กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 1
“ธารสัญญากับแม่นะ ตั้งใจเรียนให้จบ ไปอยู่กับคุณลุงพิภพธารต้องเป็นเด็กดี”
“ธารไม่ไปไม่ได้เหรอครับแม่ ธารอยากอยู่ที่นี่กับแม่”
“พอแม่ไม่อยู่แล้วธารต้องเข้มแข็งนะลูก”
“แม่อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ แม่ต้องอยู่กับธาร เราจะอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูก ธารไม่ไปเรียนกรุงเทพแล้วก็ได้”
“คนเก่งของแม่ สัญญานะ...”
“แม่..”
“ไปอยู่กับคุณลุง ตั้งใจเรียน อยู่กับคุณลุงจนกว่าจะเรียนจบสัญญากับแม่”
“ไม่เอาครับแม่ ธารไม่เอาแบบนี้แม่ต้องอยู่กับธารนาน ๆ “
“แม่รักลำธาร”
“แม่..ต้องอยู่กับธาร แม่อย่าทิ้งธารไปนะครับ”
“แม่รักลูกนะ”
“แม่ครับ” เสียงที่บอกรักผมแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ จนเงียบไปในที่สุด ผมเงยหน้าขึ้นจากอกแม่ ภาพของแม่ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเลือนราง เพราะม่านน้ำตาเอ่อขึ้นมาจนล้นอาบสองแก้ม แม่กำลังมองมาที่ผมด้วยแววตาอ่อนแรง ตาทั้งสองข้างของแม่ค่อย ๆ ปิดลง แล้วแม่ก็จากผมไปในที่สุด ผมรู้ว่าแม่จะไม่ทรมานอีกต่อไปแล้ว แต่การถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนโลกที่โหดร้ายใบนี้ ก็คงทรมานไม่น้อยไปกว่าการมีชีวิตอยู่กับโรคร้าย เหมือนที่แม่เผชิญตลอดสามเดือนที่ผ่านมา
ผมรู้ว่าแม่ป่วยก็ตอนที่อาการของแม่เกินกว่าจะรักษาได้ แม่ไม่เคยพูดถึงสุขภาพของตัวเอง จนวันที่ย่ำแย่เกินกว่าจะปิดบัง และนั่นก็เป็นวันที่สายเกินเยียวยาแล้ว แม่ไม่ยอมรักษาตัวเอง เพราะต้องการเก็บเงินทั้งหมดไว้ให้ผมใช้ในการเข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพ มหาวิทยาลัยที่ผมฝันอยากเข้า แต่นั่นมันจะมีความหมายอะไร ในเมื่อคนที่ผมรักไม่ได้อยู่รอดูความสำเร็จของผม
การรักษาแม่ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย ลำพังเงินที่ผมกับแม่พยายามเก็บไว้มันไม่พอ แต่ตอนนี้เงินจำนวนนั้นมันยังเหลืออยู่เท่าเดิม เมื่อคุณลุงพิภพยื่นมือเข้ามาช่วย ผมรู้แค่ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ของแม่ ที่เคยรู้จักและสนิทสนมกันมานาน แต่ผมมารู้จักคุณลุงจริง ๆ เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมานี่เอง
“ผมจะพยายามหาเงินทั้งหมดมาคืนคุณลุงให้ได้ แต่ผมขอเวลาทำงานสักหน่อยได้ไหมครับ” เพราะความเกรงใจผมตัดสินใจถามคุณลุงพิภพในเย็นวันที่เผาศพแม่นั่นเอง นอกจากเงินที่คุณลุงช่วยจ่ายในการรักษาแม่แล้ว ยังมีเงินที่ใช้จ่ายในงานศพอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลยสำหรับเด็กอายุ 18 อย่างผม ที่ไม่รู้ว่าต้องจัดการเรื่องทั้งหมดเองยังไง
คุณลุงมองหน้าผมนิ่ง ดวงตาคู่นั้นดูอ่อนโยนปนเห็นใจ และดูเข้าอกเข้าใจ “แล้วคิดว่าจะไปทำงานอะไรล่ะ ถึงจะได้เงินมากพอมาคืนให้ฉัน ไหนจะต้องเรียนหนังสืออีก”
“ผม..” หลบสายตาที่มองอย่างทะลุปรุโปร่ง ผมกัดปากตัวเอง แล้วตัดสินใจบอกอย่างที่คิดไว้ “ผมจะยังไม่ไปเรียนครับ จะหาเงินมาคืนคุณลุงก่อนค่อยเรียนต่อทีหลัง” คุณลุงส่ายหน้าทั้งที่ยังยิ้มบางให้
“แล้วคิดว่าต้องทำงานอีกกี่ปีถึงจะหาเงินมาคืนได้ครบทั้งหมด”
“ผมยังไม่รู้ครับแต่จะพยายามหามาให้ได้ คุณลุงไม่ต้องห่วงนะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่หนีไปไหน”
“ฉันไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอก แต่แม่ของเธออยากให้เธอเรียนต่อนะ”
“ผมจะเรียนแน่นอนครับ หลังจากหาเงินมาคืนครบแล้ว”
“แต่ฉันไม่ได้ต้องการเงินคืน ฉันอยากให้เธอทำตามที่สัญญากับแม่ไว้”
“แต่เงินนั่นมันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะครับ” คุณลุงถอนหายใจออกมาเบา ๆ เหมือนเบื่อจะพูดเต็มทีแต่ยังยิ้มให้ผมอยู่
“อย่าโกรธฉันเลยนะเจ้าหนู แต่เงินนั่นมันน้อยมากถ้าเทียบกับทั้งหมดที่ฉันมี ฉันเต็มใจให้ช่อมาลีและอยากให้เธอตั้งใจเรียนให้จบ ไม่ต้องห่วงเรื่องหาเงินมาคืนฉันไม่เอา ถ้าฉันหาเธอกับแม่เจอเร็วกว่านี้ เธอสองคนคงไม่ต้องลำบากกันขนาดนี้หรอก” แววตาของคุณลุงอ่อนแสงลง แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็กลับมาเป็นปกติ และนั่นก็มากพอที่จะทำให้ผมสงสัยและอยากรู้ ว่าเขากับแม่เคยเป็นอะไรกัน หรือเคยมีความสัมพันธ์กันแบบไหนมาก่อน แต่เอาตรง ๆ ก็ไม่กล้าพอที่จะถามออกมาหรอก
“แต่คุณลุงครับ ผม..”
“เธอจะไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแม่หรือไง แม่เธอเขาหวังไว้มากนะ”
“ผม..” อยากจะบอกว่ายังไงแม่ก็ไม่อยู่ดูความสำเร็จของผมแล้ว มันจะสำเร็จลงช้าอีกสักสองสามปีคงไม่เป็นไร
“หรือเธอจะไม่รักษาสัญญาก็ได้ แต่ฉันก็มีสัญญาที่ให้ไว้กับช่อมาลีเหมือนกัน ว่าจะช่วยดูแลส่งเสียเธอจนกว่าจะเรียนจบ และโตพอที่จะหาเลี้ยงตัวเองได้ไม่ลำบาก” ผมได้แต่ยืนเงียบไม่กล้ารับความหวังดี หนึ่งวันก่อนแม่จะจากไป ผมเห็นแม่คุยอะไรบางอย่างกับคุณลุง แต่ก็ได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ เลยไม่รู้ว่าท่านทั้งสองพูดอะไรกันบ้าง
“ขอให้ฉันได้ทำอะไรเพื่อช่อมาลีบ้างสักอย่างเถอะ “แววตาของคุณลุงมีประกายบางอย่าง ที่เห็นแล้วไม่สามารถเดาได้เลย ว่ากำลังรู้สึกยังไงหรือคิดอะไรอยู่ และผมคงจะมองด้วยสายตาสงสัยมากเกินไป คุณลุงเลยตัดบท “ยังไงก็ขอให้ฉันดูแลเธอจนกว่าจะเรียนจบเถอะนะ ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไร”
“แต่ผมเกรงใจคุณลุง ผมรับความหวังดีของคุณลุงมากไปกว่านี้ไม่ได้หรอกนะครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เพราะฉันมีงานให้เธอทำตอบแทน...”
ผมแหงนมองขึ้นไปบนคอนโดสูง 25 ชั้นเบื้องหน้า คุณลุงพิภพบอกว่าที่นี่คือที่อยู่ใหม่ของผม ตัวตึกได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามทันสมัย มันดูหรูหรามีระดับจนแทบไม่กล้าเดินเข้าไปนั่งรอในล็อบบี้ อย่างที่พี่ทัพเลขาของคุณลุงที่ขับรถมาส่งผมบอก ผมยืนรอหน้าตึกขณะที่พี่เขาเอารถไปจอด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องมาอยู่ไกลบ้าน มันไม่ใช่การมาแบบชั่วคราว แต่ผมอาจจะต้องอยู่ที่นี่ยาวจนกว่าจะเรียนจบ กระเป๋าใส่เสื้อผ้าสองใบวางอยู่ข้าง ๆ แอบตื่นเต้นเลยต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อลดความประหม่า พี่ทัพเดินมาถึงพอดี
“เข้าไปข้างในกันเถอะครับ” พี่ทัพเป็นผู้ชายร่างสูง เขาจึงดูดีมาในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่สวมอยู่ เขายิ้มให้ผม รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่น ช่วยให้ความรู้สึกประหม่าลดลงได้บ้าง เขาช่วยถือกระเป๋า มืออีกข้างแตะหลังผมเบา ๆ ดันให้เดินเข้าไปในล็อบบี้ของคอนโดด้วยกัน
ผมถือกระเป๋าเดินตามเลขาของคุณลุง ที่เดินนำเข้าไปท่าทางคุ้นเคยกันสถานที่เป็นอย่างดี ไปถึงเคาน์เตอร์ด้านหน้าพนักงานต้อนรับยิ้มสวยยกมือไหว้ทักทาย
“นี่คือคุณลำธารหลานท่านประธาน จะมาอยู่กับคุณเพลิง”
“สวัสดีค่ะ” ผมรับไหว้เธอแทบไม่ทัน รู้สึกแปลก ๆ ที่ถูกคนอายุมากกว่าไหว้ก่อน “ยินดีต้อนรับค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“ขึ้นไปข้างบนกัน” ผมยิ้มให้พนักงานต้อนรับคนสวยแล้วเดินตามพี่ทัพไป เขาพาผมเดินเลยมาด้านหลังเคาน์เตอร์ ตรงนั้นเป็นทางขึ้นลิฟต์ และนั่นทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคอนโดสูงตั้ง 25 ชั้น คงมีคนอาศัยอยู่ไม่น้อย แต่กลับมีลิฟต์ไว้ใช้งานเพียงตัวเดียว
“มานี่สิ” พี่ทัพเรียกเข้าไปใกล้แล้วกดรหัสลงบนปุ่มหน้าลิฟต์ “คุณลำธารเห็นรหัสที่พี่กดเมื่อกี้ไหมครับ”
“ครับ”
“จำไว้ให้ดีนะ เพราะเป็นรหัสสำหรับใช้ลิฟต์กับตัวนี้เท่านั้น ลิฟต์ตัวนี้จะขึ้นไปถึงชั้นยี่สิบห้าชั้นเดียว ส่วนคนทั่วไปจะใช้ลิฟต์อีกฝั่ง” พี่ทัพใช้นิ้วหัวมือชี้ข้ามไหล่ตัวเองไปข้างหลัง ซึ่งต้องเดินอ้อมผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไปอีกฝั่ง นั่นจึงตอบข้อสงสัยของผม ว่าคอนโดหรูแห่งนี้ เจ้าของไม่ได้ขี้เหนียวถึงขนาดติดตั้งลิฟต์ไว้ใช้งานแค่ตัวเดียว แต่ลิฟต์ตัวเดียวตัวนี้ เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของคนที่พักอยู่ชั้นที่ 25 เท่านั้น ที่ใช้งานมันได้
ผมเดินตามพี่ทัพหรือชื่อเต็ม ๆ ของเขาคือฐานทัพ เลขาของคุณลุงพิภพเดินนำเข้าไปในลิฟต์ เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น เขาเงียบผมก็เงียบ พอเราต่างเงียบความรู้สึกแปลก ๆ ก็กลับมาหาผมอีก มันเหมือนความตื่นเต้น แต่ทำไมต้องตื่นเต้น หรือเพราะผมกำลังจะได้เจอกับพี่ชายคนนั้น ที่ผมเคยเจอเขาเมื่อ 1 ปีก่อน การเจอกันครั้งแรกเขาทำให้ผมประทับใจด้วยการขับรถเฉี่ยว ขณะผมปั่นจักรยาน และเพลิดเพลินกับการกินลมชมวิวยามเย็น คนที่ผมมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นใคร และจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่ลืม
“เฮ้ย!! โอ๊ย! “ผมร้องเสียงหลง ปั่นจักรยานมาดี ๆ ก็ถูกรถที่ขับมาด้วยความเร็วพอสมควรเฉี่ยวเอา จักรยานของผมเสียหลักแฉลบออกนอกเส้นทาง สุดท้ายก็ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ผมตกเข้าไปนอนพังพาบในแปลงองุ่นสูงท่วมหัว ได้แผลถลอกตามหัวเข่ากับข้อศอกมาพอสมควร
“เจ็บมากไหมครับน้อง ขอโทษด้วยพี่ไม่ทันเห็นว่ามีเราอยู่ข้างทาง” เจ้าของรถคันนั้นรีบลงมาถาม และยังช่วยพยุงผมลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ”
“ได้แผลด้วยนี่โทษทีนะเดี๋ยวพี่พาไปหาหมอเอง” เขาขอโทษอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่พูดเปล่า ยังถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกที่ใส่อยู่ออกมาเช็ดเลือดตามรอยแผลถลอกบนขาให้ด้วย
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับพี่ เสื้อพี่เปื้อนหมดแล้ว”
“เลือดออกด้วยพี่ว่าเราไปหาหมอเถอะ” เขาไม่สนใจเลยว่าผมบอกอะไร เอาแต่ก้มหน้าซับเลือดที่ไหลซึมออกมาบนขาของผม ด้วยเสื้อของเขาเอง ผมแอบมองเสี้ยวหน้าใสกับไรหนวดเขียว ๆ ของเขาเสียเพลิน
“ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ แผลแค่นี้เองไม่ต้องไปหาหมอก็ได้”
“แล้วเดินไหวไหมบ้านอยู่ไหนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” พอเขายืดตัวขึ้นผมกลับไม่กล้ามองหน้าเขาต่อเสียอย่างนั้น
เลยก้มดูแผลที่หัวเข่าตัวเองแทน “ไม่เป็นไรครับผมไหว บ้านอยู่ไม่ไกลนี่เองเดี๋ยวผมปั่นจักรยานกลับได้”
“งั้นเอาเสื้อนี่กดแผลไว้ก่อน” ยัดเสื้อใส่มือผมก็พอดีกับโทรศัพท์ของเขามีสายเรียกเข้า ผละไปคุยโทรศัพท์ด้วยเสียงไม่พอใจอยู่สองสามคำ เขาก็หันมาถาม “แน่ใจนะว่าไม่ให้ไปส่ง แล้วค่าเสียหาย..”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากครับพี่ชาย ไม่เป็นไรจริง ๆ กลับไปทำแผลที่บ้านได้ครับ”
“ถ้าอยากให้พี่ชดใช้ค่าเสียหายก็ตามไปเอาที่..” เขากัดปากมองไปยังทางข้างหน้าแล้วหันกลับมา ตลอดเวลาที่คุยกัน ผมแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาตรง ๆ นอกจากแอบมองครั้งแรก ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้วด้วย “บ้านหลังที่อยู่ไม่ไกลข้างหน้านี่แหละพี่กำลังจะไปที่นั่น”
ผมพยักหน้ารับ เขากลับขึ้นรถขับออกไปด้วยท่าทางเร่งรีบ แต่พอกลับมาถึงบ้านหลังเล็กของผมกับแม่ กลับเจอพี่ชายคนนั้นยืนทำหน้าถมึงทึงที่ห้องรับแขก ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนสีซีดขาดหัวเข่า เสื้อเชิ้ตตัวนอกของเขายังอยู่กับผม ไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจอะไร แต่ผมก็ได้แค่แอบมองอยู่อีกห้องด้านหลังของบ้าน เพราะแม่มีแขกอีกคนที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ จนพี่เขาและคุณลุงคนนั้นกลับไป ผมถึงได้แอบเข้าห้องตัวเองอาบน้ำล้างแผลบ้าง
“ลำธาร!”
“ครับ! “
“ออกมาสิ” ผมรู้สึกตัวแล้วมองรอบ ๆ จึงได้เห็นว่าเรามาถึงชั้นที่ 25 แล้ว พี่ทัพยืนรออยู่หน้าลิฟต์ นั่นจึงไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทำไมเขาถึงได้เรียกผมเสียงดัง ก็ผมมัวแต่คิดเรื่องพี่ชายคนนั้นเพลิน จนลืมเดินตามเขาออกมานะสิ
“ชั้นนี้มีห้องชุด 2 ห้องนะครับ แต่มีคนอยู่แค่ห้องคุณเพลิงห้องเดียว” พี่ทัพบอกขณะเดินนำไปหน้าห้อง มีผมเดินตามต้อย ๆ อย่างว่าง่าย เรายืนรอครู่ใหญ่หลังจากกดกริ่ง บานประตูสีดำสนิทจึงได้เปิดออก และเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่ผมเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
“มีอะไร!” ตรงหน้าผมกับพี่ทัพคือ..ผู้ชาย! ใช่ผู้ชายที่หน้าตาหล่อในแบบที่เรียกกันว่า หล่อแบบ Bad Boy ผิวหน้าขาวใสประดับด้วยตอหนวดเครา ผมยาวประบ่าดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แบบที่เดาได้เลยว่าเพิ่งตะเกียกตะกายลุกมาจากที่นอน เขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม ดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก เหมือนหยิบมาสวมส่ง ๆ ก่อนเปิดประตูออกมา เสียงเจ้าของห้องไม่เป็นมิตรสักนิด ผมแอบช้อนตาขึ้นมองหน้าเขาหวั่น ๆ ดีที่เขากำลังมองหน้าพี่ทัพอยู่ แต่ตาคู่นั้นก็ดุจนดูน่ากลัว ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้พี่ทัพโดนงับหัว
“ผมพาคุณลำธารมาส่งครับ” เขาปรายตาดุมองผมทางหางตา และผมก็หลบสายตาเขาทันที แต่ไม่ลืมรักษามารยาทด้วยการยกมือไหว้สวัสดี ในแบบที่คิดว่าเรียบร้อยสวยงามที่สุด
“เข้ามา ส่วนมึงกลับไปได้แล้ว” เสียงดุทำให้ผมเสียวสันหลังวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหลือบมองหน้าพี่ทัพก็ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับมา เขาพยักหน้าแทนการบอกให้ตามเจ้าของห้องเข้าไป
เดินเข้ามาในห้องแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก แอบหันไปมองข้างหลัง ทันได้เห็นพี่ทัพเดินเข้าไปในลิฟต์ จนกระทั่งลิฟต์ปิดลง ผมรู้สึกเหมือนกำลังหลงทางในต่างถิ่น
“อาลัยอาวรณ์มันนักมึงทำไมไม่ตามมันไป! “ผมรีบหันกลับมาแต่ก็ต้องตกใจจนสะดุ้ง เพราะดวงตาดุที่มองขวางจนน่ากลัว รับกันพอดีเลยกับใบหน้าที่เต็มด้วยหนวดเคราขึ้นหร็อมแหร็ม และมีผมยาวประบ่าเป็นองค์ประกอบ ที่ทำให้เขาดูดุน่ากลัวยิ่งกว่าคุณอัครเดชคนรักของพี่รันเสียอีก ซ้ำรูปร่างส่วนสูงยังไล่เลี่ยกันด้วย
แล้วพี่ชายใจดีสุภาพคนนั้นของผมหายไปไหน แต่จะว่าไปแล้วอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ ตอนผมเจอเขาครั้งแรก มันผ่านมาตั้ง 1 ปีกว่าเข้าไปแล้ว อะไรต่าง ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย รวมทั้งพี่ชายคนนั้น หรือที่จริงแล้วเขาอาจจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แค่ตอนนั้นเขาผิดที่ขับรถเฉี่ยวผม เลยพูดดีแสดงความรับผิดชอบเฉย ๆ
“เอ่อ ผม ผมเปล่า” ผมบอกพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง ที่..แทบจะเรียกได้ว่ารกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา จนผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ภายนอกของคอนโดแห่งนี้ช่างหรูหราน่าอยู่ ตั้งแต่เดินเข้ามาจนถึงหน้าห้องนี้ก็เช่นกัน แต่พอเข้ามาข้างในทำไมมันต่างจากรูปลักษณ์ที่เห็นข้างนอก ราวกับหลุดเขาไปอยู่คนละโลก!
พื้นที่กว้างหน้าโซฟาห้องรับแขก ที่เขากำลังนั่งวางอำนาจอยู่ เต็มไปด้วยเศษซากของการสังสรรค์อย่างกระป๋องเบียร์ขวดเหล้าขวดโซดา กระป๋องน้ำอัดลม รวมถึงพวกจานช้อนกับแก้วที่ใช้กินดื่ม และซองขนมเปล่ากระจายเกลื่อน พื้นที่ส่วนอื่นก็ดูแย่พอกัน เหมือนกับว่าห้องนี้เพิ่งผ่านงานเลี้ยงใหญ่อะไรสักอย่างมา และยังไม่ได้รับการเก็บกวาดทำความสะอาด
“ดูจนพอใจแล้วก็เอาของไปเก็บ รีบมาเก็บกวาดซะมึงไม่รู้หน้าทีตัวเองหรือไง ไหนเขาบอกจะส่งเด็กรับใช้มาให้กู”
“แล้วห้องผมอยู่ตรงไหนครับ อุ๊ย! “เขาหันขวับมาทางผม สายตาเหวี่ยงไม่พอใจเหมือนผมเพิ่งจะ เอ่อ..พูดคำหยาบคายกับเขาหรืออะไรทำนองนั้น
“ห้องผม หมายถึงห้องของมึงนะเหรอ” ผมยืนตัวลีบแบบที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตัวหดเล็กลงได้เท่านี้มาก่อน เจอกันครั้งแรกเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ถึงผมจะไม่กล้ามองหน้าเขาตรง ๆ แต่ยังจำแววตาใจดีกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มของเขาได้ไม่ลืม จนกระทั่งวันนี้ ความทรงจำของผมเหมือนเป็นอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเขาเองก็คงจำผมไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเขาต้องอารมณ์เสีย ถ้าไม่อยากให้ผมอยู่ด้วย ทำไมไม่ปฏิเสธคุณลุงพิภพไปแต่แรก
“ไม่รู้ว่ะ ที่นี่มีห้องนอนสองห้องแต่มันไม่ว่างให้มึงอยู่ ดังนั้นอยากอยู่ตรงไหนก็เลือกเอาที่มึงสบายใจเลย อย่าเกะกะลูกตากูก็พอ” สีหน้ากวน ๆ นั่น ไม่ได้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเลยสักนิด มีห้องนอนสองห้องแต่ไม่ว่าง อยากอยู่ตรงไหนก็เลือกเอาที่ผมสบายใจเลยเหรอ แล้วมันจะเหลือห้องไหนให้เลือกบ้างล่ะ ในเมื่อผมไม่รู้ว่าที่นี่มันมีห้องอะไรบ้าง คิดว่าคอนโดหรูกว้างขวางอย่างนี้ เขาจะมีห้องอะไรให้บ้าง แต่เท่าที่นึกออก นอกจากห้องนอนก็น่าจะเป็นห้องรับแขกที่เราอยู่ตอนนี้ ห้องครัว ห้องน้ำ แล้วคิดว่าผมจะอยู่ห้องไหนได้
เจ้าของห้องนั่งไขว่ห้าง กางแขนสองข้างพาดพนักพิงโซฟาจ้องหน้าผมเขม็ง ขณะที่ผมยืนคิดทบทวนว่าจะเอายังไงดี เขาไม่ได้ยินดีต้อนรับผมเหมือนที่คุณลุงบอกแม้แต่น้อย แต่ผมจะทำยังไงได้ ในเมื่อตกลงและสัญญากับคุณลุงพิภพแล้ว ว่าจะมาช่วยดูแลลูกชายของท่าน ตอบแทนความช่วยเหลือที่ผมติดค้าง ทำงานนี้แลกกับค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายจนกว่าจะเรียนจบ แล้วท่านยังบอกว่าท่านต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ ถ้าผมไม่ยอม ผมจะกลายเป็นคนที่ทำให้ท่านผิดสัญญาลูกผู้ชาย ที่ให้ไว้กับผู้หญิงคนหนึ่ง คุณลุงบอกไว้อย่างนั้น และผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ เมื่อคุณลุงยกเอาสัญญาที่ผมให้ไว้กับแม่มาอ้างบ้าง พร้อมกับคำพูดอีกมากมายที่ผมฟังจนงง เลยเผลอตกปากรับคำมาแบบไม่รู้ตัวเลย
“มึงจะยืนบิดตูดอยู่อย่างนี้อีกนานมั้ย! เอาของไปเก็บแล้วมาฟังกูแจกแจงหน้าที่ของมึง” ผมไม่ได้ยืนบิดตูดสักหน่อย
“แล้ว..จะให้ผมเอาไปเก็บที่ไหนล่ะ”
“ที่ไหนก็เรื่องของมึงอยากอยู่ที่นี่ก็อยู่ไป แต่อย่าเข้าไปวุ่นวายในห้องนอนกู” ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายกับพื้นที่ส่วนตัวเขาอยู่แล้ว แต่ยังคิดหนักว่าตัวเองจะนอนตรงไหน ห้องนี้กว้างทีเดียว ผมคงหาที่นอนสบาย ๆ ได้สักที่ล่ะนะ แต่ตอนนี้คงต้องหาที่วางกระเป๋าก่อน ตกลงซุกมันไว้กับขยะแถวนี้ก็แล้วกัน
“หน้าที่ของมึงคือดูแลทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อย” เขาพูดต่อเมื่อเห็นผมเอากระเป๋าวางไว้ข้างโซฟา แถมยังปรายตาไปรอบ ๆ อย่างนำเสนอ คงภูมิใจในความรกนี้มากสินะ “ต้องทำทุกวันกูไม่ชอบให้ห้องสกปรก”
“ครับ” เขาแสยะยิ้มที่ทำให้ความหล่อแบบแบด ๆ ลดลงไปกว่าครึ่ง จนดูน่าเกลียดแทน ผมตอบรับทั้งที่คิดหนัก พรุ่งนี้เปิดเรียนวันแรกผมต้องไปแต่เช้า และอาจจะมีกิจกรรมให้อยู่ที่มหาวิทยาลัยทั้งวันจนค่ำ
“ต้องซักผ้ารีดผ้าให้กู รวมถึงทำอาหารให้กูกินให้ครบทั้งสามมื้อ ถ้ากูหิวตอนดึกมึงต้องลุกขึ้นมาทำให้กูกินด้วย” ผมเผลอมองหน้าเขา เรื่องทำอาหารไม่มีปัญหาเพราะผมทำเป็น แต่ต้องทำให้เขากินให้ครบสามมื้อเหรอ แถมยังอาจจะมีมื้อดึกด้วย แล้วถ้าเขาออกไปเรียนผมต้องทำข้าวกล่องให้เขาไหม
“มองหน้าทำไมสงสัยเหี้ยอะไรก็ถาม!” เขาไม่เจ็บคอบ้างหรือไงที่ตะคอกเอา ๆ เหมือนคนพูดกันไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ผมก็รู้เรื่องนะ หรือผมต้องบอกเขาด้วย ว่าพูดกันปกติผมก็เข้าใจ
“ผมแค่สงสัยว่าถ้าวันไหนพี่เพลิงไม่อยู่..”
“ใครใช้ให้มึงเรียกกูพี่ กูไม่มีน้อง!”
“ครับขอโทษครับ คือ..ถ้าวันไหนคุณเพลิงไม่อยู่ผมต้องทำอาหารไหมครับ”
“แล้วมึงจะทำให้ใครแดก! กูไม่อยู่ก็ไม่ต้องทำถามโง่ ๆ “แล้วถ้าผมบอกว่าผมจะทำให้ตัวเองแดก เอ๊ย! ทำให้ตัวเองกิน เขาจะหาว่าผมโง่อีกไหม ทั้งที่ผมก็แค่อยากบอกเขาบ้างอะไรบ้างว่าผมก็กินเป็น
แล้วผมจะตอบอะไรได้นอกจาก “ครับ” เขาเงียบพอเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นว่าสายตาของเขา มันเดือดดาลมากแค่ไหน ไม่พอใจอะไรผมอีกล่ะ
“ยิ้มเหี้ยอะไรของมึง!”
“ผมเปล่านะ”
“กูเห็นอย่ามาเถียงสัส! ” ผมแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ยิ้มอาจจะแค่ขยับมุมปากนิด ๆ ตอนคิดว่าถ้าตัวเองกล้ากวนเขากลับบ้างมันจะเป็นยังไง ก็ดุขนาดนี้ใครจะไปยิ้มออก ผมไม่กลัวจนฉี่ราดก็ดีเท่าไหร่แล้ว ทำไมเขาถึงได้หงุดหงิดมากขนาดนี้ มีเรื่องไม่พอใจอยู่ก่อนแล้ว หรือเพิ่งหงุดหงิดตอนที่ผมมาถึง
“นอกระเบียงมีสวนหย่อม มึงต้องรดน้ำให้กูเช้าเย็น ถ้าต้นไม้กูตายแม้แต่ต้นเดียวมึงเจอดีแน่!”
“ครับ”
“ส่วนสระว่ายน้ำต้องดูแลทำความสะอาดทุกอาทิตย์ แล้วอย่าเสือกสะเออะลงไปเล่นกูรังเกียจ” ผมว่ายน้ำไม่เป็น ดังนั้นเขามั่นใจได้เลยว่าผมจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้มัน
“วันนี้เอาแค่นี้ก่อนกูจะไปนอนต่อ หวังว่าตื่นมาห้องคงน่าอยู่เหมือนเดิม” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินเกาพุงกลับเข้าห้องหน้าตาเฉย ทิ้งผมให้ยืนงงในดงขยะ แสดงว่าที่รก ๆ นี่มันไม่เหมือนเดิมสินะ หรือนี่จะเป็นการต้อนรับที่เขาทำไว้เพื่อผมโดยเฉพาะ
***********************
ได้ฤกษ์ลงตอนแรกสักที หลังจากจด ๆ จ้อง ๆ มาสองสามวัน
ว่าจะเปิดที่ฉากไหนก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรียกกันว่ารอมานานมาก
ทั้งคนที่เคยอ่าน มาตั้งแต่เรื่องของน้าเดชกับนุรัน ในเรื่อง จับนายตัวร้ายมาใส่กรงทอง
ที่ลำธารไปโผล่แว้บ ๆ ให้อิน้ามันหึงเล่น จนแทบบันดาลโทสะใส่เด็ก
เรื่องเกริ่นไว้แต่แรกว่าจะดราม่า แต่อาจจะแพ้ความสดใสของลำธาร
อันนั้นต้องขอให้นักอ่านทุกท่าน ช่วยเป็นกำลังให้ดาว
สามารถคอนโทลอารมณืตัวละครให้อยู่ในกรอบด้วยนะคะ
ได้รู้ว่ายังมีคนรอดาวก็ดีใจมากแล้วค่ะ ทั้งคนที่รอเงียบ ๆ
ทั้งคนที่ถามหาไปคุยกับดาวทาง inbox ก็ต้องขอบคุณมากจริง ๆ
ดาว ณ แดนดิน
13/12/2561