหัวใจว่าปกติหรือไม่ ชายหนุ่มเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น เงาร่างที่ไม่ชัดเจนกำลังก้มตัวมองตนอยู่ เขาพยายามเพ่งมองอีกฝ่าย แต่กลับพบเพียงร่างเบลอพร่ามัว ที่กำลังขยับห่างออกไป ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง หากเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่วังวนเดิม ที่มีพ่อแม่ และโชติดูแล
++++++++++++
เวลาช่วยเยียวยาทุกสิ่ง กาลเวลาไม่หยุดนิ่งผันผ่านไปวันแล้ววันเล่า จากเดือนเป็นปี
ชื่อของอินทนิลและแก้วยังไม่จางหายไปจากใจ หากว่ามีเวลาว่าง เขาจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านภิรมย์สุข อยู่กับความอ้างว้างเงียบสงบของบ้าน ป้าษอรยังคงอยู่ดูแลบ้านไม่จากไปไหน
ชายหนุ่มไม่เผชิญกับฝันร้ายมาตั้งแต่การขอขมากรรม หากแต่ฝันถึงเด็กหนุ่มที่เฝ้าคิดถึงไม่ห่างหาย เป็นฝันดีจนแทบไม่อยากตื่น
ในระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ภูวรินทร์กลับมาทำงานที่บริษัทเช่นเคย มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัทใหม่ เขายังเป็นหนึ่งในนั้น แต่อำนาจน้อยกว่าเดิม ส่วนหุ้นที่เหลือ เขาขายหุ้นให้บริษัท และนิรุทก็เข้ามาซื้อหุ้นส่วนนั้นแทน เขาถือโอกาสไปบ้านภิรมย์สุขในช่วงที่ต้องการพักผ่อนเท่านั้น เพราะบรรยากาศในบ้านมันทำให้เศร้า เขายังคงนึกถึงอินทนิลเสมอ ยิ่งกลับไปบ้านหลังนั้นยิ่งทำให้เขาไม่สามารถเริ่มใหม่ได้ ถ้อยคำของหลวงตายังคงไม่ต่างไปจากสมอง อย่ายึดติดอดีต อย่าไปคาดหวังกับอนาคต แค่อยู่กับปัจจุบันก็เพียงพอ
ส่วนป้าษอร นานครั้งที่อีกฝ่ายจะโทรศัพท์มาพูดคุยกับเขา หากไม่มีธุระเร่งด่วน หรือมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงาน เขาไว้ใจให้เธอดูแลความเป็นไปของบ้าน ป้าษอรมีลูกมือมาช่วยสองสามคน เพราะตอนนี้เธอแก่ตัวลงมาก อายุขึ้นเลขหก ผมเผ้ากลายเป็นสีขาวไปเกือบครึ่งศีรษะ
ขณะที่ภูวรินทร์เพิ่งกลับมาจากการประชุมผู้ถือหุ้น เขาไม่ได้มีบทบาทในการบริหารมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อกับพี่ชายของเขา เพราะหุ้นของเขาไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน เขากลับไปอยู่ที่บ้านกับแม่ที่เริ่มป่วยออดแอดอยู่บ่อยครั้ง
โทรศัพท์ของสั่น มีเบอร์ของป้าษอรโชว์อยู่ที่หน้าจอ ชายหนุ่มมองโทรศัพท์อยู่นาน หากเขารับสายนี้อาจมีเรื่องให้ต้องกลับไปที่บ้านภิรมย์สุขอีก
“ว่าไงครับป้า”ภูวรินทร์ในวัยสามสิบสี่เอ่ยกลับคนปรายสาย น้ำเสียงที่โรยราไปตามวัยตอบกลับมา
“ขอโทษที่รบกวนเวลาพักค่ะ พอดีว่าคุณธิชาเธอมาที่บ้านค่ะ เห็นว่าจะมาซ่อมเรือนเล็กหลังนั้นให้ลูกชายของเธอ”ป้าษอรบอก เขาถึงกับแปลกใจมาก คุณป้าธิชาคนนี้ห่างหายไปจากบ้านภิรมย์สุขเกือบสิบปี ที่ดินของเรือนหลังเล็กเป็นของเธอ ในตอนนั้นเธอไม่ต้องการบ้านหลังนั้นด้วยซ้ำ
“อืม ลืมไปเลยว่าบ้านหลังนั้นเป็นของเธอ”ภูวรินทร์ไม่เคยได้เจอ หรือพูดคุยกับคุณป้าท่านนี้มาก่อน เป็นอีกครั้งที่เขาหวนนึกถึงอินทนิลอีกแล้ว เพราะคุณป้าธิชาเป็นแม่แท้ๆของอินน์ ทำให้วกไปเรื่องที่เธอทิ้งอินน์ไป แล้วให้ป้าษอรดูแลอินทนิลเอง เขาพยายามไม่ใช่อารมณ์ของตัวเองไปตัดสินคุณป้าท่านนี้
“งั้นป้าเลยจัดเรือนรับรองให้ที่บ้านนะคะ เพราะเธอจะอยู่ดูแลอยู่สักสองสามอาทิตย์”คู่สนทนาเอ่ยต่อ เขาส่งเสียงรับรู้
“ครับ ตามสบายเลย”
“คุณภูจะแวะมาใหมคะ คุณธิชาเธออยากพบคุณเหมือนกัน...”อีกฝ่ายเอ่ยถาม ภูวรินทร์ลังเล แต่ความอยากเจอกับผู้มาเยือนคนใหม่ทำให้เขาตกลง
“...ได้ครับ เดี๋ยวผมหาวันว่างก่อน”เขาบอก หลังจากนั้นป้าษอรก็รายงานเรื่องทั่วไปที่ไม่มีความสลักสำคัญมากนัก เขาคิดว่าป้าษอรคงเหงามากกว่าเพราะแก่ตัวลงมาก ลุงชมเองก็โรยราแล้วเช่นกัน คนสวนคนใหม่ก็เป็นลูกน้องของแกเอง
คุณธิชามีศักดิ์เป็นป้าของเขา อายุอานามไล่เลี่ยกับคุณนิรุท แต่เอาเข้าจริงเธออายุมากกว่านิรุทอยู่หลายปี
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาชายหนุ่มมีโอกาสศึกษาเรื่องการเพาะจำพืชไม้ประดับอยู่บ้าง เพราะที่เรือนเพาะชำมีดอกไม้หลายชนิด ลุงชมคอยดูแลไม่ให้มันตาย แม้ว่าจะออกดอกออกต้นเยอะ ลุงชมขยับขยายหาทางเอาพันธ์ไม้ดอกไม้ประดับเหล่านั้นไปขาย ให้แก่พวกร้านอาหารที่ต้องการดอกไม้สด ภูวรินทร์เคยเป็นธุระให้หลายครั้งเรื่องการติดต่อขายดอกไม้ตามตลาดต่างๆ
ช่วง5ปีก่อนเขาบอกให้ป้าษอรนำต้นแก้วไปปลูกไว้รอบรั้วบ้านแทน ตอนที่ภูวรินทร์กลับไปเคยไปเยี่ยมอีกฝ่าย ดอกแก้วขาวสะพรั่ง มองแล้วสบายตา ยิ่งทำให้ชาวบ้านยิ่งซุบซิบว่าบ้านภิรมย์สุขยังมีอาถรรพณ์ไม่หาย เขานึกขำอยู่บ้าง ยิ่งเวลาไปเดินตลาดในหมูบ้านมีแต่สายตาจับจ้อง ผ่านมา7ปีแล้ว เขาคิดว่าคำสาปแช่งหมดลงที่รุ่นของเขานี่แหละ
ก่อนเดินทางไปที่ต่างจังหวัด ภูวรินทร์นำต้นแก้วแคระจำนวนหลายสิบต้นติดไปด้วย เพราะต้องการเอาไปปลูกแทนเทียนหยด เส้นทางขึ้นเขาไปบ้านภิรมย์สุขดีขึ้นกว่าเมื่อ 7 ปีก่อน ดังนั้นการเดินทางไม่จำเป็นต้องพึ่งรถไฟอย่างเดียว เขาขับรถกระบะไปเอง เส้นทางที่เต็มไปด้วยขุนเขาและผืนป้าอุดมสมสมบูรณ์ การเดินทางครั้งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
เขาใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงในการเดินทาง จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เขาขับผ่านถนนที่ฟุ้งไปด้วยฝุ่นดิน เพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางป่าไม้ ตัวบ้านอยู่ห่างจากหมู่บ้านและผู้คนหลายกิโลฯ จนเขาเริ่มเห็นรั้วบ้านสูง ประตูรั้วใหญ่เปิดอ้าไว้รอ เขาขับรถเข้าไปตามทาง มองด้านข้างเห็นต้นแก้วสูงประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆแล้ว เขาขับผ่านลานบ่อน้ำเข้าไปจอดที่โรงจอดรถทางด้านขวามือ เขาเห็นป้าษอรกับเด็กรับใช้สองคนเดินออกมาต้อนรับ
ภูวรินทร์ดับเครื่อง ลงจากรถด้วยท่าทางปลอดโปรง เขาอ้อมไปยกกระเป๋าเดินทางออกมาวาง เขากวาดสายตามองไปยังทางฝั่งของเรือนหลังเล็ก เขาเห็นว่าตัวบ้านกำลังถูกรื้อออกเพื่อซ่อมแซมใหม่
“สวัสดีค่ะคุณภู สบายดีไหมคะ”ป้าษอรเอ่ยถาม เขายิ้ม มองแม่บ้านที่ร่างกายผ่ายผอมลงเยอะ เธอแก่ตัวลงมากจริงๆ เส้นผมสีขาวแซมออกมาชัดเจน เขาเหลือบมองเด็กรับใช้สาวสองคนที่ยกมือไหว้เขา
“สบายดีครับ แล้วป้าเป็นอย่างไงบ้าง”เขาถาม อีกฝ่ายยิ้มบางๆ บอกกล่าวว่าสบายดีตามอัตภาพ ลุงชมวิ่งมาหาที่รถ อีกฝ่ายก็ผอมลงเช่นกัน เขาคิดว่าถึงเวลาที่สองคนอาจต้องพักบ้าง เพราะอายุขนาดนี้แล้ว ทำงานหนักๆก็คงไม่ไหว ลุงชมให้คนสวนสองคนยกกระถางต้นแก้วแคระออกไปวาง
ป้าษอรพาเขาไปที่โถงรับแขก บ้านยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน สิ่งที่เปลี่ยนก็คงเป็นพวกเขา ระหว่างที่เดินมานั่งโซฟา เขาเจอกับหญิงผิวขาว ท่าทางเรียบร้อย ใบหน้ายังคงเต่งตรึง มีริ้วรอยของวัยประปราย
“สวัสดีครับคุณป้า”เขาเอ่ยทักทาย
“สวัสดีจ้ะภู”เธอเอ่ยทักทาย น้ำเสียงใจดี จนเขาไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนเดียวกับที่ทิ้งอินทนิลไป เขารู้สึกไม่ดีกับเธอเท่าไหร่ แต่ก็ยังเคารพอีกฝ่ายตามมารยาท
“คุณป้ามาถึงนานแล้วเหรอครับ”เขาถาม
“เพิ่งมาถึงได้สองวันเองจ้ะ ว่าแต่เราเถอะ สบายดีนะจ๊ะ”คุณธิชาเอ่ยถามอย่างห่วงใย เขามองอย่างแปลกใจ เห็นเศษเสี้ยวความเศร้าหมองในดวงตาของเธอ อีกฝ่ายกำลังเอ่ยถึงอินทนิลงั้นเหรอ เขาเงียบไป
“ผมสบายดีครับ แล้วคุณป้าดูบ้านหมดหรือยังครับ...เอ่อ ลืมไปเลยครับว่าคุณป้าก็เคยอยู่ที่นี่มาก่อน”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างลืมตัว แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของบ้าน แต่คุณป้าคงจะรู้จักทุกซอกทุกมุมอยู่แล้ว ความอึดอัดเข้ามาครอบคลุมแทน
“อรคงบอกเราแล้วนะ ว่าป้ากำลังซ่อมบ้านหลังนั้นอยู่...ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้กลับมา”เธอเอ่ยเศร้าๆ เขาพยักหน้า เหลือบมองไปรอบห้องโถงอย่างอึดอัด เขามองไปทางบันไดบ้าน ปรากฏว่ามีคนยืนอยู่ที่ชั้นบน เขาแอบตกใจเงียบๆเพราะอีกฝ่ายน่าจะยืนอยู่นานแล้ว ธิชามองตาสายตาเขาไป เธอหัวเราะเบาๆ
“นั่นลูกชายป้าเองจ้ะ ชื่อพุด”อีกฝ่ายเอ่ยบอก ภูวรินทร์มองไปที่ชายหนุ่มนามว่าพุดอย่างไม่วางตา ลักษณะผอมบางรูปร่างสูงโปร่ง ไม่โดดเด่นออกไปทางจืดชืดเสียมากกว่า ใบหน้าเรียว ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวสะอาด ธิชาเอ่ยเรียกลูกชายของเธอให้ลงมาไหว้เขาด้วยน้ำเสียงเคร่งครัด แต่เขาไม่ถือสาอะไรคนหนุ่มนั่นหรอก
หนุ่มวัยรุ่นชื่อพุด เดินลงจากบันไดด้วยท่าทางสบาย อีกฝ่ายอายุอานามประมาณสิบแปดปีหรืออาจมากกว่านั้นเพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมาเป็นหนุ่มแล้ว
“สวัสดีครับน้าภู”
“สวัสดี”เขาเอ่ยสั้นๆ จ้องมองไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังเดินมานั่งข้างๆผู้เป็นแม่ของตนเอง ธิชามองเขาก่อนจะค่อยๆพูด
“เด็กนี่เพิ่งเรียนจบค่ะ เลยอยากได้บ้านไว้พักผ่อน ป้าเลยนึกที่นี่ขึ้นมา...ยังไงป้าก็รบกวนเราหน่อยนะจ้ะ คงต้องค้างที่บ้านของภูอีกหลายสัปดาห์”ธิชาเอ่ยบอก พุดเหลือบมองเขาอยู่นาน
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ดีเสียอีก ผมจะได้มีเพื่อนบ้าน”ภูวรินทร์เอ่ยยิ้มๆ
“งั้นคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวป้าขอไปที่ครัวหน่อย เราทานอะไรมาหรือยังจ้ะ”
“ยังเลยครับ...”เขาบอก ธิชาลุกยืนเดินหายเข้าไปในครัว ภูวรินทร์หันกลับมามองลูกชายของธิชาอีกครั้ง เพราะชื่อเรียบง่าย สั้นๆของเจ้าตัวทำให้เขานึกถึงคุณแก้วขึ้นมา
“เธอเรียนด้านไหนเหรอ”ภูวรินทร์เอ่ยถามออกมาก่อน พุดยิ้มให้เขา ก่อนจะขยับมานั่งทางฝั่งซ้ายมือของเขาแทน
“ทัศนศิลป์ครับ”คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาแปลกใจมาก เขามองเจ้าตัวอีกครั้ง “งั้นเหรอ หน้าไม่ให้เลย”
“ฮ่ะๆ มีคนพูดบ่อยเหมือนกันครับ”พุดเอ่ยยิ้มๆ ระหว่างนั้นมีเด็กรับใช้เอาน้ำชากับของว่างมาเสิร์ฟ รวมไปถึงอาหารเที่ยวของเขาด้วย ภูวรินทร์ไม่เห็นว่าคุณป้าท่านนี้ออกมาด้านนอกอีกเลย เขาหันไปมองเด็กหนุ่มข้างๆอย่างสนใจ อีกฝ่ายกำลังเอื้อมมาหยิบถ้วยน้ำชา
“ทำไมถึงอยากมาอยู่ที่นี่ละ เด็กสมัยนี้ต้องอยู่ในเมือง หางานทำสบายกว่าเยอะ”เขาถาม พุดพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบอะไร
“ผมขอแม่ว่าจะหางานอิสระทำสักปีสองปีก่อนครับ จากนั้นค่อยไปทำงานกับที่บริษัทของครอบครัว”เด็กหนุ่มเอ่ย เขาเงียบไป เพราะต้นทุนดีจะทำอะไรก็ได้น่ะสิ เขามองพุดอย่างพิจารณาอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนี้ท่าทางเป็นคนไม่คิดอะไรมาก ดูสดใสสมวัยดี
“ทานข้าวเที่ยงหรือยังล่ะ มาทานด้วยกันสิ”เขาเอ่ยชวนไปตามมารยาท พุดมองอาหารในสำรับด้วยสีหน้าไตร่ตรอง ก่อนจะเลื่อนสายตามองเขาอีกรอบ เด็กนี่ชอบจ้องหน้า แถมถามแล้วไม่ตอบอีก
“...งั้นรบกวนด้วยนะครับ ผมจะไม่แย่งคุณน้าใช่ไหม”อีกฝ่ายพูดติดตลก ก่อนจะมองอาหารด้วยสายตาสนใจ ตอนนั้นมีเด็กรับใช้ยกจานกับเครื่องดื่มออกมาพอดี ไม่แน่อาจแอบฟังเขาคุยกันก็เป็นได้
“ที่นี่เงียบดีนะครับ แถมยังมีดอกไม้เยอะด้วย”พุดชวนคุย เขามอง
“อืม ปลูกไว้ตั้งนาน ไปดูที่เรือนเพาะชำหรือยังล่ะ”
“ไปมาแล้วครับ ในนั้นเหมือนขุมทรัพย์ของตาชมเลยครับ”พุดยิ้ม เขามองนิ่งๆ “ไม่ใช่ของชมมันหรอก...”เขาพึมพำเบาๆ เด็กหนุ่มเงยมองด้วยแววตาวิบวับ
“น้าภูชอบดอกไม้เหรอครับ”
“ก็ชอบนะ”
“ถึงว่า น้าภูถึงเอาต้นไม้ติดมาด้วย”อีกฝ่ายพึมพำ ภูวรินทร์ชะงักไป ก่อนจะมองคนตรงหน้า
“ต้นแก้วแคระน่ะ ว่าจะเอามาเปลี่ยนแทนเทียนหยด”เขาบอก ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมา ทานอาหารบ้าง ถึงพุดจะเป็นคนแปลกหน้า แต่เด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างคุยด้วยง่าย เขาไม่เห็นท่าทีอึดอัดหรือความเก้อเขินของอีกฝ่ายเวลาที่ชวนเขาคุย มองไปแล้วก็สบายตาดี
“นี่...”
“ครับ”อีกฝ่ายเงยมองเขาด้วยสีหน้ามีคำถาม แววตาสีดำใสกระจ่างมองเขา ภูวรินทร์เก็บคำถามเอาไว้ในใจ เขาเบือนหน้าออกจากอีกฝ่าย เด็กนี่ไม่มีอะไรคล้ายกับอินทนิลสักนิด กว่าจะรู้ตัวเองเขาก็เอาเด็กที่เพิ่งเจอไปเปรียบเทียบกับอินทนิลซะแล้ว เขานึกขำตัวเอง ไม่มีทางที่ลูกของธิชาจะเป็นคนที่เขาคิดถึงไปได้ เด็กคนนี้เรียนจบแล้วก็คงอายุยี่สิบสองยี่สิบสาม เขาแปลกใจมากกว่าว่าทำไมธิชาถึงมีลูกอีก และยังพามาที่บ้านหลังนี้ คุณป้าไม่รู้สึกผิดหรือละอายแก่ใจบ้างหรือไงกันนะ
แล้วเด็กคนนี้รู้เรื่องของอินทนิลหรือไม่กัน...
+++++++++++