สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเลยขออภัยก่อนเลยนะคะ เพราะสัปดาห์ก่อนไม่ได้มาอัพเนื่องจากโน้ตบุ๊คมีปัญหาเลยต้องซ่อม ตอนแรกคิดว่าจะทันแต่กลับไม่ทันซะงั้น เลยมาอัพเอาสัปดาห์นี้ค่ะและจะอัพอีกในครั้งต่อไปคือสัปดาห์หน้า จากนั้นจะขอหยุดพักน่าจะสักสองสัปดาห์นะคะ เพราะจะเดินทางและเป็นช่วงวันหยุดยาวค่ะ ขอพักผ่อนหน่อยนะคะ แล้วจะกลับมาต่อค่ะ
ตอนนี้ยาวมากสุดเท่าที่แต่งมาในเรื่องนี้เลย อาจจะเยอะไปหน่อยนะคะ ถ้าหากมีข้อผิดพลาดคำผิดหรือประการใดๆก็ขออภัยไว้ด้วยนะคะ ติชมได้ ยินดีรับฟังค่ะ ตอนนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ขอบคุณทุกๆกำลังใจ ไว้เจอกันใหม่ค่ะ ++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 50 Between them.
It feels like there’s oceans
มันรู้สึกราวกับมีมหาสมุทรขวางกั้น
Between me and you once again
ระหว่างเธอและฉันอีกครั้งหนึ่ง
We hide our emotions
เราต่างซ่อนเร้นความรู้สึกไว้
Under the surface and tryin’ to pretend
ใต้ผืนน้ำและพยายามทำเหมือนไม่มีอะไร
But it feels like there’s oceans
แต่มันกลับเหมือนมีมหาสมุทรขวางกั้น
Between you and me
ระหว่างฉันและเธอ
พระพายที่หลับไปอย่างเนิ่นนาน ตื่นอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาสิบโมงเช้าของวันใหม่ไปแล้ว พระพายบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดจึงนอนหลับสบายเสียเต็มอิ่ม
ตื่นมาก็พบว่าพิธานยังคงหลับอยู่ เจ้าตัวคงอยากพักผ่อนยาวๆบ้างหลังจากที่ผ่านมาเอาแต่ทำงานหนัก พิธานในช่วงหลังๆทำงานเยอะมากผิดกับช่วงแรกๆที่เจอกันแต่ก็พอเข้าใจว่าความรับผิดชอบมากขึ้นเพราะระบบงานมีการเปลี่ยนแปลงไปตามที่พิธานเคยบอกเล่า
พระพายลุกขึ้นจากเตียงอย่างอ่อนเปลี้ย เมื่อคืนหนักหน่วงจริงๆจนร่างกายหนักอึ้งแต่พระพายก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัวใดๆแค่เมื่อยล้าอย่างเช่นปกติ เมื่อเดิน
เมื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำ มองตัวเองในกระจกบานโต พบว่าเนื้อตัวมีรอยแดงแตกพร้อยลายไปทั้งตัว ตรงช่วงแขนและมากสุดก็ตรงหน้าท้อง แส้หนังนั่นแผลงฤทธิ์เอาไว้เยอะใช่ย่อย บางรอยแผลแตกซิบห้อเลือดนิดๆ คงต้องรอพิธานตื่นเพื่อถามหายาทา ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้คงจะช้ำจนน่ากลัวกว่าเดิม
พระพายอาบน้ำแปรงฟัน ใช้เวลาในห้องน้ำเรื่อยเปื่อยกว่าจะเรียบร้อยก็นานพอควร เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำและเดินเข้าไปยังห้องนอนก็พบว่าพิธานตื่นแล้วและกำลังนั่งพิงหัวเตียงพลางเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่
“ตื่นแล้วเหรอ?”
พระพายทักทายพร้อมรอยยิ้ม พิธานจึงโยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงและกวักมือเรียก พระพายทำตามคำสั่งเดินเข้าไปหาคนที่เพิ่งตื่นนอน พิธานคว้าแขนพระพายดึงให้นอนบนเตียงก่อนที่จะขึ้นคร่อมแล้วซุกหน้าลงที่ลำคอของพระพาย
“แกล้งแต่เช้าเลย” พระพายหัวเราะเสียงดังพลางใช้มือดันหน้าพิธานออก
“แผลเยอะ...” พิธานมองช่วงตัวของพระพายมีแค่ผ้าเช็ดตัวพันช่วงล่างไว้
“ว่าจะถามยาทาว่าอยู่ตรงไหน” พระพายถาม
“เดี๋ยวไปหยิบให้” พิธานลุกออกจากการแกล้งพระพายและไปหยิบยาจากในตู้เสื้อผ้า
หยิบหลอดยามาพร้อมทาแผลให้พระพาย เห็นภาพที่พิธานทายาให้ก็นึกไปถึงช่วงแรกๆที่มีความสัมพันธ์กัน ตอนนั้นพิธานก็ทายาให้ไม่ต่างจากตอนนี้
“วันนี้จะออกไปข้างนอก” พิธานพูดขึ้นหลังจากที่ทายาเสร็จแล้ว
“จะไปไหนเหรอ?”
“ไปโรงพยาบาล แล้วไปร้านพี่เพลง” พิธานว่า
“ไปโรงพยาบาล...จะไปตรวจเลือดเลยเหรอ?” พระพายถาม
“ใช่ ฉันหาข้อมูลเมื่อกี้ เดี๋ยวไปกันเลย” พิธานว่า
“ถ้าอย่างนั้นรีบไปอาบน้ำ” พระพาย
พระพายแต่งตัวระหว่างที่รอพิธานอาบน้ำ เมื่อแต่งตัวเสร็จพิธานก็อาบน้ำเสร็จพอดี พระพายจึงใช้เวลานี้นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือรอพิธานแต่งตัว
อันดับแรกส่งข้อความทักทายเก้าที่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว บอกว่าวันนี้จะออกไปเที่ยวกับไคและอยากจะชวนพระพายไปด้วย พระพายจึงลุกขึ้นเดินไปหาพิธานที่กำลังแต่งตัวอยู่
“คุณพิธาน...เก้าจะชวนไปเที่ยว” พระพายบอกพิธานที่ตอนนี้กำลังสวมกางเกงยีนส์ขายาวอยู่
“กี่โมง?” พิธานถาม พระพายจึงรีบส่งข้อความถามต่อและเก้าก็ตอบกลับมา
“ไปเยาวราช น่าจะเย็นๆเกือบค่ำ” พระพายว่า
“ตอบตกลงไป”
พระพายส่งข้อความหาเก้าอีกครั้งและตอบตกลงคำชวนเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่รอพิธานกำลังเลือกเสื้อ พระพายก็นั่งคิดไปถึงเรื่องการตรวจเลือด ส่วนตัวมั่นใจว่าตัวเขาเองปราศจากการสุ่มเสี่ยง เพราะไม่เคยมีเรื่องอย่างว่ากับใครมาก่อนนอกจากพิธาน ในส่วนของพิธานนั้นพระพายเชื่อใจระดับหนึ่งว่าเจ้าตัวต้องป้องกันตัวเองมาตลอด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการตรวจจะเป็นตัวบอกว่าทั้งคู่มีผลเลือดที่บวกหรือลบกันแน่ คิดๆก็ระทึกใจเหมือนกัน
พิธานแต่งตัวเสร็จแล้วและเดินไปหยิบกุญแจรถพลางหันมามองพระพายว่าพร้อมหรือยัง พระพายรีบลุกขึ้นและเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายข้าง ใส่โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงินลงไปและสะพายด้วยความรวดเร็ว
ทั้งสองขึ้นรถด้วยความรวดเร็ว พิธานบอกว่าโรงพยาบาลที่จะไปเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ไกลจากที่นี่แต่วันหยุดเช่นนี้รถราจึงติดพอสมควร ระยะเวลาอาจจะล่าช้ากว่าที่คิด
กว่าจะถึงก็ใช้เวลาพักใหญ่ รถของพิธานขับเข้ามายังลานจอดรถชั้นล่างก่อนที่จะจอดลงตรงพื้นที่ว่าง พระพายที่นั่งเงียบๆจนพิธานต้องสะกิด
“ลงสิ” พิธานว่า พระพายจึงลงจากรถ
เข้าไปยังโรงพยาบาลซึ่งผู้คนไม่ได้พลุกพล่านมากมายอย่างที่คิดแต่ก็มีคนมาใช้บริการอยู่พอสมควร ทั้งสองคนเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อแจ้งความประสงค์ในการตรวจเลือด พยาบาลสอบถามเล็กน้อยถึงจุดประสงค์ในการตรวจ ซึ่งพยาบาลแนะนำให้ทั้งสองคนตรวจเป็นแอนติ-เอชไอวี ซึ่งเป็นการตรวจหาภูมิเชื้อเอชไอวี เดิมทีต้องตรวจหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงสองสัปดาห์ขึ้นไป แต่หากสอบถามเบื้องต้นถึงพฤติกรรมของทั้งสองคนถือว่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มสุ่มเสี่ยง จึงสามารถตรวจได้ในตอนนี้และสามารถรู้ผลการตรวจได้ภายในหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
เมื่อรับฟังถึงข้อแนะนำต่างๆแล้ว พิธานและพระพายก็ได้เซ็นใบยินยอมรับการตรวจรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่จำเป็นต่อการตรวจ จากนั้นก็มานั่งรอเพื่อเข้ารับการตรวจเลือดซึ่งไม่ได้นานนัก สมกับเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ให้ความสำคัญเรื่องเวลารวดเร็วและบริการที่ดีเยี่ยม
พิธานเข้าไปเจาะเลือดคนแรก จากนั้นก็เป็นทีของพระพาย ใช้เวลาไม่นานในการเจาะเลือด จากนั้นทั้งสองคนก็ออกมานั่งรอผลการตรวจซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงจะทราบผล
“ตื่นเต้นเหรอ?” พิธานถามพระพายที่นั่งเขย่าขานิดๆราวกับกำลังกังวลหรืออะไรสักอย่าง
“ไม่น่ามีอะไรหรอก แต่มันก็ลุ้นเหมือนกันนะ” พระพายว่า
“กลัวฉันเป็นเหรอ?”
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?”
“เพราะนายไม่เคยนอนกับใครนอกจากฉัน..ถ้าจะติดก็ต้องมาจากฉัน”
“คุณติดยากเหอะ ออกจะระวังไปซะทุกอย่างขนาดนั้น” พิธานไม่พูดอะไรได้แต่หัวเราะเบาๆ
ระหว่างที่นั่งรอดันมีสายเข้าโทรมาจากเลขาปอ พิธานจึงต้องรับสายและไม่ได้เลี่ยงไปไหนกลับนั่งคุยอยู่ข้างๆพระพาย เป็นเรื่องด่วนที่มีเข้ามาบ่อยๆและจำต้องแจ้งให้พิธานทราบแม้ว่าวันนั้นพิธานจะไม่ทำงานก็ตาม
พระพายไม่ได้สนใจจะฟังแต่กลับนั่งคุยกับเก้าผ่านทางข้อความ บอกเก้าว่าอยู่ที่โรงพยาบาล รายนั้นก็ตกอกตกใจว่ามาทำอะไร พระพายจึงต้องบอกว่ามาตรวจเลือดและคุยถึงเรื่องอื่นๆหลายอย่างจนในที่สุดพยาบาลก็เรียกให้ไปฟังผลตรวจ
พิธานเป็นคนแรกที่ถูกเรียกไป การฟังผลตรวจแพทย์จะเป็นผู้แจ้งผลให้กับผู้ป่วยเท่านั้น คนอื่นจะไม่มีสิทธิ์รับรู้ถึงผลตรวจของนอกจากแพทย์ ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่พิธานก็ออกมาพร้อมใบแจ้งผลเลือด
“เป็นยังไงบ้าง?” พระพายถามทันที
“เดี๋ยวไปคุยกันในรถ” พิธานพูดเท่านั้น จากนั้นก็เป็นพระพายที่ต้องเข้าไปฟังผลตรวจจากแพทย์
บรรยากาศในห้องนั้นมีแพทย์นั่งอยู่ท่านเดียว พระพายรู้สึกใจเต้นแรงอย่างลุ้นระทึกใจ แม้จะมั่นใจว่าตัวเองปลอดภัยแต่ใจหนึ่งก็กลับคิด พระพายนั่งลงพร้อมยกมือไหว้สวัสดีคนที่นั่งตรงหน้า อายุน่าจะสามสิบปลายๆ
“คุณพระพายนะครับ”
“ครับ ผมพระพาย”
“ผลตรวจออกมาแล้วนะครับ เป็นลบ ไม่มีเชื้อเอชไอวีครับ” พระพายที่ได้ยินถึงกับยิ้มออกมาและรู้สึกโล่งอกทันที
“หมอสอบถามหน่อยนะครับ ปกติมีเพศสัมพันธ์จะสวมถุงยางอนามัยหรือเปล่าครับ?”
“ใช้ตลอดครับ” ใช่ ใช้ตลอดแต่ไม่ใช่เขาแฟนต่างหากที่ใช้
“มีคู่นอนมากกว่าหนึ่งคนหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ มีแฟนแค่คนเดียวและไม่เคยนอนกับใครเลยครับ”
“และแฟนมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงหรือเปล่าครับ?”
“คิดว่าไม่นะครับ”
“ถ้าไม่มั่นใจ หมอแนะนำให้คุณกับแฟนมาตรวจปีละครั้งหรือหกเดือนครั้งนะครับ เพื่อความแน่ใจ เพราะอนาคตข้างหน้าไม่อาจทราบได้ว่าจะเจอความสุ่มเสี่ยงอะไรบ้าง เพื่อความปลอดภัย”
“ได้ครับ ผมจะมาตรวจครับ”
“นี่ใบแจ้งผลตรวจเลือดครับ”
“ขอบคุณครับ” พระพายยกมือไหว้เป็นการบอกลา
เมื่ออกมาก็พบว่าพิธานนั่งรออยู่ ทั้งสองไม่พูดอะไรแต่พิธานก็ลุกไปจัดการค่าใช้จ่ายตรงเคาน์เตอร์ชำระเงิน เพียงไม่นานก็เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง การมาตรวจเลือดไม่ได้ยุ่งยากใดๆอย่างที่คิดไว้ กลับง่าย รวดเร็วและปกปิดความเป็นส่วนตัวของคนไข้ได้ดีเลยทีเดียว ทั้งสองคนลงลิฟต์ยังชั้นลานจอด ทันทีที่นั่งลงบนเบาะพระพายก็หันไปมองพิธานที่กำลังสตาร์ทรถ
“คุณ...คุณพิธาน” พระพายเรียกขึ้น พิธานจึงยื่นใบผลตรวจที่วางอยู่ให้พระพายอ่าน
“นี่ของผม” พระพายก็ยื่นให้พิธานบ้าง มือสั่นๆนิดๆตอนรับใบผลตรวจเลือดของพิธานว่า
ไล่สายตาอ่านข้อความแค่ไม่มีบรรทัดก็พบว่าผลตรวจเป็นลบ พระพายถอนหายใจแรงออกมาอย่างโล่งอกซึ่งมากกว่าของตัวเองเสียอีก
“นายก็เวอร์ไป” พิธานหัวเราะพลางขยี้ผมพระพาย
“เรา...ปลอดภัยทั้งคู่เลย” พระพายยิ้มกว้าง
“แต่ก็ต้องมาตรวจซ้ำทุกปี” พิธานว่า
“ใช่ๆ คุณหมอก็บอกแบบนั้น”
“เอาล่ะ ไปร้านพี่เพลงกัน หิวจะแย่” พิธานว่าและรีบขับรถออกไปจากโรงพยาบาลไปยังร้านอาหารของเพลงขวัญผู้เป็นพี่สาว ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่พอสมควร
กว่าจะถึงก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว ร้านของเพลงขวัญยังคงมีผู้คนมากมายเช่นเคยแต่ไม่เท่ากับครั้งล่าสุดที่มา พิธานเดินนำเข้าไปในร้านพลางกวาดสายตามองหาพี่สาวและก็พบว่ากำลังนั่งทานข้าวกับคนสองคนที่มองแผ่นหลังแล้วรู้สึกคุ้นตา
“พิธาน พระพาย!” เพลงขวัญร้องเรียกขึ้น ทันใดนั้นคนที่พิธานคุ้นตาก็หันหลังมามองและพบว่าเป็นพัชชา อีกคนคือคนที่พิธานไม่อยากเจอมากที่สุด...ธนิตนั่นเอง
พระพายที่เดินตามหลังมาถึงกับชะงัก ได้แต่คิดในใจว่าน่าจะโทรบอกเพลงขวัญล่วงหน้าจะได้ไม่ต้องมาเจอกันแบบนี้ พิธานหันหลังกลับทันทีแต่พัชชาที่ไวกว่ารีบลุกขึ้นมาก้าวยาวๆมารั้งแขนพิธานไว้ได้ในทันที
“พิธาน อย่าเพิ่งไปสิลูก” พัชชาว่างพลางหันมองพระพายที่ยกมือไหว้
“ผมน่าจะโทรถามพี่เพลงก่อน” พิธานพูดแค่นั้น
“ไม่อยากเจอแม่เหรอ?” พัชชาถาม
“เปล่า..ผมไม่อยากเจอคุณพ่อต่างหาก” พิธานบอกตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม
“ไหนๆก็มาแล้ว มาทานข้าวกันเถอะ พระพายก็ด้วย” พระพายแค่ยิ้มแห้งๆเป็นการตอบรับคำชวน
“แต่ว่า...” พิธานจะปฏิเสธแต่เหลือบไปเห็นเพลงขวัญที่มองมาด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็พอจะเข้าใจว่าพี่สาวเองก็อึดอัดที่ต้องทานข้าวร่วมกับคนเป็นพ่อ
“ครับ” พิธานจำต้องกลืนคำว่าไม่ลงไปและเดินไปยังโต๊ะแทน
พิธานนั่งข้างเพลงขวัญถัดจากพิธานก็เป็นพระพายที่นั่งลง พระพายยกมือไหว้ธนิตที่หน้าตาเมินเฉยแต่ก็พยักหน้ารับนิดๆด้วยเพราะเป็นผู้ใหญ่ พิธานเองก็ยกมือไหว้ธนิตเช่นกันแต่สายตานั้นว่างเปล่าราวกับไหว้ส่งๆ ธนิตมองลูกชายของตนเองด้วยสายตานิ่งเฉย บรรยากาศมันอึดอัดพอสมควรในความคิดของพระพาย
ทั้งที่เพิ่งผ่านการตรวจเลือดที่ระทึกและเพิ่งหายใจหายคอโล่งได้ไม่ทันเท่าไหร่ แต่กลับต้องมาเจอธนิตเอาตอนนี้อีก วันนี้เป็นวันอาทิตย์สุดหรรษาหรืออย่างไรกัน ตั้งรับเตรียมใจแทบไม่ทันเลยทีเดียว
อาหารวางตรงหน้ามากมายอยู่ก่อนแล้ว เพลงขวัญตักข้าวให้พิธานและพระพาย จากนั้นก็เริ่มการทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาซึ่งไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว
“พิธาน สบายดีไหม?” พัชชาถามพลางตักปูนิ่มทอดกระเทียมพริกไทยให้พิธาน
“สบายดีครับ”
“พระพายล่ะ เป็นยังไงบ้าง” พัชชาหันไปถามพระพาย
“สบายดีครับ”
“คิดถึงพี่เหรอ เลยมาหาน่ะ?” เพลงขวัญหันไปถามพิธาน
“แค่อยากกินข้าวฟรี” พิธานบอกเท่านั้น
“ทำไมกลายเป็นคนงก” เพลงขวัญว่าพลางหัวเราะ
“คงเพราะเอาเงินไปเลี้ยงคนอื่นหมดน่ะสิ” ธนิตเปิดปากพูดเท่านั้นก็ทำเอาบรรยากาศแย่ขึ้นมาในทันที พิธานกำช้อนส้อมแน่นขึ้นราวกับระงับข่มโทสะเอาไว้
“คุณธนิต” พัชชาปรามขึ้น ธนิตเมินเฉยอีกครั้งและทานอาหารต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พระพายที่ทานไม่ลงทั้งที่ตอนตรวจเลือดหิวแทบไส้ขาด ตอนนี้นั่งเขี่ยอาหารและตักเข้าปากนิดๆพอเป็นพิธี คนข้างๆอย่างพิธานก็ไม่ต่างกัน รายนั้นที่บ่นหิวมาตลอดทางกลับทานน้อยผิดวิสัยที่สุด
“พระพาย อร่อยไหม?” เพลงขวัญถามอย่างชวนคุย
“อร่อยมากครับ” ตอบด้วยรอยยิ้มให้เพลงขวัญ
“กินเยอะๆนะ” เพลงขวัญว่า
“ผลตอบรับเป็นไงบ้าง?” ธนิตเอ่ยถามเพลงขวัญ
“หมายถึงกำไรเหรอคะ?” เพลงขวัญถามธนิตกลับ
“ใช่”
“ก็ดีค่ะ”
“ก็ดี แต่ไม่ดีที่สุด ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมถึงไม่ช่วยงานที่บ้านแทนที่จะมาทำร้านของตัวเองแบบนี้” ธนิตพูดพลางมองหน้าเพลงขวัญที่เริ่มกระอักกระอ่วน
“คือ...เพลงบอกแล้วนี่คะ ว่าจะไม่ทำงานของที่บ้าน” เพลงขวัญเลือกที่จะพูดออกมาถึงสิ่งที่เคยบอกไว้ครั้งเมื่อเรียนจบใหม่ๆ
“ก็ยังไม่สายที่จะกลับมาทำ” ธนิตว่า
“แต่ตอนนั้นคุณบอกเองนี่คะว่าแล้วแต่ลูก” พัชชาว่าพูดขึ้นมาบ้าง
“เพราะคุณชอบตามใจ ถึงเป็นแบบนี้” ธนิตหันไปว่าพัชชาบ้าง ซึ่งจากมุมของพระพายคนที่ตามใจนั้นน่าจะเป็นธนิตมากกว่าไม่ใช่หรือ ในเมื่อเป็นคนบอกเองแท้ๆว่าแล้วแต่ลูก
ธนิตเงียบไปไม่พูดอะไรอีก มีพัชชากับเพลงขวัญที่พูดคุยกันบ้าง ด้านพิธานและพระพายก็ได้แต่เงียบเช่นกันเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไป
อาหารมื้อหลักดำเนินไปเรื่อยๆจนตอนนี้มาถึงของหวานล้างปาก เป็นไอศกรีมโฮมเมดที่เพลงขวัญเพิ่งบรรจุลงเมนู มีด้วยกันถึงห้ารสชาติแน่นอนว่าคนรักของหวานอย่างพระพายที่ทานข้าวไม่ค่อยลงเมื่อครู่ก็ต้องตาลุกวาว เมื่อฟังชื่อรสแต่ละรสมันช่างน่าลอง พระพายจึงตัดสินใจเลือกรสมะพร้าวนมสด
ท่าทีที่ดูจะเพลิดเพลินกับไอศกรีมจนลืมไปว่าธนิตก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่เช่นกัน พระพายตักเข้าปากพร้อมยิ้มนิดๆรับรสหอมหวาน ธนิตมองพระพายด้วยสายตานิ่งๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่แต่พระพายนั้นก็ไม่ได้รับรู้เลยว่าตอนนี้กำลังถูกเพ่งเล็งอยู่
“ชอบไหม?” พิธานรู้ดีว่าธนิตกำลังมองพระพายอยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจใดๆ
“อร่อยมากเลย อยากชิมไหม?” พระพายถาม พิธานพยักหน้า พระพายจึงตักและป้อนให้พิธานอย่างรวดเร็ว พิธานอ้าปากรับทันที
“อืม ก็ดี”
“อร่อยเลยล่ะ” พระพายว่า แน่นอนว่าเพลงขวัญและพัชชาเคยเห็นภาพพวกนี้มาแล้ว ผิดกับธนิตที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
“ประเจิดประเจ้อ” ธนิตพูดก่อนที่จะใช้กระดาษเช็ดปากพลางเมินหน้าหนี
พิธานเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ ผิดกับพระพายที่นั่งนิ่งเพราะลืมไปเสียสนิทว่าธนิตนั่งอยู่ มีผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบเรื่องเช่นนี้นั่งร่วมโต๊ะด้วย คะแนนที่ไม่มียิ่งติดลบเข้าไปอีกแค่นึกก็ได้แต่ถอนหายใจในความไม่ระมัดระวังของตัวเอง
“ไปไหนคะคุณ?” พัชชาถามเมื่อธนิตจู่ๆก็ลุกขึ้น
“ไปห้องน้ำ” ธนิตพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่จะลุกออกไป เมื่อธนิตหายไปจากการมองเห็น เพลงขวัญก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พิธาน พี่ขอโทษ ไม่คิดว่าจะมาวันนี้เลยไม่ได้บอกว่าคุณพ่อจะมาทานข้าวที่นี่” เพลงขวัญใช้โอกาสนี้บอกพิธาน
“นัดกันก่อนเหรอ?” พิธานถาม
“เปล่าหรอก แม่เพิ่งบอกเพลงเมื่อเช้านี่เอง ว่าคุณพ่ออยากมาทานข้าวที่ร้าน อยากเห็นร้านอาหารที่เพลงตั้งใจทำ” พัชชาว่า
“หนูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณพ่อน่ะเหรออยากจะมาทานข้าวที่นี่ คุณแม่บังคับคุณพ่อใช่รึเปล่า?” เพลงขวัญไม่เชื่อเลยสักนิดว่าคนเป็นพ่อจะอยากมาที่นี่
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะเพลง?” พัชชาถามพลางมองหน้าลูกสาวที่แสดงสีหน้าปั้นยาก
“คนอย่างคุณพ่อน่ะเหรอจะอยากมาที่นี่ หนูว่าเป็นคนแม่ต่างหากที่พาคุณพ่อมาเพื่อจะมาคุยกับหนูและน้อง” เพลงขวัญเองแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีอย่างที่พิธานทำ แต่ในใจเธอก็ยังคงโกรธเคืองผู้เป็นพ่อไม่เสื่อมคลาย
“พวกลูกมองคุณพ่อเป็นตัวร้ายเกินไปแล้ว ไม่คิดเหรอว่าจริงๆแล้วคุณพ่ออยากเจอพวกลูกมากขนาดไหน” พัชชาว่า พิธานที่นั่งเงียบๆได้แต่ปรายตามองไปทางอื่น ดูก็รู้ว่าไม่เชื่อสักนิดว่าธนิตอยากจะเจอเขา
“พูดในสิ่งที่เห็นและรับรู้ได้ต่างหาก” พิธานว่า พระพายที่นั่งอยู่นั้นไม่คิดจะเสนอความคิดเห็นใดๆอยู่แล้ว หนึ่งนั้นเป็นคนนอก สองคือไม่ได้รู้จักธนิตมากพอที่จะตัดสินอะไรได้
“พิธาน....แม่อยากให้ลูกมองคุณพ่อให้ดีๆนะ ลูกกับคุณพ่อน่ะแทบจะเหมือนกันแม้กระทั่งความคิดเสียด้วยซ้ำ”
“ไม่เหมือน ผมไม่ใจร้ายกับคนที่ผมรักหรอก” พิธานยืนยันเสียงแข็ง
“เฮ้อ...” พัชชาได้แต่ถอนหายใจอย่างจำยอมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของลูกๆที่มีต่อคนเป็นพ่อได้
พระพายนั่งทานไอศกรีมของตัวเองหมดแล้วและตอนนี้ต่อด้วยไอศกรีมชาไทย เพราะละเมียดละไมกับการทานเกินไปจนทำหยดลงบนเสื้อ เสื้อตัวนี้พิธานซื้อให้เสียด้วยแน่นอนว่าราคาแพงเกินกว่าที่พระพายจะปล่อยให้เลอะได้
“เดี๋ยวมาครับ” พระพายว่าและลุกขึ้น
“ไปไหน?” พิธานถามแทบจะทันที
“ไปล้างเสื้อ” พระพายว่าเช่นนั้นก่อนที่จะรีบไปยังห้องน้ำให้เร็วที่สุด เพราะกลัวว่าชาไทยจะฝังแน่นบนเสื้อจนซักไม่ออกหากช้าเกินไป
เมื่อไปถึงห้องน้ำ พระพายรีบเปิดน้ำตรงอ่างล้างหน้าและใช้มือถูๆให้จางออก ในขณะนั้นได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพท์ในห้องน้ำ ซึ่งเสียงคุ้นหูทำเอาพระพายเงี่ยหูฟัง
“ดูรูปรึยัง....รูปร้านอาหารลูกสาวฉันเอง...ใช่ ที่เคยบอกไง....อาหารอร่อย...ตกแต่งสวยด้วย....ใช่ไหม สวยใช่ไหม อย่าลืมให้ลูกชายแกลงรีวิวให้ด้วยนะ เพลงคงจะดีใจถ้าได้ลงรีวิวจากคนดัง...เอาน่า เดี๋ยวให้คุณพัชชาขอส่วนลดให้..ได้ๆ ขอบใจแกมาก”
เสียงนั้นคือเสียงของธนิต ประโยคคำพูดนั้นทำเอาพระพายชะงัก น้ำเสียงที่ดูจะชื่นชมและภูมิใจแตกต่างจากที่แสดงต่อหน้าภรรยาและลูกทั้งสองมากนัก อีกทั้งยังโทรคุยอวดกับคนอื่นอีกด้วย พระพายไม่ทันได้คิดอะไรก็ได้ยินเสียงกลอนประตูที่เปิดออก จึงรีบวิ่งออกจากห้องน้ำให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้ธนิตรู้ว่าพระพายได้ยินคำพูดเหล่านั้น
พระพายรีบนั่งลง ท่าทีลนลานทำเอาพิธานจ้องมองแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะตอนนี้กำลังนั่งฟังพัชชาพูดคุยกับเพลงขวัญอยู่
“กลับกัน” ธนิตที่จู่ๆก็เดินมายังโต๊ะด้วยความรวดเร็วบอกกับพัชชาเช่นนั้น
“ทำไมกลับไวจังคะ นี่ไม่ได้พูดกับพิธานเลย” พัชชาว่า
“จะคุยทำไมกับเด็กที่ไม่รู้จักโต” ธนิตพูดเท่านั้น พิธานเงยหน้ามองธนิตด้วยสายตาแข็งกร้าว
“คุณคะ อย่าพูดแบบนั้นกับลูกสิ ถ้าอย่างนั้นรอหน่อย ฉันจะโทรตามคนขับรถ”
พัชชาโทรตามคนขับรถที่รออยู่แถวๆนั้นให้มาเทียบรถหน้าร้าน ธนิตนั่งกอดอกรออย่างที่พัชชาขอไว้ สายตานั้นจ้องเขม็งไปยังพระพาย พระพายที่แทบจะอยากล่องหนหรือหายตัวไปให้ได้เพราะสายตาที่มองมานั้นดูน่ากลัวเหลือเกิน ในที่สุดคนขับรถก็มา พัชชาจึงลุกขึ้น
“ไว้เจอกันนะเด็กๆ”
พัชชาว่าเท่านั้นก่อนที่จะลากธนิตออกไปจากร้าน พิธานและพระพายยกมือไหว้เป็นการบอกลา ด้านเพลงขวัญนั้นเลือกที่จะเดินไปส่งทั้งสองคนที่รถ จากนั้นก็กลับมาละนั่งลงข้างๆพิธานก่อนที่จะพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง
“พิธาน...เชื่อที่คุณแม่บอกไหม?” จู่ๆเพลงขวัญก็ถามขึ้น
“พี่เชื่อเหรอ?” พิธานไม่ตอบแต่กลับถามเพลงขวัญกลับ
“ไม่รู้สิ ทำไมพี่ไม่รู้สึกเลยว่าคุณพ่อจะคิดอย่างที่คุณแม่บอก” เพลงขวัญตรึกตรองคำพูดนั้น แต่ก็ไม่อาจจะรับรู้ได้เลยว่ามันคือความจริงหรือเพียงเพราะพัชชาอยากให้เป็นกันแน่
“ผมไม่เชื่อ” พิธานบอกเท่านั้น
“เอาเถอะ แค่มานั่งกินข้าวที่นี่ก็เกินคาดแล้ว”
“คนแบบนั้น...ไม่มีทางจะเป็นอย่างที่คุณแม่บอกหรอก” พิธานว่า
“นั่นสินะ คุณพ่อที่ไม่รักใครเท่ากับรักตัวเอง ดูสิ ยังจะมาพูดให้ไปทำงานที่โรงแรมอีก คิดว่าจะไปเหรอ ฝันเถอะ” เพลงขวัญว่า พระพายที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกได้ว่าสองพี่น้องมีความคิดความอ่านที่เหมือนกันมากจริงๆ รักแรงเกลียดแรงและยืนหยัดในความคิดนั้นมีมากจริงๆ
พระพายที่ได้ยินธนิตพูดเช่นนั้นและคำพูดของพัชชาที่พยายามบอกลูกๆว่าธนิตไม่ได้เป็นคนอย่างที่คิด พอคิดๆก็รู้สึกสับสนกึ่งลังเลใจ ที่พัชชาบอกอาจจะเป็นจริงก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็รู้สึกสงสารธนิตอยู่เหมือนกัน ที่ไม่สามารถที่จะเข้าหน้าหรือแม้แต่จะมีปฏิสัมพันธ์พ่อลูกอย่างเช่นคนทั่วไปได้ ไม่อาจกอบกู้ความไว้เนื้อเชื่อใจและความน่าเชื่อถือจากลูกได้อีก ช่องว่างที่ดูเหมือนจะห่างไกลมากขึ้นตั้งแต่ที่พวกเขามีเรื่องหมางกัน พิธานและเพลงขวัญต่างมีช่องว่างที่ยากจะติดกับคนเป็นพ่อ ราวกับมีแม่น้ำใหญ่กั้นขวางพวกเขาไว้
พระพายได้แต่คิดอยู่เช่นนั้นว่าธนิตแท้จริงเป็นคนอย่างไร อาจจะเป็นพ่อที่รักลูกมากแต่กลับแสดงออกในทางตรงกันข้ามหรือจะเป็นอย่างที่แสดงให้เห็นอยู่ในตอนนี้ ช่างสับสนเหลือเกินสำหรับพระพาย
หลังจากที่พูดคุยกันอีกเล็กน้อย พิธานก็ขอกลับห้องเพราะไคส่งข้อความมาให้ไปรวมตัวกันที่คอนโดแล้วค่อยออกไปเยาวราชด้วยกัน ทั้งสองคนจึงล่ำลาเพลงขวัญและเดินทางกลับไปยังคอนโดตามที่ไคนัดหมาย...
Lyrics: Oceans by Seafret