Day 8: อ่านหนังสือ
“ปราณอยากให้พี่ทำอะไรกับปราณดีครับวันนี้”
“อะ...อะไรนะครับ?” ผมหันขวับไปหาคนที่ยืนทำกับข้าวอยู่ในครัว ไม่มั่นใจว่าได้ยินอีกฝ่ายถูกต้องหรือไม่
“เรื่องบทเรียนไงครับ” พี่ต้าหันมายิ้มให้ผม “ปราณอยากให้พี่สอนอะไรเหรอครับ?”
ผมว่าการอยู่กับพี่ต้ามากเกินไปทำให้สมองของผมเริ่มเปลี่ยนคำพูดของพี่เขาไปในทางที่ตัวเองต้องการจะได้ยินขึ้นเรื่อยๆยังไงก็ไม่รู้แฮะ
“วันนี้เราแค่ไปฟิตเนสกันเฉยๆได้มั้ยครับ พี่ต้าใกล้สอบแล้วนี่ครับ เดี๋ยวจะอ่านหนังสือไม่ทันเอา” ผมเอาเรื่องสอบกลางภาคมาอ้าง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าหัวใจผมแค่เหนื่อยเกินกว่าจะรับการกระทำสองแง่สามง่ามของอีกฝ่ายได้มากกว่านี้
“เอาอย่างนั้นก็ได้นะ” พี่ต้าวางจานข้าวหมูย่างและสลัดถ้วยใหญ่ลงบนโต๊ะ “แต่ปราณไม่ต้องห่วงเรื่องพี่หรอกนะ พี่จัดการตัวเองได้ แต่ปราณก็ใกล้จะสอบเหมือนพี่แล้วใช่มั้ย? เราพักอ่านหนังสือสอบกันสักระยะก็ได้”
ผมยิ้มให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณ ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องอ่านไม่ทัน แต่การได้พักจากบทเรียนที่ทำให้ใจผมไม่สงบสุขไปสักระยะก็ดูจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย
“แล้วพี่ต้าอ่านถึงไหนแล้วเหรอครับ?” ผมชวนคุย ช่วยจัดโต๊ะอาหารเมื่อเห็นว่าพ่อครัวชั่วคราวของผมใกล้ทำอาหารเสร็จแล้ว พี่ต้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และนั่นเรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี
“ไม่ถึงไหนเลย ปีสองชีทเรียนมีแต่ภาษาอังกฤษ พี่ก็โง่อังกฤษด้วย กว่าจะอ่านจบก็นานกว่าชาวบ้านเขา”
“เอ๊ะ...แต่พี่ต้า..” ผมขมวดคิ้ว พยายามทบทวนความทรงจำว่าพี่ต้าจบมัธยมปลายที่ไหน “ผมเห็นไอ้เต้อยู่นานาชาติกับพวกผม ผมเลยเข้าใจว่าพี่ต้าก็อยู่นานาชาติเหมือนกัน...”
“เปล่า มีแค่ไอ้เต้แหละที่อยู่นานาชาติ” พี่ต้าตอบ “แต่ก็ดีแล้วล่ะ พี่โง่อังกฤษขนาดนี้ อยู่ไปก็จะเรียนไม่จบเอา”
“ถ้า…ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ ให้ผมช่วยแปลก็ได้นะครับ” ถึงอย่างไรผมก็เรียนสายนี้อยู่แล้ว
ดวงตาของคนตรงหน้าเป็นประกายวาววับกับข้อเสนอ ผมได้รับรางวัลของการทำดีเป็นรอยยิ้มกว้างสว่างสดใสจนผมแสบตาจากความเจิดจ้านั่น
“ขอบคุณนะครับปราณ มีใครเคยบอกมั้ยว่าปราณน่ารักมากเลย”
“ก็มีแต่พี่ต้านี่แหละครับที่บอกผมเช้าเย็น” ผมยิ้มขำ รินนำเปล่าลงในแก้วทั้งสองใบ ก่อนจะเกือบทำเหยือกน้ำหลุดมือเมื่อคนที่ไม่รู้เข้ามาใกล้ผมตอนไหนวางคางลงบนไหล่ของผม กระซิบเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกอ่อนยวบไปทั้งร่าง
“แล้วพี่ก็จะบอกปราณไปเรื่อยๆแบบนี้จนกว่าปราณจะเชื่อพี่”
เล่นแบบนี้ไม่แฟร์เลยซักนิด!
“พี่ต้า หนักครับ” ผมพึมพำ เบือนหน้าหนีคนที่ชอบยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
อีก
“โทษทีๆ” อีกฝ่ายรีบผละออกไปเมื่อได้ยินดังนั้น แม้จะรู้สึกเสียดายความอบอุ่นของร่างข้างๆ แต่ผมคิดว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
บางทีผมก็สงสัยนะ ว่าพี่ต้าใจดีขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที
“ปราณๆ ตรงนี้แปลว่าอะไรเหรอ?”
พี่ต้ายื่นชีทของตัวเองให้ผมดูส่วนที่ไฮไลท์ไว้ ผมไม่รู้ว่าพวกเรามาลงเอยกันที่การอ่านหนังสือเตรียมสอบบนเตียงของผมทั้งคู่ได้อย่างไร แต่ภาพที่เหมือนกับหลุดออกมาจากห้วงความฝันนี้ทำให้ผมรู้สึกอายกับความคิดอกุศลของตัวเองต่อจากนี้จนแทบอยากจะเอาหน้าซุกหมอนแล้วไม่โผล่กลับขึ้นมา
“อันนี้ใช่มั้ยครับ? เป็นเรื่องพลังงานที่ได้จากคาร์โบไฮเดรต...” เสียงของผมถูกลืนหายลงไปในลำคอเมื่อพี่ต้ายื่นหน้าเข้ามาดูชีทด้วยกันกับผม ถึงแม้ผมจะเริ่มเคยชินกับความชื่นชอบสกินชิพของพี่เขาแล้ว แต่บางทีก็ยังอดไม่ได้ที่จะชะงักกับความไร้พื้นที่ส่วนตัวของคนข้างๆ
“ปราณนี่เก่งจังเนอะ พี่ต้องทำยังไงถึงจะเก่งเหมือนปราณเนี่ย” พี่ต้าชมผมด้วยน้ำเสียงจริงใจ ผมก้มหน้าเกาศีรษะแก้เก้อพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเขินอาย
“ไม่หรอกครับ พี่ต้าก็เก่งตั้งหลายเรื่อง”
“แล้วเรื่องของปราณ...ปราณว่าพี่เก่งมั้ยครับ?” ผมหันไปมองหน้าพี่ต้าอย่างประหลาดใจ คนพูดยิ้มก่อนจะขยายความ “ในฐานะเทรนเนอร์ ปราณคิดว่าพี่รู้เรื่องปราณดีพอรึยังครับ?”
“โห พี่ต้ารู้มากกว่าที่ผมรู้จักตัวเองอีกมั้งครับ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ “ถ้ารู้มากกว่านี้พี่ต้าก็รู้แล้วว่าตอนนี้ผมใส่กางเกงในสีอะไร”
“ชมพู” พี่ต้าตอบหน้าตาย เล่นเอาผมสะดุ้งรีบหันไปมองด้านหลังว่ามีขอบกางเกงชั้นในของตัวเองโผล่ออกมาหรือไม่ “ก็ข้าวของของปราณมีอยู่สีเดียวนี่นา ตอนหาชุดให้ปราณใส่พี่เห็นทั้งลิ้นชักมีแต่สีชมพู ปราณชอบสีชมพูขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
โอ๊ย ม๊านะม๊า หมดกันความแมนของไอ้ปราณ
“หม่าม๊าผมชอบครับ ผมไม่ค่อยอยากขัดใจท่าน”
“เหรอ…” พี่ต้าลากเสียง เอียงคอมองผมด้วยแววตาใคร่รู้ “แล้วปราณชอบสีอะไรล่ะ?”
“ก็ไม่มีสีที่ชอบเป็นพิเศษหรอกครับ เป็นแนวสีพาสเทลซะส่วนใหญ่” ผมชอบสีที่มันสบายตา ดูแล้วมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ก็ชอบนะ ดูแล้วมันสบายตาดี” พี่ต้าเอ่ยสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาอีกครั้ง รสนิยมที่คล้ายคลึงกันในแทบทุกด้านของพวกเราทำให้ผมกับพี่ต้าไม่เคยหมดเรื่องที่จะพูดคุยกัน และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเราเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้
อย่างเช่นมือของอีกฝ่ายที่ผมเพิ่งสังเกตว่ากำลังวางอยู่บนต้นขาของผมเป็นต้น
“เอ่อ…แอร์เย็นจังนะครับ…” ผมโน้มตัวไปหยิบผ้าห่มที่วางอยู่ปลายเตียง ทำให้มือของพี่ต้าหล่นลงไปจากตักของผมตามแรงโน้มถ่วง
“นั่นสิ พี่ก็หนาวเหมือนกัน” พี่ต้าพยักหน้าเห็นด้วย แย่งผ้าห่มไปจากมือผมแล้วคลี่ออกตวัดคลุมรอบตัวพวกเราทั้งคู่ กลายเป็นว่าขอบเขตของผ้าผืนนุ่มบังคับให้ผมกับพี่ต้าต้องขยับเข้ามาใกล้กันกว่าที่เป็นอยู่ “ไงครับ? อุ่นขึ้นมั้ย?”
ผมทำได้เพียงพยักหน้าหงึกหงักแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อ ซ่อนใบหน้าที่ขึ้นสีเรื่อใต้เงามืดของผ้าห่มผืนหนา
“นี่ก็…เป็นบทเรียนของพี่ต้าด้วยรึเปล่าครับ?”
พี่ต้าชะงักไปกับคำถาม ผมไม่เห็นสีหน้าของพี่ต้าเนื่องจากยังคงจดจ่ออยู่กับหน้ากระดาษ แต่เสียงของคนข้างๆฟังดูแปลกไปจากเดิม
“นั่นสินะ…บทเรียนที่ดีที่สุด คือบทเรียนที่เราไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเรียนอยู่นี่แหละ ปราณว่ามั้ย?”
ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกว่าพี่ต้ากำลังพูดกับตัวเอง มากกว่ากำลังพูดอยู่กับผม
Rrrrrr
ผมหยิบโทรศัพท์มาดูเหมือนได้ยินเสียงเรียกเข้า ชื่อของพี่เจษฎ์ที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอทำให้ผมหันไปหาพี่ต้าด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย
“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมมา”
“ไม่ต้องรีบ พี่รอปราณอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนหรอกครับ” พี่ต้ายิ้มให้ผมด้วยแววตาเศร้าๆที่ผมไม่มั่นใจว่าเกิดจากอะไร
ผมเดินออกมานอกระเบียงแล้วกดรับสาย ไอ้พี่เจษฎ์โทรมาทำไมดึกดื่นป่านนี้
“ครับ?”
“อ้ายปราณณณ~ น้องร้ากกกของเพ่” น่าน เสียงเมาเหมือนหมามาเลยครับ “นอนด้วยยยย”
“หา? ไม่ได้ พี่เจษฎ์ วันนี้ผมไม่สะดวก” ปกติพี่เจษฎ์ก็ขอมาค้างห้องผมบ้าง แต่ปกติพี่แกจะโทรมาก่อนล่วงหน้าอย่างน้อยก็วันนึง
“ไรว้าาาา ซุกผู้ไว้อ่อออ” พี่เจษฎ์แซวเสียงยานคาง “กูนอนห้องเล็กก้อด้ายยย อุดหู~”
“พี่อยู่ไหนครับเนี่ย?” ผมถาม เมาขนาดนี้จะขับรถมาที่ห้องผมได้ยังไง
“ร้านเฮียเต็งงง”
“พี่ทีอยู่ไหนครับ? อยู่ด้วยกันรึเปล่า?” แม้ผมจะคิดว่าหากพี่นทีอยู่ด้วย อีกฝ่ายคงไม่โทรมาขอค้างห้องผมแบบนี้ แต่มันก็ยังแปลกอยู่ดีที่พี่นทีจะไม่อยู่กับเพื่อนสนิท
มาคิดๆดูแล้ว พี่เจษฎ์ก็มักจะมาค้างห้องผมหรือห้องตัวเองเวลารู้ว่าจะเมาเหมือนหมาแบบนี้ คงเกรงใจคุณชายอย่างพี่นทีที่จะต้องมาดูแลล่ะมั้ง
“ม่ายยย กูอยู่โคนเดียวววว”
“รออยู่ที่นั่นนะครับ เดี๋ยวผมโทรให้พี่ต้าไปรับ อย่าไปไหนนะครับ” ผมกำชับเสียงหนักแน่น กลัวว่าคนเมาจะอุตริขับรถออกมาจริงๆ
“เออ! กูม่ายปายหนายหรอก เอื้อก!” พี่เจษฎ์สะอึก “กูม่ายมีที่ปายอ่าาา”
เชี่ย พี่กูเมาจนพูดไม่เป็นคำแล้ว ซัดไปกี่ขวดวะเนี่ย
“พี่ต้าครับ! พี่เจษฎ์เมาอยู่ร้านพี่เต็งหนึ่งอ่ะ เมาเป็นหมาเลยพี่ ผมว่าเราต้องไปรับแล้วล่ะครับ” ผมรีบกลับไปหาพี่ต้าทันทีที่ตัดสาย คนบนเตียงขมวดคิ้ว ก่อนจะรีบตวัดผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง
“แล้วทีล่ะ?”
“ไม่ได้อยู่ด้วยกันครับ พี่เจษฎ์อยู่คนเดียว”
“โอเค งั้นเดี๋ยวเอามันกลับหอพี่” พี่ต้าคว้ากุญแจรถกับกุญแจห้องที่วางอยู่ในห้องนั่งเล่น ผมปิดแอร์ปิดไฟแล้วคว้าคีย์การ์ดของตัวเองพร้อมกระเป๋าเงิน ได้แต่หวังว่าพี่เจษฎ์จะมีสติพอที่จะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างการขับรถออกมาในสภาพแบบนั้น
พวกเรามาถึงร้านไม่กี่นาทีหลังจากนั้น สภาพของร้านแทบไม่มีลูกค้าเหลืออยู่และพนักงานกำลังเริ่มเก็บโต๊ะเตรียมปิดร้าน มีเพียงร่างร่างหนึ่งที่ฟุบอยู่กับโต๊ะในมุมอับของร้านที่ไม่ค่อยมีใครอยากนั่ง
“เฮ้ย พี่เจษฎ์ ทำไมสภาพเป็นแบบนี้เนี่ย”ผมพยายามปลุกอีกฝ่าย ส่วนพี่ต้าแยกตัวไปเคลียร์บิลค่าเหล้า พี่เจษฎ์สะลึมสะลือตื่น เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้มจากฤทธิ์เหล้าที่กินเข้าไป
”อ้ายอ้วนนนน คิดถึงงงง” คนเมากอดพุงผมไว้แน่น ถูไถใบหน้าไปมาเตรียมใช้พุงนุ่มนิ่มของผมแทนหมอน กว่าจะแกะออกได้แทบต้องใช้คีมง้างออก
“ไม่ต้องมาเรียกเลย ลุกเร็ว เดี๋ยวผมพากลับหอ”
“งือออ กูเหงาาาา”
“เดี๋ยวคืนนี้กูนอนหอ กลับกันได้แล้ว ปราณเขาง่วงแล้วเนี่ย” พี่ต้าที่กลับมาสมทบเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ คว้าแขนของรูมเมทมาพาดคอตัวเองแล้วดึงให้ไอ้พี่เจษฎ์ลุกขึ้น ผมช่วยประคองร่างที่โซเซไปมาไปที่รถของพี่ต้าอย่างยากลำบาก
“เออ! ร้ากกานข้าวปาย” พี่เจษฎ์โวยวาย ผมกับพี่ต้าช่วยกันยัดพี่แกเข้าไปในเบาะหลังของรถ ผมเข้าไปนั่งประกบด้วยกลัวคนเมาจะทำอะไรพิเรนทร์เช่นการเปิดประตูพรวดออกไปขณะที่รถกำลังวิ่ง “กูมันหมาาาา หมาหัวเน่าาาา”
เอาเข้าไป พรุ่งนี้ตอนพี่มันแฮงค์จนคลานมาเรียนผมจะหัวเราะสมน้ำหน้าให้
กว่าจะฉุดกระชากลากถูไอ้พี่เจษฎ์ขึ้นไปบนหอได้เล่นเอาผมเหงื่อท่วม พี่ต้ากับผมแทบจะโยนคนเมาลงไปกองบนเตียง เทรนเนอร์ผู้หวังดีของผมบอกให้ผมรออยู่ข้างเตียงของพี่เจษฎ์แล้วเดินหายไปในห้องน้ำ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูผืนเล็ก พี่ต้ายื่นทุกอย่างให้ผม ขยิบตาพร้อมรอยยิ้มหยอกล้อ
“ได้โอกาสแล้วนะปราณ พี่ไปรอข้างนอกนะ”
เฮ้ย! เดี๋ยวสิครับ! นี่พี่ต้าดูละครมากไปรึเปล่า?
พี่ต้าวาร์ปหายไปจากห้องก่อนผมจะได้ทักท้วงอะไร ผมก้มมองกะละมังในมือแล้วถอนหายใจออกมา ไม่อยากจะพูดเลยว่าผมเคยเช็ดตัวให้ไอ้พี่เจษฎ์ตอนเมาเยี่ยงหมาคลานสี่ขากลับเข้าบ้านมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ...และนอกจากความรำคาญใจแล้วไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยสักครั้ง
“งึม…อ้วนเหรอ...” พี่เจษฎ์สะลึมสะลือถามเมื่อผมเริ่มถอดเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่ายออก
“จะใครซะอีกล่ะครับ วันๆสร้างแต่ความเดือดร้อนให้น้องจริงๆ” ผมบ่นไปเอาผ้าขนหนูขัดหน้าพี่มันไป ขัดแรงๆมันจะได้สร่างไวๆ
“โอ๊ย เชี่ย พอๆๆ” คนที่นอนแผ่หลาบนเตียงร้องโอดโอย จับมือผมไว้ก่อนที่ผมจะขัดชั้นผิวหนังหนาๆหลุดติดมือมาด้วย “มือหนักแบบนี้ไอ้ต้าไม่ช้ำตายเหรอ”
“ก็ถ้าเป็นพี่ต้าผมก็ไม่มือหนักแบบนี้อ่ะครับ” ผมตอบหน้าตาย พี่เจษฎ์เบ้หน้า แม้จะสร่างเมาขึ้นมาบ้างแต่เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์เหล้าในกระแสเลือดยังคงมีมากเกินความจำเป็น
“เออ…ใช่สิ กูมันไม่ใช่เสป็คใครเลยนี่ กูไม่ได้เป็นหนุ่มตี๋บอยแบนด์ ก็ไม่ได้เป็นแด๊ดดี้ฝรั่ง เหอะ ไมวะ ของไทยมันไม่ดีตรงไหนถึงได้อยากแดกของนอกกันนัก แม่งงงง”
สภาพแบบนี้คงไปโดนสาวที่ไหนหักอกมาล่ะสิท่า
“รสนิยมมันบังคับกันได้ที่ไหนล่ะครับพี่เจษฎ์” แม้จะรู้ว่าพูดกับคนเมาไปก็เท่านั้นแต่ผมก็อดตอบไม่ได้ พี่เจษฎ์ออกจะหล่อ มี
แต่สาวๆวนเวียนมาขายขนมจีบซ้ายขวาขนาดนี้ ไปแพ้แด๊ดดี้ฝรั่งที่ไหนมา
“เออ เขานิยมของนอกนี่ เมดอินไทยแลนด์อย่างกูถ้าไม่รู้จักเขาก็คงไม่พูดกับกูด้วยซ้ำ”
คนเมาพึมพำด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เสียงของพี่เจษฎ์เบาลงเรื่อยๆจนกระทั่งมีเพียงลมหายใจสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายหลับไปดื้อๆทั้งอย่างนั้น ผมวางกะละมังไว้บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเหนื่อยหน่ายใจแล้วเปิดประตูออกไปหาพี่ต้า
คนที่ผมกำลังตามหานั่งคุดคู้อยู่ข้างประตูห้อง โอบแขนรอบเข่าของตัวเองที่ถูกดึงเข้ามาชิดอก ใบหน้าคมก้มชิดเข่าจนผมไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับอยู่หรือไม่ เลยลองเอื้อมมือไปแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
“พี่ต้าครับ...”
“เสร็จแล้วเหรอปราณ?” พี่ต้าเงยหน้าขึ้นถามผมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า สงสัยคงจะแแอบงีบอยู่จริงๆ นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย
“ครับ พี่เจษฎ์หลับไปแล้ว เท่าที่ฟังคงโดนสาวหักอกมา” ผมไหวไหล่ “เรากลับกันดีกว่าครับ พี่ต้าจะได้พักผ่อน”
“ไม่ต้องห่วงพี่หรอกปราณ ถ้าคืนนี้ปราณอยากอยู่ดูแลเจษฎ์ พรุ่งนี้พี่ค่อยกลับมารับก็ได้” พี่ต้าเสนอ ทั้งที่สภาพของตัวเองก็
ดูอิดโรยไม่ได้ต่างจากเพื่อนมากนัก ผมย่อตัวลงข้างๆคนที่ผมแอบชอบมานับปี นึกสงสัยว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้เป็นคนดี
ที่คิดถึงทุกคนก่อนตัวเองเสมอได้ขนาดนี้
“แต่คืนนี้ผมอยากดูแลพี่ต้ามากกว่าครับ เรากลับกันดีกว่า พี่ต้าจะได้พักผ่อนสักที”
ผมแตะหลังมือลงบนหน้าผากรุมๆของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง กลับไปคงต้องกินยาแก้ไข้กันไว้
พี่ต้าไม่พูดอะไร แค่นั่งจ้องผมตาโตอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน จนผมเริ่มกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอะไรร้ายแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา
“พี่ต้า? ไหวมั้ยครับ”
“ไหว…พี่ไหว” รอยยิ้มอ่อนโยนเป็นเอกลักษณ์ต่อยๆกลับคืนสู่ริมฝีปากของอีกฝ่าย “มีปราณอยู่ตรงนี้ พี่ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันดีกว่านะครับ”
ผมลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้คนที่นั่งอยู่บนพื้นใช้พยุงตัว พี่ต้าเอื้อมมือมาจับมือของผมเพื่อลุกขึ้น ทว่าเรี่ยวแรงมหาศาลของคนเล่นกีฬาเป็นประจำทำให้ผมเป็นฝ่ายถูกดึงกลับลงไป
“ขะ…ขอโทษครับ!” โชคดีที่ผมยันตัวเองไว้ได้ก่อนที่จะล้มทับพี่ต้าซี่โครงหักไส้แตก ใบหน้าคมที่อยู่ห่างจากผมเพียงลมหายใจคั่นซึ่งในตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ผมเริ่มคุ้นชินส่ายหน้ายิ้มๆ แววตาที่มองตรงมาทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะ
“ถ้าเป็นปราณ พี่ยินดีเสมอครับ”
ยินดีเป็นเบาะให้ผมทับรึไงครับ?
ผมสรุปได้ว่าคุณพี่ของผมน่าจะเครื่องช็อตไปเรียบร้อยแล้วในวันนี้ หลังจากลุกขึ้นยืนกันได้ในที่สุด พวกผมจึงกลับไปที่รถที่พี่ต้าจอดไว้ในลานจอดรถของหอพัก หากจะให้พูดตามตรง ผมไม่สนใจนักว่าพี่เจษฎ์จะเป็นอย่างไรในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ตอนนี้ ผมอยากพาคนข้างๆกลับไปนอนพักสักงีบก่อนที่ไข้หวัดอะไรก็ตามที่อีกฝ่ายเป็นจะทำให้คนข้างๆผมนี้ทำตัวประหลาดกว่าเดิม
------------------