เสื้อกาวน์เก่า.......กับเราสองคน
ตอนที่ 104
กลับมาตั้งหลักกกกกหลังจากจัดการเรื่องงานศพของย่าให้ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
จากความทุ่มเทของติ๊บและจากความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านที่มาช่วยงานกันเป็นอย่างดี
เพราะย่าของติ๊บเป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้านอยู่แล้ว
งานศพของย่าจึงผ่านไปด้วยความเรียบร้อยตามธรรมเนียมประเพณีของคนที่นี่อย่างสมบูรณ์
ติ๊บอยู่เป็นเพื่อนป้าอีกวันสองวันจึงล่ำลากลับมาเรียนหนังสือต่อ
เพราะตอนนี้ก็ใกล้จะเปิดเทอมใหม่ในช่วงซัมเมอร์เต็มทีแล้ว
และอีกไม่กี่วันนี้ติ๊บก็คงเป็นนิสิตแพทย์ปีสามแล้วซินะ ไวจังเลย....
การเปิดเทอมวันแรกในช่วงซัมเมอร์สำหรับว่าที่คุณหมอดูจะไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้นเอาซะแล้ว
อาจจะเพราะความเคยชินแล้วมั้งเพราะไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อาจารย์
หรือแม้กระทั่งเพื่อนก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีเพราะมีโอกาสกลับบ้านไปพักผ่อนไม่เห็นหน้าเพื่อนฝูงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง
ตอนเย็นเจ้าตัวเดินออกมาจากหน้าคลินิกที่ทำงานพิเศษเป็นประจำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เข้ามานั่งในรถได้ ก็ฉวยโอกาสจุ๊บแก้มผมเข้าให้แบบไม่ทันได้ตั้งตัว เขินน่ะเนี่ยยยย
'' เป็นอะไรรึเปล่าวันนี้ ยิ้มหน้าบานมาจากในคลินิกเชียว '' ผมแซวพร้อมกับหันมาจ้องหน้าเจ้าตัวเล็กอย่างคนต้องการคำตอบ
'' ติ๊บได้ทุนจากทางคณะด้วยแหละ พรุ่งนี้ไปร่วมพิธีแล้วก็รับทุนตอนเก้าโมงเช้าที่ศูนย์คอม ''
'' อ๋อ ดีใจด้วยแบบนี้ก็เลี้ยงข้าวพี่ได้แล้วซิ '' ผมหันไปยิ้มขอคำตอบ
'' คับ อยากไปกินที่ไหนก็ไปได้เลยวันนี้ติ๊บเลี้ยงเองก็ได้ '' ติ๊บตอบอย่างอารมณ์ดี
'' โห ใจดีจัง '' ผมเอ่ยชมก่อนสตาร์ทรถออกไปยังร้านข้าวเจ้าประจำ
'' ก็บอกแล้วว่าไม่ได้มีดีแค่หน้าตาอย่างเดียว ใจก็ดีด้วย ''
ติ๊บตอบก่อนจะหันมาพยักเพยิดเป็นคนมั่นใจในตัวเองอย่างไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด มั่นได้อีกแฟนใครเนี่ยยยยย
ทันทีที่อาหารเย็นของเราสองคนผ่านพ้นไป ผมก็ขับรถกลับเข้าหอพักทันที
เมื่อถึงห้องพักเจ้าตัวเล็กก็ยื่นซองสีขาวให้ผมเปิดออกดูซึ่งเป็นจดหมายจากทางคณะที่มีคำสั่งให้เจ้าตัวไปรับทุนการศึกษา
ในวันรุ่งขึ้นผมโอบกอดเจ้าตัวเล็กเป็นการให้กำลังใจและชื่นชมในความมุ่งมั่นตั้งใจเรียนของเจ้าตัวเล็ก
ตลอดระยะเวลาเกือบสามปีที่ผ่านมา
แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น
เดินไปหยิบกระเป๋าใส่หนังสือเรียนของตัวเองออกมาพร้อมหยิบกระดาษที่เจ้าตัวปริ้นท์ผลการเรียนในภาคเรียนที่ผ่านมา
ให้ผมได้ชมเชย
สองปีผ่านไปเจ้าตัวเล็กยังเรียนไม่เคยตกไปเลยแม้ว่าจะเรียนหนักแค่ไหน
งานพิเศษจะยุ่งยาก หรือมีอะไรมารุมเร้ารบกวนแค่ไหน
แต่เจ้าตัวก็ยังทำหน้าที่ของการเป็นนักเรียนที่ดีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด
แบบนี้เกียรตินิยมรออยู่ข้างหน้าแน่ๆ
คิดไปแล้วก็อดที่จะอับอายไม่ได้ ทำไมทรานสคริปผมไม่ออกมาสวยแบบของเจ้าตัวเล็กบ้างหว่า
แบบนี้ก็โล่งใจไปได้อีกยกนึง
ว่าเจ้าตัวเล็กสามารถจัดการดูแลเรื่องการเรียนของตัวเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด
รวมไปถึงเรื่องการเงินไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทุนการศึกษาที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ตลอดจนการทำงานพิเศษในช่วงหลังเลิกเรียนก็ทำให้ผมมั่นใจขึ้นได้อีกมากมายว่าเจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้างหน้าผมตอนนี้สามารถจัดการดูแลตัวเองได้อย่างไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงกังวลเลยซักนิดเดียว
แบบนี้คงดูแลตัวเองได้จริงๆแล้วซินะ
ตอนนี้ผมกำลังเชคตารางงานในรอบเดือนนี้ของผม
ในขณะที่เจ้าตัวเล็กง่วนกับการทำรายงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
นานๆทีผมจึงจะได้เห็นติ๊บใช้คอมพิวเตอร์และผมเพิ่งจะสอนเล่นเอ็มเอสเอ็นไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง
ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดที่ไปสอนเจ้าตัวเล็กเล่นจะแอบมีกิ๊กทางเนตหรือเปล่าก็ไม่รู้แฮะ
หลังจากทำรายงานเสร็จไปเรียบร้อยเราสองคนจึงมานอนดูทีวีอยู่บนเตียงพร้อมกัน
'' ติ๊บพี่ขอถามอะไรหน่อยซิ '' ผมเอ่ยขึ้นพร้อมหันหน้ามาหาเจ้าตัวเล็กเพื่อขอคำตอบ
'' ถามอะไรเหรอคับ '' เจ้าตัวเล็กหันมามองผมที่จ้องหน้าอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่นัก
'' สมมุตินะสมมุติ ถ้าพี่ไปเรียนต่อ ติ๊บจะดูแลตัวเองได้มั้ย ''
เจ้าตัวทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยๆก่อนรวบรวมคำตอบมาให้ผม
'' ติ๊บอาจจะยังไม่โตเท่าไหร่ในสายตาของพี่ไม้ แต่ติ๊บก็อยากให้พี่ไม้มั่นใจว่าติ๊บดูแลตัวเองได้คับ ติ๊บสามารถรรับผิดชอบเรื่องเรียน เรื่องงาน และเรื่องเงิน ตลอดเรื่องต่างๆในชีวิตได้เป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่ผ่านมาเพราะติ๊บมีพี่ไม้อยู่ พี่ไม้จึงไม่เห็นติ๊บแสดงความสามารถในการดูแลตัวเองให้เห็น แต่ติ๊บอยากให้พี่ไม้มั่นใจและสบายใจได้เลยว่าติ๊บดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี และติ๊บก็โตกว่าที่พี่ไม้คิด ''
ติ๊บให้คำตอบผมจริงจังและหนักแน่นและสร้างความร็สึกมั่นใจในตัวจิ๊บให้ผมไม่น้อย
'' พี่ก็เชื่อว่าติ๊บดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่พี่แค่อยากขอคำตอบให้มั่นใจเผื่อวันนึงที่เราต้องห่างไกลกันจริงๆ พี่จะได้มั่นใจว่าติ๊บดูแลตัวเอง และดูแลหัวใจของพี่ได้ด้วย ''
'' อ้าว ทำไมติ๊บต้องดูแลหัวใจของพี่ไม้ด้วยละ '' เจ้าตัวเล็กทำหน้างงแบบรับมุกไม่ทันอีกแล้ว
'' ก็ติ๊บไม่รู้เหรอ ติ๊บเป็นดวงใจของย่า ของป้า และเป็นดวงใจของพี่ด้วย ''
ผมตอบหวานๆก่อนรวบเจ้าตัวเล็กเข้ามากอด ยิ่งนับวันผมยิ่งรู้สึกว่าผมรักเจ้าตัวเล็กมากขึ้นทุกทีๆ และถ้าวันนั้นที่ผมต้องห่างไกลเจ้าตัวเล็กไปจริงๆ มันคงเหมือนขาดสิ่งสำคัญในชีวิตไปเลยทีเดียว
'' แล้วว่าแต่ถามติ๊บแบบนี้ ขอทุนไปเรียนต่อได้แล้วเหรอคับ ''
'' ยังเลยแค่ลองถามดูเฉยๆไง ยังไม่มีทุนไหนตอบรับมาเลย '' ผมตอบพร้อมทำหน้าจ๋อยๆ
'' สงสัยชาตินี้ติ๊บคงได้แฟนเป็นแค่หมอฟันธรรมดาๆแน่เลย ไม่มีวาสนาพอจะได้แฟนเป็นด๊อกเตอร์แน่เลย ''
'' ก็ไม่เป็นไรไง ติ๊บพอใจที่พี่ไม้เป็นแบบนี้ แค่นี้ก็ดีพอแล้วไว้ค่อยเก็บเงินไปเรียนต่อเองก็ได้นี่ไว้ติ๊บเรียนจบจะรีบขอทุนเรียนต่อแล้วเราค่อยไปต่อพร้อมกันก็ได้ '' ติ๊บให้กำลังใจผมด้วยกุมมือเบาๆ
'' อืม น่ารักจัง ''
'' ทำไงได้ก็รักไปแล้ว ถอนตัวตอนนี้ก็ไม่ทันละ '' ติ๊บตอบเขินก่อนพลิกตัวตะแคงหันหลังให้ผม
'' เมื่อกี้ว่าอะไรนะ '' ผมรีบประกบข้างหลังติ๊บเพื่อขอความมั่นใจอีกที
'' เปล่า '' เจ้าตัวปฏิเสธก่อนหลับตาปี๋
'' เมื่อกี้พี่ได้ยินว่าใครบอกรักพี่ไม่รู้นะ '' ผมไม่หยุดแค่นั้นแกล้งถามต่อไปอีก
'' เหรอ ติ๊บไม่เห็นได้ยินเลย นอนละ '' เจ้าตัวบอกก่อนแกล้งหลับตาต่อไป
'' งั้นเดี๋ยวพี่จะทำให้ติ๊บบอกรักพี่อีกที คอยดู '' พูดจบผมก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมเราสองคนและจัดการเค้นคำรักจากเจ้าตัวเล็กให้ได้ ไม่ต้องเดาหรอกนะ ว่าผมจะใช้วิธีการใด เมื่ออยู่ใต้ผ้าห่มด้วยกันในห้องของเราสองคนแบบนี้ ฮ่า ฮ่า
'' พี่รักติ๊บนะ รักมากด้วย '' ผมพูดเบาๆใกล้หูเจ้าตัวเล็กที่นอนเหนื่อยหอบอยู่ในอ้อมกอดของผม
'' ติ๊บก็รักพี่ไม้คับ '' ติ๊บตอบเขินๆ
'' อะไรนะ พี่ไม่ได้ยินเลย '' ผมแกล้งเจ้าตัวเล็กต่อ
'' ติ๊บบอกว่าติ๊บก็รักพี่ไม้คับ '' เจ้าตัวเล็กพูดดังขึ้นมาอีกนิดแต่ผมก็ยังไม่วายแกล้งต่อ
'' อะไรนะ ได้ยินไม่ถนัด อีกทีดิ '' ผมแกล้งถามต่อพร้อมเอียงหูเข้าไปใกล้เจ้าเล็กขึ้นอีกนิด
แทนคำตอบผมถึงกับร้องจ๊าก เมื่อเจ้าตัวเล็กเล่นงาบเข้าที่ใบหูผมแรงๆหนึ่งที
'' อะจ๊ากกก นี่แฟนพี่เป็นไมค์ ไทสัน ไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยยย ''
'' ก็อยากแกล้งดีนักก็ต้องเจอแบบนี้แหละ '' เจ้าตัวเล็กตอบกลับมา
'' อืม พี่แกล้งไปเราเลยแกล้งกลับใช่มั้ย ก็ดีเจอแบบนี้ก็ดีงั้นติ๊บแกล้งงับหูพี่ งั้นพี่แกล้งกลับอีกทีดีกว่า จะได้ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันไปเลยยยยย ''
และแล้วก็เป็นอีกคราวที่ผ้าห่มถูกใช้คลุมกายของเราทั้งสองคนไว้ และบทรักของคนสองคนก็ดำเนินต่อไป อูยยย เขินอะเล่ามาถึงฉากแบบนี้อีกละ อายๆ.................