[เรื่องยาว] Dear, My customer. รักลับๆ ของช่างตัดเสื้อ บทที่53 (จบ)p.24(6/1/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องยาว] Dear, My customer. รักลับๆ ของช่างตัดเสื้อ บทที่53 (จบ)p.24(6/1/63)  (อ่าน 98715 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mai.IcySakura

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
อ่านรวดเดียว20ตอนเลยค่า เป็นเรื่องที่พระนางรักกันเร็วมาก แสดงว่าอุปสรรคเรื่องอื่นคงรอคิวอีกยาว

ก่อนจะอ่านถึงตอนล่าสุดนี่ ช่างรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ละมุนละไม โรแมนติค ได้บรรยากาศลอนดอนมากๆ
พออ่านตอนล่าสุดแล้วกรี๊ดมาก มีกลิ่นเลือดโชยแบบนี้สินิยายคุณจู ชอบมากค่า

แล้วแม็กก็เท่มากจริงๆ 55 แย่งซีนมากๆ ที่จริงก็แอบชอบแม็กซ์มานานแล้ว รู้สึกว่าสุขุมกว่าเพื่อนๆนิดนึง เห็นคอยปรามเพื่อนบ่อยๆ

อยากรู้จังว่าจะมีคู่รองมั้ย เห็นว่าไม่อยากให้เป็นอุตสาหเกย์ใช่มั้ยคะ55 แอบอยากได้อีกสักคู่จัง>< พระนางเราจะได้มีพวกเพิ่ม อิอิ

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ความสวยเป็นเหตุแท้ๆ  :o8: :o8:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


ตอนอ่านลุ้นมาก กลัวจอห์นจะพ่าย ไหนจะกลัวกอร์ดอนโดนรั้งตัวไว้อีก
(เอาจริง ๆ เรานี่ลุ้นอย่างกับเป็นพ่อเป็นแม่ของบรรดาท่านลอร์ดทั้งหลายเลยนะคะ ฮ่า ๆๆๆ )
แต่พอจอห์นนี่ผ่านคู่แข่งทั้งหลายมาได้ เราก็โล่งใจ แถมยังได้สะใจทิ้งท้ายเสียอีก
นี่ก็ตั้งตารออยู่เลยค่ะว่ากอร์ดอนจะเตรียมเยียวยาร่างกายอันบอบช้ำของท่านลอร์ดอย่างไร (คึ คึ)

เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^  :กอด1:


ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ก็ตะหงิดๆตั้งแต่ต้นๆตอนล๊ะว่าลอร์ดแมกซ์เหมือนอะไรซ่อนอยู่
แต่ใครจะคาดว่าจะเท่ขนาดเน้คะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ!
งื้อออออออออออออออออออออออออออออออออออ

ก่อนสลบแมคคาธีจะบอกว่าหลอดแมกซ์เป็นใครนะ?
ลุกมาบอกกันก่อนเซ่!!!!!!!!!//จับเขย่าคอ

ไงคะหลอดจอห์น กอร์ดอนเตือนแล้วก็ไม่ฟัง ทำพ่อเทวดาตัวน้อยๆเดือดร้อนเลย
เหอะๆๆ

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ชอบฉากตะลุมบอลพระเอกมากค่ะ สะใจ
55555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555

ปล.ลอร์ดแมกซ์รับสมัครเลดี้ไหมคะ?//เสนอตัวด่วนๆ

ออฟไลน์ - Fleur -

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สวัสดีค่ะ โง้ยยย ขอเรียกตัวเองว่าแฟนนิยายคุณจูออนได้มั้ย รู้สึกตามอ่านได้เกือบทุกเรื่อง 555555555
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้ค่ะ เนื่องจากเพิ่งผ่านพ้นช่วงสอบมหาโหดไป

ฟินนน !! ชอบแนวเรื่องแบบนี้มาก หาอ่านยากจริงๆ
ดีใจที่คุณเขียนแนวนี้ค่ะ ชอบบรรกาศ ชอบแต่ละฉาก ชอบบทสนนา ชอบไปหมดเลยยย
บางชุด ชื่อที่ใช้เรียกนี่ก็ไม่รู้จัก ต้องอ่านไป เสิร์ชกูเกิ้ลไป เพื่อจินตนาการที่สวยงาม
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้นะคะ นี่เพิ่งอ่านไปได้ไม่กี่ตอน แต่ขอเม้นก่อน
รักกก
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:


[ เพิ่งสังเกตุว่าเอาแอคเค้าที่เพิ่งเปิดใหม่มาเม้น :katai1:  ]

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1098
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Dear, My customer.

ตอนที่21 ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์


                กอร์ดอนนั่งรถม้ากลับมากับลอร์ดโทรว์บริดจ์ เขามองฝ่ายนั้นด้วยความเป็นห่วง

                “จอห์น คุณเจ็บมากมั้ย?”

                “ก็เจ็บอยู่นะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ ขณะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดตรงมุมปากที่มีรอยเลือดเลอะอยู่ “ปากผมแตก”

                กอร์ดอนมองฝ่ายนั้นด้วยสีหน้ารวดร้าวใจ “ขอโทษนะครับ... ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย”

                เอิร์ลหนุ่มมองช่างตัดเสื้อ แล้วถอนใจ “ผมเป็นคนให้คุณพาเข้าไปเอง ไม่ต้องคิดมากหรอก”

                กอร์ดอนมองหลังมือของลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่เป็นรอยถลอก มองรอยช้ำบนใบหน้าของฝ่ายนั้น พลางนึกย้อนถึงภาพการต่อสู้ที่ผ่านมา

                “คุณแวะทำแผลใส่ยาที่บ้านผมก่อนมั้ยครับ? ที่บ้านผมมีอุปกรณ์ทำแผลอยู่”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “ทำไมคุณมีของแบบนั้นอยู่ที่บ้านได้ล่ะ?”

                “อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดครับ” กอร์ดอนตอบเขา “บางทีก็เข็มแทง บางทีก็ม้วนผ้าหล่นใส่ ผมมีเซ็ตทำแผลกับสีผึ้งติดบ้านเอาไว้เผื่อตัวเองกับช่างน่ะครับ”

                คนฟังยิ้มออกมา เขาลดบังตาและกระจกที่ใช้กั้นระหว่างห้องโดยสารกับคนขับออก แล้วตะโกนสั่งคนรับใช้ “แวะร้านคุณโอเดนเบิร์ก ฉันจะไปทำแผลที่นั่น”

----------------------------

                เดวิดมีสีหน้าแปลกใจที่เห็นกอร์ดอนพาลอร์ดโทรว์บริดจ์เข้ามาในร้าน แสงไฟจากตะเกียงที่เขาถือมาทำให้เด็กหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ

                “พระเจ้าช่วย! เกิดอะไรขึ้นกับท่านลอร์ดครับ!!”

                กอร์ดอนไม่ตอบคำถาม เขาสั่งเด็กรับใช้ให้ไปหยิบล่วมยามา ก่อนจะพาลอร์ดหนุ่มไปที่ห้องลองเสื้อ โอลิเวอร์เดินตามมาติดๆ

                “ขอโทษนะครับนายน้อย เพราะผมชะล่าใจเอง”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือห้าม “ไม่ใช่ความผิดแกหรอก มือเปล่าจะสู้อะไรกับปืน”

                กอร์ดอนเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟ ห้องทั้งห้องสว่างวาบขึ้นมาทันที ลอร์ดโทรว์บริดจ์ส่งเสียงขึ้นมา

                “ว้าว คุณใช้หลอดไฟรุ่นใหม่หรือ? ที่บ้านผมยังเปลี่ยนไม่หมดเลย”

                “เฉพาะห้องนี้กับหน้าร้านเท่านั้นครับ” กอร์ดอนว่า “ค่าหลอดไฟแบบใหม่กับระบบของมันแพงมาก”

                “นั่นสินะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า โอลิเวอร์มองใบหน้าเจ้านายด้วยความเป็นห่วง

                “นายน้อย หน้าคุณเป็นรอยชัดมากเลยครับ”

                “อ้อ ฉันเห็นแล้วล่ะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดขณะมองตัวเองในกระจกสามบาน “แบบนี้ทุกคนต้องสงสัยแน่ว่าฉันไปทำอะไรมา”

                “ผมจะรับผิดเองครับ” คนรับใช้ว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดผม”

                ลอร์ดหนุ่มหันมองคนรับใช้ “แกจะรับผิดว่าอะไร บอกว่าเป็นคนพาฉันไปที่นั่นหรือ? พ่อก็รู้อยู่ดีว่าฉันเป็นคนสั่งแก ไม่เอาน่ะโอลิเวอร์ ฉันรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ แกไม่ต้องรับแทนหรอก”

                “แต่...”

                “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ฉันบอกว่ารับผิดชอบได้คือรับผิดชอบได้ นี่แกไม่เชื่อใจนายแกหรือ?”

                โอลิเวอร์สั่นศีรษะ ขณะที่อ้าปากกำลังจะพูดอะไร เดวิดก็เดินเอาล่วมยาเข้ามาให้พอดี ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลยยกมือเป็นเชิงห้ามอีก

                “เอาอ่างใส่น้ำมาด้วย” กอร์ดอนสั่งอีก “ฉันต้องล้างแผลให้ท่านลอร์ด”

                “ครับ” เดวิดหายออกไปอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับอ่างใส่น้ำสะอาด และอ่างเปล่าใบหนึ่ง ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองด้วยความพอใจ

                “ขอน้ำให้ฉันสักแก้วด้วยสิ ฉันอยากบ้วนปาก”

                “ได้ครับ” เดวิดเดินไปรินน้ำจากเหยือกใส่แก้วมาให้ ลอร์ดโทรว์บริดจ์รับไว้แล้วดื่มมัน ก่อนจะบ้วนลงในอ่าง เขาส่งแก้วคืนให้เดวิด “ขอบใจนะ”

                เอิร์ลหนุ่มหันไปสั่งคนรับใช้ “เอาล่ะ ออกไปรอข้างนอกก่อน”

                “ครับ” โอลิเวอร์โค้งให้ฝ่ายนั้นก่อนจะเดินออกไป ลอร์ดโทรว์บริดจ์หันไปมองเดวิด “เธอก็ด้วย”

                “อ๊ะ! ไม่ต้องให้ผมช่วยหรือครับ?” เดวิดมีสีหน้าแปลกใจ ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่นศีรษะ “ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมองเวลาถอดเสื้อ”

                “โอ... เข้าใจแล้วครับ” เดวิดรีบพูด ก่อนจะโค้งให้ฝ่ายนั้น แล้วออกจากห้องไปทันที จึงเหลือแค่ลอร์ดหนุ่มกับช่างตัดเสื้อสองคน

                กอร์ดอนเดินไปปิดประตูห้อง ก่อนจะหันมามองลอร์ดหนุ่มด้วยความเป็นห่วง “คุณเช็ดหน้าก่อนดีกว่าครับ”

                เขาเทน้ำใส่อ่างอีกอ่าง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าลงไปชุบน้ำ บิดและส่งให้อีกฝ่าย ลอร์ดโทรว์บริดจ์รับผ้ามาเช็ดหน้า พลางมองช่างตัดเสื้อ

                “ผมจะทำแผลที่มือให้คุณนะ” เขาพูด แล้วถืออ่างใส่น้ำมาวางไว้ข้างๆ ก่อนจะคุกเข่าลงนั่งตรงหน้าลอร์ดหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หยิบผ้าก็อซมาชุบน้ำแล้วค่อยๆ เช็ดลงไปบนรอยถลอกที่อยู่บนหลังมือ

                “เจ็บรึเปล่าครับ?”

                “เล็กน้อยมาก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ “เวลาผมเล่นรักบี้ก็เจ็บตัวแบบนี้แหละ”

                กอร์ดอนมีสีหน้าแย้งอย่างเห็นได้ชัด เขาค่อยๆ เช็ดแผลอย่างเบามือ ก่อนจะใช้ผ้าก็อซแห้งซับ แล้วทาสีผึ้งสำหรับใส่แผลลงไป จากนั้นก็พันด้วยผ้าพันแผล ลอร์ดโทรว์บริดจ์ใช้ดวงตาสีเขียวของเขามองอากับกิริยาของช่างตัดเสื้อตลอดเวลา

                กอร์ดอนใช้เวลาไม่นานก็ทำแผลบนหลังมือทั้งสองข้างให้ท่านเอิร์ลเสร็จ อีกฝ่ายพูดกับเขาด้วยความพิศวง “คุณดูทำแผลเก่งนะ เย็บผ้านี่บาดเจ็บบ่อยมากเลยหรือ?”

                “ก็ไม่เชิงหรอกครับ” กอร์ดอนตอบ “ส่วนใหญ่เป็นเรื่องโดนเข็มแทงกับเข็มเกี่ยวเสียมากกว่า” ช่างตัดเสื้อดูลังเลที่จะพูดต่อ “ก่อนปู่ผมจะเสีย เขาเป็นแผลกดทับน่ะครับ ผมเคยช่วยพยาบาลทำแผลให้เขา”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “ปู่คุณคงมีความสุขมากที่มีหลานแบบคุณ” เขาจับมือของช่างตัดเสื้อมากุมไว้ กอร์ดอนรีบพูดต่อ “คุณจะให้ผมดูรอยช้ำบนตัวมั้ยครับ?”

                “อ๋อ แน่นอน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า ก่อนจะปล่อยมือช่างตัดเสื้อ แล้วปลดกระดุมเสื้อของตัวเอง

                “เรื่องกระแทกคอกกั้นน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่รอยที่ถูกชกเอาเรื่องเหมือนกัน ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมลอร์ดควีนสเบอรี่ถึงให้ใส่นวมชก” เอิร์ลหนุ่มพูดพลางถอดเสื้อออก รอยแดงชัดถนัดตาปรากฏอยู่บนชายโครงของเขา

                “หมอนั่นหมัดหนักใช้ได้เลย ผมคิดว่าจะจุกจนลุกไม่ขึ้นแล้ว” ลอร์ดหนุ่มพูดขณะที่ช่างตัดเสื้อทาสีผึ้งสำหรับรอยฟกช้ำให้

                “ผมกลัวแทบตาย” กอร์ดอนพูด ขณะทายาให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ “กลัวคุณจะเป็นอะไรไป ยังไม่มีใครที่เอาชนะไซคลอปได้เลย เขาเป็นไม้ตายของแมคคาธี”

                “โชคดีที่ผมเอาชนะเขาได้” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ไม่อย่างนั้นเขาคงเอาตัวคุณไว้ทั้งคืน ผมต้องเป็นบ้าตายแน่”

                กอร์ดอนหน้าแดง เขารีบห่อปากเป็นเชิงให้อีกฝ่ายลดเสียง “แมคคาธีไม่ทำอะไรผมหรอกครับ เต็มที่เขาก็ให้ผมนั่งจ้องหน้ากับเขา เขาไม่เคยทำเรื่องหยาบคายอะไรกับผมมากไปกว่าการใช้คำพูดครับ”

                “งั้นหรือ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำหน้าไม่เชื่อ “แต่ทุกคนที่นั่นดูหยาบคายมากนะ ผมสงสัยว่าคุณรู้จักที่นั่นได้ยังไง? แค่ช่างที่ร้านชวนไปแค่นั้นเองหรือ?”

                กอร์ดอนมีสีหน้าลังเล แต่ในที่สุดเขาก็ตอบคำถาม “ช่างที่เคยทำงานที่ร้านผมคนนึงเคยติดหนี้เขาครับ ผมเลยตามไปใช้ให้”

                “อ้อ...” เอิร์ลหนุ่มพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงไม่อยากไปที่นั่นอีก พวกนั้นไร้มารยาทมาก”

                “ครับ คุณคงเห็นแล้ว”

                “อืม...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเรือนผมสีทองของคนที่กำลังทายาให้เขาอยู่ แล้วพูดต่อ “แมคคาธีเคยมารังควาญคุณที่นี่มั้ย หลังจากคุณไปที่บ่อนเขาแล้ว ท่าทางเขาสนใจคุณมากนะ”

                “เขาเคยมาด้วยตัวเองครั้งนึงครับ” กอร์ดอนตอบ “แต่เผอิญวันนั้นท่านดยุกอ็อคฟอร์ดมาที่ร้านผมพอดี หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้ามาอีกเลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำหน้าแปลกใจ “ท่านดยุกอ็อคฟอร์ดมาหาคุณถึงนี่เลยหรือ? ทำไมล่ะ? เขามาเลือกผ้าหรือ?”

                “ครับ” กอร์ดอนพยักหน้า “บางครั้งท่านนดยุกก็จะมาดูที่ร้านเอง บางครั้งผมก็จะยกไปให้ดูที่คฤหาสน์ครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มีสีหน้าครุ่นคิด “คุณคงเป็นช่างตัดเสื้อคนโปรดของเขาจริงๆ ปกติเขาเป็นคนที่ไปพบคนอื่นน้อยมาก มีแต่คนต้องไปพบเขา”

                “เขาเป็นถึงท่านดยุกนี่ครับ” กอร์ดอนว่า เอิร์ลหนุ่มพยักหน้า “ก็ใช่...” เขาขยับปากเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็เปลี่ยนใจ รอจนช่างตัดเสื้อทายาที่ชายโครงเสร็จ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ก็จับมือเขาเอาไว้

                “ยังเหลือแผลที่ปากผมอีกนะ”

                “ครับ ผมมียาทาแผลในปาก” กอร์ดอนพูด และทำท่าจะผละออกไปหยิบยา แต่ถูกอีกฝ่ายยุดมือไว้ “ไม่ต้องหรอก ยาทาแผลในปากที่บ้านผมก็มี”

                “ถ้างั้น...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์รีบพูดต่อ “ผมอยากได้มนตร์วิเศษจากคุณน่ะ”

                “หืม?” ช่างตัดเสื้อมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ท่านเอิร์ลคลี่ยิ้ม แล้วใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากของคู่สนทนา

                “ผมอยากได้มนตร์วิเศษจากตรงนี้ของคุณน่ะ”

                กอร์ดอนหน้าแดง เขารีบกระซิบ “อย่าพูดดังไปครับ ห้องนี้ไม่เก็บเสียง”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์โอบเอวของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วกระซิบตอบ “ให้ผมได้รึเปล่า?”

                กอร์ดอนเม้มริมฝีปาก ก่อนจะผงกศีรษะ ลอร์ดโทรว์บริดจ์โน้มหน้าลงมา ทั้งคู่แนบริมฝีปากเข้าหากัน เคล้าจูบเบาๆ แล้วผละออก

                “วิเศษมาก พรุ่งนี้แผลผมคงหาย” ท่านเอิร์ลกระซิบ กอร์ดอนหน้าแดงด้วยความเขินจัด เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ลอร์ดหนุ่มกอดเขาไว้ ก่อนจะยกมือลูบใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆ

                “กอร์ดอน หลังจากนี้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องแมคคาธีหรอกนะ ผมจะจัดการจนแน่ใจว่าเขาจะไม่มาทำยุ่มย่ามอะไรกับคุณอย่างเด็ดขาด”

                ช่างตัดเสื้อหันกลับมามองฝ่ายนั้น ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดต่อ “ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกว่าผมนำเรื่องยุ่งยากมาให้”

                “เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น” กอร์ดอนรีบปฏิเสธ “แต่แมคคาธีรู้จักช่างในร้านผม...”

                เอิร์ลหนุ่มก้มลงจูบแก้มฝ่ายนั้นเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก ผมรู้ว่าคุณคิดแน่ว่าเขาต้องอยากแก้แค้น และคนที่แก้แค้นง่ายที่สุดก็คือคุณ ถ้าเขาเข้าถึงตัวคุณไม่ได้ ก็คงเข้าถึงตัวช่างในร้านคุณ แต่เชื่อผมเถอะกอร์ดอน เขาจะไม่มีวันทำแบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้เห็นตราบนหัวไม้เท้าของแมกซ์แล้ว”

                กอร์ดอนเบิ่งตากว้างด้วยความแปลกใจ “หมายความว่าไงครับ?”

                “มันไม่มีความหมายพิเศษอะไรสำหรับคนสุจริตแบบคุณหรอก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “แต่มันมีความหมายสำหรับคนแบบแมคคาธี แย่หน่อยนะที่ผมอธิบายรายละเอียดให้คุณฟังมากไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะนี่คือความลับของแมกซ์ ผมไม่สามารถเอาความลับของคนอื่นมาพูดต่อได้”

                คนฟังพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ”

                “เข้าใจแล้วจริงๆ นะ?” เอิร์ลหนุ่มถามย้ำ “ถ้าคุณรู้สึกว่ายังไม่ปลอดภัยพอ ผมจะให้คนมาเฝ้าที่หน้าร้านคุณ รวมถึงบ้านช่างที่ร้านคุณด้วย”

                “ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่คุณรับรอง ผมก็เชื่อแล้ว” กอร์ดอนว่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาอย่างไม่แน่ใจนัก

                “แน่ใจนะ...” ท่านเอิร์ลถามย้ำ ก่อนจะพูดต่อ “ที่จริงแล้วแมคคาธีก็ทำผมเสียหน้าอยู่ เขาคงทำให้คุณรู้สึกว่าผมต้องพึ่งบารมีของพ่ออยู่ร่ำไป โดยที่ตัวผมไม่มีอำนาจอะไรเลย”

                กอร์ดอนขยับปากทำท่าจะพูดอะไร แต่ถูกอีกฝ่ายยกมือห้ามไว้ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดปลอบใจผมหรอก ผมกำลังจะพูดต่อว่ามันก็จริงอย่างที่เขาคิด แต่เขาคงไม่เข้าใจ ขณะที่คนอย่างเขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจเอาไว้ในมือ คนอย่างผมก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจเก่าเอาไว้เหมือนกัน เพราะอนาคตของผมถูกกำหนดเอาไว้แล้วตั้งแต่ผมเกิดมา”

                ช่างตัดเสื้อมองหน้าคู่สนทนา เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างและเย็นชาในน้ำเสียงของลอร์ดโทรว์บริดจ์ ชั่วขณะที่เขามองเข้าไปในดวงตาสีเขียวคู่นั้น กอร์ดอนรู้สึกเหมือนมีฝ้าน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่ในดวงตาคู่งามนั้น แต่ก็เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เดียว พอเขาเพ่งมองอีกครั้ง ความเย็นชานั้นก็หายไป คงเหลือแต่ความอบอุ่นสดใสและภาพของเขาเท่านั้นที่สะท้อนอยู่

                กอร์ดอนยกมือขึ้นบีบแขนของฝ่ายนั้น “จอห์น คุณเพิ่งใช้มือเปล่าๆ สองมือพาผมกลับมายืนตรงนี้ได้ ต่อให้ตอนนี้คุณเป็นแค่ผู้จัดการเหมือง ผมก็ยังจะเชื่อคุณ ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหรือบรรดาศักดิ์ของคุณหรอก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เบิ่งตาสีเขียวสดใสของเขามองช่างตัดเสื้อ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “คำพูดของคุณวิเศษเสียยิ่งกว่ายาดีที่ไหนเสียอีก”

                กอร์ดอนยิ้มตอบ ก่อนจะใช้มือประคองใบหน้าของลอร์ดโทรว์บริดจ์เอาไว้ แล้วแนบริมฝีปากลงไป             

--------------------------------------------

                เช้าวันรุ่งขึ้น ลอร์ดบาธต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นลูกชายตัวดีโผล่มาที่ห้องทำงานของเขาตั้งแต่ก่อนเวลามื้อเช้า ทั้งที่เมื่อคืนก็กลับมาดึกมาก

                “อรุณสวัสดิ์ครับพ่อ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์เอ่ยทักแล้วปิดประตูห้องทำงาน เขาแต่งตัวด้วยชุดที่เพิ่งตัดมาใหม่ หวีผมเรียบร้อย ใส่น้ำหอมอย่างดี ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบอย่างที่พ่อของเขาอยากให้เป็น แต่ลอร์ดบาธกลับขมวดคิ้วมุ่น

                “นั่นหน้าแกไปโดนอะไรมา? ไปมีเรื่องชกต่อยมาหรือ?”

                เอิร์ลหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งข้างโต๊ะทำงานของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะอ้าปากพูดต่อ “ผมจะมาคุยเรื่องนี้กับพ่อนี่แหละครับ... เมื่อวันศุกร์ผมไปดูแมดเนอร์ชกมา”

                “อืม... พ่อรู้แล้ว แกเล่าพ่อแล้วเมื่อเช้าวาน”

                “ผมไม่อยากแพ้เขา...”

                “อืม...”

                “แต่ผมไม่เคยชกจริงกับใครมาก่อน...”

                ลอร์ดบาธมองหน้าลูกชาย เขาสูดหายใจลึก แล้วถอนออกมา “สรุปแล้วเมื่อคืนแกไปชกกับใครมา วิวาทข้างถนน หรือว่าให้ใครหาคู่ชกให้? มีเรื่องสำคัญอะไรที่พ่อต้องรู้มั้ย?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่นศีรษะ “ไม่มีครับ แต่ผมมีเรื่องนึงต้องขอร้องพ่อ”

                “อะไรล่ะ?”

                “ช่วยแก้ตัวเรื่องรอยช้ำบนหน้าผมกับแม่ที... แม่ต้องบ่นแน่ และผมก็นึกคำแก้ตัวดีๆ ที่ทำให้แม่ไม่บ่นไม่ออกเลยครับ”

                ลอร์ดบาธมองหน้าลูกชายอึดใจ ก่อนจะสั่นศีรษะ “แกโตแล้วจอห์น แกต้องรู้จักหัดรับผลในสิ่งที่แกทำบ้าง”

------------------------------------

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยายามอย่างยิ่งที่จะทำสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด ในตอนที่เขาเดินไปที่ห้องอาหาร เผื่อว่าแม่ของเขาจะได้ไม่รู้สึกตื่นตกใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลนัก

                “พระเจ้าช่วย! นั่นหน้าลูกไปโดนอะไรมา?!” เลดี้บาธอุทานแล้วลุกพรวดจากเก้าอี้ตรงไปหาลูกชายทันที เธอยกมือขึ้นแตะใบหน้าของเขาด้วยความปวดร้าวใจ

                “เกิดอะไร ใครทำร้ายลูกแบบนี้? แล้วนี่ลูกหาหมอหรือยัง?” โดยไม่รอให้ใครพูดอะไรต่อ เธอหันไปสั่งสาวใช้ทันที “ไปตามคุณหมอไอเซนไฮม์มาเร็ว”

                “มาเรีย ผมว่าเรื่องนี้ไม่ถึงกับต้องตามหมอไอเซนไฮม์มาหรอก” ลอร์ดบาธที่เดินตามเข้ามาพูด ก่อนจะสั่งให้สาวใช้ออกไปยืนรอนอกห้องอาหาร เลดี้บาธมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ “แต่ลูกเราบาดเจ็บนะคะ”

                “เขาแค่มีรอยช้ำที่หน้านิดหน่อย” ลอร์ดบาธว่า ภริยาของเขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันมามองลูกชาย

                “นิดหน่อยตรงไหนกันคะ? นี่ลูกเราปากแตกนะ แล้วดูสิ” เธอจับมือทั้งสองข้างของลูกชายขึ้นมา “หลังมือของเขาก็มีแผล โอ... ใครกันช่างทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้กับลูกได้”

                “แม่ครับ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์หาจังหวะพูดแทรกได้ในที่สุด “มันไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่การต่อสู้ของสุภาพบุรุษ”

                “?” เลดี้บาธเลิกคิ้วมองเขา ลอร์ดหนุ่มพูดต่อ “ผมแค่ออกไปฝึกซ้อมพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการซ้อมของลอร์ดควีนสเบอรี่ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่แพ้ในการชกจริง แค่นั้นเองครับ”

                “โอ...” เลดี้บาธทำท่าเหมือนจะเป็นลม เธอกวาดตามองลูกชายตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะจูงมือเขามานั่งที่เก้าอี้ “ลูกแน่ใจนะจ้ะว่าไม่ต้องการพบหมอ?” เธอถามแล้วพิศมองลูกชายอีกครั้ง “แม่ว่าให้หมอมาตรวจดูหน่อยดีกว่า หน้าลูกช้ำมาก อย่างน้อยๆ ลูกก็ต้องทายา แล้วยังแผลที่มืออีก นี่ใครทำแผลให้ลูกจ้ะ?”

                “มีคนช่วยทำให้เมื่อคืนครับ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะพูดต่อ “ผมว่าถ้าตามหมอมาตอนนี้จะรบกวนเวลาไปโบสถ์ของเขาเปล่าๆ ครับ เรากินมื้อเช้า ไปโบสถ์ก่อน แล้วค่อยตามเขามาช่วงบ่ายดีกว่า”

                เลดี้บาธลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็พยักหน้า “ก็ได้จ้ะ”

----------------------------

                หมอไอเซ็นไฮม์ถูกตามตัวมาหลังจากเลิกพิธีที่โบสถ์ เขามาถึงก่อนเวลาสิบเอ็ดโมงเล็กน้อย และเข้าพบกับเอิร์ลหนุ่มในห้องรับรองส่วนตัวที่ชั้นสองของคฤหาสน์

                “อรุณสวัสดิ์ครับท่านลอร์ด”

                “อรุณสวัสดิ์คุณหมอ ดื่มชามั้ย?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์เอ่ยทัก พลางผายมือไปยังถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ หมอไอเซนไฮม์เอ่ยขอบคุณ ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งประจันหน้ากับเขา

                “ใบหน้าคุณดูบอบช้ำไม่น้อยเลยนะครับ” หมอพูด เขามีวัยสูงกว่าลอร์ดบาธประมาณสี่ปี และเป็นหมอประจำตระกูลคาเว็นดิชรุ่นที่สองสืบทอดต่อจากพ่อของเขา

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร”

                “เท่าที่ดูก็ไม่น่าจะร้ายแรงไปกว่าแค่รอยช้ำ” หมอไอเซนไฮม์ว่า ก่อนจะพูดต่อ “ช่วยกรุณาอ้าปากหน่อยครับ ผมจะดูรอยแผลแตกด้านใน”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                ลอร์ดโทรว์บริดจ์อ้าปากตามคำขอ หมอใช้ไฟฉายส่องดูในปากของเขา ก่อนจะพยักหน้า “แผลไม่ใหญ่มาก ผมว่าทายาสักสองสามวันก็น่าจะหายเป็นปกติแล้วครับ”

                “อืม”

                “ขอดูแผลที่มือคุณหน่อยครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้ว “ผมทำแผลที่มือแล้ว”

                “แต่ท่านมาร์ชันเนสอยากให้ผมตรวจดู” หมอไอเซนไฮม์ว่า “ขอดูมือหน่อยครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือทั้งสองข้างของเขาให้หมออย่างไม่เต็มใจนัก หมอแกะผ้าพันแผลออกจากมือเขา

                “ใครทำแผลให้คุณครับเนี่ย? เธอเป็นสุภาพสตรีที่ดูน่าสนใจทีเดียว”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้ว “ไม่ เขาเป็นผู้ชาย เป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม”

                หมอไอเซนไฮม์ทำหน้าแปลกใจ “ผู้ชายหรือครับ งั้นเขาคงผ่านการทำแผลมาพอสมควรเลย และน่าจะเป็นคนละเอียดอ่อนมาก ดูจากการที่เขาพันแผลให้คุณนะครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้ม “ผมว่าเขาพันได้ดีแล้ว เลยไม่อยากให้คุณแกะน่ะ”

                “แต่ผมต้องทำตามคำขอร้องของท่านมาร์ชันเนส อีกอย่างคุณต้องล้างแผลใหม่ แต่แผลถลอกแบบนี้สักสองวันก็หายแล้วครับ”

                “อืม ผมบอกแม่แล้วว่าไม่ต้องตามคุณมา” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า หมอพยักหน้า “ครับ แต่ผู้หญิงทุกคนต้องเป็นห่วงลูกๆ ของเธออยู่แล้ว”

                ลอร์ดหนุ่มพยักหน้า เขานั่งมองหมอไอเซนไฮม์ทำแผลที่หลังมือ

                “มีส่วนไหนที่ผมจำเป็นต้องตรวจอีกมั้ยครับ?” หมอพูดหลังจากทำแผลใหม่เรียบร้อย คนถูกถามนั่งนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง “มี ที่ชายโครงผม” เขาพูด แล้วเลิกเสื้อขึ้น ก่อนจะพูดต่อ “ผมต้องพักการซ้อมมวยไหม?”

                หมอไอเซ็นไฮม์มองรอยแดงที่ชายโครงซ้ายของลอร์ดโทรว์บริดจ์ แล้วตอบเขา “คุณควรพักการออกกำลังกายอย่างหักโหมสักสองสามวัน ไม่อย่างนั้นอาจจะมีอาการอักเสบในกล้ามเนื้อเกิดขึ้นได้ครับ”

                “ตกลง”

                “ยังมีจุดไหนที่เป็นรอยแบบนี้อีกไหมครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่นศีรษะ “ไม่มีแล้วล่ะ คุณอยากดื่มชาเป็นเพื่อนผมไหม?”

                “ขอบคุณในน้ำใจครับ” หมอตอบ “แต่ผมอยากกลับไปดื่มที่บ้านมากกว่า”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้ม “ตามสบายเถอะคุณหมอ ผมจะออกไปส่งคุณแล้วกัน”

                หลังจากหมออธิบายเรื่องอาการบาดเจ็บของลูกชายว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และให้ยาสำหรับทาแผลและรอยฟกช้ำเอาไว้ชุดหนึ่ง เลดี้บาธก็ดูมีสีหน้าดีขึ้นมาก ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงคัดค้านอย่างแข็งขันว่าลอร์ดลูกชายจะต้องไม่ใช่เวลาในช่วยบ่ายวันอาทิตย์ไปกับกิจกรรมกลางแจ้งที่อาจจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้อีกอย่างเช่นการเล่นเทนนิส ท้ายที่สุดสองพ่อลูกจึงลงเอยกันที่การเล่นหมากรุก ซึ่งเป็นกิจกรรมสุดโปรดของลอร์ดบาธ แต่ทว่าลอร์ดโทรว์บริดจ์ไม่เคยนึกชอบมันเลย

                “ที่จริงผมคิดว่าเราน่าจะเล่นไพ่กัน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูด หลังจากใช้เวลาในการแก้ตาหมากของผู้เป็นพ่อนานถึงสี่นาที ลอร์ดบาธมองลูกชายแล้วสั่นศีรษะ “ไพ่ที่เล่นสองคนมันไม่สนุกหรอก แกก็รู้”

                “แต่ผมไม่ชอบเล่นหมากรุกนี่ครับ” ลอร์ดหนุ่มคร่ำครวญ ก่อนจะทำหน้าเศร้า เมื่อพ่อของเขาใช้เวลาแก้ตาหมากที่เขาวางไม่ถึงครึ่งนาที

                “มันไม่ขึ้นอยู่กับว่าแกชอบหรือไม่ชอบหรอก” ผู้เป็นพ่อบอกเขา “มันคือการฝึกฝน ไม่ว่าแกจะชอบหรือไม่ก็ตาม”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำคอตก เขาเคาะนิ้วลงบนตัวหมากด้วยความเบื่อหน่าย จนพ่อของเขาต้องพูดขึ้นต่อ “มีสมาธิหน่อยจอห์น พ่ออยากเห็นแกตั้งใจเล่นกว่านี้ เอาให้เหมือนเวลาแกเล่นรักบี้หรือกีฬาอย่างอื่นน่ะ”

                “โธ่ พ่อครับ” ลอร์ดหนุ่มคราง “รักบี้กับหมากรุกมันเหมือนกันเสียที่ไหนล่ะครับ ในสนามรักบี้ ผมมีเพื่อนๆ คอยช่วย แต่ในกระดานหมากรุก ผมมีแต่ต้องช่วยเหลือตัวเองนี่นา”

                “ก็นั่นแหละ สิ่งที่แกต้องเรียนรู้ล่ะ” ลอร์ดบาธว่า “คนเราจะคอยให้คนอื่นช่วยไปตลอดไม่ได้หรอก พ่อไม่เถียงหรอกนะว่าการมีเพื่อนคอยช่วยเหลือเป็นสิ่งดี แต่ที่แกต้องจำไว้คือแกต้องหัดรู้จักเอาตัวรอดด้วยตัวเองด้วย”

                “ผมไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกับหมากรุกตรงไหน...”

                “พ่ออยากให้แกตั้งใจเล่น”

                “แต่...”

                “จอห์น...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำคอตกอีกครั้ง เขาสูดหายใจลึก ก่อนจะรวบรวมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับกระดานหมากรุกตรงหน้า เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง สุดท้ายลอร์ดหนุ่มก็แพ้ให้กับพ่อของเขาแบบล้มกระดาน

                “ผมเอาชนะพ่อไม่ได้หรอก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์คราง “พ่อเล่นเกมพวกนี้เก่งมาก”

                ลอร์ดบาธมองลูกชาย “พ่อจะบอกอะไรให้นะ ถ้าแกยอมเสียหมากตัวนั้นตั้งแต่ตาเดินที่หก แกจะมีโอกาสชนะพ่อ รู้มั้ยว่าเกมกระดานพวกนี้สอนอะไร มันสอนว่าเมื่อแกคิดจะรักษาทุกอย่างเอาไว้ให้เหมือนเดิม เวลาอยู่ในสถานการณ์ลำบาก สุดท้ายแกก็จะไม่เหลืออะไรเลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้าเห็นด้วย “ผมถึงไม่ชอบหมากรุกไงครับ ผมว่ามันเป็นเกมที่อำมหิต”

                “พ่อบอกแล้วว่ามันไม่ขึ้นกับว่าแกชอบหรือไม่ชอบ” เขาเรียงตัวหมากลงไปในกระดานใหม่ “อีกเกมสิ อย่างน้อยๆ วันนี้แกควรจะชนะพ่อสักเกม”

                สองพ่อลูกเริ่มเล่นเกมกระดานกันใหม่อีกครั้ง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยังคงใช้เวลาคิดแก้ปัญหาในตารางสี่เหลี่ยมนั้นนานเหมือนเดิม

                “ใจแข็งหน่อยจอห์น มันก็แค่ตัวหมาก”

                “ครับ ผมรู้ว่ามันเป็นตัวหมาก แต่ผมกลัวว่าถ้าเดินตัวนี้ออกไปแล้วจะแพ้นี่ครับ”

                “แกมองล่วงหน้าไปกี่ตาแล้วล่ะ?”

                “สามครับ”

                “น้อยไป อย่างน้อยๆ แกต้องมองสี่ ห้า หรือหก” ลอร์ดบาธพูด “ถ้าแกเดินหมากมาตรงนี้ แกต้องคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวอื่นๆ แน่นอนว่ามันต้องมากกว่าสี่หรือห้าอยู่แล้วในความเป็นจริง สำหรับคนเชี่ยวชาญและเจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่เก่งมากนัก เขาอาจจะเดาใจคู่ต่อสู้ออกและมองไปได้ถึงการปิดเกมตั้งแต่เดินหมากกันได้สามตาด้วยซ้ำ แต่ในกรณีที่คู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อกัน บางทีมันก็คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดีๆ นี่แหละ ถึงจะคิดความเป็นไปได้เอาไว้ไม่รู้กี่แบบแล้ว แต่มันก็มีบ้างเหมือนกันที่คู่ต่อสู้ทำสิ่งที่คาดไม่ถึง ตรงนั้นแหละที่ท้าทาย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะฝืดฝืน “กว่าผมจะไปถึงขั้นนั้นคงอีกนานมาก” ลอร์ดหนุ่มว่า ก่อนจะพูดต่อ “แต่ผมจะพยายามเรียนรู้ไว้ครับ”

                “แกควรต้องเรียนรู้ให้เร็ว” ลอร์ดบาธพูดและเดินหมากต่อ เขายกตัวหมากของลูกชายออกไปอีกตัวสองตัว

                “ผมก็คิดว่าเกมนี้ควรจะจบได้แล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า เขาเดินหมากอีกตัว “โดยมีพ่อเป็นผู้ชนะเหมือนเดิม”

                “ชนะพ่อให้ได้สักเกมสิจอห์น... พ่อรู้น่าว่าแกทำได้”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์แลบลิ้นเลียริมฝีปาก แล้วสูดหายใจ “จะลองดูนะครับ”

                แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังพ่ายแพ้ในเกมนั้นอยู่ดี ลอร์ดบาธสั่นศีรษะ แล้วเตรียมจะลุกออก แต่ถูกลูกชายเรียกไว้ “ผมขออีกสักเกม ผมแน่ใจว่าเกมนี้น่าจะพอสูสีอยู่นะครับ”

                คนเป็นพ่อเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่ก็ยอมนั่งต่อ การเดินหมากเริ่มขึ้นอีกครั้ง ลอร์ดบาธพบว่าลูกชายของเขายังคงใช้วิธีเดินหมากเหมือนสองเกมแรก

                “ดื้อนะจอห์น พ่อบอกแล้วไงว่าถ้าแกไม่ยอมเสียสิ่งที่ควรจะ แกจะเสียทุกอย่างและพ่ายแพ้”

                “ผมไม่ชอบเสียอะไรที่มีอยู่ในมือเลยครับ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์บอกพ่อเขา “แต่ผมก็ไม่ชอบการพ่ายแพ้เหมือนกัน”

                ทั้งคู่เริ่มเดินหมากกันต่อ ไม่นานลอร์ดบาธก็พบว่าวิธีเดินหมากของลูกชายเริ่มเข้าขั้นบ้าบิ่น เขาถึงกับหัวเราะออกมา “ไม่เลว ไม่เลวเลยสำหรับการเดินแบบนี้”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้ม เขาเคลื่อนหมากอีกตัว ผู้เป็นพ่อมองอย่างพิศวง “แกจะเดินหมากแบบนี้จริงๆ หรือ?”

                “ครับ”

                “น่าสนใจ” ลอร์ดบาธว่า เขาถึงกับใช้เวลากว่าห้านาทีในการเคลื่อนหมากตัวหนึ่ง ก่อนจะประกาศขอยอมแพ้หลังจากลอร์ดลูกชายทิ้งอัศวินฝั่งตัวเอง

                “พ่อแพ้แล้ว” ลอร์ดบาธว่า อีกฝ่ายมองเขาอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะครับ?”

                “ต่อให้พ่อมีอัศวินอีกสองตัวก็จบเกมไม่ได้อยู่ดี เพราะทุกตัวโดนเบี้ยล้อมไว้หมดแล้ว แกทิ้งอัศวินอีกตัวก็รุกฆาตพ่อได้เลย” พูดจบเขาก็หยิบอัศวินของลูกชายออกแล้วจัดการเดินหมากปิดเกมให้อีกฝ่ายดู ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองพ่อของเขายิ้มๆ

                “ผมไม่คิดว่าพ่อจะยอมแพ้ง่ายๆ นะเนี่ย”

                “พ่อไม่ได้ยอมแพ้ง่าย” ลอร์ดบาธบอกลูกชาย “แต่พ่อรู้ว่าเวลาไหนควรจะยอมแพ้ต่างหาก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้าพลางพูด “พ่อว่าผมเดินหมากเกมนี้เป็นไงครับ?”

                “ใช้ได้เลย พ่อว่ามันดูสมกับเป็นแกดี” ลอร์ดบาธพูด แล้วลุกขึ้นยืน “ออกไปเดินสูดอากาศกันหน่อยดีกว่า แม่แกคงไม่บ่นหรอกถ้าพวกเราจะแค่เดินเล่นกันเฉยๆ”

---------------------------------

                เช้าวันจันทร์ หลังจากออกกำลังกายและกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ลอร์ดโทรว์บริดจ์ก็นั่งรถม้าออกจากคฤหาสน์ เพื่อซื้อน้ำหอมและสายคาดไหล่ชุดใหม่ จากนั้นเขาให้คนรับใช้จอดรถรออยู่แถวนั้น ส่วนตัวเองลงมาเดินเตร็ดเตร่บนถนน แวะซื้อหนังสือพิมพ์ที่แผงข้างทาง และหยุดยืนสูบบุหรี่ตรงหัวมุมถนนหรือหน้าร้านค้าที่มีคนยืนคุยกันอยู่จำนวนหนึ่ง หลังเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาที่รถม้าด้วยสีหน้าเบิกบานใจเป็นที่สุด

                “ไปคฤหาสน์ของลอร์ดสวินดัน ฉันจะไปหาแมกซ์”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์แทบจะปรากฏตัวขึ้นทันที หลังจากคนรับใช้เปิดประตูรั้วให้รถม้าของลอร์ดโทรว์บริดจ์เข้าไป คฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์เก่าแก่ดั้งเดิมของตระกูลเมอร์เรย์ มีเนื้อที่กว้างขวางมากกว่าแปดเอเคอร์ เกินครึ่งคือสวนที่ถูกตกแต่งอย่างประหลาดมหัศจรรย์ ส่วนตัวคฤหาสน์เองก็ถูกต่อเติมมาโดยเจ้าบ้านหลายรุ่น รูปทรงของคฤหาสน์จึงดูแปลกตาจนเข้าข่ายลึกลับในสายตาของผู้ที่ผ่านไปผ่านมา

                “รสนิยมสวนเขาวงกตของพ่อนายทำให้ฉันแปลกใจทุกทีที่มาที่นี่ เขาเปลี่ยนทรงพุ่มไม้อีกแล้วใช่มั้ย?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดหลังจากทั้งคู่ทักทายกันเรียบร้อยแล้ว คนถูกถามพยักหน้า

                “คนสวนของบ้านฉันต้องถือเชือกม้วนใหญ่เวลาเข้าไปในสวนนั่น เขาจะต้องผูกปลายมันเอาไว้กับทางออก และทำงานได้เท่ากับระยะเชือกเท่านั้น ฉันไม่แปลกใจเลยที่มีคนลาออกทุกสามเดือน”

                “เขาเคยปล่อยใครเข้าไปในสวนวงกตนั่นบ้างรึเปล่า?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามขณะมองไปยังสวนไม้ดัดที่ถูกตัดแต่งเป็นทรงแท่งขนาดใหญ่ความสูงของมันไม่ต่ำกว่าสองเมตร และกินบริเวณเกือบครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ทั้งหมด จะว่าไปแล้วสวนนี้ใหญ่กว่าตัวคฤหาสน์ของตระกูลเมอร์เรย์ที่เรียกกันว่าคฤหาสน์สามเส้าเสียอีก

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ยักไหล่ “ใครจะไปรู้”

                เขาพาลอร์ดโทรว์บริดจ์ไปที่ห้องรับแขกส่วนตัวซึ่งอยู่ที่ปีกหนึ่งของคฤหาสน์ ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว ห้องรับแขกส่วนตัวของลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ค่อนข้างเล็กมากที่เดียวเมื่อเทียบกับขนาดของสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่

                “นายมาได้จังหวะพอดี พ่อฉันอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า ก่อนจะพูดเสริมต่อ “อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่เคยอารมณ์ดีมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่สองวันนี้เขาค่อนข้างจะอารมณ์ไม่ดีมาก”

                “ฉันดีใจที่มาช่วยนายเอาไว้ได้ทันเวลา” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “เขาหงุดหงิดเรื่องโทรเลขของไมครอฟหรือ?”

                “นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกที่จะทำให้เขาหงุดหงิดได้” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า “เพราะเขาไม่เคยสนใจมันด้วยซ้ำ” ลอร์ดหนุ่มพูดพลางถอนหายใจหนัก “ไมกี้ขึ้นเรือแล้ว เขาคงไม่ส่งโทรเลขมาอีกพักใหญ่ๆ จนกว่าเขาจะขึ้นฝั่ง พนันได้เลยว่าพ่อฉันต้องหงุดหงิดใส่ฉันยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขามาถึง”

                “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงชอบไมครอฟมากกว่านาย ทั้งๆ ที่พวกนายทั้งคู่ก็ดูเหมือนๆ กัน”

                “เขารู้สึกว่าไมกี้ฉลาดกว่าฉัน” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ตอบ “ฉันคิดว่าจริงอย่างที่เขาว่า เพราะถ้าไมกี้โง่พอๆ กับฉัน เขาคงไม่หนีไปอินเดียตั้งเป็นปีๆ เขาฉลาดพอที่จะอ้างเรื่องธุรกิจเพื่อทำให้ตัวเองไม่ต้องทนอยู่ในที่บ้าๆ ที่เรียกว่าบ้านแบบนี้”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “งานที่พ่อนายรับผิดชอบทำให้เขาเป็นแบบนั้น”

                “ฉันก็พยายามจะคิดอย่างนั้นแหละ” อีกฝ่ายตอบ “เพราะถ้าไม่คิดแบบนั้น ฉันต้องรู้สึกว่าตัวเองต้องได้รับการถ่ายทอดอะไรบ้าๆ มาทางสายเลือดด้วยแน่ๆ”

                “ไม่เอาน่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ปลอบเพื่อน “ฉันมีเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้นายฟัง วันนี้ฉันไปเดินเล่นในเมืองมา ทุกคนคุยกันถึงเรื่องที่พวกเราทำที่บาร์นั่น”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ขยับตัวด้วยความสนใจ “ว่ามาสิ ฉันว่าเรื่องของนายคงสนุกกว่าของพ่อฉันแน่”

                “หืม? พ่อนายก็รู้แล้ว?”

                “เขารู้ทุกอย่างนั่นล่ะ” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า “เล่าเรื่องที่นายได้ยินมาสิ ฉันอยากฟัง”

                “พวกคนในเมืองเล่ากันว่า มีสุภาพบุรุษลึกลับกลุ่มหนึ่งเข้าไปกระตุกหนวดของแมคคาธีถึงรังใหญ่ พวกเขาเอาเงินของแมคคาธีมาโปรยแจกจ่าย และทำให้แมกคาธีหมดสภาพด้วยดาบที่ซ่อนไว้ในไม้เท้า ดูทุกคนประทับใจกับดาบของนายมาก”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ยิ้ม “ใช่...” เขาพยักหน้า ก่อนจะทำหน้าเซ็ง “แต่ยกเว้นพ่อฉัน”

                “ทำไมล่ะ?”

                “เขาไม่ชอบใจที่ฉันเอาสัญลักษณ์ให้แมคคาธีดู เขาคิดว่ามันควรจะเป็นหน้าที่ของไมกี้มากกว่า แต่นายก็รู้ว่าไมกี้ไม่เคยสนใจจะทำเรื่องพวกนี้ ตอนเขายังไม่ไปอินเดีย เขาก็ไม่เคยอยู่บ้าน เขาไม่เคยอยากรับช่วงต่องานของพ่อเลย”

                “แต่พ่อนายก็อยากจะให้เขารับช่วง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “แล้วเขาให้นายทำแทนทำไม”

                “เพราะฉันโง่กว่าไมกี้น่ะสิ” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า “ในเมื่อเขาสั่งไมกี้ไม่ได้ เขาก็หันมาสั่งฉันแทน แต่ยังไงตัวจริงของเขาก็คือไมกี้อยู่ดีนั่นล่ะ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตบไหล่เพื่อนเป็นเชิงปลอบ ก่อนที่คนรับใช้จะยกน้ำชาและของว่างมาวางให้

                “พ่อนายคิดยังไงถึงจะให้คนที่ไม่เคยรู้งานเลยอย่างไมครอฟมารับช่วงต่อแทนเขา”

                “เขาคิดว่าฉันสามารถทดแทนส่วนที่ขาดของไมกี้ได้” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า ก่อนจะครางออกมา “พระเจ้ารักเขาแบบไม่ยุติธรรม ทำไมต้องส่งทั้งฉันและไมกี้ให้เกิดมาเป็นลูกเขาด้วย”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                “เอาน่า อย่างน้อยๆ พวกนายก็มีกันและกันอยู่นะ”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พยักหน้า “ใช่ โชคดีที่เรามีกันสองคน ไม่อย่างนั้นฉันว่าไม่เขาก็ฉัน ใครสักคนคงต้องเป็นบ้าก่อน”

                “แล้วนายจัดการธุระให้ไมครอฟไปถึงไหนแล้ว”

                “เรียบร้อยหมดแล้ว” อีกฝ่ายตอบเขา “เอาจริงๆ นะจอห์นนี่ ถ้าไม่ต้องรับหน้าที่บ้าๆ ต่อจากพ่อ ฉันกับไมกี้ร่วมมือกันเปิดบริษัททำธุรกิจก็ไม่เลวนักหรอก ฉันว่าพวกเราทำมันได้ดีเลยล่ะ”

                “ฉันก็คิดแบบนั้นแหละ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ก่อนจะพูดต่อ “ตกลงแล้วพ่อนายอารมณ์เสียเรื่องอะไร คงไม่ใช่เรื่องของแมคคาธีหรอกนะ”

                “นั่นล่ะ ใช่เลย” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ตอบ “เขาหงุดหงิดมากที่รู้ว่าฉันเอาสัญลักษณ์ให้แมคคาธีดู เขามองว่ามันไม่เข้าท่า คนระดับนายไม่จำเป็นต้องใช้สัญลักษณ์นั้นขู่ หมอนั่นก็ไม่กล้าทำอะไรอยู่แล้ว ฉันเลยบอกว่าในนั้นมีช่างตัดเสื้อคนโปรดของเขารวมอยู่ด้วย คราวนี้เขายิ่งหงุดหงิดใหญ่เลย หาว่านายเอาช่างประจำตัวเขาไปเสี่ยง”

                “ให้ตาย...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ครางออกมา “เขาพาลมาลงถึงฉันเลยหรือ?”

                “อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้โมโหนายเท่ากับตอนที่รู้ว่านายรู้ความลับของพวกเราหรอก แต่ที่แน่ๆ เรื่องกอร์ดอนยิ่งทำให้เขาไม่ชอบนายมากกว่าเดิม”

                “โชคดีที่ฉันไม่ต้องทนอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขาเหมือนนาย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยักไหล่ “แล้วเขาทำอะไรกับนายบ้าง? ลงโทษอะไรมากกว่าการเอาไม้เท้าหวดต้นขานายรึเปล่า?”

                “อ๋อ แน่นอน เดี๋ยวนี้เขาเลิกเอาไม้เท้าหวดต้นขาฉันแล้ว” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า “แต่เขาใช้วิธีออกคำสั่งแทน คราวนี้เขาสั่งไม่ให้ฉันเอารถม้าออกจากบ้านเจ็ดวัน ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น และธุระของไมกี้ก็เสร็จหมดแล้ว ฉันเลยไม่เหลือข้ออ้างอะไรจะข้อใช้รถม้า ถ้าฉันอยากออกจากที่นี่ ไม่เดินออกไปก็ต้องขี่ม้าออกไป นายคงไม่คิดว่าฉันจะบ้าขนาดขี่ม้าเข้าไปในเมืองหรอก จริงมั้ย? เพราะงั้นฉันเลยดีใจมากที่นายมาที่นี่”

                “ฉันมาช่วยนายออกจากกรงขังเลยสิ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พยักหน้า “ใช่ นายจะออกไปซ้อมมวยกี่โมง บ่ายสองใช่ไหม? ระหว่างนี้ถ้านายสะดวก พวกเราออกไปเดินเล่นในเมืองกันดีกว่า ฉันเบื่อบ้านตัวเองเต็มทน”

                “เอาสิ แต่ฉันขอดื่มชากับกินขนมปังกรอบนี่ก่อนแล้วกัน เพราะมาทิลดาทำขนมปังกรอบอร่อยมาก”

                “อ้อ... ใช่” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พยักหน้า “มาทิลดาเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าบ้านยังมีข้อดีอยู่บ้าง อันที่จริงแล้วบ้านฉันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรไปเสียทุกอย่างหรอก เพียงแต่มันจะกลายเป็นสถานที่ที่แย่มากเมื่อพ่อฉันอยู่”

                “นายเลิกพูดถึงเขาเถอะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “มันจะทำให้ขนมไม่อร่อย”

                เพื่อนของเขาหัวเราะออกมา ทั้งคู่นั่งดื่มชา กินขนมปังกรอบ และคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ก่อนที่จะนั่งรถม้าออกไปด้วยกัน

-----------------------------

                ไม่มีวี่แววของแมคคาธีและคนของเขาหลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืนวันเสาร์ แต่พอใกล้ถึงเวลาน้ำชาในเช้าวันพุธ กอร์ดอนก็ต้องแปลกใจระคนตกใจ ที่เห็นเจ้าตัวมากดออดที่หน้าร้าน

                “โอ... สวัสดีตอนบ่ายครับคุณโอเดนเบิร์ก ได้โปรดให้ความกรุณาต่อผมหน่อยเถอะครับ” แมคคาธีพูดพลางถอดหมวกแสดงความเคารพในตอนที่ช่างตัดเสื้อแง้มประตูออกไป กอร์ดอนมองเขาด้วยความงุนงง ใบหน้าของฝ่ายนั้นยังคงมีรอยช้ำจากหัวไม้เท้าของลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์อยู่

                “คุณมีธุระอะไรหรือ?” ช่างตัดเสื้อถาม แมคคาธีเงยหน้ามองเขาอย่างน่าสงสาร “ได้โปรดบอกเพื่อนผู้สูงศักดิ์ของคุณว่าผมผิดไปแล้วทุกอย่าง ขอให้พวกเขาโปรดให้อภัยผมด้วยเถอะ ผมรับรองว่าจะไม่มายุ่งกับคุณหรือใครอีก”

                เสียงของเขาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นเริ่มหันมามอง กอร์ดอนเลยต้องเชิญให้เขาเข้ามาในร้าน

                “คุณเป็นคนใจดีมาก” แมคคาธีพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ “แต่ผมจะไม่อยู่รบกวนคุณนานหรอกครับ ผมมาขอความกรุณา ผมสาบานว่าจะไม่ยุ่งกับคุณไม่ว่าในทางใด รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องกับคุณด้วย แล้วก็จะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ได้โปรดช่วยบอกพวกเขาด้วยนะครับว่ากรุณาละเว้นผมเอาไว้สักคน”

                กอร์ดอนพยักหน้า “ผมรับปากคุณแล้วกัน แต่ผมไม่รับประกันหรอกนะว่าพวกเขาจะตกลงรึเปล่า?”

                แมคคาธีเงยหน้ามองเขา “ขอร้องล่ะครับ ยังไงก็ช่วยยืนยันกับพวกเขาด้วย ว่าผมทำตามคำพูดแน่นอน”

                ยังไม่ทันที่กอร์ดอนจะทันได้ตอบอะไร เสียงออดหน้าร้านก็ดังขึ้น แมคคาธีหันไปมองและตกใจจนแทบสิ้นสติ ขณะที่เดวิดเปิดประตูให้แขกที่มาใหม่

                “อ้าว แมคคาธี แกมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์เอ่ยถามพลางใช้ดวงตาสีฟ้าซีดของเขาเพ่งมองชายร่างเล็กอย่างเอาเรื่อง ขณะที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาด้วยสีหน้าไม่ต่างกันนัก ใบหน้าของแมคคาธีซีดเผือดราวกระดาษ เขาลุกขึ้นและตะกุกตะกักพูดออกมาอย่างยากลำบาก “สะ...สวัสดีตอนบ่าย คะ... ครับ ท่านลอร์ด... คะ... คือ... กระผม...”

                “แกมีธุระอะไร มาตัดสูทหรือ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูด “แกอยากจะตัดแบบไหนล่ะ ให้ฉันช่วยวัดตัวให้มั้ย?”

                “ปะ... เปล่าครับ” ชายร่างเล็กพูดไปเหงื่อแตกไป เขาลนลานหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อด้วยมืออันสั่นเทา “คะ... คือกระผม... กระผมมาขอความกรุณาจากคุณโอเดนเบิร์กครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ขณะที่ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูดขึ้น “ฉันไม่คิดหรอกนะว่าแกจะเชื่ออย่างที่แกพูดจริงๆ” เขาพูดแล้วเหยียดสายตามองฝ่ายตรงข้าม “แกคิดจริงๆ หรือว่าช่างตัดเสื้ออย่างเขาจะช่วยอะไรแกได้ หือ!”

                แมคคาธีกลัวจนตัวสั่น เขาละล่ำละลัก “ได้โปรดเถอะครับท่านลอร์ด กรุณาละเว้นผมเอาไว้สักคน”

                “ที่แกยังยืนพูดได้อยู่ตอนนี้ ไม่ถือว่าฉันละเว้นอีกหรือ?” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์เค้นเสียง แมคคาธีรีบผงกศีรษะถี่ๆ “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

                พูดจบเขาก็ลนลานออกจากร้านจนชนเข้ากับกรอบประตู กอร์ดอนมองตามด้วยความอนาถใจ

                “มันเกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย?” เดวิดเอ่ยถามออกมาหลังจากแมคคาธีเดินลับสายตาไปแล้ว เขาหันมามองท่านลอร์ดทั้งสองคนด้วยความสนใจ

                “ไม่ใช่เรื่องที่แกจะต้องรู้หรอก เชื่อฉัน” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูดเรียบๆ ลอร์ดโทรว์บริดจ์โบกมือเป็นเชิงสั่งให้เดวิดออกไปก่อน เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า แล้วเดินไปหลังร้านทันที

                “สวัสดีตอนบ่ายครับ” กอร์ดอนเอ่ยทักทั้งคู่ ก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่งลงบนโซฟา “พวกคุณมีธุระอะไรหรือครับ?”

                “ผมกับแมกซ์ตั้งใจว่าจะแวะมาดื่มชากับคุณ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่ทำไมนายถึงเปิดประตูให้คนอย่างแมคคาธีเข้ามา หมอนั่นอันตรายมากนะ”

                “เขามาขอร้องผม” กอร์ดอนว่า “ผมปล่อยให้เขายืนพูดอยู่หน้าร้านไม่ได้หรอกครับ”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ทำหน้าเพลีย “วันหลังนายปิดประตูใส่เขาเลย อย่างหมอนั่นไม่ใช่ลูกค้าร้านนายหรอก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เสริม “ใช่ คุณต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก คนพรรค์นั้นไม่น่าไว้ใจหรอก”

                กอร์ดอนพยักหน้าหงึกๆ ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์หันหน้าเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะอุทานออกมา “อ้าว ตะกร้าใส่แซนวิชฉันล่ะ?”

                “น่าจะอยู่ที่รถล่ะมั้ง ฉันไม่เห็นนายหิ้วลงมานะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์รีบเดินออกจากร้านไปยังรถยนต์ของลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่จอดอยู่หน้าร้านทันที

                “วันนี้คุณขับรถมาหรือครับ?” กอร์ดอนถามด้วยความแปลกใจ อีกฝ่ายพยักหน้า “ใช่ ผมไปรับแมกซ์ที่บ้าน พวกเราขับรถเล่นกินลมกันมาได้พักใหญ่แล้ว เลยคิดว่าจะแวะดื่มชาที่ร้านคุณ รบกวนมั้ย?”

                อีกฝ่ายยิ้มพลางสั่นศีรษะ “ไม่ครับ ผมดีใจที่ได้เจอคุณ”

                ยังไม่ทันที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์จะได้ทันพูดหรือทำอะไรมากไปกว่านั้น ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ก็เปิดประตูกลับเข้ามาพร้อมกับตะกร้าใบเล็กๆ ในมือ

                “ฉันให้มาทิลดาทำแซนวิชมาเผื่อนายด้วย” เขาว่า “ว่าแต่นายดื่มชาที่ไหน?”

                “ที่ห้องครัวครับ” กอร์ดอนตอบ “เดี๋ยวผมจะบอกแม่บ้านให้ชงชาเพิ่มนะครับ”

------------------------------------

                มิสซิสมาร์ธาแสดงอาการประหลาดใจระคนดีใจที่ได้รู้ว่าเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์และลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์จะมาดื่มชาภายในห้องครัวของเธอ

                “โอ... สวัสดีตอนบ่ายค่ะท่านลอร์ด ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ห้องครัวเล็กๆ ของดิฉันได้มีโอกาสต้อนรับพวกคุณ เชิญค่ะ เชิญนั่งก่อน”

                “สวัสดีตอนบ่าย มิสซิสมาร์ธา นี่คงเป็นการพบกันครั้งแรกของเรา” ลอร์ดโทรว์บริดจ์เอ่ยทักแล้วนั่งลง ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์นั่งตาม และทักทายแม่บ้านตามธรรมเนียม

                “ด้วยความยินดีค่ะ” มิสซิสมาร์ธาว่า ก่อนจะเดินไปเตรียมชา เธอหยิบชุดน้ำชาที่ดีที่สุดออกมาจากตู้ แล้วบรรจงเทใบชาลงในกา เทน้ำที่ต้มเดือดอยู่บนเตาตามลงไป กลิ่นชาอ่อนๆ หอมฟุ้งไปทั่วห้อง

                “ชาเอิร์ลเกรย์ของคุณหอมมาก” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูด หลังจากที่มิสซิสมาร์ธารินน้ำชาเสร็จแล้ว “ของร้านมัลคอล์มใช่ไหม? ที่บ้านผมก็ใช้ชาของที่นี่เหมือนกัน ผมชอบกลิ่นหอมของน้ำมันผิวส้มที่พวกเขาผสมลงไป มันละมุนดีมาก”

                มิสซิสมาร์ธาพยักหน้าแล้วยิ้มแก้มแทบปริ “โอ ช่างบังเอิญเหลือเกินค่ะท่านลอร์ด ดิฉันเองก็ชื่นชอบชาเอิร์ลเกรย์ของมัลคอล์มมาก” เธอพูดพลางจัดขนมใส่ชั้นวางที่เป็นชุดเดียวกันกับถ้วยชาและกา ก่อนจะนำมาส่งให้สุภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์ทั้งสองที่โต๊ะ แล้วคุยเรื่องชากับลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์อีกพักหนึ่ง

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ผู้ไม่เคยสนใจเรื่องชาเลยแอบสั่นศีรษะเล็กๆ เขารอจนมิสซิสมาร์ธาออกไปแล้วจึงพูดขึ้น

                “บอกตรงๆ นะแมกซ์ ฉันไม่เห็นจะแยกออกเลยว่าชามันมาจากร้านไหน ร้านไหนก็น่าจะขายเหมือนๆ กันไม่ใช่หรือ?”

                “ไม่เหมือนกันนะครับ” กอร์ดอนแทรกขึ้นมา “ถ้าเป็นชาเอิร์ลเกรย์ของร้านทอมสันจะเป็นอีกกลิ่นหนึ่ง”

                “ใช่” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พยักหน้าเห็นด้วย “แล้วถ้าซื้อที่ร้านคนจีนที่อยู่ตรงตรอกมิดเวย์ ก็จะเป็นอีกกลิ่นหนึ่ง”

                “เอาล่ะ ช่างเถอะว่าจะซื้อร้านไหน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือขึ้นห้าม “ยิ่งพวกนายพูด ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาอ่าวเรื่องชาเลย”

                “ก็นายไม่เคยสนใจเรื่องนี้” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูด “ทั้งๆ ที่แม่นายเชี่ยวชาญเรื่องชามาก ฉันว่าแค่ได้กลิ่นเธอก็รู้ว่าเป็นชาอะไรมาจากร้านไหน”

                “ชาเป็นเรื่องของผู้หญิง อาฉันพูดเอาไว้แบบนั้น” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “เขาก็ไม่เคยสนใจเรื่องชาเหมือนกัน”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ยักไหล่ “เอาเถอะ อย่างน้อยๆ นายก็เชี่ยวชาญเรื่องไวน์กับแชมเปญอย่างหาตัวจับยาก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกยิ้ม “นั่นคือสิ่งที่ฉันภูมิใจล่ะ” เขาเว้นจังหวะแล้วหันไปมองช่างตัดเสื้อ “แล้วคุณเป็นไงบ้าง หลังจากวันนั้น”

                “ผมก็ปกติดีครับ” กอร์ดอนตอบเขา ก่อนจะพูดต่อ “คุณล่ะครับ เป็นไงบ้าง?”

                “ดีขึ้นเยอะแล้ว” อีกฝ่ายตอบเขา “ดูสิ รอยที่ปากผมไม่มีแล้วเห็นมั้ย?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางยื่นหน้าไปให้ช่างตัดเสื้อดู ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์กระแอมไอขึ้น

                “ฉันว่ากอร์ดอนน่าจะเห็นตั้งแต่ตอนที่นายเดินเข้ามาในร้านแล้ว นายควรจะพูดเรื่องที่สำคัญกว่านี้กับเขานะ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะออกมา เขายกถ้วยชาขึ้นจิบแก้เก้อ ก่อนจะพูดต่อ “ผมคิดว่าจะให้บัตรเชิญกับแจ็คสันสักใบ เผื่อเขาอยากไปดูผมชกมวย”

                กอร์ดอนทำหน้าประหลาดใจจนเกือบจะเป็นตกใจ “แต่นั่นหมายถึงพวกเขาจะรู้ว่าคุณเป็นใครไม่ใช่หรือครับ?”

                “สักวันพวกเขาก็ต้องรู้อยู่ดี” เอิร์ลหนุ่มว่า “แจ็คสันรู้ว่าผมกำลังจะขึ้นชกมวย มันจะแปลกมากถ้าผมไม่ชวนเขาดูการชกมวยของผม”

                “คุณชวนเขาตามมารยาทก็พอครับ” กอร์ดอนว่า “แจ็คสันต้องเปิดบาร์ทุกวัน เขาคงไม่ปิดบาร์เพื่อไปดูคุณหรอก”

                “ก็จริงอย่างที่คุณว่านะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “แต่เขาก็ต้องรู้อยู่ดีนั่นแหละถ้าผมชวน ข่าวเรื่องที่ผมจะต่อยมวยดังไปทั้งลอนดอนแล้ว” เขาเว้นจังหวะ แล้วพูดต่อ “ผมชอบแจ็คสัน ผมอยากเป็นเพื่อนกับเขาจริงๆ ผมไม่อยากหลอกเขาอีกต่อไปแล้ว”

                “ผมว่าเขาก็ชอบคุณนะ ในฐานะลูกค้าคนหนึ่ง” กอร์ดอนว่า ก่อนจะพูดต่อ “แจ็คสันเป็นคนอัธยาศัยดีครับ เขาคงยินดีจะเป็นเพื่อนกับคุณในฐานะผู้จัดการเหมือง แม้ผมจะรู้สึกว่าเขาคงสงสัยอยู่เหมือนกันว่าคุณอาจจะเป็นลอร์ดโทรว์บริดจ์ แต่เขาคงไม่อยากให้คุณเป็นจริงๆ หรอกครับ เพราะมันจะเกิดช่องว่างขึ้นมาทันที ถ้าคุณคิดว่ายังอยากให้เขาคุยกับคุณเหมือนอย่างที่ผ่านมา ผมว่าคุณอย่าคุยกับเขาเรื่องชกมวยดีกว่า”

                “แบบนั้นผมจะยิ่งรู้สึกไม่ดีน่ะสิ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “แจ็คสันต้องสงสัยแน่ ผมไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากันเลย”

                กอร์ดอนเงียบไปอึดใจใหญ่ ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์จึงพูดขึ้น “ที่จริงจอห์นนี่กับฉันคุยกันเรื่องนี้ก่อนจะมาถึงที่นี่แล้ว ฉันท้วงเขาแล้วว่านายน่าจะรู้สึกอึดอัดถ้าแจ็คสันรู้ว่าจอห์นนี่คือใคร แต่เขาไม่เชื่อว่านายจะรู้สึกแบบนั้น”

                กอร์ดอนอ้าปากอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ ขณะที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ใช้ดวงตาสีเขียวมองเขา “แมกซ์บอกว่าฐานะของผมจะทำให้คุณอึดอัด ถ้าคนอื่นๆ ได้รู้ ซึ่งผมเห็นว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ มันคือฐานะของผม ถ้าจะมีใครได้รับผลกระทบอะไรจากการเปิดเผยนี้ ก็ควรจะเป็นผมและครอบครัวผม ไม่น่าจะเป็นคุณ”

                “ก็จริงครับ” กอร์ดอนพยักหน้า “ผมไม่ใช่คนในครอบครัวคุณ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์รู้สึกตัวว่าอาจจะพูดอะไรผิด เขาเลยรีบพูดต่อ “กอร์ดอน ผมไม่ได้หมายถึงว่าคุณเป็นคนนอก ยังไงคุณก็สำคัญกับผมที่สุด ผมเพียงแต่อยากจะบอกว่า มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่คุณหรือแจ็คสันจะต้องรู้สึกอึดอัดที่ได้รู้จักกับผม ความคิดแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกแย่มากที่ตัวเองเป็นลอร์ด ราวกับว่าฐานะของผมนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับคุณ”


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                “โอ... ไม่เลยจอห์น” กอร์ดอนครางออกมา “ผมไม่เคยนึกรังเกียจฐานะของคุณเลย และแน่ใจด้วยว่าไม่ว่าใครก็ต้องไม่รู้สึกแบบนั้นแน่ ที่จริงแล้วมันเป็นความรู้สึกในทางตรงกันข้ามเลยครับ ฐานะของคุณคือสิ่งที่ตอกย้ำให้พวกเรารับรู้ถึงความต่ำต้อยของตัวเอง คุณคือคนที่คนเกินครึ่งลอนดอนต้องก้มหัวให้”

                “แต่ไม่ใช่กับเพื่อนๆ ของผม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดแทรกขึ้น “ผมจะหยิบยื่นมิตรภาพอย่างจริงใจให้แจ็คสัน อย่างที่ผมเคยหยิบยื่นให้กับเพื่อนๆ สามัญชนคนอื่นๆ ของผม ผมต้องการแน่ใจว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คุณอึดอัด”

                กอร์ดอนถอนหายใจ “ผมไม่สามารถรับรองกับคุณได้หรอกครับว่าจะไม่อึดอัด ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจ แต่ผมรู้สึกว่าการทำตัวให้เคยชินว่าเป็นคนรู้จักของเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์เป็นเรื่องยากมากสำหรับผม คือมันเป็นเรื่องค่อนข้างเหลือเชื่อที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอในชีวิตนี้”

                “นายไม่ใช่แค่คนรู้จักของจอห์นนี่” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูดขึ้น “นายเป็นยิ่งกว่าเพื่อน ความรู้สึกของนายมีอิทธิพลต่อเขามาก นายควรจะหัดทำตัวให้เคยชินไวๆ ฉันไม่อยากเห็นจอห์นนี่ต้องมากังวลว่านายจะรู้สึกรังเกียจเขา เขาไม่ใช่คนที่ควรจะมีความรู้สึกแบบนั้น”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าแดงนิดหน่อย เขาหันไปห้ามเพื่อน “ไม่เอาน่าแมกซ์ นายไม่ควรไปกดดันกอร์ดอนแบบนั้น”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์มองเพื่อนพลางถอนหายใจ “นายกังวลต่อความรู้สึกของเขาเกินไปจอห์นนี่... ฉันคิดว่ากอร์ดอนเองก็ควรคิดถึงความรู้สึกของนายบ้าง เขาควรจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนเดียวในโลกที่ทำให้คนอย่างนายกระวนกระวายได้ทุกเรื่องแบบนี้”

                กอร์ดอนหน้าแดงด้วยความอับอาย เขานึกถึงคำพูดของอีธานในคืนที่พวกเขานัดกันไปบาร์บีช็อต

            ‘อย่ากังวลไปเลยกอร์ดอน คุณไม่ต้องคิดหรอกว่าพวกเขาเป็นใคร สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องเชื่อว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของคุณจริงๆ นี่คือเรื่องเดียวที่พวกเขาต้องการจากคุณ’

                “ผมขอโทษ” กอร์ดอนพูดขึ้นมาในที่สุด เขาช้อนดวงตาสีฟ้าใสมองลอร์ดโทรว์บริดจ์ “ผมขอโทษนะจอห์น ผมไม่ทันคิดถึงเรื่องความรู้สึกของคุณเลย ผมเอาแต่คิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองกับคนอื่นๆ ตอนที่รู้ฐานะของคุณ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองตอบเขาแล้วคลี่ยิ้ม “ผมอนุญาตให้คุณคิดถึงความรู้สึกของตัวเองได้ แต่ผมไม่อนุญาตให้คุณคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นโดยที่คุณยังไม่ทันได้คิดถึงความรู้สึกผม เข้าใจมั้ยกอร์ดอน”

                ช่างตัดเสื้อหัวเราะออกมา “คุณกำลังสั่งผมในฐานะของเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์ใช่ไหมครับ?”

                “ใช่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “ในฐานะของลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่ทะนงตนว่าเป็นคนสำคัญที่สุดของคุณ ผมขอสั่งว่าห้ามคุณนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นก่อนผม ถ้าคุณไม่ตกลงทำตามผมคงปวดใจมาก”

                “ผมตกลงโดยไม่มีเงื่อนไข” กอร์ดอนพยักหน้า “ผมขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆ ต่อไปผมจะคิดถึงความรู้สึกคุณเป็นคนแรก”

                “ดี” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางดึงมือของกอร์ดอนมากุมไว้ “ผมจะมีความสุขมากที่ได้เป็นคนแรกที่คุณนึกถึง”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ล้วงนาฬิกาพกออกมาดู ก่อนจะพูดขึ้น “จอห์นนี่ ฉันว่าได้เวลาที่นายจะต้องไปซ้อมมวยแล้วล่ะ”

----------------------------------------

                “คุณโอเดนเบิร์กครับ ผมขอถามได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับนายแมคคาธี ท่าทางเหมือนท่านลอร์ดน่ากลัวคนนั้นไม่อยากให้ผมถาม” เดวิดเอ่ยปากถามหลังจากที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ และลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ขับรถออกไปแล้ว กอร์ดอนเลิกคิ้ว

                “หมายถึงลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์หรือ?”

                คนถูกถามพยักหน้า “ครับ เขาดูน่ากลัวมาก ที่จริงผมก็รู้สึกตั้งแต่ครั้งแรกตอนเห็นเขากับเพื่อนๆ คนอื่นของลอร์ดโทรว์บริดจ์มาที่ร้านของเราเมื่อวันก่อนแล้ว เขาเป็นใครหรือครับ?”

                “เขาเป็นลูกชายคนรองของลอร์ดสวินดัน”

                “โอ... มิน่าล่ะครับ ผมถึงได้รู้สึกว่าเขาให้ความรู้สึกเหมือนผีชุดเกราะอัศวิน”

                “เสียมารยาทนะเดวิด” กอร์ดอนดุเด็กรับใช้ “เธอไม่ควรพูดถึงลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์แบบนั้น”

                “แต่เขาน่ากลัวจริงๆ นี่ครับ” เดวิดแก้ตัวหน้าม่อย “เขาให้ความรู้สึกแบบหล่มน้ำแข็งเหมือนลอร์ดสวินดันเป๊ะเลย”

                “ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า” อีกฝ่ายตอบ “หยุดพูดไม่ดีถึงเขาได้แล้ว เขาเป็นเพื่อนสนิทของลอร์ดโทรว์บริดจ์นะ ถ้าลอร์ดโทรว์บริดจ์ได้ยินเธอพูดถึงเพื่อนสนิทของเขาแบบนี้ เขาต้องไม่พอใจมากแน่ ฉันรับรองได้เลย”

                “ขอโทษครับ” เดวิดพูดก่อนจะเงยหน้ามองนายจ้างเป็นเชิงร้องขอ “แต่คุณจะกรุณาเล่าเรื่องของแมคคาธีให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ? เขาลือกันให้ทั่วว่าคืนวันเสาร์เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่บ่อนของเขา เห็นว่ามีสุภาพบุรุษกลุ่มหนึ่งทำให้เขาสูญเงินคืนเดียวแทบหมดตัว ผมมาคิดๆ ดูแล้วก็สงสัยว่ามันน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของลอร์ดโทรว์บริดจ์ในคืนนั้นด้วยแน่ๆ”

                กอร์ดอนมองเดวิดอยู่อึดใจ ก่อนจะลากฝ่ายนั้นไปนั่งที่เก้าอี้หลังเคาน์เตอร์ “ฟังนะเดวิด เรื่องอะไรที่เธอเห็นเกี่ยวกับลอร์ดโทรว์บริดจ์และเพื่อนๆ ของเขา ทั้งหมดคือความลับ เป็นไปได้เธอควรจะลืมว่ามันเคยเกิดขึ้น”

                “แหม... ผมก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะครับ” เด็กหนุ่มว่า “ผมรู้น่าว่าควรจะหุบปากให้สนิท แต่ผมสงสัยนี่ครับเลยต้องถาม ถ้าคุณเป็นผมแล้วได้เจอสถานการณ์เหมือนตะกี้ก็น่าจะสงสัยเหมือนกันนะ”

                “เป็นฉันจะไม่พยายามสงสัยอะไรทั้งนั้น” กอร์ดอนว่า เดวิดมีสีหน้าผิดหวัง “แสดงว่าคุณจะไม่ยอมเล่า...”

                ช่างตัดเสื้อมองเด็กรับใช้อีกอึดใจ ในที่สุดก็พูดต่อ “คุณแมคคาธีไปทำเรื่องที่เขาไม่น่าจะทำกับลอร์ดโทรว์บริดจ์เข้า ผลเลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ”

                “โอ... เขาบ้ามากที่กล้าทำแบบนั้น” เดวิดคราง กอร์ดอนพยักหน้า “ใช่ และเธอควรดูสิ่งที่เกิดกับคุณแมคคาธีเอาไว้เป็นตัวอย่าง อย่าทำเรื่องไม่สมควรกับคนระดับนั้น เพราะมันจะไม่จบลงแค่คำว่าขอโทษแน่ จำไว้นะ เรื่องของพวกเขาทั้งหมดเป็นความลับ ฉันหวังว่าเธอจะทำเอาไว้ให้ขึ้นใจ และเลิกสงสัยอะไรเกี่ยวกับพวกเขาอีก”

                เด็กหนุ่มพยักหน้าถี่ๆ “ผมเข้าใจแล้วครับคุณโอเดนเบิร์ก ผมจะไม่พูดอะไรในสิ่งที่ผมได้เห็น แต่ผมบอกคนอื่นได้ใช่มั้ยว่าลอร์ดโทรว์บริดจ์เป็นคนดี และผมดีใจที่เขาเป็นลูกค้าคนสำคัญของคุณ"

                “ถ้าแค่นั้นก็ไม่เป็นไรหรอก” กอร์ดอนพูดพลางยิ้ม “เธอหัดเย็บจักรไปถึงไหนแล้ว วันนี้ฉันจะลองให้เธอเย็บเสื้อกั๊กดู”

                “โอ... ผมยังเย็บให้ตรงไม่ได้เลยครับ” เดวิดสารภาพตามตรง “แต่ผมยินดีจะลองเย็บเสื้อกั๊ก ถ้าคุณจะกรุณาให้ผมเย็บ”

                “งั้นฉันจะให้เธอลองเย็บเศษผ้าต่อกันก่อนแล้วกัน”

-----------------------------

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์และลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์กลับมาที่ร้านของกอร์ดอนอีกครั้งในเวลาราวห้าโมงเย็น และชวนเขาไปทานมื้อค่ำด้วยกัน แต่กอร์ดอนยังติดเรื่องที่ต้องสอนเดวิดเย็บผ้าอยู่

                “เดวิดหัดเย็บผ้าหรือ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์มีท่าทางแปลกใจหลังจากที่ช่างตัดเสื้อพูดจบ อีกฝ่ายพยักหน้า “ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ทันคิดว่าพวกคุณจะมาชวนไปกินมื้อเย็น ถ้ายังไงไปโดยไม่มีผม...”

                “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณโอเดนเบิร์ก ผมหัดเย็บแค่เศษผ้าเอง คุณไปกับท่านลอร์ดเถอะครับ” เดวิดรีบพูดขึ้น”

                “แต่...” กอร์ดอนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่วางใจ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยักไหล่

                “เอาน่ะ พวกผมไม่ได้รีบร้อนอะไร ถ้าพวกคุณไม่เลิกเกินหกโมงเย็นก็หัดเย็บกันต่อเถอะ ผมดีใจนะที่คุณเริ่มคิดหาทายาทสืบทอดร้านเอาไว้แล้ว”

                “ผมยังไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น” กอร์ดอนว่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มให้เขาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปมองเดวิด “ฉันเพิ่งรู้ว่าเธออยากเป็นช่างตัดเสื้อด้วย”

                “โอ... ผมมาอยู่กับคุณโอเดนเบิร์กเพราะเหตุผลนั้นเลยครับ” เดวิดตอบตามตรง “แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมหัดเย็บแค่เศษผ้าเอง เดี๋ยวผมจะไปหยิบเสื้อโค้ทมาให้คุณโอเดนเบิร์ก”

                “ไม่ต้องๆ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดต่อ “ฉันดูท่าทางแล้วเขาคงไม่วางใจจะทิ้งเธอเอาไว้กับเศษผ้าแล้วก็จักรหรอก ทำอย่างที่ฉันว่านั่นแหละ” เขานิ่งคิดหน่อยหนึ่งก่อนจะหันไปมองช่างตัดเสื้อ “ผมอยากจะเข้าไปดูด้วย คุณคงสะดวกใช่มั้ย?”

                กอร์ดอนมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็พยักหน้า “สะดวกครับ เพียงแต่ด้านในห้องออกจะรกนิดหน่อย”

                “ไม่เป็นไร” พูดจบเขาก็หันไปหาลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ “นายสนใจจะไปดูด้วยกันรึเปล่า?”

                คนถูกถามยักไหล่ “เอาสิ ถ้าห้องของเขากว้างพอ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าช่างตัดเสื้อทำงานกันยังไง”

-----------------------------------

                ห้องด้านหลังของร้านกอร์ดอนเทเลอร์ มีขนาดประมาณยี่สิบตารางเมตร มีจักรเย็บผ้าวางอยู่สี่ตัว โต๊ะยาวสองตัว โต๊ะสำหรับรีดผ้าสองตัว หุ่นสำหรับลองเสื้ออีกสี่ตัว ซึ่งมีเสื้อสวมอยู่ทุกตัว และชั้นสำหรับวางด้ายและอุปกรณ์ตัดเย็บขนาดใหญ่สองชั้นติดอยู่ที่ผนังห้อง มีหน้าต่างขนาดใหญ่เพื่อให้แสงส่องเข้ามา และประตูที่สามารถเปิดออกไปยังตรอกด้านหลังของร้าน ด้วยทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ทำให้ภายในห้องเหลือทางเดินกว้างไม่ถึงสองฟุต และแทบทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยเศษด้ายและเศษผ้าชิ้นเล็กๆ

                “ขอโทษนะครับ มันค่อนข้างแคบมาก” กอร์ดอนพูดขณะนำลอร์ดทั้งสองเข้าไปภายในห้อง ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองดูทั้งหมดด้วยความสนอกสนใจ เขาถามถึงรายชื่อเจ้าของเสื้อที่สวมอยู่บนหุ่น และยิ้มเมื่อรู้ว่าหนึ่งในสี่ตัวนั้นเป็นเสื้อของเขาเอง ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเสาแขวนตะเกียงที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังของโต๊ะจักรทุกตัว

                “ทำไมถึงต้องทำที่แขวนตะเกียงเอาไว้ด้วยล่ะ? แค่แสงจากหน้าต่างไม่พอหรือ?”

                “ไม่พอหรอกครับ” กอร์ดอนตอบเขา “ยิ่งถ้างานเร่งที่ต้องเย็บถึงช่วงกลางคืนด้วยแล้ว ตะเกียงนี่สำคัญเลยล่ะครับ ผมทำเสาแขวนไว้จะได้ไม่มีใครชนมันล้ม ไม่งั้นเรื่องใหญ่แน่ๆ”

                “ก็จริงนะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า ก่อนจะหันไปมองเดวิดที่นั่งเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าจักร “เอ้า เย็บสิ ไม่ต้องเกรงใจพวกฉันหรอก”

                “คะ... ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะพยายามเย็บเศษผ้าที่ยังคาอยู่ที่จักร เขารู้สึกทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่าที่จะต้องหัดเย็บผ้าท่ามกลางสายตาของลอร์ดทั้งสอง โดยเฉพาะเมื่อลอร์ดโทรว์บริดจ์เดินมาหยุดยืนข้างเขาเพื่อมองวิธีการเย็บ เดวิดถึงกับไม่สามารถเหยียบจักรให้เดินหน้าต่อไปได้ เขาเย็บถอยหน้าถอยหลังจนกระสวยติด

                “โอ... คุณโอเดนเบิร์ก กรุณาช่วยผมด้วยครับ” เดวิดครางด้วยความอับอาย กอร์ดอนมองเขาแล้วถอนหายใจ ก่อนจะเดินอ้อมเข้าไปจากอีกทางหนึ่ง

                “เธอทำกระสวยติดแล้ว ลุกเถอะ ฉันจะแกะออกให้”

                เดวิดรีบลุกขึ้นทันที กอร์ดอนเบียดเขาเข้ามานั่งที่เก้าอี้ แล้วใช้กรรไกรค่อยๆ ตัดด้ายออกจากตัวผ้า จากนั้นก็ดึงเศษผ้าออก แล้วดึงกะโหลกจักรออกมาจากใต้ฐานจักร

                “อืม... มันดูเป็นเครื่องกลที่สลับซับซ้อนเอาเรื่องอยู่นะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูด พลางมองกอร์ดอนดึงด้ายที่พันกันยุ่งออกจากกะโหลก ช่างตัดเสื้อพูดตอบเขา “มันก็ค่อนข้างสลับซับซ้อนอยู่ครับ จนถึงตอนนี้ผมยังงงๆ ว่ามันทำได้ยังไงถึงเย็บด้ายสองเส้นให้ต่อกันได้”

                “คำพูดนี้ทำให้นายดูไม่เหมือนช่างตัดเสื้อเลย” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า กอร์ดอนเลิกคิ้วมองเขา

                “คุณคิดว่าช่างตัดเสื้อควรจะรู้เรื่องจักรหรือครับ?” เขาพูดพลางสั่นศีรษะ “ไม่ครับ เราเป็นช่างตัดเสื้อ ไม่ใช่ช่างซ่อมจักร ผมไม่มีหน้าที่รู้หรอกครับว่ามันทำงานได้อย่างไร ผมรู้แค่ว่าทำยังไงมันถึงจะเย็บได้ และแก้ไขได้เฉพาะปัญหาพื้นๆ ของมัน เช่นกระสวยติด เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของช่างและบริษัทที่ขาย สิ่งที่ผมควรจะต้องรู้ดีในฐานะช่างตัดเสื้อคือทำอย่างไรให้เสื้อของลูกค้าของผมดูดีที่สุดเวลาพวกเขาสวมมันต่างหาก”

                เดวิดอ้าปากค้าง ขณะที่ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ขมวดคิ้วมองเขา ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะออกมา “คุณพูดได้ดีมาก สมเป็นช่างตัดเสื้อที่ใครๆ ก็อยากได้ตัวจริงๆ”

                “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” กอร์ดอนว่า ก่อนจะพูดอย่างนึกได้ “โอ... ผมคงแสดงท่าทางไม่สมควรออกไป ขออภัยด้วยนะครับ”

                “ไม่เป็นไร” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า “อันที่จริงแล้วฉันผิดเองที่ไม่ทันได้คิดก่อนที่จะพูด ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกอาชีพของนาย ขอโทษนะ”

                “ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ต้องขอโทษด้วยที่เสียมารยาท”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์มีท่าทางเก้ๆ กังๆ เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลยพูดขึ้นเสียเอง “ไหนๆ พวกเราก็มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนด้านหลังของร้านตัดเสื้อแล้ว สาธิตวิธีเย็บเสื้อให้เราดูหน่อยจะได้ไหม ให้เดวิดสาธิตก็ได้”

                “โอ... ไม่ไหวหรอกครับท่านลอร์ด” เดวิดรีบพูดขึ้นทันที “ผมเพิ่งหัดลองเย็บจักรแค่สามวันเองครับ”

                กอร์ดอนหัวเราะออกมา “ผมว่าคุณต้องลืมจุดประสงค์ที่พวกเราเข้ามาในห้องนี้แล้วแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณอยากเห็น ผมจะเย็บให้คุณดู” พูดจบเขาก็เอากระสวยที่แกะด้ายที่พันออกหมดแล้วใส่กะโหลกแล้วใส่กลับไปใต้ฐานจักรเหมือนเดิม ก่อนจะเรียกให้เดวิดหยิบแขนเสื้อที่ยังไม่ได้เย็บมาให้คู่หนึ่ง

                เสียงกริ๊กๆ ของจักรที่ถูกหมุนโดยสายพานที่โยงไว้กับแป้นเหยียบดังต่อเนื่องขึ้นในห้อง ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองนิ้วมือของช่างตัดเสื้อที่คอยประคองผ้าเข้าไปในจักรพร้อมกับถอดเข็มหมุดที่กลัดเอาไว้อย่างคล่องแคล่วด้วยความเพลิดเพลิน พอกอร์ดอนเย็บแนวแขนข้างนั้นเสร็จ เขาก็ขอให้เย็บต่อ ไปๆ มาๆ สุดท้ายกอร์ดอนก็เย็บแขนเสื้อเสร็จไปสองข้างรวมถึงซับในด้วย

                “ท่านลอร์ดครับ ผมเห็นว่าเราควรจะพอแค่นี้ ก่อนที่เดวิดจะไม่ได้เย็บอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย” ช่างตัดเสื้อพูดขึ้นในที่สุด ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วอย่างคนที่เพิ่งรู้สึกตัว “จริงด้วยสินะ” เขาล้วงนาฬิกาพกในกระเป๋าเสื้อกั๊กออกมาดู “งั้นเดี๋ยวผมจะไปนั่งอ่านหนังสือรอที่หน้าร้านแล้วกัน”

                “ผมจะไปหยิบหนังสือมาให้ครับ” กอร์ดอนว่า แล้วหันไปสั่งเดวิดให้เย็บเศษผ้าต่อ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตามหลังลอร์ดทั้งสองคนออกไปจากห้อง

------------------------------------------

                “แมกซ์ นายรู้รึเปล่าว่าตึกหลังนี้ใครเป็นเจ้าของ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามขึ้นหลังจากที่กอร์ดอนเดินกลับไปที่หลังร้านแล้ว ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์มองเขา “ไม่รู้สิ อาจจะเป็นของลอร์ดลอนดอนก็ได้ ที่ดินแถบนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นของเขา นายถามทำไม?”

                “สักวันหนึ่งฉันจะซื้อตึกหลังนี้ให้กอร์ดอน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางพลิกหนังสือเล่น “ฉันชอบเวลาเขาเย็บผ้า เหมือนว่าจักรกับเขามีความคิดร่วมกัน เขามีความเชี่ยวชาญและดูจะรักงานที่เขาทำมาก”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พยักหน้า “ฉันว่าเขาคงจะดีใจถ้าได้ตึกหลังนี้เป็นของขวัญ แต่ติดอย่างเดียวว่าเจ้าของตึกจะยอมขายให้นายรึเปล่า?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์คลี่ยิ้ม “เมื่อวันนั้นมาถึง ฉันคงหาวิธีทำให้เขายอมขายให้ฉันได้เองนั่นแหละ”

----------------------------------------

                “คุณโอเดนเบิร์ก”

                กอร์ดอนเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม เขากำลังพิจารณาชิ้นผ้าที่ฝ่ายนั้นเพิ่งเย็บเสร็จ “มีอะไรหรือ?”

                “ผมว่าลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ก็ดูไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่คิดนะครับ”

                ช่างตัดเสื้อเลิกคิ้ว “ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนความคิดล่ะ?”

                “ก็ตะกี้เขาพูดขอโทษคุณนะ” เดวิดว่า “ตอนแรกผมตกใจมากนะ ที่คุณพูดเสียงแข็งขนาดนั้น คิดว่าเขาต้องโกรธแน่ ถึงเขาจะมากับลอร์ดโทรว์บริดจ์ก็เถอะ แต่เขากลับขอโทษคุณ เขาไม่ดูวางอำนาจอย่างที่ผมคิดในตอนแรก แถมยังดูเป็นสุภาพบุรุษมากด้วย”

                กอร์ดอนยิ้มออกมา “ฉันบอกเธอแล้วว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น เขาเป็นเพื่อนสนิทของลอร์ดโทรว์บริดจ์นะ”

                เดวิดพยักหน้า “ลอร์ดโทรว์บริดจ์นี่ดีจังเลยนะครับ ผมอยากให้มีท่านลอร์ดแบบเขาและเพื่อนอีกสักครึ่งลอนดอน เวลาที่พวกเขามาร้านคุณผมจะได้เลิกทำตัวลีบแล้วหายใจออกเสียที”

                คนฟังหัวเราะ “หัดเย็บผ้าของเธอต่อเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาฝันกลางวันนะ”

                “แหม... ให้โอกาสผมเพ้อเจ้อหน่อยไม่ได้หรือครับ”

                กอร์ดอนหันไปมองนาฬิกาแขวนที่อยู่บนผนัง ก่อนจะพูดกับเด็กหนุ่ม “เหลือเวลาอีกสิบห้านาทีจะหกโมง ฉันจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อ ถ้าเธออยากเพ้อเจ้อแทนเย็บผ้าอีกชิ้น ก็ตามสบายแล้วกัน”

                “โธ่... คุณโอเดนเบิร์กก็...”

------------------------------------
(จบตอน)

*** ฮืออ เบื่อโควต้า2หมื่นตัวอักษร (มีแต่ดิฉันรึเปล่าที่มีปัญหา ฮือๆๆ) โอย เรื่องนี้เรื่อยๆ มาเรียงๆ เยี่ยงบันทึกรักช่างตัดเสื้อมาก ฮ่าๆ เอาน่ะ มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ (มาอัพอย่างงงๆ และไปอย่างงงๆ แล้วก็คงแก้อีกล่ะมั้ง???)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตอนเค้าทำแผลกันนี่หวานมากกกกกกกก

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
ท่านลอร์ดนี่สายเปย์ตัวจิง ถึงกับจะซื้อที่ดินให้เลยทีเดียววว

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
หลงลอร์ดแมกซ์แล้วอ่ะ หลงผู้ชายแบบนี้>\\\\<

ออฟไลน์ xeruoh

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
โอยย ยาวสะใจมากค่าาา
แปะไว้ก่อน ไว้มาอ่านหลังสอบ
 :katai4: :katai4: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ลอร์ดแมกซ์ขี้เม๊าส์พ่อตัวเองนะคะ555555555555555555555

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
ลอร์ดแมกซ์จะมีคู่กับเค้ามั้ยนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบบ ไรท์ เก่งมาก 
อ่านแล้วให้รู้สึกลื่นไหล สมูทมาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เหมือนคนอ่านไปอยู่ในลอนดอนยุคนั้นด้วย
จอห์น ให้เกียรติกอร์ดอน คนรักมาก
จอหน์ มีเพื่อนดี เพื่อนแท้ ช่วยเหลือกันและกันดี
น่าเห็นใจลอร์ดเมอร์เรย์
ที่พ่อให้ความสำคัญแต่กับพี่ชาย ที่อยู่ไกล
จนลืมมองความสำคัญ ความรู้สึกของลูกใกล้ตัว
รอตอนใหม่  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ปล.  ไรท์ ต้องเย็บผ้าเป็นแน่ๆ

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
รอมานาน ดีใจที่ได้อ่านค่ะ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ชอบนะ อ่านแนวแตกต่างออกไป เจอแต่เรื่องในวัยเรียนเยอะไป
คืออ่านเยอะมันรู้สึกว่าซ้ำๆ นะ (เราคิดไปเอง) ขอบคุณที่มาต่อ
ที่ให้อ่านได้ยาวสมกับการรอคอย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Dear, My customer.

ตอนที่22 ขึ้นสังเวียน


                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันกำลังคุยฟุ้งเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันเสาร์อยู่ ตอนที่ทั้งสามคนไปถึง หลังจากทักทายกันเรียบร้อย นิโคลาสที่กลับมาจากท่องเที่ยวแล้วตั้งแต่วันจันทร์เอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที

                “แมกซ์ ฉันสงสัย ถ้าจอห์นนี่แพ้ นายจะจ่ายเงินห้าพันปอนด์ให้แมคคาธีรึเปล่า?”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ยักไหล่ “ฉันไม่มีทางจ่ายให้คนพรรค์นั้นแน่ แต่ฉันเชื่อว่าจอห์นนี่ไม่มีทางแพ้หรอก เขาไม่ใช่คนที่จะแพ้ในสถานการณ์แบบนั้น”

                “ฟังนายพูดแล้วหมดลุ้นเลย” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดด้วยสีหน้าผิดหวัง “แต่ไม้เท้าของนายน่าประทับใจมาก นายสั่งทำร้านไหน ฉันจะไปทำมาไว้สักอัน”

                “นายควรฝึกดาบให้เชี่ยวชาญก่อนจะทำแบบนั้น” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า “เชื่อฉันเถอะจอร์จ นายควรพกไม้เท้า เผื่อเอาไว้เคาะนั้นเคาะนี่ แต่ไม่ควรพกแบบที่มีดาบอยู่ด้านในหรอก จนกว่านายจะแน่ใจว่านายใช้มันได้คล่องเหมือนนิ้วตัวเอง”

                เจฟฟรีหัวเราะขึ้นมา “นั่นสิจอร์จจี้ นายอย่าไปสั่งทำอะไรแบบนั้นให้ลำบากเลย ฉันว่าไม่เหมาะกับนายแน่”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันทำหน้าเซ็ง ขณะที่ลอร์ดครอฟตันพูดขึ้นต่อ “แต่แมคคาธีเป็นคนแย่มากจริงๆ ฉันหวังว่าสักวันตำรวจจะจัดการเขา”

                “ยากมากที่ตำรวจจะจัดการกับแมคคาธี ไม่มีใครมีหลักฐานการทำผิดของเขา” อีธานว่า “ไม่มีใครกล้าหาหลักฐานมาฟ้องเขาด้วย เขาเป็นคนมีอิทธิพลมากในสังคมชั้นล่างของลอนดอน”

                “เขาหาเงินกับธุรกิจสกปรก แล้วก็เอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อฟอกเงิน เพื่อนฉันคนหนึ่งเคยเป็นนายหน้าให้เขา แมคคาธีมีรายได้มหาศาล เขาเปิดบริษัทจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่ชื่อว่าพาเธนอนเป็นฉากบังหน้า” เจมส์พูดแล้วถอนใจ “ฉันเห็นด้วยเรื่องที่ตำรวจควรจะทำอะไรกับเขาบ้าง ฟังจากที่จอร์จจี้เล่าแล้ว เขาคงรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจมาก ถึงกล้าทำกับจอห์นนี่แบบนั้น”

                “ฉันจะไม่เล่าเรื่องนั้นให้ตำรวจฟัง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดออกมาเป็นครั้งแรก “มันค่อนข้างน่าเสื่อมเสียถ้าจะต้องประกาศให้สาธารณะชนรับรู้ ความเป็นจริงคือฉันสมัครใจจะไปที่นั่นเอง และมันเป็นเรื่องที่สังคมไม่ควรจะรับรู้ เพราะพวกเขาคงไม่เขาใจเหตุผล และพ่อแม่ฉันคงจะไม่ปลื้มด้วย”

                เพื่อนๆ ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย แต่ลอร์ดครอฟตันมีสีหน้าแย้ง “แต่จะไม่มีใครทำอะไรกับคนอย่างนั้นเลยหรือ? ฉันไม่ชอบเลยที่จะนึกว่าเขายังสามารถเดินเชิดคอสั้นๆ ของเขาอยู่ในลอนดอนทั้งๆ ที่ทำกับนายแบบนั้น”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์คลี่ยิ้มพลางหลิ่วตามองลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ แล้วพูดต่อ “เอาน่ะ เอ็ดดี้ สักวันคงมีใครสักคนจัดการกับเขา นายไม่ต้องใจร้อนไป ยังมีหน่วยงานอื่นที่ทำงานพวกนี้ได้ดีกว่าสก็อตแลนด์ยาร์ดอยู่อีก”

                ลอร์ดครอฟตันทำหน้าไม่เข้าใจ ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์เลยพูดแทรกขึ้น “อันที่จริงฉันเห็นว่าเรื่องคราวนี้ก็มีข้อดีอยู่ อย่างน้อยๆ จอห์นนี่ของเราก็ได้ลงมือต่อสู้จริงๆ ก่อนที่เขาจะขึ้นชกกับแมดเนอร์ในสัปดาห์หน้า ฉันว่าการเอาชนะนักมวยป่าเถื่อนพวกนั้นน่าจะทำให้นายมั่นใจขึ้นนะ?”

                คนถูกถามพยักหน้า “จะว่าไปแล้วแมคคาธีเองก็มีส่วนทำให้ฉันสมประสงค์เรื่องการต่อสู้เหมือนกัน เสียแต่เขาทำมันอย่างไม่มีมารยาทและไม่ให้เกียรติฉัน” เขาเว้นจังหวะหน่อยหนึ่ง พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ “ฉันเอาบัตรเชิญมาให้พวกนาย ที่นั่งที่ดีที่สุด”

                “ว้าว!” เพื่อนๆ ร้องอุทาน ก่อนที่โรเบิร์ตจะพูดขึ้นมา “ฉันกำลังรออยู่เลยว่านายจะพูดเรื่องนี้เมื่อไหร่” เขารับบัตรเชิญจากลอร์ดโทรว์บริดจ์ แล้วพูดต่อ “ขอบคุณนะจอห์นนี่ ฟังจากที่จอร์จจี้เล่าแล้ว ฉันอยากให้ถึงวันศุกร์ที่นายจะขึ้นชกกับแมดเนอร์ไวๆ”

                “ใช่ แค่ฟังฉันก็คิดว่าการชกของพวกนายสองคนต้องน่าตื่นเต้นมากแน่” เจมส์พยักหน้า “ฉันเคลียร์งานที่ธนาคารรอไว้ตั้งแต่สัปดาห์นี้เลย โชคดีมากที่เป็นช่วงกลางเดือน”

                “พ่อบอกว่าจะไปดูการชกของนายด้วย” อีธานว่า “เป็นเรื่องน่าแปลกมากสำหรับเขา เพราะปกติเขาไม่เคยนึกอยากไปดูมวยเลย”

                โรเบิร์ตหัวเราะ “พ่อนายคงทนกระแสไม่ไหว ตอนนี้ทุกคนที่ฉันรู้จักล้วนพูดถึงเรื่องการชกครั้งนี้ ได้ยินว่าตั๋วขายดีมาก มูลนิธิสงเคราะห์ภริยาทหารผู้ต้องสูญเสียสามีไปในการสู้รบระหว่างสงครามอาณานิคมของเลดี้ควีนสเบอรี่คงได้เงินจากการชกครั้งนี้มหาศาลอย่างไม่ต้องเดา”

                “จริงอย่างที่โรเบิร์ตว่า” นิโคลาสพูดขึ้น “ ฉันกับเบตตี้ได้ยินเรื่องการชกครั้งนี้ตลอดทางที่กลับมาถึงลอนดอน เบตตี้ถึงกับพูดขึ้นมาลอยๆ ว่าเธอก็อยากจะไปดู ‘ลอร์ดโทรว์บริดจ์’ ชกมวยสักครั้งเหมือนกัน”

                “นายจะพาเธอไปดูด้วยก็ได้นะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “บัตรเชิญนี้สำหรับสองคน”

                “ว้าว” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันร้องขึ้นมา “ฉันจะไปชวนมาร์กาเร็ต”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์หรี่ตามองเขา “นายต้องนั่งอยู่ข้างเวทีเป็นพี่เลี้ยงจอห์นนี่ไม่ใช่หรือ?”

                “เออ จริงด้วย” คนถูกทำท่าแบบเพิ่งนึกขึ้นได้ “งั้นฉันไม่บอกมาร์กาเร็ตแล้วกัน”

                 เจมส์หัวเราะในคอ “นายกับมาร์กาเร็ตไปถึงไหนแล้วจอร์จจี้ พวกเราจะได้รับเชิญไปงานแต่งงานของนายเมื่อไหร่?”

                “เมื่อถึงเวลา” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดปัดๆ “นายไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงฉันกับเธอก็เป็นคู่หมั้นกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

                เพื่อนๆ มองหน้ากันยิ้มๆ ลอร์ดครอฟตันพูดขึ้นบ้าง “ฉันจะพาอีไลซ่าไปดู เธอต้องเซอร์ไพรส์มากแน่ที่จะได้นั่งที่นั่งพิเศษนี้”

                “น้องสาวนายชอบดูมวยด้วยหรือ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามด้วยความแปลกใจ คนถูกถามสั่นศีรษะ “ไม่หรอก แต่เธอปลื้มนายมาก ตั้งแต่ไปงานเลี้ยงต้อนรับนายเมื่อคราวก่อน เธอกลับมาก็เพ้อถึงนายอยู่เป็นสัปดาห์ ถามฉันเรื่องนายให้วุ่นวายไปหมด”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหัวเราะ “แสดงว่าอีไลซ่าน้องสาวนายเริ่มโตเป็นสาวแล้ว ปีนี้เธออายุสิบหกใช่ไหม?”

                “ใช่” ลอร์ดครอฟตันพยักหน้า ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองหน้าเขา

                “แน่ใจหรือว่าพ่อแม่นายจะอนุญาต ฉันว่าเธอยังเด็กมาก”

                “พ่อกับแม่ไม่น่าจะว่าอะไรหรอก ที่จริงแล้วทั้งสองคนก็หวังจะให้อีไลซ่าได้เป็นมาร์ชันเนสอยู่ แต่ฉันบอกเธอแล้วว่าอย่าไปหวังให้ยาก อย่างนายถ้าไม่ใช่สาวผมทองตาสีฟ้า ไม่มีทางอยู่ในสายตาเด็ดขาด”

                “ไม่ขนาดนั้นน่า...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์แก้ตัว “น้องสาวนายก็สวยดี ผมสีดำสนิทตัดกับตาสีเขียวก็สวยไปอีกแบบนะ”

                ลอร์ดครอฟตันหัวเราะ “นายกำลังนึกหน้าน้องสาวฉันจากหน้าฉันสินะ น้องฉันตาสีฟ้าเหมือนแม่ จอห์นนี่ โอย... ฉันไม่รู้ว่าควรจะสงสารอีไลซ่าหรืออะไรดี ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ นายสนแต่สาวผมทองตาสีฟ้าเท่านั้น”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าแดง นิโคลาสพูดขึ้นบ้าง “พูดถึงเรื่องสาวผมทอง นายกับเลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนไปถึงไหนกันแล้ว พวกเราจะได้ฟังข่าวดีเร็วๆ นี้บ้างมั้ย?”

                “ฉันกับเธออยู่ระหว่างศึกษากันและกัน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบเลี่ยงๆ “ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าฉันจะหมั้นกับใครเมื่อไหร่ พวกนายจะได้รู้เป็นกลุ่มแรก”

                “ใช่ นายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องจอห์นนี่หรอก” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันรีบพูดต่อ “ห่วงเรื่องนายกับเบตตี้เถอะ นายขอเธอแต่งงานรึยัง?”

                “ยัง ฉันกำลังหาโอกาสเหมาะๆ อยู่ อาจจะหลังจากที่เรียนจบแล้ว”

                คนฟังครางออกมา “อีกกี่ปีนายจะถึงเรียนจบ หือ? นิกกี้ แน่ใจนะว่าเบตตี้จะรอนายถึงตอนนั้น”

                “ความรักต้องใช้เวลา เบตตี้บอกฉันแบบนั้น เธอเป็นคนเสนอเรื่องนี้เองแหละ” นิโคลาสตอบเขา ลอร์ดจอร์จ เฟลตันเลิกคิ้วด้วยความพิศวง

                “เบตตี้เป็นคนบอกเองหรือ เธอไม่กลัวนายเปลี่ยนใจกลางคันหรือไง? ผู้หญิงนี่ชักใจกล้าขึ้นทุกที”

                ลอร์ดครอฟตันหัวเราะออกมา “ฉันคิดว่านายรู้ตัวนานแล้วเสียอีก ที่จริงนายน่าจะรู้สึกตัวเรื่องนี้คนแรกนะจอร์จจี้ เพราะมาร์กาเร็ตเป็นคู่หมั้นนาย”

                “อ่อค” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันทำเสียงเหมือนอะไรติดคอ “มาร์กาเร็ตเป็นลูกสาวคนเดียวของลอร์ดบริสตอล เรื่องนั้นเรื่องเดียวก็เพียงพอแล้วที่ไม่ควรจะเอาเธอไปเทียบกับผู้หญิงคนอื่น”

                “ก็จริงของนาย” เจมส์พยักหน้าเห็นด้วย เจฟฟรีพูดขึ้น

                “ว่าแต่กอร์ดอนเป็นไงบ้าง เขาน่าจะเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องคืนวันเสาร์ที่สุด”

                ช่างตัดเสื้อที่นั่งเงียบอยู่นานจึงพูดขึ้น “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ลอร์ดโทรว์บริดจ์กับลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ได้กรุณาจัดการเรื่องทั้งหมดให้ผมเรียบร้อยแล้ว”

                “โอ้โห...” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันคราง “นายเรียกพวกเขาเสียเต็มยศอย่างกับอยู่กลางศาลาว่าการงั้นแหละ ฉันไม่เห็นว่าห้องนี้จะเหมือนศาลาว่าการตรงไหน”

                “ขออภัยครับ” กอร์ดอนพูดด้วยความประหม่า “ผมเคยชิน ผมเพียงแต่อยากบอกว่า ไม่มีเรื่องอะไรต้องเป็นห่วงครับ ทั้งสองคนได้จัดการให้ผมเรียบร้อยแล้ว”

                “ฉันว่าเราควรหยุดพูดถึงเรื่องคืนวันเสาร์” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตัดบท “มันฟังดูไม่รื่นหูเลยสำหรับฉัน”

                ทุกคนในที่นั้นพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างสัปดาห์

----------------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                ข่าวการชกมวยของลอร์ดโทรว์บริดจ์ดังไปทั่วทั้งลอนดอน โปสเตอร์ที่พิมพ์รูปลอร์ดหนุ่มกับคู่ชกอย่างแมดเนอร์ซึ่งเป็นนักมวยดาวรุ่งขึ้นชื่อ ถูกปิดเอาไว้ตามสถานที่ชุมชน ผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้กันทุกหัวมุมถนน ไม่เว้นแม้แต่ในร้านตัดเสื้อ

                “ผมอยากไปดูการชกมวยของลอร์ดโทรว์บริดจ์ชะมัด” ช่างคนหนึ่งในร้านของกอร์ดอนพูดขึ้น ระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งเย็บผ้ากันอยู่ ได้ยินเสียงช่างอีกคนพูดตอบ

                “คุณซื้อตั๋วทันหรือ ผมได้ยินว่าตั๋วเต็มตั้งแต่ต้นสัปดาห์ก่อนแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ที่นั่งที่ถูกที่สุด ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย”

                “ก็ไม่ทันน่ะสิ” คนถูกถามตอบ “ผมพลาดเองที่ไม่ฉุกคิดจะไปซื้อตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นประกาศ ทั้งๆ ที่เขาเป็นลูกค้าที่ตัดเสื้อกับเราเยอะที่สุดตั้งแต่ที่ผมทำงานที่นี่มาเลย”

                “คุณล่ะ คุณโอเดนเบิร์ก คุณได้ซื้อตั๋วเอาไว้รึเปล่า?”

                “ลอร์ดโทรว์บริดจ์ได้กรุณาให้บัตรเชิญผมแล้ว” กอร์ดอนตอบ ช่างอีกคนพยักหน้า

                “ผมลืมไปว่าคุณเป็นเพื่อนเขา โชคดีจริงๆ คุณคงได้ที่นั่งที่สามารถมองเห็นการชกได้ชัดมาก”

                กอร์ดอนยิ้มแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “ผมหวังว่าจะเป็นแบบนั้น”

                เดวิดมาพูดกับเขาเรื่องนี้ หลังจากร้านเลิกและช่างทุกคนกลับหมดแล้ว “คุณโอเดนเบิร์ก ผมได้ยินเรื่องบัตรเชิญของท่านลอร์ดแล้ว เขากรุณาให้คุณเอาไว้กี่ใบครับ ผมขอไปดูด้วยได้มั้ย?”

                “เขาให้บัตรเชิญมาใบเดียว” กอร์ดอนพูด และอมยิ้มเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำคอตกด้วยความผิดหวัง

                “งั้นผมคงได้แต่รออ่านข่าวในหนังสือพิมพ์” เขาคราง

                “แต่มันเป็นบัตรสำหรับสองที่”

                “....” เดวิดมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย “แปลว่าคุณจะพาผมไปด้วยใช่มั้ยครับ?”

                “ฉันยังไม่ได้พูดสักคำ”

                “โธ่... คุณโอเดนเบิร์ก ตะกี้คุณบอกเองไม่ใช่หรือครับว่ามันเป็นบัตรเชิญสำหรับสองที่ เอ... หรือว่าคุณจะไปดูกับแฟนคุณ? ผู้หญิงแบบไหนนะที่ชอบดูมวย”

                กอร์ดอนหัวเราะออกมา “ฉันยังไม่คิดอยากชวนสาวที่ไหนไปดูมวยหรอก แต่ฉันคุยกับลอร์ดโทรว์บริดจ์แล้วว่าอาจจะให้เธอไปดูด้วย ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์ให้บัตรเชิญมาเป็นคู่แล้ว”

                เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “คุณช่างใจดีเหลือเกินครับ ผมคงต้องหาชุดเตรียมไว้ เราจะนั่งกันตรงไหนหรือครับ? ผมต้องแต่งตัวแบบไหนถึงจะเหมาะ โอ... ตายล่ะ ผมไม่มีชุดดีๆ สำหรับใส่ไปในงานเป็นทางการเลย มันคงน่าอายมากถ้าจะต้องไปนั่งแต่งตัวปอนๆ ท่ามกลางบรรดาเพื่อนๆ ผู้ทรงเกียรติของท่านลอร์ด”

                “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” ช่างตัดเสื้อบอกเขา “ลอร์ดโทรว์บริดจ์กรุณาจัดที่นั่งไว้สำหรับพวกเราแล้ว ไม่ใช่ที่นั่งกิตติมศักดิ์ที่ต้องนั่งรวมกับแขกผู้ทรงเกียรติท่านอื่นหรอก เพราะงั้นเธอไม่ต้องเคร่งเครียดเรื่องการแต่งตัวขนาดนั้น”

                “โล่งไปที” เดวิดถอนใจเฮือก ก่อนจะพูดอย่างร่าเริง “ผมกำลังจะได้ไปดูการชกของลอร์ดโทรว์บริดจ์ ที่คนทั้งลอนดอนต่างพากันพูดถึงในตอนนี้ ว้าว เหมือนฝันเลย”

                กอร์ดอนยิ้มพลางมองเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู “ก่อนที่จะฮัมเพลงฝันหวาน เธอควรจะไปทำความสะอาดห้องด้านหลังก่อนนะ”

                “โอ้ ครับ ได้เลยครับ”

---------------------------------------

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์กำลังนั่งมองถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าเลดี้แคทเธอรีน แบรนดอน พลางนึกสงสัยว่ามันหายร้อนแล้วหรือยัง

                “จอห์น...” หญิงสาวผู้มีผมสีทองสลวยเรียกชื่อเขา “ถ้วยชาฉันมีอะไรหรือคะ?”

                “อ๋อ เปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธ เขาเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว แล้วตัดสินใจพูดต่อ “แคท ที่จริงแล้วเราสองคนก็รู้จักกันมาได้หลายสัปดาห์แล้ว”

                “ค่ะ?”

                “ผมมีเรื่องที่ควรจะต้องบอกคุณตั้งแต่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ซึ่งที่จริงแล้วผมควรจะบอกคุณแต่แรก โชคร้ายคือผมเพิ่งถูกเตือนให้คิดได้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนนี่แหละ”

                เลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนมองหน้าเขาและนิ่งรอ ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองหญิงสาวตรงหน้า

                “ผมรู้ว่าคุณเป็นหลานของท่านดยุกแห่งอ็อคฟอร์ด เป็นลูกสาวของเอิร์ลแห่งเฮอริฟอร์ด แม่ของคุณเป็นผู้หญิงที่สวยจับใจเหมือนกับท่านยายของคุณ และคุณเองก็เป็นผู้หญิงที่สวยมาก ความจริงแล้วด้วยฐานะและทุกอย่างของคุณกับผม พวกเราช่างเหมาะสมกันมาก”

                มีเค้าแห่งความกังวลปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเลดี้สาว เธอใช้ดวงตาสีฟ้าจ้องเอิร์ลหนุ่ม “โอ... จอห์น... คุณต้องการพูดอะไรกันแน่คะ...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองหน้าเธออยู่อีกอึดใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวออกมาวางไว้ตรงหน้าเขา “ขอโทษนะที่ผมต้องทำแบบนี้ แต่ผมกลัวถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าคุณจริงๆ”

                เลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนแสดงสีหน้าอย่างอื่นนอกจากสีหน้ายิ้มแย้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ทั้งคู่ได้พบหน้ากัน เธอเพ่งมองเขาด้วยความกังวลระคนสงสัย ลอร์ดโทรว์บริดจ์ก้มลงมองนิ้วมือตัวเอง

                “คือผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาท มันอาจจะเป็นถ้อยคำที่ฟังดูรื่นหูเลย แต่ผมต้องบอกคุณแบบนี้จริงๆ”

                “....” สีหน้าของเลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเหมือนคนรอฟังคำตัดสินศาล ลอร์ดหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา

                “แคทเธอรีน... ผมจะไม่มีวันขอคุณแต่งงานเด็ดขาด ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม”

                ดวงตาสีฟ้าของเลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนเบิ่งกว้าง ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเธอ เขาไม่เคยเห็นใครทำหน้าตกใจได้ประหลาดขนาดนี้มาก่อน ริมฝีปากของเธอกระตุกราวกับว่าเลือกไม่ถูกว่าควรจะยกขึ้นมายิ้มหรือปล่อยให้ตกลงไปดี ดวงตาสีฟ้าเต้นระริกสะท้อนกับเปลวแดดที่ส่องลงมา เลือดฝาดค่อยๆ ฉีดขึ้นบนใบหน้าที่ซีดขาวของเธอในตอนแรก ในที่สุดหญิงสาวก็เค้นคำพูดออกมาสำเร็จ

                “คุณ... ว่าอะไรนะคะ?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์สูดหายใจลึก เขาแน่ใจว่าเธอต้องไม่พอใจมากแน่ แต่ชายหนุ่มไม่มีทางเลือก “ผมบอกว่า... ผมจะ ‘ไม่มีวัน’ ขอคุณแต่งงานอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม”

                “โอ... พระเจ้า” เลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนคราง ก่อนจะก้มลงและรีบหยิบพัดขึ้นมาคลี่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเธอด้วยความเป็นห่วง

                “แคทเธอรีน ผมรู้ว่ามันฟังดูเลวร้าย แต่ผมไม่อยากจะให้ความหวังกับคุณอีกต่อไปแล้ว ผมจำต้องเชิญคุณมาดื่มชาเพราะมีเหตุผลอื่น ที่จริงผมมีคนรักอยู่แล้ว”

                เลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนขยับพัดลงมาเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าเป็นประกายสุกใส เธอจ้องลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่มีสีหน้ากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะร้องออกมา

                “โอ้... จอห์น... ฉันรู้ว่านี่เป็นเรื่องเสียมารยาทมาก”

                “ใช่... ผมรู้ว่าผมเสียมารยาท”

                “ไม่ใช่ค่ะ” เธอรีบปฏิเสธ “ฉันต่างหาก ฉันไม่ควรปล่อยให้คุณเข้าใจผิดจนมีสีหน้าแบบนั้นเลย แต่ฉันไม่กล้าให้คุณเห็นสีหน้าฉัน”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเธออย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวค่อยๆ ลดพัดลง ลอร์ดหนุ่มจึงเห็นว่าเธอไม่ได้กำลังทำหน้าบึ้งใส่เขา แต่กำลังยิ้มในแบบที่ไม่อาจควบคุมได้

                “โอ... สีหน้าฉันคงน่าเกลียดมาก” เธอพูดแล้วคลี่พัดขึ้นมาบังใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ “ขอโทษด้วยนะคะจอห์น... ฉันไม่สามารถควบคุมสีหน้าตัวเองได้เลย เรื่องที่คุณบอกมันเหนือความคาดหมายของฉันมาก”

                คราวนี้กลายเป็นฝ่ายของลอร์ดโทรว์บริดจ์เองที่ต้องรู้สึกงุนงงสงสัยบ้าง เขาเอ่ยถามหญิงสาว “หมายความว่ายังไง? ทำไมคุณถึงต้องยิ้มขนาดนั้น คำพูดของผมไม่น่าเชื่อหรือ?”

                “ไม่เลยค่ะ” เธอรีบสั่นศีรษะ “ที่จริงแล้วเป็นคำพูดที่ฉันหวังจะได้ยินจากปากคุณ แต่ก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”

                ดวงตาสีเขียวของลอร์ดโทรว์บริดจ์เบิ่งกว้างด้วยความแปลกใจ ขณะที่เลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนลดพัดลงได้ในที่สุด หลังจากเธอสามารถควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติได้แล้ว

                “สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดคือการที่คุณจะขอฉันแต่งงานนี่แหละค่ะ” เธอพูดพลางถอนใจ “อย่างที่คุณพูดเมื่อครู่ ทุกอย่างของพวกเราดูเหมาะสมกันมาก ที่จริงแล้วคุณก็ไม่มีส่วนไหนไม่ดี แต่ฉันภาวนาว่าคุณจะไม่ขอฉันแต่งงาน เพราะเมื่อไหร่ที่คุณพูดคำนั้นออกมา โลกทั้งโลกของฉันคงหม่นหมอง ไม่ใช่เพราะคุณไม่ดี แต่เพราะว่าทุกคนรอบๆ ตัวฉันจะบีบบังคับให้ฉันแต่งงานกับคุณ แม้ว่าฉันจะมีคนรักอยู่แล้วก็ตาม”

                “โอ...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์คราง เขามองเลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณมีคนรักแล้วหรือ?”

                หญิงสาวผงกศีรษะ ใบหน้าของเธอแดงเรื่อขึ้นมาด้วยความเขินอาย “ขอโทษนะคะจอห์น ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังคุณ แต่ด้วยฐานะของคุณ ด้วยความคาดหวังของท่านตาท่านยาย และพ่อแม่ของฉัน ฉันไม่อาจปฏิเสธคุณได้ตรงๆ ในทันที ที่จริงแล้วช่วงสัปดาห์แรกๆ ที่คุณชวนฉันมาดื่มชา ฉันค่อนข้างเป็นกังวลมาก แต่พอเวลาผ่านไป ฉันก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าคุณอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ต้องเชิญฉันมาดื่มชาทั้งที่ไม่ได้เต็มใจนัก เพราะคุณไม่ได้แสดงทีท่าที่ต้องการรู้จักฉันเพิ่มขึ้นเลย”

                “ใช่...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้ายอมรับ “ผมเชิญคุณมาด้วยความจำใจ ที่จริงแล้วผมก็เบื่อเหมือนกันที่ต้องแสดงท่าทางเฉยชาแบบนั้นใส่คุณ ขอโทษนะแคท ถ้าผมคิดได้เร็วว่านี้ คุณคงไม่ต้องมานั่งอึดอัดอยู่ได้ตั้งหลายสัปดาห์”

                เลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนพยักหน้า “แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะในที่สุดคุณก็ได้พูดออกมาแล้ว และมันเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับเราทั้งสองคน”

                ชายหนุ่มมองเธอ “บอกตรงๆ นะแคท ปฏิกิริยาของคุณอยู่นอกเหนือความคาดหมายของผมมาก ผมไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะลงเอยแบบนี้”

                “โอ... ฉันเข้าใจเหตุผลที่คุณยกถ้วยชาออกไปแล้วล่ะค่ะจอห์น” หญิงสาวคราง “กรุณาคืนให้ฉันเถอะค่ะ ฉันจะไม่ทำอะไรหยาบคายแบบนั้นแน่ ความซื่อตรงและกล้าหาญของคุณที่พูดประโยคเมื่อครู่ออกมาประทับใจฉันมาก ฉันดีใจที่วันนี้พวกเราได้คุยกันอย่างตรงไปตรงมาเสียที"

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกถ้วยชาคืนเธอด้วยท่าทางเคอะเขิน “ที่จริงผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะ คุณเป็นผู้หญิงที่ดูแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่ผมได้พบ ผมโล่งใจมากเหมือนกันที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ ถ้าคุณไม่รังเกียจ พวกเราเป็นเพื่อนกันได้ไหม ผมคงดีใจมากที่จะได้เป็นเพื่อนกับสุภาพสตรีที่กล้าหาญพอจะยอมรับเรื่องคนรักตรงๆ กับผม”

                เลดี้แคทเธอรีน แบรนดอนหน้าแดงกว่าเดิม “คุณทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีมารยาทของกุลสตรี ที่จริงแล้วฉันไม่ควรจะบอกคุณเรื่องที่ฉันมีคนรักเลย แต่ฉันไม่ต้องการโกหกคุณ ในเมื่อคุณได้พูดความจริงกับฉันแล้ว ฉันเองก็ยินดีมากค่ะที่จะได้เป็นเพื่อนกับคุณ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มกว้าง “ขอบใจนะแคท วันนี้คงเป็นวันแรกที่พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันจริงๆ จะว่าอะไรมั้ยถ้าผมจะชวนคุณมาดื่มชาอีกในสัปดาห์หน้าและสัปดาห์ถัดไป ผมมีเหตุผลส่วนตัวน่ะ”

                “ด้วยความยินดีค่ะ” หญิงสาวตอบเขา “ฉันเองก็ติดการออกจากบ้านทุกบ่ายวันอังคารเสียแล้ว ดีเสียอีกที่พวกเราจะได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน โอ... จอห์น... วันนี้เป็นวันที่ดีมากวันหนึ่งของฉันเลยค่ะ คุณเป็นผู้ชายที่น่าประทับใจมาก”

                “เช่นกันแคท คุณเป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมแปลกใจมากเลยล่ะ”

---------------------------------------------

                เลดี้บาธรู้สึกดีใจที่เห็นลูกชายคนเดียวของเธอยิ้มหัวคุยกับเลดี้สาวในตอนที่เขามาส่งเธอขึ้นรถม้า รอจนรถม้าคันนั้นแล่นออกไปจากคฤหาสน์แล้ว ท่านมาร์ชันเนสจึงเดินลงมาคุยกับลูกชาย

                “โอ... จอห์น  แม่ดีใจจังที่ลูกกับแคทเธอรีนดูไปกันได้ดี เธอเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับลูกมาก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะแก้เก้อ “ครับ เธอเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจมาก”

                “ลูกน่าจะชวนเธอไปเที่ยวที่บ้านของเราที่บาธนะ แม่แน่ใจว่าเธอจะต้องประทับใจมากแน่”

                “ผมจะเก็บไว้พิจารณาครับ” เอิร์ลหนุ่มตอบแม่ของเขา ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “คืนนี้ผมอาจจะกลับดึกหน่อยนะครับ ผมคิดว่าจะออกไปดื่มหลังมื้อเย็น”

                “ได้จ้ะลูกรัก แต่ลูกควรจะให้โอลิเวอร์ไปด้วย แม่รู้สึกอุ่นใจกว่าถ้าลูกจะกลับบ้านดึกๆ ด้วยรถม้าของเราเอง”

                “ตกลงครับ”

------------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                เดวิดรีบเดินไปเปิดประตูร้านรอเอาไว้ทันทีที่เห็นรถม้าของคฤหาสน์เดลมาจอดที่หน้าร้านในตอนห้าโมงเย็น พอลอร์ดโทรว์บริดจ์เปิดประตูลงมา เจ้าตัวก็รีบเอ่ยทักทันที

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านลอร์ด”

                “สายัณห์สวัสดิ์เดวิด” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทักตอบ “วันนี้ไม่หัดเย็บผ้าหรือ?”

                “วันนี้งดครับ” เด็กหนุ่มตอบ “คุณโอเดนเบิร์กกำลังแก้งานให้ลูกค้าอยู่”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ชะงักไปเล็กน้อย เขากำลังจะถอดเสื้อโค้ทส่งให้กับเด็กหนุ่ม “งั้นเขาคงไม่สะดวกที่จะออกไปกินมื้อเย็นสินะ”

                “โอ... ไม่หรอกครับ” เดวิดรีบพูดต่อ “ผมว่าเขาน่าจะใกล้แก้งานเสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวผมจะไปบอกเขานะครับว่าคุณมา”

                “ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก ให้เขาทำงานไปก่อน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือห้าม ก่อนจะถอดเสื้อโค้ทส่งให้ จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ใช้สำหรับรับแขก เดวิดรับเสื้อโค้ทไปแขวนไว้

                “งั้นผมจะไปยกน้ำชามาให้นะครับ”

                “ขอบใจ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์กวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะรอน้ำชา ร้านของกอร์ดอนตกแต่งอย่างหรูหราตามสมัย เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะของลูกค้าของเขา วอลล์เปเปอร์บนผนังยังดูใหม่เอี่ยม คงถูกเปลี่ยนเมื่อไม่กี่ปีก่อน โคมไฟเป็นรุ่นใหม่ พรมที่ใช้ปูบนพื้นก็เป็นพรมเนื้อดีและยังดูไม่เก่ามากนัก เตาผิงขนาดเล็กที่อยู่กลางห้องก็ถูกบำรุงรักษาเป็นอย่างดี ไม่นับรวมชุดรับแขกที่ดูก็รู้ว่ามีการดูแลเป็นประจำ ลอร์ดโทรว์บริดจ์คิดว่ากอร์ดอนคงเสียค่าปรับปรุงร้านและบำรุงรักษาไปไม่น้อยเลยในแต่ละเดือน สายตาของเขาหยุดลงที่กรอบรูปทรงรีขนาดราวสองฟุตคู่หนึ่งที่แขวนหลังเคาน์เตอร์ที่ใช้ต้อนรับลูกค้า กรอบแรกเป็นรูปครึ่งตัวของชายหนุ่มอายุราวสามสิบปี สวมชุดสูทและเสื้อกั๊กสีน้ำตาล คาดทับปกคอเสื้อเชิ้ตด้วยเน็กไทสีดำ ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหยียดตรง ดวงตาสีฟ้าหม่น ใบหน้าจริงจัง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงเค้าของความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ในมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย ถัดไปอีกรูปเป็นหญิงสาววัยยี่สิบเศษๆ ผมสีทองสลวย ดวงตาสีฟ้าใส สวมเสื้ออย่างแฟชั่นนิยมสมัยเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน เธอคลี่ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นรอยยิ้มที่สะอาดบริสุทธิ์ราวกับเทพธิดา ลอร์ดโทรว์บริดจ์นึกสงสัยว่าเขาพลาดภาพวาดนี้ไปได้อย่างไร ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปพิศมองภาพวาดสองภาพนั้นใกล้ๆ จังหวะนั้นเดวิดเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดน้ำชาพอดี

                “วางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ” เอิร์ลหนุ่มบอกเขา ก่อนจะถามขึ้น “สองรูปนี้เป็นรูปใครหรือ?”

                เด็กหนุ่มวางถาดน้ำชาลงบนโต๊ะ แล้วหันไปมองภาพที่ว่า “อ๋อ รูปของคุณกอร์ดอน กับคุณอลิซาเบธ โอเดนเบิร์กครับ พวกเขาเป็นคุณปู่คุณย่าของคุณโอเดนเบิร์ก”

                “ว้าว... ผู้หญิงคนนี้คือย่าของเขาหรือ? เธอสวยมาก”

                “มิสซิสโอเดนเบิร์กเป็นคนสวยและจิตใจดีงามมากครับ พ่อผมบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เหมือนนางฟ้า”

                “พ่อเธอเคยเห็นตัวจริงหรือ?”

                “ครับ สมัยเขามาฝึกงานกับคุณโอเดนเบิร์กคนปู่ ประมาณสามสิบปีก่อนโน่นครับ ได้ยินว่ามีคนมากมายมาชอบพอเธอ ขนาดที่ว่าเคยมีขุนนางคนหนึ่งขอเธอแต่งงานแต่ก็ถูกเธอปฏิเสธ พ่อบอกว่ามิสซิสโอเดนเบิร์กเป็นสาวสวยที่ใจดีแต่ก็กล้าหาญและอดทนมากครับ เธอแต่งงานกับคุณโอเดนเบิร์กแล้วย้ายมาอยู่ที่ร้านนี้ตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างตัว ทั้งทำงานบ้าน ทั้งทำอาหาร ดูแลลูกด้วยตัวคนเดียว ตอนที่พ่อผมมาทำงานที่นี่ เธออายุประมาณสี่สิบปีแล้ว แต่ยังสวยอยู่มาก เสียดายที่เธอเสียหลังจากที่คุณโอเดนเบิร์กคนหลานคลอดได้ไม่นาน คุณโอเดนเบิร์กเลยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับย่าของเขาเลย”

                “แต่เขาได้ทุกอย่างของย่าเขามาทั้งหมดเลยนะ เว้นเสียแต่ความตรงของเส้นผม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตั้งข้อสังเกต เดวิดพยักหน้า “ใช่ครับ ใครๆ ที่เคยเห็นย่าของเขาก็มักจะพูดแบบนั้น ผมยังเคยคิดเลยนะ ว่าถ้าเขาเป็นผู้หญิง คุณคงจะขอเขาแต่งงานแน่ๆ”

                “อะไรนะ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์หันมามองเด็กหนุ่มทันที เดวิดสะดุ้ง ก่อนจะหน้าซีดเผือดเพราะนึกได้ว่าหลุดคำพูดไม่สมควรออกไป เขารีบพูดขึ้นต่อทันที

                “โปรดให้อภัยผมด้วยครับท่านลอร์ด ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาหมิ่นเกียรติคุณ”

                “อะไรทำให้เธอคิดอย่างนั้น?”

                “โอ... ผมผิดไปแล้วครับ ผมขออภัย ผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีก สาบานเลยครับ”

                “เดวิด ฉันถามเธอ ตอบคำถามฉันก่อนสิ”

                “....”

                “อะไรทำให้เธอคิดอย่างนั้น?”

                เดวิดไม่กล้าเงยหน้ามองคนถาม เขาก้มหน้างุดด้วยความหวาดกลัว “ก็คุณโอเดนเบิร์กเป็นคนสวยมาก ถ้าเขาเป็นผู้หญิง คงจะมีคนมาจีบเขาเยอะแน่”

                “ฉันเห็นด้วย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “แต่เธอยังไม่ได้ตอบคำถาม ทำไมถึงคิดว่าฉันจะขอเขาแต่งงาน”

                “โอ... มันเป็นแค่คำพูดพล่อยๆ ของผมครับ” เดวิดคราง “ผมทึกทักเอาเองว่าด้วยความสนิทสนมระหว่างคุณกับเขา ถ้าเขาเป็นผู้หญิง คุณน่าจะขอเขาแต่งงานแน่ ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นคุณจริงๆ นะครับ ท่านลอร์ด ได้โปรดให้อภัยผมเถอะครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนหายใจเฮือก “เอาล่ะ ใจเย็นๆ นะเดวิด ฉันให้อภัยเธอ เพราะฉะนั้นหยุดทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ได้แล้ว”

                “โอ... ขอบพระคุณมากครับ” เดวิดเงยหน้าขึ้นมา เขาร่ำๆ จะร้องไห้จริงๆ “ผมสาบานว่าต่อไปจะไม่พูดเรื่องนี้อีก”

                “เป็นสิ่งที่เธอสมควรทำ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ฉันคงไม่ชอบใจแน่ถ้าได้ยินใครเอาเรื่องฉันกับกอร์ดอนไปร่ำลือในรูปแบบนั้น แม้ว่าฉันจะยอมรับว่าถ้าเขาเป็นผู้หญิงฉันคงขอเขาแต่งงานก็ตาม”

                เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง ลอร์ดโทรว์บริดจ์คลี่ยิ้มแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้ “ความลับระหว่างเรานะเดวิด ห้ามบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด แม้แต่ตัวกอร์ดอนเองก็เถอะ เขาคงไม่ชอบใจนักหรอกที่ตัวเองต้องพลาดโอกาสได้แต่งงานกับฉันเพราะเป็นผู้ชาย”

                เดวิดกะพริบตาปริบๆ “นี่คุณมุกรึเปล่าครับ?”

                “ใช่ ไม่ตลกหรือ?”

                “โอ... ผมไม่กล้าขำหรอกครับ” เด็กหนุ่มสารภาพตามตรง “คุณทำเอาคำพูดที่ผมพูดตอนแรกกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย”

                “ฉันก็ตั้งใจให้เป็นงั้นแหละ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่าแล้วตบไหล่เขา “ไม่ต้องคิดมากหรอก ฉันรู้ว่าเธอคะนองปาก แต่ระวังๆ เอาไว้บ้างแล้วกัน คนอื่นไม่ได้ใจดีเหมือนฉันหรอกนะ”

                “ครับ ขอบพระคุณมากเลยครับ”

------------------------------------

                กอร์ดอนเดินออกมาตามเดวิดให้ไปกวาดพื้นด้านหลังตอนประมาณอีกสิบห้านาทีจะหกโมง แน่นอนว่าเขาแปลกใจมากที่เห็นลอร์ดโทรว์บริดจ์นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาสำหรับรับแขก ท่าทางเหมือนมารออยู่นานแล้ว

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านลอร์ด มานานแล้วหรือครับ?” เขาหันไปถลึงตาใส่เดวิดที่ยืนหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงมุมห้อง ลอร์ดโทรว์บริดจ์เงยหน้ามอง แล้วยิ้ม

                “สักพักแล้วล่ะ ผมบอกเดวิดเองว่าไม่ต้องไปตามคุณ เห็นว่ายุ่งอยู่”

                “โอ... ที่จริงแล้วคุณน่าจะให้เขาไปตามผม นี่ผมนั่งดื่มรูทเบียร์หมดไปแก้วหนึ่งแล้วถึงได้เดินออกมา” ช่างตัดเสื้อคราง เขาถือเสื้อสูทสีน้ำตาลเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง บนตัวเต็มไปด้วยเศษด้าย และมันร่วงลงพื้นตลอดทางที่เขาเดินมา

                “แสดงว่าคุณแก้งานเสร็จแล้ว” ลอร์ดหนุ่มพูดพลางหันมองนาฬิกาแขวนผนังในร้าน “สะดวกที่จะออกไปกินมื้อเย็นกับผมไหม?”

                “แน่นอนครับ ผมขอเปลี่ยนเสื้อสักครู่”

                กอร์ดอนกลับลงมาอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและขึ้นรถม้าไปกับลอร์ดโทรว์บริดจ์ ทันทีที่ประตูรถม้าปิดสนิท ลอร์ดหนุ่มก็ดึงตัวช่างตัดเสื้อเข้าไปกอด

                “ถ้าผมได้นอนกอดคุณทุกคืนคงดี” เขากระซิบข้างหูพลางจูบแก้มฝ่ายนั้นเบาๆ กอร์ดอนกอดตอบ แล้วยิ้มด้วยความขัดเขิน

                “ผมคิดว่าวันนี้คุณจะพักผ่อนอยู่บ้านเสียอีก”

                “การมาหาคุณนี่แหละคือการพักผ่อนของผม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ก่อนจะขยับมามองหน้าคู่สนทนา “ผมรู้แล้วทำไมตัวเองถึงไม่เคยสังเกตเห็นรูปที่ด้านหลังเคาน์เตอร์คุณเลย”

                “เอ๋?” กอร์ดอนมีสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะพูดอย่างนึกได้ “คุณคงหมายถึงรูปปู่กับย่าผม”

                “ใช่” เอิร์ลหนุ่มพยักหน้า “เพราะผมมัวแต่มองหน้าคุณ เลยไม่เคยสังเกตเห็นรูปของทั้งสองคนเลยสักที”

                ช่างตัดเสื้อหัวเราะขวยๆ อีกฝ่ายพูดต่อ “คุณเหมือนย่าคุณมาก ราวกับถอดแบบกันมาเลย”

                “ใครๆ ก็พูดแบบนั้นครับ” กอร์ดอนพยักหน้า “น่าเสียดายที่ย่าเสียตอนผมยังเล็กมาก ผมเลยไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเธอเลย แค่รู้ว่าย่าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม และปู่ก็รักเธอมาก ปู่ไม่เคยแต่งงานใหม่อีกเลย”

                “ผมเข้าใจความรู้สึกของปู่คุณแจ่มแจ้งเลยล่ะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ผมเพิ่งบอกเดวิดไป ว่าถ้าคุณเป็นผู้หญิง ผมจะขอคุณแต่งงาน”

                “อะไรนะครับ?!” กอร์ดอนร้องขึ้นด้วยความตกใจ “คุณบอกเขาไปแบบนั้นหรือ?”

                “อืม ที่จริงแล้วเขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนน่ะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “เขาคงติดใจความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณ แต่ไม่ได้คิดจริงจังหรอกว่าผมจะชอบคุณที่เป็นผู้ชาย”

                “โอ... จอห์น... แล้วเดวิดว่าไงบ้างครับ? ผมเห็นเขาดูตื่นๆ”

                “เขาหลุดปากพูดแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมคงต้องโกรธแน่ เลยลนลานแก้ตัวจนน่าสงสาร” เอิร์ลหนุ่มตอบ “ผมไม่อยากให้เขาเก็บเอาไปคิดมาก เลยทำเหมือนว่ามันเป็นแค่มุกสนุกๆ ผมบอกให้เขาปิดเป็นความลับแม้แต่กับคุณด้วยนะ เรื่องขอแต่งงานน่ะ”

                “คุณนี่ทำอะไรน่ากลัวจริงๆ” กอร์ดอนพูด “ผมกลัวเดวิดจะสงสัยเรื่องของพวกเราที่สุดเลย”

                “เดวิดดูจะนับถือคุณมากนะ เขาไม่แสดงท่าทางอิจฉาหรืออึดอัดเวลาพูดถึงคุณเลยแม้แต่น้อย”

                “เขาเป็นเด็กน่ารักว่าง่ายครับ” กอร์ดอนตอบ “เป็นลูกชายของช่างที่เคยทำงานกับปู่ผม พ่อเขาบังเอิญเสียกะทันหัน ผมเลยรับเขาไว้ทำงาน ที่บ้านเขาจะได้มีรายได้”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “ผมเองก็ชอบที่เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ผมหวังว่าสักวันเขาจะเป็นคนหนึ่งที่ไว้ใจได้ แม้จะล่วงรู้ความลับของพวกเราแล้วก็ตาม”

                “จอห์น ผมกลัวเหลือเกิน” กอร์ดอนพูดแล้วกอดอีกฝ่ายเขาไว้แน่น “กลัวว่าวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างถูกเปิดเผย ผมจะเสียคุณไป”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์กอดตอบเขา “ผมเองก็กังวลกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรเป็นความลับไปได้ตลอด โดยเฉพาะเรื่องความรัก เพราะฉะนั้นผมจะเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมเพื่อรับมือเมื่อถึงเวลานั้น ผมจะไม่ยอมเสียคุณไปเด็ดขาด”

                กอร์ดอนกอดอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม เขาซุกหน้าที่เรื้อน้ำตาลงไปบนแผ่นอกกว้าง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือของเขาขึ้นมาจูบ

                “แต่เรื่องแต่งงานน่ะผมพูดจริงๆ นะ” เขาขยี้ปลายนิ้วลงไปเบาๆ บนโคนนิ้วนางข้างซ้ายของช่างตัดเสื้อ “ต่อให้คุณเป็นผู้ชายผมก็ยังอยากจะสวมแหวนให้คุณ ผมอยากแต่งงานกับคุณ สาบานจะใช้ชีวิตคู่กันไปจนวันตาย ผมอยากให้คุณอยู่เคียงข้างผมทุกลมหายใจ”

                “แต่พวกเราเป็นผู้ชาย...” กอร์ดอนพูดเสียงพร่า “ไม่มีใครยอมรับการแต่งงานของพวกเราหรอกครับ มันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ถ้าใครรู้เข้าล่ะก็...”

                “ไม่เป็นไร ช่างกฎหมายกับคนอื่นเถอะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “เมื่อเวลามาถึง ผมจะสวมแหวนให้คุณต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า ผมจะให้พระองค์เป็นพยานในความรักอันบริสุทธิ์ของเรา”

                กอร์ดอนได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เขาไม่อาจหาคำใดมาพูดตอบลอร์ดหนุ่มได้เลย

---------------------------------------------

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พากอร์ดอนไปกินมื้อเย็นที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งในย่านคาเว็นดิชสแควร์ แน่นอนว่าคนเฝ้าประตูจำเขาได้ทันทีที่เห็น เนื่องจากข่าวเรื่องการต่อยมวยนั่นเอง

                “คุณรู้มั้ย ทำไมคนถึงเรียกแถบนี้ว่าคาเว็นดิชสแควร์” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตั้งคำถาม ระหว่างรออาหารที่สั่งไป กอร์ดอนมองเขาด้วยความแปลกใจ “มันเป็นที่ดินของตระกูลคุณไม่ใช่หรือครับ?”

                “ผิด” อีกฝ่ายตอบเขา “มันเป็นที่ดินของลอร์ดลอนดอนต่างหาก แล้วคนที่สร้างก็ไม่ใช่คนในครอบครัวผมโดยตรงด้วย ลอร์ดอ็อคฟอร์ดเป็นคนแรกที่สร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นที่นี่ เพื่ออุทิศให้กับภรรยาของเขาซึ่งเป็นน้องสาวของปู่ของปู่ทวดผมอีกที คนเลยติดเรียกที่นี่ว่าคาเว็นดิชสแควร์ ทั้งๆ ที่ตระกูลผมไม่มีส่วนได้เสียอะไรเลย แถมยังต้องกลายเป็นมนุษย์ถ้ำเวลาไม่อยากให้คนอื่นจำพวกเราได้อีกด้วย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์อธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง แต่กอร์ดอนกลับหัวเราะออกมา “ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท แต่ผมขำท่าทางของคุณตอนที่บอกว่าเป็นมนุษย์ถ้ำน่ะ ที่จริงแล้วเคฟกับคาเว็นดิชก็ใกล้เคียงกันออกนะครับ”

                “ใช่ ก็แค่เหลือสี่ตัวหน้าเอาไว้” เขาพูดพลางถอนใจ “แต่เวลาเซ็นผมชอบเซ็นเพลินเป็นคาเว็นดิชทุกทีเลย”

                กอร์ดอนสั่นศีรษะพลางยิ้ม “ผมว่าด้วยฐานะอย่างพวกคุณ คงมีไม่บ่อยหรอกครับที่ต้องบิดบังชื่อนามสกุลของตัวเอง”

                “มันก็ไม่บ่อยหรอก” อีกฝ่ายตอบเขา “แต่บางครั้งพวกผมก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน”

                พวกเขากินอาหารและดื่มไวน์กันไปหลายแก้ว ก่อนที่จะนั่งรถม้าไปที่บาร์บีช็อต

                “ผมตัดสินใจให้แจ็กสันนั่งที่นั่งปกติ ผมคิดว่าเขาอาจจะอึดอัดถ้าต้องไปนั่งท่ามกลางเพื่อนๆ ของผม อย่างน้อยๆ การแต่งตัวของเอ็ดดี้ก็ข่มคนอื่นอยู่แล้ว”

                “ดีแล้วล่ะครับ” กอร์ดอนพยักหน้า “คุณจะจัดที่ให้เขานั่งใกล้พวกเรารึเปล่าครับ ผมชวนเดวิดไปด้วย เขาดีใจมากที่จะได้ดูคุณต่อยมวย”

                “ถ้าคุณต้องการแบบนั้นผมจะจัดการให้” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า กอร์ดอนพยักหน้า พวกเขาคุยสัพเพเหระกันอีกหลายเรื่อง จนกระทั่งรถม้าหยุดลง

                “สายัณห์สวัสดิ์กอร์ดอน สายัณห์สวัสดิ์จอห์น พวกคุณเป็นไงบ้าง?” แจ็คสันทักทายทันทีที่ทั้งสองคนเยี่ยมหน้าเข้าไปในบาร์ คืนนี้เป็นคืนวันอังคารกลางเดือน บาร์จึงไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก ลอร์ดโทรว์บริดจ์และกอร์ดอนทักตอบ ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ แล้วสั่งเหล้ามาดื่ม กอร์ดอนยังคงดื่มเหล้ายินเหมือนเดิม แต่ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่งเหล้าผสมแบบที่เขาเป็นคนคิดสูตรเอง

                “รสชาติเป็นไงบ้าง?” แจ็คสันถามหลังจากมองลอร์ดโทรว์บริดจ์ดื่มเหล้าผสมแก้วนั้นลงไป คนถูกถามพยักหน้า “ดีเลยล่ะ คุณอยากลองไหม?”

                “ก็น่าสนใจนะ” พูดจบเขาก็หันไปชงเหล้าแบบเดียวกันให้ตัวเองแก้วหนึ่ง แล้วลองดื่ม

                “ไม่เลว คุณสนใจอยากมาเป็นคนชงเหล้ามั้ย?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะ “ผมจะรับไว้พิจารณาแล้วกัน เผื่อวันหนึ่งผมอยากเลิกเป็นผู้จัดการเหมือง แต่ผมชอบให้คุณชงให้มากกว่า”

                เขาดื่มเหล้าจนหมดแก้ว แล้วจึงพูดขึ้นต่อ “แจ็คสัน ผมจะขึ้นต่อยมวยวันศุกร์นี้ คุณรู้ข่าวแล้วใช่มั้ย?”

                แจ็คสันผงะและนิ่งไปอึดใจใหญ่ๆ ขณะที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ล้วงบัตรเชิญออกมาจากอกเสื้อ “นี่บัตรเชิญของคุณ สำหรับสองที่”

                “โอ...” เจ้าของบาร์วัยกลางคนคราง เขายื่นมือที่พยายามบังคับเอาไว้อย่างยิ่งเพื่อไม่ให้มันสั่นมารับบัตรเชิญใบนั้น “ผมนึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นคุณแน่...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกนิ้วแตะริมฝีปากเป็นเชิงห้าม พลางยิ้ม “คุณต้องไปให้ได้นะ ผมจริงจังกับการชกครั้งนี้มาก มันเป็นการชกครั้งแรก และอาจจะเป็นครั้งเดียวของผม”

                “แน่นอนครับ” แจ็คสันพยักหน้า “ช่างเป็นความกรุณาเหลือเกิน”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกนิ้วแตะปากอีกครั้ง “ผมขอให้ทั้งหมดนี้เป็นความลับ ผมอยากให้คุณทำเหมือนอย่างที่เคยผ่านมา ผมอยากเป็นแค่จอห์น ผู้จัดการเหมือง เวลานั่งอยู่ที่นี่ หวังว่าคงไม่เกินความสามารถของคุณหรอกนะ”

                “โอ... ไม่เลย ไม่เลยครับ” แจ็คสันพยักหน้าถี่ๆ “ทุกอย่างจะเหมือนเดิมจอห์น อย่างที่คุณขอ ขอบคุณมากสำหรับบัตรเชิญ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่งเหล้ามาดื่มอีกสองแก้ว ก่อนจะชวนช่างตัดเสื้อกลับ แจ็คสันถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนเด็กในร้านต้องหันมาถาม

                “เกิดอะไรขึ้นหรือ? คุณเดนเวอร์”

                “ไม่มีอะไร” คนถูกถามสั่นศีรษะ “วันศุกร์นี้ฉันปิดร้านนะ จะไปดูลอร์ดโทรว์บริดจ์ชกมวย”

                “เอ๋? คุณซื้อตั๋วทันหรือครับ? ได้ยินว่าขายหมดตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่แล้วโน่นแน่ะ”

                “อ๋อ ใช่ ฉันเพิ่งได้ตั๋ว และฉันต้องไปดูให้ได้เลยล่ะ”

----------------------------------------

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ใช้เวลาทั้งวันพุธไปกับการพักผ่อน เขาออกมาเดินเล่นในสวน และออกไปนั่งรถม้ากินลมเล่นหลังจากมื้อเช้า ก่อนจะกลับเข้ามาในช่วงสาย ใช้เวลาจากนั้นไปกับการเล่นไวโอลิน และแช่น้ำในอ่างโดยมีโอลิเวอร์คอยเติมน้ำให้อยู่สองชั่วโมง จึงลงไปกินมื้อค่ำ เขาแจ้งยกเลิกการประชุมสโมสรแบล็กเบิร์ดตั้งแต่สัปดาห์ก่อน เพื่อที่จะได้พักผ่อนเต็มที่ก่อนขึ้นชกจริง ชายหนุ่มใช้เวลาช่วงก่อนเข้านอนไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับความขัดแย้งและการต่อสู้เพื่อปฏิรูปศาสนา

                วันพฤหัสฯ หมดไปกับการประชุมเตรียมความพร้อม และแถลงข่าว พวกนักข่าวรอกันอยู่เนืองแน่นที่ด้านหน้าควีนสเบอรี่ฮอลล์ สถานที่ที่ใช้จัดงานในครั้งนี้ ตอนที่คนทั้งหมดเดินออกมา แสงแฟลชสว่างวาบตามด้วยเสียงดังโป๊ะที่ชวนน่ารำคาญ ระหว่างที่ลอร์ดควีนสเบอรี่และภริยาแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับการชกที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่ง ลอร์ดโทรว์บริดจ์กับแมดเนอร์ถูกจับนั่งแยกกันสองฟากของโต๊ะ คู่ต่อสู้ของเขายังคงมีท่าทางหยิ่งยโสเหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ลอร์ดโทรว์บริดจ์อดรู้สึกนับถือในความมั่นใจของอีกฝ่ายไม่ได้ พวกเขาทั้งสองจับมือกันเพื่อแสดงความมีน้ำใจของนักกีฬาหลังเสร็จคำแถลง นักข่าวหลายคนพยายามจะขอสัมภาษณ์พวกเขา แต่ถูกคนของลอร์ดควีนสเบอรี่กันออกไป

                เมื่อกลับเข้ามาด้านในอาคาร ลอร์ดโทรว์บริดจ์พบว่ามีช่อดอกไม้ให้กำลังใจหลายสิบช่อวางอยู่บนโต๊ะในห้องพักของเขา เอิร์ลหนุ่มไล่อ่านการ์ดที่เสียบอยู่ทีละใบ ส่วนใหญ่มาจากขุนนางที่มีลูกสาวซึ่งเคยแนะนำให้เขารู้จักมาก่อน ถัดมาคือบรรดาเพื่อนๆ ของเขาสมัยเรียน ลอร์ดโทรว์บริดจ์อ่านแล้วก็สอดการ์ดพวกนั้นคืนไว้ในช่อดอกไม้เหมือนเดิม ก่อนจะชะงักเมื่อหยิบการ์ดจากช่อกุหลาบสีขาวที่ดูแสนจะธรรมดามากเมื่อเทียบกับดอกไม้ช่ออื่นๆ เขาหยิบกุหลาบขาวช่อนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ทันที

                “ช่วยเอาที่เหลือไปไว้ที่รถม้าของฉันหน่อยนะ เดี๋ยวคนขับรถม้าจะจัดการเอง” เขาสั่งคนดูแลห้อง แล้วถือกุหลาบขาวช่อนั้นเดินออกไป

                “พรุ่งนี้ต้องเป็นวันที่ตื่นเต้นมากแน่ๆ” ลอร์ดควีนสเบอรี่ทักทันทีที่เห็นลอร์ดโทรว์บริดจ์ คนถูกทักยิ้มพลางพยักหน้า “แน่นอนครับ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากเลย”

                “เธอควรจะดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนนะคืนนี้” ลอร์ดควีนสเบอรี่ว่า “ฉันทำแบบนี้ประจำเวลารู้สึกตื่นเต้นมากๆ เธอควรพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของเรา”

                “ครับ” เอิร์ลหนุ่มพยักหน้า ลอร์ดควีนสเบอรี่มองช่อกุหลาบสีขาวในมือเขา “กุหลาบของใครล่ะนั่น ดูไม่น่าถูกส่งมาจากสาวๆ นะ เพราะพวกเธอมักชอบกุหลาบสีแดง”

                “ของเพื่อนผมครับ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบเขา ก่อนจะโค้งให้ “ผมคงต้อขอตัวกลับก่อน เจอกันพรุ่งนี้ครับ ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง”

                “เช่นกันแมธ เจอกันพรุ่งนี้ ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง”

--------------------------------

                “ว้าว ยังมีอีกช่อหรือครับนั่น” โอลิเวอร์ทักเจ้านายของตัวเองเมื่อเห็นเขาเดินถือช่อกุหลาบสีขาวมาที่รถ ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า อีกฝ่ายพูดต่อ “ผมใส่ช่อที่เหลือเข้าไปในรถแล้ว เพราะคิดว่าถ้าเอาไว้ท้ายรถคงไม่ให้เกียรติกับคนที่ส่งมาเท่าไหร่”

                “ก็อย่างนั้นแหละ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “โชคดีที่รถม้าของเราคันใหญ่ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องถูกช่อดอกไม้ทับตาย” เขาพูด หลังจากที่คนรับใช้เปิดประตูรถให้ ด้านในที่นั่งฟากหนึ่งมีแต่กองช่อดอกไม้วางเรียงกันอยู่

                “คุณจะให้ผมช่วยจัดช่อนี้ให้ไหมครับ?” โอลิเวอร์พูดพลางมองช่อกุหลาบสีขาวในมือของลอร์ดโทรว์บริดจ์ คนถูกถามสั่นศีรษะ “ไม่ต้อง ช่อนี้ฉันจะถือไป” พูดจบเขาก็ก้าวเท้าขึ้นไปบนรถม้า ก่อนจะไขกระจกออก เพราะทนกลิ่นของดอกไม้ที่ฟุ้งตลบไม่ไหว พลางคิดขึ้นมาว่าเขาควรจะฝากดอกไม้ที่เหลือไปกับรถเปิดประทุนสักคัน แทนที่จะต้องมาทนนั่งดมกลิ่นแบบนี้ ถึงอย่างนั้นท่านเอิร์ลก็อดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เมื่อหยิบการ์ดที่เสียบเอาไว้ในช่อดอกกุหลาบสีขาวขึ้นมาอ่าน มันมีข้อความเขียนอยู่เพียงไม่กี่ประโยค แต่เป็นลายมือที่เขาเห็นครั้งแรกก็ไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาด

                คุณลูกค้าที่รัก,

                ผมขอเป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างคุณในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้

                                                                                ขอพระเจ้าโปรดอวยพรให้คุณ

                                                                                                                                ก.อ.

                “ช่างตัดเสื้อที่รักของผม” ลอร์ดหนุ่มพึมพำ “คุณคือกำลังใจที่ดีที่สุดของผมเลย” เขาจูบการ์ดใบนั้นเบาๆ แล้วเก็บมันใส่อกเสื้ออย่างทะนุถนอม ก่อนจะสูดกลิ่นหอมของช่อกุหลาบในมือด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างที่สุด

--------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                ในที่สุดวันศุกร์ก็มาถึง กอร์ดอนเลิกร้านเร็วกว่าปกติเพื่อเตรียมตัวจะไปดูการชกมวยของลอร์ดโทรว์บริดจ์ เขาให้เดวิดยืมสูทของตัวเองในสมัยเด็กที่เก็บเอาไว้ในตู้ แม้จะคับและดูเก่าไปนิด แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกมั่นใจขึ้นมากโข

                “ชุดนี้สวยมากเลยคุณโอเดนเบิร์ก คุณปู่คุณเป็นคนตัดหรือครับ?”

                “เปล่า ชุดนี้ฉันตัดเอง หัดตัดน่ะ”

                เดวิดมีสีหน้ามหัศจรรย์ใจ “โอ คุณตัดตอนอายุเท่าไหร่ครับเนี่ย มันสวยมากเลยครับ”

                “ตอนอายุพอๆ กับเธอนั่นแหละ ฉันชอบมายุ่งที่ร้าน ปู่เลยให้ฉันลองเย็บเสื้อดู ผลก็เป็นอย่างที่เห็น”

                “โอ... สักวันผมจะทำได้แบบนี้ใช่มั้ยครับ?”

                “แน่นอน เพียงแต่เธอต้องอดทนและใช้เวลาสักหน่อย” ช่างตัดเสื้อพูดแล้วหยิบเสื้อโค้ทขึ้นมาสวม ทั้งสองคนปิดร้านแล้วเรียกรถม้ารับจ้างแบบเปิดประทุนไปยังควีนสเบอรี่ฮอลล์

                นานมากแล้วที่กอร์ดอนไม่ได้ให้ความสนใจกับทิวทัศน์ของกรุงลอนดอน ชีวิตเขามักจะวนเวียนอยู่แค่ร้าน ห้างขายอุปกรณ์ตัดเย็บ ท่าเรือ และโบสถ์ แม้ช่วงหลังเขาจะถูกลอร์ดโทรว์บริดจ์พาไปไหนมาไหน แต่ทุกครั้งม่านบังตาในรถม้าจะถูกดึงขึ้นเสมอเพื่อป้องกันสายตาสอดรู้สอดเห็น ดังนั้นเขาจึงแทบไม่มีโอกาสได้ชมทิวทัศน์อย่างอื่นนอกจากฝั่งตรงข้ามของร้านเลย

                “โอ... นั่นสะพานทาวเวอร์ที่กำลังก่อสร้างกันอยู่หรือ?” ช่างตัดเสื้อถามขึ้นระหว่างที่รถม้าแล่นอยู่บนสะพานลอนดอนเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำเทมส์ “ท่าทางจะใหญ่โตเอาเรื่องเลยนะ”

                “เขาว่ากันว่ามันจะเป็นสะพานที่สวยที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาเลยครับ” เดวิดบอกเขาแข่งกับเสียงกุบกับของรถม้า สารถีตะโกนแทรกขึ้นมา “ใช่แล้วพ่อหนุ่ม แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะเสร็จน่ะซี่”

                กอร์ดอนมองสะพานที่กำลังสร้างด้วยความสนใจ เช่นเดียวกับสถานที่อื่นๆ ที่เขาผ่าน ทุกอย่างในลอนดอนยังคงเหมือนเดิมแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งผู้คน สภาพอาคาร แต่กระนั้นเขากลับรู้สึกว่าบรรยากาศสดใสขึ้น แม้ว่าท้องฟ้ายามเย็นของวันนี้จะค่อนข้างขะมุกขะมัวอยู่บ้างก็ตาม

                “พวกคุณกำลังจะไปดูการชกของลอร์ดโทรว์บริดจ์กับแมดเนอร์ใช่มั้ย?” สารถีถามต่อ กอร์ดอนพยักหน้ารับ

                “ใช่ เราอยากไปให้ถึงก่อนหกโมงเย็น”

                “ผมจะพยายามหาทางที่ใกล้และมีรถน้อยที่สุด พนันเลยว่ารถม้าทุกคันจะต้องมุ่งหน้าไปที่นั่นในวันนี้” สารถีว่า “การชกครั้งนี้เป็นที่กล่าวถึงทุกหัวระแหงของลอนดอนเลย”

                “อือ ผมดีใจมากเลยที่มีโอกาสได้ไปดูการชกในครั้งนี้” เดวิดพูดด้วยความภูมิใจ สารถีพูดขึ้นต่อ

                “พวกคุณโชคดีนะ เห็นว่ามีหลายคนเลยที่ซื้อตั๋วไม่ทัน ลอร์ดโทรว์บริดจ์น่ะเคยเป็นคนดังมากในวงการรักบี้สมัครเล่นเลย ว่ากันว่าถ้าเขาไม่เดินทางไปอเมริกาเสียก่อน คงจะได้เล่นให้กับทีมชาติ”

                “ขนาดนั้นเลยหรือ?” กอร์ดอนถามด้วยความแปลกใจ สารถีพยักหน้า

                “ใช่ ผมเคยตามดูเขาสมัยอยู่กับทีมมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เขาเป็นผู้เล่นแนวกลางที่ทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพมาก ควบคุมเกมการเล่นได้อย่างน่ามหัศจรรย์ แม้เขาจะไม่ได้ตัวทำแต้มสูงสุดในทุกเกม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเล่นของเขามีผลอย่างมากต่อชัยชนะของทีม คราวนี้เขากลับมาจากอเมริกาก็ขึ้นชกมวยอีก ผมว่าไม่แน่นะ เขาอาจจะคว่ำแมดเนอร์ลงก็ได้ ท่าทางเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านกีฬา” สารถีพูดแล้วก็หัวเราะ “แถมนอกจากจะเล่นกีฬาเก่งแล้ว ท่านลอร์ดคนนี้ยังหน้าตาหล่อเหลามากอีกด้วย รูปที่ใช้ปิดโปสเตอร์ทำเอาสาวๆ ทั้งลอนดอนฝันเพ้อเลยล่ะ ท่านเอิร์ลหนุ่มทายาทคนเดียวของท่านมาร์ควิสแห่งบาธ สุภาพบุรุษผู้ทรงเกียรติที่รูปหล่อ ร่ำรวยและยังโสด โอ้โห คุณเอ๋ย เขานี่แหละคือชายในฝันของผู้หญิงทั้งหลายเลย ฮ่าๆ”

                กอร์ดอนได้แต่ยิ้ม ขณะที่เดวิดพูดขึ้น “นั่นสินะ ผู้หญิงที่ได้แต่งงานกับเขาคงจะโชคดีมาก”

                “ใช่แล้ว และประกันได้เลยว่าเธอจะต้องเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ที่คู่ควรกับเขา พวกสาวชาวบ้านทั้งหลายก็คงได้แต่ฝันเพ้อน่ะแหละ”

                ยิ่งรถม้าแล่นมาใกล้จะถึงควีนสเบอรี่ฮอลล์เท่าไหร่ การจารจรยิ่งดูหนาตาขึ้นมามากเท่านั้น นอกจากบรรดารถม้ารับจ้างแล้ว ยังมีรถม้าคันใหญ่ที่มีตราของคฤหาสน์ต่างๆ แล่นกันให้ควักอีกด้วย สารถีตัดสินใจเฆี่ยนม้าหลบไปทางถนนที่เส้นเล็กกว่า ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมายก่อนหกโมงเย็นเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น กอร์ดอนจ่ายเงินและทิปให้สารถีคนนั้น เป็นจำนวนเงินที่เขาต้องขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถึงกับอาสาจะอยู่รอรับในขากลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่างตัดเสื้อต้องการพอดี

                พวกเขาเข้าแถวต่อคิวเพื่อรอยื่นบัตรผ่านเข้าไปด้านใน จังหวะที่กอร์ดอนกำลังก้มมองนาฬิกาพก ใครคนหนึ่งก็เอ่ยทักเขา

                “เฮ้ กอร์ดอน นายมายืนทำอะไรตรงนี้?”

                กอร์ดอนเงยหน้าขึ้นมองคนทัก ก่อนจะรีบทักตอบ “สายัณห์สวัสดิ์ครับลอร์ดครอฟตัน ผมมายืนรอคิว”

                “โธ่เอ๋ย... นายได้บัตรเชิญนะ มากับฉันนี่” เขาผงกศีรษะเป็นเชิงสั่งให้ช่างตัดเสื้อเดินตามมา ก่อนจะแนะนำคนที่มาด้วยกัน

                “กอร์ดอน นี่อีไลซ่าน้องสาวฉัน อีไลซ่า นี่กอร์ดอน โอเดนเบิร์ก เพื่อนพี่แล้วก็เป็นเพื่อนของจอห์นนี่ด้วย”

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านหญิง” กอร์ดอนเอ่ยทักเลดี้อีไลซ่า เบอร์มิ่ง เธอเป็นหญิงสาวแรกรุ่น มีเรือนผมสีดำสนิทเป็นลอนสวย และมีดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ดูซุกซน เธอยิ้มให้ช่างตัดเสื้ออย่างเป็นมิตร ก่อนจะหันไปมองเดวิด กอร์ดอนเลยแนะนำเขาต่อ

                “ส่วนนี่ เดวิด ชิมเมอร์  พ่อของเขาเป็นเพื่อนกับปู่ผม”

                เดวิดรีบเอ่ยทักเลดี้สาวน้อยวัยไล่เลี่ยกับเขาด้วยท่าทางประหม่าอย่างที่สุด เลดี้อีไลซ่า เบอร์มิ่งหัวเราะคิกคัก

                “สายัณห์สวัสดิ์ค่ะคุณโอเดนเบิร์ก สายัณห์สวัสดิ์ค่ะคุณชิมเมอร์ พี่เอ็ดเวิร์ดได้กรุณาเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังแล้ว คุณเป็นคนสวยจริงๆ ด้วย คุณโอเดนเบิร์ก ฉันว่าคุณต้องเข้ากับหมวกใบใหม่ที่ฉันซื้อมาแน่”

                กอร์ดอนยิ้มแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ลอร์ดครอฟตันหันไปเอ็ดน้องสาวตัวเอง “เขาเป็นผู้ชาย อีไลซ่า”

                “ฉันรู้แล้วล่ะค่ะพี่ แต่เขาสวยมากนี่นา” เธอพูดแล้วหัวเราะอีก คนเป็นพี่ชายได้แต่ส่ายหน้า ทั้งสองคนเดินนำกอร์ดอนและเดวิดไปยังแถวอีกแถวหนึ่ง ซึ่งมีคนน้อยกว่า แต่ทุกคนล้วนแต่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราเพื่ออวดโอ่ฐานะของตน

                “โอ... คุณโอเดนเบิร์ก พวกเขาแต่งตัวกันสวยๆ ทั้งนั้นเลยครับ” เดวิดพูดพลางมองคนเหล่านั้นด้วยความสนอกสนใจ กอร์ดอนรีบกระซิบบอกเขา “ระวังสายตาไว้บ้างเดวิด อย่าจ้องใครให้มาก มันเสียมารยาท”

                “อ๊ะ ผมขอโทษครับ”

                พี่น้องเบอร์มิ่งเด่นสะดุดตาท่ามกลางกลุ่มคนที่แต่งกายดีเหล่านั้น กอร์ดอนยอมรับว่ารสนิยมด้านเสื้อผ้าของไวส์เคาน์หนุ่มคนนี้ไม่เป็นสองรองใครในลอนดอนจริงๆ รวมถึงน้องสาวของเขาด้วย

                พวกเขาทั้งสี่คนใช้เวลารอไม่นานก็ไปถึงหน้าประตูที่ กอร์ดอนยื่นบัตรเชิญให้พนักงานตรวจบัตร พอฝ่ายนั้นเห็นชื่อเขาก็รีบเรียกให้พนักงานอีกคนมารับพวกเขาทั้งสองไปทันที

                พนักงานคนนั้นพาพวกเขาตรงไปยังเก้าอี้ที่อยู่แทบจะติดกับมุมของพี่เลี้ยง กอร์ดอนเห็นแล้วอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ที่ตรงนี้หรือ?”

                “ครับ” ฝ่ายนั้นพูดจบเขาก็โค้งให้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไป เดวิดนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดอย่างตื่นเต้น

                “คุณโอเดนเบิร์ก ตรงนี้พวกเราจะได้เห็นท่านเอิร์ลชัดมากเลยนะครับ เก้าอี้ก็นิ่มมากด้วย ดีจังเลย”

                กอร์ดอนนึกแปลกใจ เพราะเขาแน่ใจว่า ด้วยที่นั่งตรงนี้ ไม่ว่ายังไงลอร์ดโทรว์บริดจ์ต้องเห็นเขาแน่ๆ แทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามมองหาเลยด้วย ขณะที่นึกสงสัย ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ก็เดินตามพนักงานเข้ามาเข้ามา

                “ไง กอร์ดอน ดีใจที่นายมาถึงก่อนฉัน”

                “โอ สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านลอร์ด” ทั้งกอร์ดอนและเดวิดทักขึ้นพร้อมกัน เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพื่อให้ความเคารพกับลอร์ดหนุ่ม

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์สวมชุดสูทที่ดูธรรมดามากสำหรับคนฐานะอย่างเขา แต่ยังคงพกไม้เท้าอันเดิมที่ถือประจำ เขานั่งลงบนเก้าอี้ แล้วชี้ให้ทั้งสองคนนั่งลงตาม

                “จอห์นนี่อยากให้ฉันมานั่งเป็นเพื่อนพวกนายด้วย เขาคิดว่าการที่จะให้พวกนายนั่งกันอยู่ตรงนี้สามคนอาจจะทำให้รู้สึกประหม่าเกินไป ฉันคิดว่าอีกไม่นานแจ็คสันน่าจะมาถึง” เขาพูดหลังจากหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดู กอร์ดอนพยักหน้า

                “ขอโทษนะครับ ลำบากคุณเลย”

                “ไม่เป็นไรหรอก” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า “นั่งตรงนี้ก็ดี เผื่อจอร์จแนะนำอะไรจอห์นนี่แปลกๆ ฉันจะได้ห้ามเขาทัน”

                กอร์ดอนยิ้มพลางสั่นศีรษะ ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาภายในฮอลล์ เสียงพูดคุยกันดังขึ้นเบาๆ ไม่นานนักแจ็คสันก็เดินตามพนักงานเข้ามา เขาทักทายกอร์ดอนและเดวิด ก่อนจะทักลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์

                “แมกซ์ คุณช่วยบอกผมทีเถอะ ว่าคุณเป็นเสมียนอย่างที่คุณบอกผมจริงๆ หรือคุณเป็นเหมือนลอร์ดโทรว์บริดจ์กันแน่” แจ็คสันเอ่ยปากถามหลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้ว ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์มองหน้าเขา พยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง

                “ผมเป็นเสมียนจริงๆ เป็นเสมียนให้กับพี่ชายของผม ลอร์ดฟาริงดอลน่ะ”

                “โอย...” แจ็คสันทำหน้าเหมือนจะเป็นลม “งั้นคุณก็เป็นเหมือนเขา... โอ ผมรู้แล้วทำไมพวกคุณถึงขำนักเวลาที่เขาบอกว่าตัวเองเหมือนลอร์ดโทรว์บริดจ์”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์หัวเราะ “โทษทีนะแจ็คสัน พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงคุณ เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่พูดลำบากอยู่สักหน่อย”

                “โอ... ไม่เป็นไรหรอกครับท่านลอร์ด ถ้าผมทำอะไรผิดมารยาทไปก็โปรดอภัยให้ด้วยครับ”

                “ไม่เป็นไร เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก็พอ”

                แจ็คสันพยักหน้า พลางถอนหายใจ ก่อนจะหันมามองกอร์ดอน

                “กอร์ดอน แล้วคุณเป็นช่างตัดเสื้อจริงๆ นะ? ไม่ใช่ลอร์ดที่ไหนปลอมตัวมาใช่มั้ย?”

                “โอ๊ย แจ็คสัน คุณเห็นผมตั้งแต่อายุสิบหก ผมจะไปเป็นลอร์ดที่ไหนได้ยังไง” กอร์ดอนว่า เขาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรืออะไรกับท่าทางของแจ็คสันดี ขณะที่เดวิดหัวเราะแบบไม่ต้องใช้ความคิด ส่วนเจ้าตัวได้แต่ถอนหายใจ

                ลอร์ดควีนสเบอรี่ขึ้นมาพูดเปิดเวทีตอนหกโมงครึ่ง เขากล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติ และผู้คนที่ให้การสนับสนุนมวยการกุศลในครั้งนี้ ซึ่งจะมีการชกทั้งหมดสามคู่ คู่สุดท้ายคือคู่ของลอร์ดโทรว์บริดจ์กับแมดเนอร์ ซึ่งจะชกในเวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง

                มวยคู่เปิดเวทีเป็นการชกกันระหว่างนักมวยสมัครเล่นดาวรุ่งที่กำลังจะก้าวมาสู่การชกในระดับอาชีพ พวกเขาทั้งสองชกกันได้อย่างน่าประทับใจ และฝ่ายแดงถูกนับสิบในยกที่หก การชกจึงถือเป็นอันยุติ ส่วนคู่ที่สองเป็นนักมวยมากประสบการณ์ที่มีชื่ออยู่ในลอนดอนทั้งคู่ การชกของคู่นี้ดำเนินไปจนถึงยกสุดท้าย ก่อนที่ฝ่ายแดงจะเป็นผู้ชนะไปด้วยคะแนนเอกฉันท์

                “เวลาที่ทุกท่านรอคอย” ลอร์ดควีนสเบอรี่ขึ้นยืนประกาศบนเวที “การชกคู่สุดท้ายระหว่าง ลิตเติลจอห์น และคู่ชกซึ่งเป็นนักมวยดาวรุ่งที่น่าจับตามองอยู่ตอนนี้ แมดเนอร์”

                นักมวยทั้งคู่ต่างเดินกันออกมาจากคนละด้านของเวที แมดเนอร์ดูสมบูรณ์และพร้อมเต็มที่สำหรับการชก เขาสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท เดินเข้ามาในสนามด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง และยืนใส่นวมที่มุมแดง ส่วนลอร์ดโทรวบริดจ์สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม เดินออกมาด้วยท่าทางสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างที่เขาเคยเป็นมาโดยตลอด เขามาหยุดยืนที่มุมน้ำเงิน ตรงหน้าจุดที่กอร์ดอนนั่งพอดี โดยมีลอร์ดจอร์จ เฟลตัน โอลิเวอร์ และพี่เลี้ยงคนอื่นๆ เดินตามมาช่วยผูกนวม

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เงยหน้าขึ้นมองช่างตัดเสื้อและยิ้มให้เขาแว้บหนึ่ง ก่อนจะถอดเสื้อคลุมออก เหลือแต่เสื้อกล้ามสีขาวด้านใน แล้วหันไปฟังแผนการชกจากเหล่าบรรดาพี่เลี้ยง

                นักมวยทั้งคู่สวมฟันยางแล้วเดินขึ้นเวที เมื่อสัญญาณระฆังดังขึ้น ทั้งคู่ก็เดินหน้าเข้าใส่กันทันที แมดเนอร์กับลอร์ดโทรว์บริดจ์มีส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกัน แต่ลอร์ดโทรว์บริดจ์เป็นรองกว่าด้านชื่อชั้นและขนาดตัว ถึงอย่างนั้นในช่วงแรกของการชกทั้งคู่ก็ต่อยกันได้อย่างสูสี ต่างฝ่ายต่างเดินหน้าแลกหมัดกันอย่างไม่มีใครกลัวใคร เมื่อถึงกลางยกที่ห้า คิ้วของลอร์ดโทรว์บริดจ์แตกและมีเลือดไหลเป็นทางยาว ทำให้เขาพลาดโดนแมดเนอร์ต่อยจนต้องลงไปคุกเข่าให้กรรมการนับถึงสามก่อนระฆังหมดเวลาจะดังขึ้น

                “จอห์นนี่ นายต้องพยายามหลบหมัดของเขาให้มากกว่านี้” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันว่า “หน้านายไม่ได้ด้านพอจะโดนหมัดพวกนั้นนะ”

                “ใช่ครับนายน้อย คุณต้องชกตามแผนที่วางไว้นะครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า หมอเข้ามาเย็บแผลตรงหัวคิ้วให้เขาระหว่างนั้น ท่านเอิร์ลกลับขึ้นไปยืนบนเวทีอีกครั้ง แม้จะรู้สึกเจ็บแผลที่ถูกเย็บ แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า การชกบนเวทีแตกต่างจากการชกในลานมวยเถื่อนอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีอะไรมาบีบคั้นความรู้สึกของเขา มันคือการแข่งกีฬา และคู่ต่อสู้ของเขาก็มีศักดิ์ศรีพอที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่และไม่เล่นตุกติก เป็นการชกของสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง

                ลอร์ดหนุ่มสูดหายใจ ก่อนจะเดินหน้าเข้าหาคู่ต่อสู้ด้วยตื่นเต้นและสนุกสนานเฉกเช่นเวลาที่เขาเล่นกีฬาชนิดอื่น อาการบาดเจ็บตรงหางคิ้วไม่ได้ทำให้การชกของเขาย่ำแย่ลงเลย ตรงกันข้าม ลอร์ดโทรว์บริดจ์กลับชกได้ดีขึ้น เป็นธรรมชาติขึ้น เขาเริ่มแสดงฟุตเวิร์กที่คล่องแคล่วในการหลบหมัดของคู่ต่อสู้และปล่อยหมัดสวนกลับไป จนสามารถส่งแมดเนอร์ลงไปคุกเข่าจนโดนนับได้ในยกที่เก้า พอถึงยกที่สิบสาม ทั้งคู่ก็แสดงอาการหอบออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะต่างฝ่ายต่างกระหน่ำฟาดหมัดเข้าใส่กันเต็มที่ตั้งแต่ยกแรก คิ้วที่เย็บไปแล้วของลอร์ดโทรว์บริดจ์แตกยาวกว่าเดิม ส่วนแมดเนอร์เองก็มีแผลแตกที่หางคิ้วเช่นกัน ถึงอย่างนั้นลอร์ดโทรว์บริดจ์ยังคงเดินหน้าเข้าใส่คู่ต่อสู้ความสนุกสนานเช่นเดียวกับสิบสองยกที่ผ่านมา และแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านการกีฬาของเขาให้ทุกคนประจักษ์โดยการคว่ำแมดเนอร์ลงได้ในปลายยกที่สิบสี่ ก่อนจะหมดยกเพียงแค่สิบห้าวินาทีเท่านั้น

                ทันทีที่กรรมการนับถึงสิบและประกาศยุติการชก ลอร์ดโทรว์บริดจ์ก็เดินเข้าไปยื่นมือให้แมดเนอร์ที่ยังคงนั่งงงหลังพิงเชือกอยู่บนพื้นเวทีผ้าใบ เขาต้องใช้เวลาหลายวินาทีหลังจากนั้น จึงพอเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ นักมวยหนุ่มยุดมือที่ยื่นให้เพื่อยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือด้วยความประทับใจจากบรรดาผู้ชมภายในฮอลล์ หมอรีบขึ้นมาตรวจดูอาการของเขาหลังจากนั้น ก่อนที่กรรมการจะชูมือให้ลอร์ดโทรว์บริดจ์และประกาศให้เขาเป็นผู้ชนะอย่างเป็นทางการ เสียงปรบมือยังคงดังต่อเนื่อง แม้ว่านักมวยทั้งคู่จะลงจากเวทีไปแล้วก็ตาม

                “เป็นการชกที่ยอดเยี่ยมมาก” แจ็คสันครางทั้งที่ยังปรบมืออยู่ “พวกเขาชกได้สมศักดิ์ศรีทั้งคู่ ใครจะไปคิดเล่าว่าแมดเนอร์จะโดนน็อค แต่... โอ... ลอร์ดโทรว์บริดจ์ช่างเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์และกอร์ดอน รวมถึงเดวิดพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ฝ่ายแรกจะพูดขึ้นต่อ “เราควรจะอยู่รอเพื่อแสดงความยินดีกับเขา เขาคงอยากพบพวกเราหลังจบการชก”

                “แน่นอนครับ” แจ็คสันพยักหน้า “อย่างน้อยๆ ผมก็อยากจะพูดขอบคุณเขาอย่างเป็นทางการ”

--------------------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                “เป็นการชกที่ยอดเยี่ยมมาก แมธ” ลอร์ดควีนสเบอรี่พูดขณะที่เขาเดินตามเอิร์ลหนุ่มเข้าไปในห้องพักนักกีฬา ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้าให้เขาแล้วยิ้ม “ขอบคุณครับ นี่เป็นการชกครั้งแรกของผมและมันน่าประทับใจมาก”

                หมอเข้ามาดูอาการและเย็บแผลที่คิ้วให้เขาใหม่ เลือดจากคิ้วไหลอาบเสื้อกล้มที่เขาสวมจนเปื้อนเป็นรอยแดง ลอร์ดจอร์จ เฟลตันลงความเห็นหลังจากหมอออกไปแล้ว “นายคงต้องตัดเสื้อกล้ามตัวนี้ทิ้งล่ะนะจอห์นนี่ ไม่อย่างนั้นเวลาถอดมันจะกระเทือนถึงแผลของนาย เพราะมันค่อนข้างพอดีตัวมาก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือห้าม “ไว้ค่อยพูดถึงเรื่องนั้นเถอะจอร์จ แมดเนอร์เป็นไงบ้าง ฉันว่าเขาคงจะมึนอยู่ไม่น้อยแน่ ฉันเองยังมึนๆ อยู่เลย”

                “ฉันยังนึกแปลกใจอยู่เลยที่เขายังลุกขึ้นมาได้ ภาษามวยเรียกอะไรนะ เมาหมัดใช่ไหม?” เขาหันไปถามโอลิเวอร์ ฝ่ายนั้นพยักหน้า

                “ครับ ผมว่าแมดเนอร์เมาหมัด ที่จริงแล้วพวกคุณมีโอกาสจะน็อคฝ่ายตรงข้ามด้วยกันทั้งคู่เลย แต่ผมยังไม่เคยเห็นใครชกมวยด้วยท่าทางมีความสุขในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้นเหมือนคุณเลยนะครับ นายน้อย”

                “ฉันสนุกตลอดเวลาที่ยืนอยู่บนนั้นเลยล่ะ เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าประทับใจมาก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ดื่มน้ำอีกหลายอึก ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ฉันน่าจะแวะไปเยี่ยมเขาหน่อย”

                โอลิเวอร์หยิบเสื้อคลุมมาสวมให้เขา จากนั้นทั้งสามคนก็ออกจากห้องพัก

                แมดเนอร์นั่งพักอยู่บนเก้าอี้ตอนที่ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเปิดประตูให้ลอร์ดโทรว์บริดจ์ นักมวยหนุ่มรีบลุกขึ้นทันที

                “โอ้... ท่านลอร์ด ความจริงคุณไม่ต้องมาที่นี่...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือห้าม “ไม่ๆ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเยาะเย้ยถากถางคุณ ผมมาเพื่อกล่าวชื่นชมจิตวิญญาณการเป็นนักมวยของคุณจากใจจริง คุณทำให้การชกครั้งนี้ของผมวิเศษมาก มันเป็นการต่อสู้ที่น่าประทับใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผม”

                “ขอบคุณครับ” แมดเนอร์พยักหน้า แผลบนคิ้วของเขาถูกเย็บและปิดด้วยผ้าก็อซเรียบร้อยแล้ว “แต่ผมไม่ได้หมายความว่าคุณมาที่นี่เพื่อถากถางผม ผมแค่อยากบอกว่า คุณไม่ต้องลำบากมาถึงนี่หรอกครับ ผมเสียอีกที่ควรจะเป็นฝ่ายไปหาคุณ คุณเพิ่งแสดงให้ผมเห็นว่าความเย่อหยิ่งและหยาบคายของผมที่แสดงออกไปมันไร้ค่าและน่าอายแค่ไหน โอ... ท่านลอร์ดครับ ผมไม่เคยเห็นใครมีความสุขกับการขึ้นชกบนเวทีในทุกยกเหมือนคุณมาก่อน คุณเดินหน้าปล่อยหมัดใส่ผมด้วยท่าทางเหมือนคนที่ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น คุณเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านนี้มากนะครับ ผมจะแปลกใจมากถ้าคุณไม่ชกมวยต่อ”

                “ผมชอบเล่นรักบี้มากกว่า ผมชอบกีฬาที่เล่นเป็นทีม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบพลางยิ้ม “ความมั่นใจในตัวเองของคุณทำให้ผมรู้สึกนับถือนะ แต่มันคงไม่ดีต่อคุณนักในการที่จะแสดงความหยิ่งยโสออกมา ถึงอย่างนั้นผมก็รู้หรอกว่าคุณเป็นคนที่มีเกียรติและรู้จักยอมรับในเกียรติของคนอื่นเช่นกัน”

                แมดเนอร์มองลอร์ดโทรว์บริดจ์แน่วนิ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก “ผมแพ้ให้คุณหมดท่าเลย ท่านลอร์ด คุณเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกพ่ายแพ้จากใจจริง ผมไม่รู้สึกอยากจะแก้มือกับคุณเลยครับ คุณคือผู้ชนะตลอดกาลของผมไปแล้ว คำแนะนำของคุณทำให้ผมแสนจะละอาย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ และขอบคุณมากที่คุณกรุณาให้เกียรตินักมวยผู้แสดงท่าทางอันแสนโง่เขลาใส่คุณถึงเพียงนี้ การชกครั้งนี้ดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยชกมา โปรดอภัยให้กับความหยาบคายของผมก่อนหน้านี้ด้วยครับ”

                “ไม่เป็นไร ผมให้อภัยคุณ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ก่อนจะยื่นมือให้ฝ่ายนั้น “ผมยินดีมากที่ได้ชกกับคุณในวันนี้ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการชกมวยอาชีพนะ”

                “ขอบคุณครับท่านลอร์ด เป็นเกียรติมากครับที่ได้ขึ้นชกกับคุณ”

-------------------------------------

                ตอนที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์กลับมาที่ห้องพักอีกครั้ง ลอร์ดควีนสเบอรี่ก็ยืนรออยู่กับลอร์ดบาธพ่อของเขาแล้ว ท่านมาร์ควิสเมื่อเห็นลูกชายก็เดินมาแสดงความยินดีทันที

                “จอห์น วันนี้พ่อประทับใจในตัวแกมาก แกได้แสดงให้ทุกคนเห็นถึงความเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง ตั้งแต่ตอนก่อนขึ้นเวที จนถึงตอนที่ลงจากเวที แกคือความภูมิใจของเราเลย”

                “ขอบคุณครับ” ลอร์ดหนุ่มยิ้มให้พ่อของเขา “ผมดีใจมากที่พ่ออยู่ชมการชกตั้งแต่ยกแรก การชกมวยจริงต่างจากที่ผมคิดไว้นิดหน่อย แต่มันก็สนุกมากเลยครับ”

                ลอร์ดควีนสเบอรี่หัวเราะ “ฉันยังไม่เคยเห็นใครชกมวยได้สนุกสนานเท่าเธอเลยแมธ เธอทำให้การชกวันนี้น่าจดจำที่สุด และมันคงจะถูกพูดถึงไปอีกนาน”

                คนถูกชมหัวเราะเขินๆ พวกเขาคุยกันอยู่อีกพักใหญ่ๆ จึงปลีกตัวออกไป ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดขึ้น

                “เป็นการชกที่น่าประทับใจมากจอห์นนี่ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกแบบนี้ ฉันประกันได้ และแมดเนอร์เองก็น่าสนใจทีเดียว เขาไม่ใช่คนหยาบคายที่ไม่ฟังเหตุผลอะไร”

                “ฉันรู้สึกตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าเขาเป็นคนใช้ได้คนหนึ่ง เพียงแต่เขาเย่อหยิ่งไปหน่อย”

                “ความยโสโอหังและมุทะลุดุดันเป็นเครื่องหมายของเขาเลยครับ” โอลิเวอร์พูดขึ้น “ที่จริงแล้วมันเป็นจุดเด่นที่ทำให้คนดูจดจำเขาได้ แต่เขาก็ได้แสดงออกแล้วว่ามีความเคารพในตัวคุณในฐานะนักสู้ด้วยกัน ผมประทับใจเขามากเลยครับ”

                สิบนาทีต่อมา ลอร์ดโทรว์บริดจ์สวมเสื้อคลุมและปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับแมดเนอร์ และลอร์ดควีนสเบอรี่ รวมถึงผู้ร่วมจัดมวยในครั้งนี้คนอื่นๆ ที่โต๊ะแถลงข่าว เพื่อถ่ายรูปและให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เมื่อเขากลับเข้ามาภายในห้องพักอีกครั้ง เพื่อนๆ ก็รอกันอยู่แล้ว

                “ยอดเยี่ยมมากเลยจอห์นนี่ นี่คือมวยที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยดูมาเลย”

                “นายแสดงให้พวกเราเห็นว่านายมีพรสวรรค์ด้านกีฬาจริงๆ”

                “พวกเราอยากจะแห่นายไปรอบๆ ฮอลล์นี้จริงๆ นายทำเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่สุด”

                แจ็คสันเดินเข้ามาแสดงความยินดีเป็นคนท้ายๆ “ท่านลอร์ด ช่างเป็นเกียติสำหรับผมเหลือเกินที่ได้มาชมการชกมวยของคุณ ขอบคุณมากๆ นะครับ”

                “ผมดีใจที่คุณมา” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ดีใจที่คุณชอบการชกมวยของผม”

                เดวิดกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้น “คุณเป็นสุภาพบุรุษมากเลยครับ คุณทำให้ผมอยากลองชกมวยสักครั้ง”

                “มันเป็นกีฬาเจ็บตัวนะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางยิ้ม “ฉันยินดีจะให้เธอทดลอง ถ้านายจ้างของเธอจะอนุญาต”

                กอร์ดอนหัวเราะ “เดวิด ฉันแน่ใจว่าการต่อยมวยไม่น่าจะเหมาะกับเธอ อย่าหาเรื่องเจ็บตัวดีกว่า” เขาพูดแล้วเงยมองลอร์ดหนุ่ม “คุณชกได้ดีมากครับ”

                “อืม...”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดขึ้นมา “ฉันว่าพวกเราน่าจะปล่อยจอห์นนี่ให้ไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว เขาควรจะได้พักผ่อนหลังจากเหนื่อยมาหลายวัน”

                พูดจบเขาก็พยายามดันเพื่อนๆ ออกไปจากห้องพัก เลดี้อีไลซ่า เบอร์มิ่งดูจะไม่เต็มใจที่สุด “แต่ฉันยังไม่ได้คุยกับท่านลอร์ดเลย”

                “มีเวลาอีกถมถืดไป” ลอร์ดครอฟตันปรามน้องสาวตัวเอง “เธอรอให้เขาอาบน้ำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกับเขาก็ได้ แต่พี่แน่ใจว่าจอห์นนี่คงไม่มีอะไรจะคุยกับเธอนักหรอก”

                เดวิดหันมองนายจ้างของตัวเอง “คุณโอเดนเบิร์ก พวกเราจะกลับเลยรึเปล่าครับ?”

                “อ้อ... อืม...” กอร์ดอนพยักหน้า แต่ลอร์ดโทรว์บริดจ์กลับพูดขึ้นมา

                “คุณต้องอยู่จัดการเสื้อผ้าให้ผมก่อน” เขาพูด และใช้มือหยิบเสื้อกล้ามที่สวมอยู่ เดวิดมองอย่างงงๆ ก่อนจะพยักหน้า “อ้อ งั้นผมจะออกไปรอข้างนอกนะครับ”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์เดินตามเด็กหนุ่มออกไปเงียบๆ สุดท้ายภายในห้องจึงเหลือแค่กอร์ดอนกับลอร์ดโทรว์บริดจ์สองคน ช่างตัดเสื้อเงยหน้าขึ้นมองเขา

                “คุณมีแผลที่หัวคิ้ว ผมว่าตัดเสื้อออกน่าจะดีกว่า จะได้ไม่กระเทือนแผล”

                “แต่มันเป็นเสื้อที่คุณตัดให้ผม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูด แล้วฉวยมือของช่างตัดเสื้อมากุมไว้ “ผมเป็นไงบ้างวันนี้?”

                “ดูดีที่สุดเลยครับ” กอร์ดอนยิ้ม “ผมแน่ใจว่าทุกคนจะต้องพูดถึงเรื่องการต่อยมวยครั้งนี้ไปอีกหลายวัน มันเป็นการชกที่น่าประทับใจมาก”

                เอิร์ลหนุ่มหน้าแดง “แล้วคุณล่ะ คุณคิดว่าไง คิดว่าผมเท่มั้ย?”

                ช่างตัดเสื้อหัวเราะออกมา “แน่นอนครับ ผมใจเสียเหมือนกันนะ ตอนที่คุณโดนนับ ชกมวยนี่ดูเหนื่อยมากนะครับ แต่ผมก็รู้สึกว่าคุณมีความสุขตอนที่อยู่บนเวทีนั่น”

                “แน่นอน ผมสนุกมาก โดยเฉพาะเมื่อผมคิดว่าคุณกำลังมองอยู่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ตอนแรกเลย ผมตั้งใจจะให้คุณนั่งในที่ที่ผมมองหายาก แต่พอผ่านเรื่องเมื่อคืนวันเสาร์ ความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ผมแน่ใจว่าตัวเองจะไม่เสียสมาธิถ้ามองเห็นคุณ ตรงข้าม ถ้าผมไม่เห็นคุณผมต้องกระวนกระวายแน่” เขาหยุดหัวเราะด้วยความขัดเขิน “ผมอยากแน่ใจจริงๆ ว่าคุณจะได้เห็นผมในทุกท่า อยากแน่ใจว่าคุณจะมองแค่ผม ผมออกจะมีความคิดพิลึกพิลั่นอยู่เหมือนกันนะ ว่าจะต่อยมวยอย่างที่ว่าคุณไม่อาจจะเบนสายตาไปมองใครได้อีกเลย”

                กอร์ดอนหัวเราะออกมา “เพราะเหตุผลนั้นรึเปล่าครับ คุณถึงได้เดินหน้าเอาๆ จนพี่เลี้ยงข้างล่างวุ่นวายใจกันไปหมด ลอร์ดจอร์จบ่นเลยนะครับว่าคุณไม่ชกตามแผน”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มีสีหน้าขัดเขินกว่าเดิม “จอร์จคงรู้หรอกว่าผมอยากจะอวดคุณ เขาเคยบอกเองว่ามันเป็นนิสัยธรรมดาของผู้ชาย เวลาอยู่ต่อหน้าคนที่สนใจ”

                กอร์ดอนถอนหายใจออกมา “โชคดีนะครับที่คุณเอาชนะได้ ผมหวั่นใจจริงๆ ในช่วงแรกๆ เพราะคุณไม่คุ้นกับการถูกต่อยแบบนั้น อาจจะพลาดท่าเอาได้ง่ายๆ”

                “ใช่ ผมไม่คุ้นเลย มันค่อนข้างเจ็บอยู่นะ ถึงจะใส่นวมก็เถอะ แต่มันก็ทำให้ผมสนุกมาก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดอย่างร่าเริง “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้เลย ที่จริงผมไม่คิดอะไรมากไปกว่าการมองหาเป้าในการชกไปเรื่อยๆ มันท้าทายมากเมื่ออยู่บนเวที โชคดีจริงๆ ที่ลอร์ดควีนสเบอรี่โน้มน้าวใจพ่อกับแม่ผมสำเร็จ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้มีโอกาสนี้ โชคดีมากๆ ด้วยที่วันนี้คุณมาดูผม มันทำให้นี่เป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุด”

                เขาบีบมือช่างตัดเสื้อเบาๆ “รอผมหน่อยได้ไหม ผมอาบน้ำเสร็จแล้วจะออกมาจูบคุณสักที ผมไม่อยากให้คุณเปื้อนเหงื่อผม”

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ” กอร์ดอนรีบพูด “ถ้าผมยังอยู่ที่นี่นาน ทุกคนจะสงสัยเอาได้”

                “แต่...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อจากนั้น ริมฝีปากของกอร์ดอนก็แนบเข้ามา เขารีบรวบเอวของฝ่ายนั้นเอาไว้ แล้วจูบตอบด้วยความรู้สึกที่เอ่อท้น ทั้งคู่เคล้าริมฝีปากกันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะผละออกจากกัน ลอร์ดโทรว์บริดจ์กระซิบเบาๆ

                “จูบนี้ของคุณคือสิ่งที่ดีที่สุดของผมในคืนนี้เลย”

                กอร์ดอนยิ้มเขินๆ “อาบน้ำเถอะครับ ผมจะช่วยตัดเสื้อให้ ผมเอากรรไกรติดตัวมาด้วย เพราะคิดว่าน่าจะต้องใช้”

                “โอ...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ผมไม่อยากให้ตัดเลย ผมอยากจะเก็บเสื้อตัวนี้เอาไว้เป็นที่ระลึก คุณช่วยผมถอดมันออกดีกว่า”

                “แต่...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ก้มลงจูบปิดปากเขาทันที “เอาคืนที่คุณไม่ยอมให้ผมพูดเมื่อตะกี้” เขากระซิบพลางยิ้มเผล่ แล้วจูบช่างตัดเสื้อเบาๆ อีกครั้ง กอร์ดอนหน้าแดงด้วยความขัดเขิน

                “พอเถอะครับ เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัยเอา คุณไปอาบน้ำได้แล้วล่ะ”

                “มันคงเป็นค่ำคืนที่วิเศษกว่านี้ ถ้าคุณจะไปอาบเป็นเพื่อนผมด้วย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดหลังจากกอร์ดอนช่วยเขาถอดเสื้อกล้ามออกมาแล้ว กอร์ดอนมองแผ่นอกกว้างๆ และรอยแผลเป็นตรงหัวไหล่ซ้ายของเขา ก่อนจะหัวเราะออกมา

                “อย่าเลยจอห์น ผมว่ามันไม่น่าจะดีกับเราทั้งคู่นะครับ”

                “คุณยังไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงว่ามันไม่ดี?” ลอร์ดหนุ่มพูดแล้วหน้าแดงขึ้นมาอีก “อาบเป็นเพื่อนผมนะ ผมจะช่วยถอดเสื้อให้คุณ”

                “ไม่ได้ครับ ทุกคนต้องสงสัยแน่ ผมต้องไปแล้วล่ะ” กอร์ดอนพูดก่อนจะผละออก แต่ถูกลอร์ดโทรว์บริดจ์ดึงตัวกลับมาอีกครั้งและบดจูบแสนหวานลงไปบนริมฝีปากของเขา หลังจากจูบจนกอร์ดอนเกือบจะหายใจไม่ออก เอิร์ลหนุ่มก็ยอมผละริมฝีปากออก

                “เอาล่ะ ผมอนุญาตให้คุณไปได้แล้ว ราตรีสวัสดิ์นะกอร์ดอน”

                “ราตรีสวัสดิ์ครับ” กอร์ดอนพูดด้วยท่าทางเขินจัด ก่อนจะรีบออกจากห้องไป ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองตามจนแผ่นหลังของช่างตัดเสื้อหายลับไป เขายกมือลูบหน้าของตัวเอง และค้นพบว่าไม่อาจหุบยิ้มได้เลย

--------------------------------------
(จบตอน)

***หูยย วันนี้มาอัพแบบเป็นผู้เป็นคนค่ะ วันก่อนอัพตอนง่วงสุดใจ ในที่สุดดิฉันก็เข็นจอห์นนี่ขึ้นสังเวียนได้สำเร็จ ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้ขึ้นชกตั้งแต่ตอนที่แล้ว แต่ว่าบทสัพเพเหระมันเยอะแยะจนขึ้นชกไม่ทัน เลยต้องมาขึ้นชกในบทนี้แทน

ตอนนี้เป็นอีกหนึ่งตอนที่เราลบทิ้งไปหลายรอบมาก เรื่องนี้เป็นนิยายที่เราลบเนื้อหาที่เขียนทิ้งหรือเซฟเก็บไว้เป็นดราฟเยอะที่สุดเลยค่ะ ฮ่าๆ (ที่เซฟดราฟเพราะเนื้อหาน่าสนใจ แต่ว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่ตอนจบที่ไม่สวยเท่าไหร่) มีหลายจุดที่เราชอบมาก เช่น จุดที่เดวิดหลุดปากเรื่องจอห์นนี่จะขอกอร์ดอนแต่งงาน (คิดถูกแต่ไม่ควรพูดนะเดวิด ฮ่าๆๆ) จุดที่กอร์ดอนพาเดวิดไปดูลอร์ดโทรว์บริดจ์ชกมวย (อารมณ์เหมือนแม่พาลูกไปดูพ่อชกมวยด้วยความตื่นเต้น ฮ่าๆ <<มโนเองได้เสร็จ) และตอนนี้เหมือนจะเป็นตอนแรกเลยมั้งที่มีคนพูดออกมาว่าจอห์นนี่เป็นชายหนุ่มรูปหล่อจริงๆ ไม่ใช่หล่อด้วยทรัพย์ศฤงคารบ้านช่อง และคฤหาสน์อย่างเดียว :hao7:

ระหว่างเขียนบทนี้ไป เรารู้สึกว่าจอห์นนี่เหมือนพระอาทิตย์ในฤดูหนาว เหมือนเทียนไขในที่มืด คือเป็นคนที่สว่างไสวมาก แบบเป็นผู้ชายที่อยู่ตรงไหนก็อุ่นใจ (เหมือนที่ลอร์ดจอร์จเคยพูดไว้) เป็นคนที่ไม่เคยแสดงความสลดออกมาให้ใครเห็น มีพลังงานชีวิตในด้านสว่างเหลือเฟือจนคนข้างๆ ดึงไปใช้ได้ (อย่างกับต่อไฟ ฮ่าๆ) เป็นคาแรคเตอร์ที่สว่างไสวสดใสมุ้งมิ้งที่สุดเท่าที่เราเขียนมาเลยค่ะ (หูย พักนี้หลงท่านลอร์ดหน้ามืดตามัว)

จบเรื่องชกมวยแล้ว น่าจะได้ทยอยเฉลยเรื่องของลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ และเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างท่านดยุกอ็อคฟอร์ดกับกอร์ดอนเสียที

ปล. อีกตอนที่เราชอบคือตอนที่จอห์นนี่คุยกับแคทเธอรีนค่ะ เราหาจังหวะเขียนบทของคู่นี้มาสักพักแล้ว หุๆๆ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-03-2017 20:31:07 โดย juon »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
สนุกจนอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก

จอห์นนี่เหมือนพระอาทิตย์จริง ๆ สว่างไสว อบอุ่น และร้อนแรง

แมกซ์สุภาพบุรุษมากตอนที่ขอโทษกอร์ดอน เป็นคนน่ารักจริง ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2017 06:38:34 โดย alternative »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จุใจมากตอนนี้ แมนๆ ต่อยมวยกันจริงๆ อิอิ

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
หวานในแบบของคู่นี้ ชอบบบบ

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
จอห์นนี่เป็นผู้ชายที่อยากเอามาทำเป็นสามีมากกกกกก อยากได้แบบบบเน้ :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด