- 7 -
ภาพวาดเคยรู้สึกว่าตัวเองช่างโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน
เป็นเพียงชายคนหนึ่งที่พยายามตามหาดวงดาวที่ไม่มีจริง
ท่ามกลางหมู่ดาวมากมายในจักรวาลอันกว้างใหญ่และเวิ้งว้าง
เขาเหมือนกับตัวละครในหนังสือเล่มดังที่เคยอ่าน
ชายผู้ตามหาความฝัน จนลืมความจริงที่มีไปเสียหมดสิ้น
โอมเพื่อนสนิทของเขาเคยกล่าวไว้
ในครั้งที่เขายังเป็นเพียงดวงดาวที่หลงทาง
ว่าคนเรามีสิทธิที่จะฝันได้ แต่หากสิ่งที่ฝันเป็นไม่เป็นดังคาด
เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับ และอยู่ไปกับมัน
แต่ใช่ว่าเราจะแพ้
ใช่ว่าคนเราจะมีฝันได้แบบเดียวเสียเมื่อไหร่
ฝันครั้งต่อไปอาจสวยงามกว่า
หรือบางที เราอาจจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า
ความจริงก็สวยงามไม่แพ้กัน
.
.
.
“พี่หมอ” ภาพวาดเอ่ยเรียกบุคคลตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ในหัวเขาว่างเปล่า
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำยังไง
ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำในตอนที่ตัวเองได้ก้าวเดินไปหาผู้ชายคนนั้นแล้วสวมกอดอย่างแรงจนทำให้ร่างที่สูงกว่าตกใจจนแทบล้ม
“ฮื่อออออออออออออออ”
“…”
“ผมหาพี่เจอแล้ว ในที่สุดก็หาเจอ ฮื่อออออ” น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด เหมือนอะไรบางอย่างได้มาเปิดก๊อกที่เขาเก็บน้ำเหล่านั้นไว้ให้พรั่งพรูออกมาจนหมด ภาพวาดไม่ได้สังเกตถึงสิ่งรอบตัวด้วยซ้ำ เขารับรู้เพียงแค่เขาและพี่หมอที่ตามหามาเนิ่นนาน
ภาพเช็ดทั้งน้ำตาและน้ำมูกลงไปที่เสื้อของคนตัวสูง กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เหมือนว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ไปไหนได้อีก ก่อนที่คำพูดประโยคแรกของพี่หมอพร้อมนิ้วชี้ที่ค่อยๆดันหัวของเขาออกไปจากตัวอย่างรังเกียจจะทำให้ภาพตั้งสติได้
“หยก เฮียบอกกี่ทีแล้วว่าอย่าปล่อยคนบ้าเข้าร้าน !!”
“เชี่ยภาพมึงทำอะไรของมึง” โอมที่นั่งอึ้งอยู่นานพร้อมคนทั้งโต๊ะตั้งสติได้เป็นคนแรก มันรีบลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ก่อนที่จะเดินมาหาเพื่อดึงตัวภาพออกไป
“เชี่ยเอ้ย น้ำมูกเต็มเสื้อกูเลย ” คนที่เสื้อตัวเก่งกลายเป็นทิชชู่ชั่วคราวพูดอย่างหัวเสีย
“ฮึก…พี่..ฮึก…ไม่รู้….ฮื่อ…จักผม…ฮึก..หรอ”
“ผมจะไปรู้จักคุณได้ยังไง”
“ภาพมึงตั้งสติก่อนดิวะ ขอโทษครับพี่ เพื่อนผมมันคงทำงานหนักจนหลอน นี่ครับเช็ดเสื้อ” โอมหยิบทิชชู่ส่งไปให้คนเปื้อนน้ำมูกที่ยังยืนงงอย่างไม่เข้าใจอยู่อย่างลวกๆ แล้วรีบพาภาพวาดที่ร้องไห้ไม่หยุดออกมานั่งคุยกันหน้าร้านในมุมที่ไม่มีคนมากนัก
“มึงเป็นไรเนี่ยภาพ”
“หา..ฮึก…หา….หายใจไม่ออก”
“ไอ้สัส ตั้งสติก่อน หายใจ เข้า ออก เข้า ออก เอออย่างงั้นแหละ ค่อยๆ พุธธธธธธ โธธธธธธ พุธธธธ โธธธธธ เออดี ดีมาก ค่อยๆ”
“ฮึก”
“โอเคขึ้นยัง”
“อืม”
“เค ตั้งสติก่อน พร้อมแล้วค่อยเล่าให้กูฟังว่ามึงเป็นอะไร”
“คะ…เค”
ผ่านไปเกือบสิบนาทีกว่าภาพวาดจะตั้งสติได้อีกครั้งหนึ่ง เขาพยายามเล่าให้ไอ้โอมเข้าใจเรื่องที่พึ่งผ่านมาเมื่อกี้นี้ให้รู้เรื่องมากที่สุด
“สรุปคือเฮียทินเจ้าของร้านหน้าเหมือนพี่หมอมึงหรอ”
“ใช่”
ป้าบบ โอมพาดมือเข้ากับเข่าตัวเอง
“พับผ่าสิ กูบอกแล้วไม่ผิดว่าแม่งต้องมีคนหน้าเหมือนพี่หมออยู่จริงๆ”
“อืม”
“แต่ดูเค้าไม่ค่อยเหมือนพี่หมอที่มึงเล่าให้กูฟังเท่าไหร่เลยนะ แถมตาก็เป็นสีดำด้วย ไม่ใช่สีน้ำตาลอ่อนที่มึงเคยเล่าให้ฟัง”
“งั้นหรอ กูไม่ทันมองเลย”
“มึงจะทันมองอะไรล่ะอยู่ดีๆก็พรวดไปกอดเขาซะงั้น กูยังตกใจเลย”
“กะ กูไม่รู้ตัวนี่หว่า สัสเอ้ย นี่กูทำเหี้ยอะไรลงไปเนี่ย”
“พี่เขาบอกว่าไม่รู้จักมึง”
“แต่เขาหน้าเหมือนมากเลยนะ”
“แต่พี่เขาไม่ใช่หมอนะเว้ย เป็นเจ้าของร้านบาร์ คนละขั้วเลยมึง”
“ก็จริงของมึง”
“กูก็ไม่อยากตัดกำลังใจอะไรมึงหรอกนะ แต่มึงอย่าตั้งความหวังมากจะดีกว่า จากที่กูดูเป็นได้สองอย่าง คือเขาเป็นพี่หมอจริงๆแต่ไม่ได้ฝันเหมือนมึง หรือสอง คือเขาไม่ใช่พี่หมอ แต่เป็นแค่คนหน้าเหมือน”
“กูเข้าใจ กูจะเผื่อใจไว้ ” ภาพรู้ดี ว่าที่ตรงนี้คือความจริง ไม่ใช่ความฝัน
“ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องพิสูจน์ ”
“แล้วจะพิสูจน์ยังไง”
“กูยังไม่รู้ แต่ของอย่างนี้ต้องใช้เวลาป่าววะ เราก็ยังมีเวลาอีกเยอะแยะ ไม่ต้องห่วง วิญญาณเอโดกาวะ โคนันได้สมสู่ร่างกูแล้ว”
“สิ่งสู่ ”
“ผ่ามพ่าม!!”
“ไร้สาระสัส”
“ตบมุกกูได้แสดงว่ามึงกลับมาเป็นภาพคนเดิมแล้วใช่มะ”
“เออ กูได้สติแล้ว ”
“เออดีและ กูนี่นึกว่ามึงจะบ้ากว่านี้นะเนี่ย เสียดายจริงๆ”
“โอม”
“แหม่เพื่อนแค่แซวเล่น”
“ขอบคุณนะ”
“…”
“…”
“อืม ไม่เป็นไร มึงเพื่อนกูถ้าไม่ช่วยมึงจะให้กูไปช่วยใครที่ไหน”
“กูซึ้ง”
“อย่าดราม่า กูขนลุก”
“ภาพเป็นไงบ้าง” พี่เข้มเดินเข้ามาสมทบเมื่อเห็นว่าสองคนเดินออกไปนานเกินไป ภาพวาดดูสภาพดีกว่าเมื้อกี้นี้มาก ถึงตาที่คล้ำเป็นแพนด้าจากการทำงานบวกกับการร้องไห้อย่างหนักจะบวมช้ำจนดูไม่ได้ แต่ก็ยังดูพูดรู้เรื่องกว่าเมื่อสิบกว่านาทีที่แล้ว
“โอเคแล้วพี่ เมื่อกี้บ้าไปหน่อย ฮ่าๆ ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ”
“นั้นคือพี่หมองั้นหรอ” พี่เข้มที่มองดูเหตุการณ์อยู่ตลอดวิเคราะห์ได้ตรงจุด
“ยังไม่แน่ใจเหมือนกันครับพี่ หน้าอะใช่ แต่อย่างอื่นไม่”
“แล้วจะเอาไงต่อ”
“เดี๋ยวค่อยๆคิดอีกทีก็ได้พี่ เราเจอแล้วเขาไม่หนีไปไหนหรอก”
“เออ เคๆ งั้นกลับโต๊ะกันก่อ เขาเป็นห่วงมึงกันทั้งโต๊ะแล้ว”
คนทั้งโต๊ะยังดูไม่หายตกใจเมื่อภาพเดินเข้ามา หน้าตาแต่ละคนยังเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ภาพวาดค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งไปที่เดิม มีพี่เข้มและโอมประกบข้าง แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือคนที่เป็นสาเหตุของการร้องไห้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยเสื้อสีขาวตัวใหม่
ดวงตาสีดำแตกต่างจากพี่หมออย่างที่ไอ้โอมว่าจริงๆ
แถมยังไม่ทอประกายอบอุ่นเลยสักนิด
ออกแนวเยิ้มๆเหมือนคนเมาเหล้าเสียมากกว่า
เห็นแก้วเครื่องดื่มในมือก็พอจะรู้สาเหตุ
แถมยังชอบทำหน้านิ่งๆเก็กๆอีก
ไม่เมื่อยหรือไงกันนะ
“นี่คุณไม่คิดจะขอโทษกันหน่อยหรอ” ร่างตรงหน้าเอ่ยถาม
“ขอโทษครับ ผมคงเบลอไปหน่อย”
“ก็ดีที่ยังขอโทษ ทีหลังคุณก็ระวังหน่อยแล้วกัน” พูดพร้อมปล่อยควันสีเทาของบุหรี่ล่องลอยไปในอากาศ ภาพเพิ่งสังเกตเห็นว่าคุณเจ้าของร้านมีรอยสักรูปพระอาทิตย์ที่ข้อมือข้างขวาอยู่ด้วย
“โอ้โหเฮียสักด้วยหรอ โคตรเท่ห์อะ มินิมอลแอนด์ฮิปสะเตอร์สุด” ไอ้โอมถามขัดขึ้นมา
“แค่สักเล่นๆ เห็นมันสวยดี”
“ผมก็อยากสักบ้างนะ แต่กลัวเจ็บเลยเก็บไว้ก่อน ฮ่าๆ”
“เจ็บแค่แป๊ปเดียว” ภาพรู้ว่าไอ้โอมมันเฟรนลี่เข้ากับคนง่าย แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเข้ากับคนที่นิ่งๆดูเหมือนมีกำแพงหนาขนาดนั้นได้ แถมยังลื่นเป็นปลาไหล ซึ่งอีกฝ่ายก็แลดูแอบบ้ายออยู่นิดๆด้วย
“ว่าแต่มันมีความหมายมั้ย พระอาทิตย์ที่มือเฮีย”
“ก็ตรงๆ ชื่อกู ทินกร แปลว่าพระอาทิตย์” นั้นไง ไม่ทันไรก็ขึ้นมึงกูซะและ
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” ไอ้โอมทำหน้าสนอกสนใจจนน่าหมั่นไส้
“เห็นพี่เอกบอกว่าเฮียกับน้องหยกเป็นญาติกันหรอครับ หน้าตาดีทั้งบ้านเลยเนอะ”
“ใช่ ญาติห่างๆ หยกมันแค่มาช่วยทำงานที่ร้านหลังเลิกเรียน”
“แล้วเฮียมีพี่น้องอีกมั้ย แบบคนที่คล้ายๆกัน” เหมือนมันจะเริ่มขั้นตอนการพิสูจน์อย่างที่พูดไว้แล้วแหละ
“มึงอยากรู้ไปทำไม”
“เอ่อ ก็ เหมือนผมจะเคยเห็นคนคล้ายๆเฮียมาก่อน รู้สึกคุ๊นคุ้นหน้ามากเลย”
“กูลูกคนเดียว”
“แป่วววว งั้นหรอ สงสัยผมคงตาฝาดไป แหะๆ”
“มึงอาจจะเคยเจอกูก็ได้ แค่ตอนนั้นยังไม่รู้จักกัน”
“อ้อ คงเป็นอย่างนั้นแหละครับเนอะ ไอ้ภาพเนอะ” มึงจะมาเนอะใส่กูทำไมละว่ะ
สรุปเป็นอันว่าหมดข้อสงสัยเรื่องที่พี่หมออาจจะมีพี่น้องหรือฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันไป
ร่างสูงหันไปคุยเรื่องหนังสั้นกับพี่เอกและทีมต่อไม่นานก็ขอตัวไปห้องน้ำ ภาพวาดที่รู้สึกมึนจากการอดนอนมาหลายวันจึงขอตัวไปล้างหน้าล้างตาบ้าง ก่อนที่จะทนไม่ไหวหลับคาโต๊ะไปเสียก่อน
ห้องน้ำของร้านอยู่ไม่ไกลมาก เข้าไปในช่องเล็กๆข้างเคาท์เตอร์บาร์ก็จะเห็นทางเดินที่ไม่ยาวนักทอดไปยังจุดหมาย
ปั๊ก
ตุ้บ
“โอ้ยย”
แต่ภาพไม่ทันระวัง ด้วยความเบลอเขาจึงเดินชนกับร่างที่พึ่งเดินออกมาทำให้เท้าของเขาเสียหลักหงายหลังลงไปกับพื้น
มันไม่มีฉากโรแมนติกที่พระเอกประคองร่างได้ทันท่วงทีและสบตากันปิ้งๆ
มันมีแต่ภาพวาดคนเบลอที่ล้มลงนอนแผ่กับพื้นอย่างหมดท่า
ผลจากการนอนไม่พอมาตลอดหลายวันทำให้เขาไม่มีแรงที่จะพยุงตัว
เอาจริงๆแรงเฮือกสุดท้ายที่จะใช้ลืมตาก็ดูจะหมดลงแล้ว
ภาพสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าของทินกรที่ยื่นเข้ามาดูอย่างตกใจ
“เห้ยคุณ เป็นไรรึเปล่า”
พร้อมกับสติที่ดับวูบลง
ภาพวาดค่อยๆลืมตาขึ้น ปรับโฟกัสดวงตาอย่างเบลอๆ ยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างที่ทำเป็นประจำก่อนจะพลิกตัวหันไปฝั่งขวาแต่ก็ต้องตกใจที่เห็นอีกคนที่นอนท้าวแขนตะแคงข้างมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็มีท่าทีตกใจไม่แพ้กัน
“พี่หมอ” ภาพเอ่ยเรียกคนที่อยู่ข้างหน้า ยังฝันอยู่อย่างนั้นหรอ
เขาค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้ สวมกอดและกดริมฝีปากของตัวเองกับริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
“มอนิ่งคิสครับ” พี่หมอดูตกใจจนตัวแข็งทื่อ แปลกๆแหะ
‘มอนิ่งครับวาด’ ปกติพี่หมอต้องตอบกลับมาแบบนี้ไม่ใช่หรอ
เขาเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่ายอีกครั้ง
ดวงตาสีดำที่จ้องกลับมาทำให้ภาพรู้สึกแปลกๆ
แถมกลิ่นหอมหวานยามเช้ายังกลายเป็นกลิ่นเหม็นเหล้าไปซะได้
ผลั๊ก !!!
ตุบ
“โอ้ยยยยย”
ภาพวาดถูกถีบกระเด็นไปอีกฝั่งของเตียงจนตกลงมากระแทกเข้ากับพื้นไม้อย่างจัง
ทีนี้หล่ะ ตื่นเต็มตาเลย
สายตาอาฆาตแค้นถูกส่งมาจากฝ่ายกระทำจนทำให้ฝ่ายที่ถูกกระทำอย่างเขาเสียวสันหลังวาบ
“มะ ไม่ได้ฝันหรอ”
“แล้วคุณคิดว่าฝันอยู่รึไงถึงได้ไล่จูบชาวบ้านเขาไปทั่ว”
“พี่หมอล่ะ”
“หมออะไรของคุณ เพ้อหรอ คิดว่าตัวเองอยู่ศรีธัญญารึไง” เห็นหน้านิ่งๆแบบนี้แต่ปากคอเราะร้ายไม่ใช่เล่น
“โอ้ยย คุณก็พูดดีๆหน่อยไม่ได้รึไง คนพึ่งตื่นยังจูนตัวเองไม่ได้ ยิ่งงงๆอยู่”
“จะให้ผมพูดดีกับคนที่พึ่งหลอกแต๊ะอั๋งตัวเองอย่างนั้นหรอ”
“แล้วคุณจำเป็นต้องถีบทุกคนที่แต๊ะอั๋งคุณด้วยรึไง”
“ก็ผมตกใจ”
“ผมก็ตกใจเหมือนกันนั้นแหละ”
ต่างคนต่างส่งสายตามุ่งร้ายใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วที่นี่ที่ไหน” เขาเห็นอีกคนทำหน้าเอือมระอาซะเต็มแก่
“ร้านผมเอง นี่ห้องทำงานผม เมื่อวานอยู่ดีๆคุณก็สลบไปคนตกใจกันทั้งร้าน แต่เพื่อนคุณบอกว่าแค่เหนื่อยจนหลับไปหยกเลยให้เอาคุณมานอนชั้นบนก่อน”
“แล้วทำไมมันไม่พาผมกลับ”
“ลืมมั้ง เห็นอีกทีก็จ่ายตังค์แยกย้ายกันกลับแล้ว”
ไอ้สัสโอม มึงลืมเพื่อนได้ทั้งคนเลยหรอวะ
“แล้วคนอื่นหล่ะ”
“เมา”
โอ้ยยยย
ทำไมชีวิตไอ้ภาพถึงรันทดขนาดนี้ ไม่คิดจะสนใจน้องนุ้งบ้างรึไงกัน
“คุณตื่นแล้วก็ดีขี้เกียจมานั่งเฝ้า กลับศรีธัญญาคุณไปเถอะ”
“ไม่ต้องบอกผมก็จะกลับอยู่แล้ว”
โครกกกกกกกกกก
“……….”
“……….”
ครากกกกกกกก
“บอกทีว่านั้นไม่ใช่เสียงท้องร้อง”
ฉ่า
เสียงของน้ำมันเมื่อข้าวกระทบกับกระทะดังไปทั่วห้องครัวขนาดเล็กของร้าน แค่ได้กลิ่นข้าวเฉยๆก็หอมจนทำให้ภาพน้ำลายไหลแล้ว เจ้าของร้านที่แปลงร่างกลายเป็นพ่อครัวจำเป็นตอกไข่และใส่เครื่องปรุงอย่างชำนาญเหมือนดั่งเชฟมืออาชีพ ทินกรใส่ผ้ากันเปื้อนสีขาว มัดผมที่ยาวถึงบ่าขึ้นไปครึ่งหัวเพื่อไม่ให้มาปรกหน้าอย่างที่ชอบทำ แขนที่จับตะหลิวกับกระทะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่มีเยอะกว่าพี่หมอคนนั้น เหงื่อที่ซึมออกมาข้างหน้าผากกลับขลับให้คุณเจ้าของร้านน่ามองยิ่งขึ้น แม้หน้าตาจะเบื่อโลกและไม่อินกับอาหารจานนี้เลยก็ตาม
ภาพวาดอดคิดถึงพี่หมอไม่ได้
พี่หมอของเขานี่ทำอาหารอร่อยที่หนึ่งเลย
ใช้เวลาไม่นานข้าวผัดหน้าตาน่ากินสองจานก็เสร็จเรียบร้อย พวกเขาออกมานั่งกินข้างนอกที่โต๊ะตัวหนึ่งของร้าน ภาพมองจามจานข้าวผัดตาไม่กระพริบ เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่
ทำไมมันน่ากินขนาดนี้วะ
“มองอยู่ทำไม กินสิ”
“ขอบคุณครับ”
“250 อย่าลืมจ่าย”
“โหยยยทำไมแพงจัง”
“ค่าเสียเวลาผม รู้มั้ยว่าค่าตัวผมแพงขนาดไหน”
“ผมจะไปฟ้องสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค”
“ถ้าว่างขนาดนั้นเอาเวลาไปนอนเถอะ”
ฉึก
แทงใจดำ
“แทนที่จะได้เอาเวลาไปเตรียมเปิดร้าน กลับต้องมานั่งทำข้าวผัดให้หมีแพนด้ากิน”
“ใครเป็นหมีแพนด้าไม่ทราบ แล้วคุณจะรีบเปิดอะไรตั้งแต่ไก่โห่ ”
คนตรงข้ามทำหน้าเอือมขั้นสุด แทบจะกรอกตาเป็นเลขห้าไทย ก่อนจะขยับแขนชี้นิ้วไปที่นาฬิกาตรงผนังร้าน
หืม สี่โมงเย็น
เขาหลับไปนานขนาดไหนกันเนี่ย
“คุณหลับไปเป็นวันไม่รู้ตัวอีกรึไง”
“แหะๆ”
“แหะอะไร”
“ผมอดนอนมานานเลยนอนเพลินไปหน่อย ขอโทษที”
“หึ” ทำเสียงในลำคอแกมสมเพชเขาเบาๆพร้อมกับทำหน้าเอือมอีกครั้ง
พี่หมอคนนี้
ไม่สิ
เฮียทินเจ้าของร้านบาร์กล่อมกรุงคนนี้
ตั้งแต่ที่เจอกันก็เห็นมีแค่สองหน้า
คือนิ่งๆทำเป็นหล่อ
กับรำคานเสียเต็มแก่
ภาพวาดอดถอนหายใจออกมาให้กับชีวิตตัวเองไม่ได้
มองหน้าที่มีไรหนวดแซมๆของคนตรงหน้าพลางคิดกับตัวเอง
ทำไมพี่หมอที่แสนอบอุ่นในฝันคนนั้น
ถึงกลายเป็นตาลุงขี้เก็กไปซะได้
#คุณในฝัน
ตอนนี้ยาวววสุดเเล้วค่ะตั้งเเต่เเต่งมา ตอนเขียนไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้พอมองดูอีกทีโอโห 20 กว่าหน้าไปเเล้ว (จริงๆแกเเค่เว้นบรรทัดเยอะอะจ่ะ) แอบเเนะนำเพลงนิดหน่อยเพื่อสร้างบรรยากาศ ชื่อเพลง The Good Side ของ Troye Sivan ค่ะลองไปหาฟังกันได้ เราว่าเพลงเข้ากับบรรยากาศเรื่องดี ดนตรีดีมาก เนื้อเพลงมีส่วนคล้ายกับเนื้อเรื่องนิดหน่อยค่ะเเต่ตอนนี้เนื้อเรื่องยังไปไม่ถึงจุดนั้น 55 เราเน้นเเค่อารมณ์เพลง
Talk วันนี้จะยาวนิดนึงนะคะเพราะเราจะเปิดช่วงวิเคราะห์นิยายขึ้นมาเพิ่ม ใครขี้เกียจอ่านข้ามได้ค่ะ
--[ช่วง วิเคราะห์นิยายไปกับสีฝุ่น] --จากตอนเเรกที่บอกว่าภาพของเรานั้นเป็นเหมือนดวงดาวที่หลงทางเพราะภาพเริ่มเเยกความฝันกับความจริงไม่ออกเเล้วค่ะ เพราะเอาใจไปผูกกับความฝันมากไป ขนาดในความจริงยังคิดเเต่เรื่องของพี่หมอพยายามตามหา จนลืมที่จะสนใจชีวิตจริงๆของตัวเองไป สิ่งที่โอมพูดคือเป็นการให้เผื่อใจค่ะ สิ่งที่โอมคิดคือคนเราถ้าเอาใจยึดตึดกับอะไรมากเกินไปจนเริ่มไม่เป็นตัวเอง เเละยิ่งสิ่งนั้นไม่เเน่นอนด้วยเเล้วมันยิ่งเป็นการทำร้ายตัวเองดีๆนี่เอง โอมอยากให้ภาพยอมรับให้ได้ เผื่อใจไว้ เพราะสุดท้ายสิ่งที่อยู่ก็คือความจริงไม่ใช่ความฝันค่ะ
ส่วนพระเอกของเรื่องนั้น ถ้าได้อ่านต่อไปเรื่อยๆก็จะรู้เองค่ะว่าใครกันที่เป็นพระเอก ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่เป็นพระเอกเราได้วางบทไว้ตั้งเเต่เเรกเเล้วค่ะ เขาคือคนที่ทำให้ปมทุกอย่างถูกแก้ไข เป็นคนที่มีบทบาทสำคัญมากจริงๆ เป็นคนที่ทำให้เดินเรื่องได้อย่างกลมกล่อมเเละจบอย่างสมบูรณ์ที่สุดค่ะ
จะเห็นว่านิยายมีหลายอารมณ์ทั้งเรื่อยๆ หม่นบ้าง สดใสบ้าง เครียดหรือเเอบตกใจบ้าง มีเล่นมุกนิดหน่อยบ้าง เพราะเราคิดว่าชีวิตคนเรามันมีหลายอารมณ์ค่ะ วันๆหนึ่งอารมณ์เรายังไม่เเน่นอนเลย จึงอยากเขียนให้เป็นธรรมชาติเคล้าๆกันไปมากที่สุดค่ะ เราเน้นเป็นเรื่องของคนธรรมดาๆ ดังนั้นตัวละครทุกตัวก็จะดูเเลธรรมดาเห็นได้ทั่วไปเเต่ก็จะมีสเน่ห์เฉพาะตัวของเเต่ละคน นี่คือสิ่งที่พยายามจะเขียนออกมา ซึ่งยังต้องพัฒนาอีกเยอะค่ะ
ปล. ช่วงนี้ช่วงสอบ เป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านมันไปได้ด้วยดีนะคะ
เลิฟยู
-สีฝุ่น-