ตอนที่ 5
สัปดาห์หน้าจะเป็นวัน easter ซึ่งโรงเรียนจะหยุดหลายวัน นนท์ ริต้า และผม
จะไปลิเวอร์พูลด้วยกัน .... ก่อนที่ริต้าจะไปเที่ยวต่อที่สก๊อตแลนด์อีก 1 สัปดาห์
หนิง ไม่สามารถร่วมเดินทางได้ เพราะญาติมาหาจากเมืองไทย ... อีกตามเคย ...
ส่วนกายบอกว่าจะท่องโลกโดยลำพังแถว ๆ ยุโรป แต่ไม่ยอมบอกว่าไปไหน ...
ได้แต่บอกว่าจองทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว
การเดินทางครั้งนี้ ริต้าแบกของกินไปเยอะมาก
ราวกับว่าจะไม่จ่ายเงินซื้ออะไรอีกเลยนอกจากค่าเดินทาง
ทั้งที่ของที่แบกไปก็เป็นจำพวกขนมปังและแยม (แบกทำไมให้หนักเนี่ย ...
แต่จริง ๆ คนที่แบกคือนนท์ เพราะตัวใหญ่สุด และริต้าขอร้องแกมบังคับ)
... เพราะผมกับนนท์แทบไม่เอาอะไรไปเลย ... นอกจากเสื้อผ้าแค่ 2-3 ชุด และกล้องถ่ายรูป
“หนักชะมัด ..แบกหินมารึงัย” นนท์บ่น ท่าทางหงุดหงิด
“ผู้ชายต้องแบกของให้ผู้หญิง ... ห้ามบ่น” ริต้าตอบยิ้มๆ แล้วเดินไปดูหนังสือที่ร้านค้าในสถานีรถไฟ
“ใจเย็น ๆ รู้น่าว่าหงุดหงิด ... เดี๋ยวกินหมดก็เบาแล้ว” ผมหัวเราะพร้อมตบบ่านนท์
“แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบก ... หาซื้อกินง่ายกว่าเยอะ ... ขวดแยมน่ะหนักมาก” นนท์พูดท่าทางยังไม่หายหงุดหงิด ...
เราเดินทางไปถึง Liverpool ตอนเย็น ... ตามเคย ... ไม่ได้วางแผนหรือจองโรงแรมล่วงหน้า
ถึงสถานีรถไฟเมือง Liverpool ก็กดแผนที่เมืองจากเครื่องขายแผนที่หยอดเหรียญ
ในแผนที่เมืองจะมีบอกจุดท่องเที่ยวสำคัญ และที่พัก
หลังจากหาโรงแรมที่ดูน่าพอใจได้แล้ว ... ก็โทรสอบถามว่ามีห้องพักหรือไม่
พวกเราจองห้อง 3 เตียง เพราะจะสามารถสุมหัวคิดเรื่องไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ได้
อย่างที่บอก ...ไม่มีการวางแผนกันมาก่อนเลยว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง
แต่สิ่งที่ริต้าขอว่า ... ต้องไปดูก็คือ พิพิธภัณฑ์ the BEATLES
หลังจากได้ห้องพักแล้ว ... ผมกับนนท์ก็ชวนริต้าไปทานอาหารเย็น
“ชั้นมีขนมปังกับแยมอยู่แล้ว ...พวกคุณไปกับเถอะ … ไม่ต้องห่วง” ริต้าบอก
“กินอย่างนี้ทุกวัน ... ต้องแย่แน่ ๆ น่าจะหาอะไรดี ๆ กินนะ” นนท์เตือน
“รีบไปเถอะน่า ชั้นจะกินแซนวิชแยมแสนอร่อยของชั้น” ริต้าบอก ก่อนที่จะไล่ให้เรารีบไป
หลังจากเดินไปเรื่อยเปื่อยประมาณ 15 นาที พวกเราก็เห็นร้าน Chinese take away ไม่ต้องถามกันให้เสียเวลา
ผมกับนนท์เดินเข้าไปในร้าน ... สั่งอาหารทันที ข้าวผัดไข่ และกับอีก 2 อย่าง เพื่อเอาไปกินที่โรงแรม
กลับถึงห้อง .... เห็นริต้ากำลังทำแซนวิชแยม ... แต่ยังไม่ได้กิน
“อืม ... Smell Good ...” ริต้าบอก ... แล้วมองตามกล่องอาหาร ... นี่ขนาดแค่เดินถือเข้ามาในห้องนะ
ยังไม่ได้กล่องอาหารเลยด้วยซ้ำ
“มากินด้วยกันสิ” ผมชวนหลังจากแกะอาหารเรียบร้อยแล้ว ... ริต้าตอบตกลงทันทีโดยไม่ต้องให้ชวนซ้ำ
“แพงมั๊ย” ริต้าถาม ข้าวเต็มปาก …. หลังจากบอกราคา ... ริต้าทำตาโต
“ถูกมากกกกกกกก” ริต้าอุทานออกมา ... คงคิดได้แล้วสิ ... ‘ทำไมต้องแบกของมาให้หนักด้วยนะ’
ตอนเช้า ... พวกเราตกลงกันว่าจะไปพิพิธภัณฑ์ the BEATLES เป็นอันดับแรก
ผมกับนนท์แม้จะเคยฟังเพลงของ the BEATLES มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้จักผลงานของ the BEATLES มากนัก
“เกิดไม่ทัน” นนท์บอกยิ้ม ๆ
“ชั้นก็เกิดไม่ทันเหมือนกัน … แต่เพลงไม่มีอายุหรอกนะ” ริต้าบอก ... แล้วหันไปชื่นชมเปียโนสีขาว
ของจอน เลนนอน ไปพร้อม ๆ กับฟังเพลงอิมเมจิ้น
“ไปทัวร์ต่อมั๊ย” ริต้าถามหลังจากดูพิพิธภัณฑ์และซื้อของที่ระลึกเสร็จแล้ว
“ไปสิ” ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ไหน ๆ ก็มาแล้วก็น่าจะต้องซึมซับความเป็น the BEATLES ซักหน่อย
เมื่อนนท์ก็ไม่ขัดข้อง ... พวกเราก็เลยจองทัวร์ตามรอย the BEATLES
หลังจากขึ้นไปนั่งบนรถทัวร์ขนาด 24 ที่นั่ง โดยมีคน (ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง) นั่งอยู่เกือบเต็ม
ทุกคนมีกล้องถ่ายรูปและกล้องถ่ายวีดีโอ เพื่อบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับ the BEATLES
ดูทุกคนมีความสุขและกระตือรือร้นที่จะได้ออกทัวร์ในครั้งนี้ซะเหลือเกิน
รายการทัวร์เริ่มขึ้น..ไกด์พาเราไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ the BEATLES
เช่น บ้านหลังแรกของจอน เลนนอน โรงเรียนเก่าของพอล แมคคาร์ทนี่ ที่ทำงานแห่งแรกของริงโก สตาร์
หรือร้านที่จอร์จ แฮริซัน ทำงาน … แล้วก็จะมีการเปิดเพลงของ the BEATLES คลอไปตลอดทาง ...
ที่ชอบมากก็คือ ...
เมื่อเปิดเพลงที่กล่าวถึงสถานที่ไหน ... รถก็จะพาไปสถานที่นั้น ... ไกด์เล่าประวัติ
และให้ลงไปถ่ายรูป ...
“รู้จักเพลงนี้เหรอ” ผมถามนนท์ ... เพราะเห็นนนท์ถ่ายรูป Penny Lane (ซึ่งก็เป็นถนนสายหนึ่ง
ที่เป็นชื่อเพลงของ the BEATLES) ... แต่ที่สงสัยก็คือ .. นนท์รู้จักเพลงนี้เหรอ ... ถึงถ่ายรูปสถานที่
“เปล่า” นนท์ตอบยิ้ม ๆ ลดกล้องลง “แค่อยากถ่ายบรรยากาศ ... ของคนที่ชอบ the BEATLES น่ะ”
สายวันรุ่งขึ้น ... ผมกับนนท์ไปส่งริต้าที่สถานีรถไฟ ... เพื่อไปสก๊อตแลนด์
ส่วนผมกับนนท์ตั้งใจว่าจะเดินทางกลับเมือง ...
แต่ระหว่างทางก็แวะลงจากรถไฟ ... เพื่อถ่ายรูปเกือบทุกเมืองที่รถไฟผ่าน
แล้วก็กระโดดขึ้นรถไฟเที่ยวต่อไปเพื่อมาลอนดอน ...
กว่าจะถึงลอนดอนก็ดึกมากแล้ว ... ประมาณ เกือบเที่ยงคืน ก็ตกลงกันว่าจะแวะทานอาหารที่โซโห ...
ผมอยากทานอะไรร้อน ๆ ที่เป็นน้ำ ๆ เพราะอากาศค่อนข้างเย็น
หลังจากทานอาหารเสร็จ ... ก็เดินกะจะไปขึ้น underground ปรากฏว่า ...... สถานีปิด .....
“เรียก TAXI มั๊ย” ผมถาม
“ดึกป่านนี้ ... ไปถึงสถานี (รถไฟ) ก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี (เพราะสถานีก็ปิดแล้วเหมือนกัน) ” นนท์พูด
“หรือว่าจะหาที่พัก” ผมเสนออีกความคิดหนึ่ง
“อีกแค่ 4 ชั่วโมงก็จะมีรถไฟขบวนแรกกลับเมือง ... อยากเดินเล่น ... ดูบรรยากาศลอนดอน
ตอนกลางคืนมั๊ย” นนท์ถาม ... ผมพยักหน้า ว่าไงว่าตามกัน ... อีกอย่างผมก็ไม่เหนื่อยและไม่ง่วงเลย ...
นนท์เปิดแผนที่ LONDON A-Z แล้วออกเดินนำ
“เดี๋ยวก็ก็จะถึง Buckingham Palace” นนท์ชี้ไปข้างหน้า ... ลอนดอนยามค่ำคืนนี้ก็สวยเหมือนกันนะเนี่ย
... ปกติผมเป็นที่ไม่ค่อยไปไหนตอนกลางคืน เพราะไม่ค่อยชอบบรรยากาศเท่าไหร่
และคิดว่ากลางคืนน่ากลัวและไม่ค่อยน่าปลอดภัย ... แต่แปลก ... ที่คืนนี้ผมกลับรู้สึกว่า ...
มันมีเสน่ห์ แถมยังรู้สึกอบอุ่น ... และปลอดภัยด้วย
หลังจากเดินมาประมาณ เกือบ 2 ชั่วโมง
“นั่งตรงนี้กันเถอะ” นนท์บอก ... ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งล้อมรอบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“ง่วงมั๊ย” นนท์ถามพร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ห่างผมไป 2-3 ตัว ... ผมส่ายหน้า ...
ก็ผมไม่รู้สึกง่วงเลยซักนิด ... ทั้งที่เลยเวลานอนมานานมาก
“มานอนนี่ ... ให้พักแป๊บนึง” นนท์เรียกให้มานอนใกล้ ๆ กับที่ที่นนท์นั่งอยู่ ...
“ก็ไม่ง่วงนี่นา ... ไม่อยากนอน” ผมบ่น ... แต่ก็ยอมเดินไปนั่งใกล้ ๆ นนท์
“นอนซะดี ๆ” นนท์บอก แล้วบังคับให้ผมนอน ... เอาเป้วางให้หนุนแทนหมอน
ผมก็เลยยอมนอน (ก็ได้) ... ผมหลับตา ... ซักพัก ... ด้วยความที่อากาศหนาวมากก็เลยลืมตาและลุกขึ้นนั่ง ...
ควานหาเสื้ออีกตัวในกระเป๋า ตั้งใจว่าจะ เอามาใส่ทับบน jumper (หรือที่เมกันเรียก ‘สเวตเตอร์’ นั่นแหละ)
“ทำอะไร” นนท์ถาม พลางลุกขึ้นยืน ... ท่าทางหงุดหงิด
“… อากาศมันหนาวก็เลยจะหาเสื้อมาใส่เพิ่ม” ผมตอบ
“เป็นอะไรอีกล่ะ” ผมถาม ... ก็ไอ้อาการโมโหหงุดหงิดของนนท์น่ะ ...
แม้แต่นิ้สเดียวผมก็รู้สึกได้แล้ว
“เปล่า” ตอบเสียงห้วน และยังคงแสดงอารมณ์ขุ่นมัวให้เห็นชัดเจน
“ทำไมเราจะไม่รู้ว่านายโมโห ... แต่เราไม่รู้ว่านายโมโหอะไร” ผมพูดเสียงดุ ๆ
นนท์เงียบไปแป๊บนึง ...
“เรา ......... โกรธตัวเอง” นนท์พูดเบา ๆ แต่ท่าทางโมโหคลายลง
“…. โกรธตัวเอง ?” ผมถามกลับแบบงงงง ... ก็นั่งกันอยู่ดี ๆ อยู่ ๆ ก็อารมณ์ (โมโห) ขึ้นซะงั้น
“เราโกรธตัวเอง ... ที่ .... พานายมาลำบาก” นนท์พูด ... ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง
“นึกว่าอะไร ... เราไม่รู้สึกว่าลำบากอะไรเลย ... สนุกด้วยซ้ำ” ผมตอบ
“ไม่รู้สิ ... ตอนที่นายนอนน่ะ ... น่าสงสารมาก ... รู้สึกผิดก็เลยโกรธตัวเอง” นนท์พูด
“........ แต่ในเมื่อ....นายสนุก ... เราเดินต่อกันเลยมั๊ย” นนท์ถามกลับ...ผมเปลี่ยนอารมณ์ตามแทบไม่ทัน
“อีกแป๊บสิ ... ขี้เกียจเดิน … ” พอได้นั่งซักพักผมก็เริ่มขี้เกียจเดินซะแล้ว
“ยืน” นนท์สั่งทำเสียงดุ .... ผมส่ายหัว “ไม่” .... นนท์เดินมาใกล้แล้วพูดว่า
“ยืนบนเก้าอี้ซิ ...”
“ทำไมอะ” ผมถาม
“... ขึ้นมา” พูดจบ ... นนท์ก็หันหลังให้
“จะดีเหรอ ... เดี๋ยวพอเหนื่อยนายก็โมโหอีก ... เหมือนตอนแบกของให้ริต้าไง ” ผมพูด แต่ก็กระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังนนท์เรียบร้อยแล้ว ...
“มันไม่เหมือนกัน” นนท์พูด แล้วจับมือผมให้กอดคอแน่น ๆ แล้วบ่น “เกาะดี ๆ เดี๋ยวก็ตกลงมา ...”
“ไม่เหมือนยังไง” ผมถาม
“ก็ตอนที่แบกของให้ริต้าน่ะ ... เรา ...ไม่เต็มใจนะสิ ...”