-23-
“คูมหมออออออ”
“น้องฟา!”
ผมคุกเข่าลงกับพื้น แขนอ้าออกกว้างเตรียมรอรับร่างกลมนุ่มนิ่มของเด็กผู้ชายแก้มยุ้ยที่วิ่งเข้ามาหา พอเจ้าตัวซุกหน้าอยู่กับอกแล้วก็อุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนพร้อมบ่นอย่างไม่จริงจังนัก
“ไม่เจอกันไม่กี่เดือน ทำไมหนักแบบนี้ครับเนี่ย”
“น้องไม่หนักเยย” เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคัก มือดึงแก้มผมไปมา โชคดีที่เด็กๆ ยังมีแรงไม่เยอะมากนักเลยไม่ต้องฝืนทนกลั้นความเจ็บปวดไว้ในใจ “คุงหนวดหายปาย”
“คุณหมอโกนไปแล้วครับ”
“ง้า”
เจ้าเด็กตัวเล็กชื่อน้องฟาที่ผมอุ้มอยู่คือคนไข้แสนน่ารัก ซึ่งเข้ามารับการรักษาไข้หวัดกับผมเมื่อสองสามเดือนก่อน พอได้รู้จักแล้วก็ทำตัวติดผมเป็นตังเม เอามือเล่นหนวดบ้าง บีบแก้มบ้าง เรียกได้ว่าต้องหาทางเข้าใกล้ตลอดยามผมไปหา ทว่าด้วยความที่เป็นเด็กฉลาด แม้จะพูดไม่ชัดแต่กลับต่อปากต่อคำคุยกับคนอื่นได้เป็นเรื่องเป็นราว น้องเลยกลายเป็นขวัญใจของพยาบาลและหมอแทบทุกคนที่ได้รู้จัก
“แล้วเรามาได้ยังไงเนี่ย หรือไม่สบายอีกแล้วหือ” ผมแกล้งหรี่ตามองแล้ววางมือข้างที่ว่างลงแนบหน้าผากใส “คุณหมอบอกให้ดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้คุณเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายไม่ใช่เหรอ น้องฟาต้องช่วยคุณแม่ดูแลตัวเองด้วย จำได้ไหม”
“ด้าย” น้องพยักหน้าแข็งขัน นิ้วเล็กป้อมชี้ไปด้านหลัง “แม่ แม่”
พูดไม่ทันขาดคำ ร่างบอบบางของผู้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเราทั้งคู่ แต่พอเห็นว่าผมกำลังอุ้มลูกชายของเธออยู่ อีกฝ่ายก็ชะลอฝีเท้าแล้วก้มลงหอบยกใหญ่
“คุณแม่นั่งก่อนครับ” ผมใช้มือข้างที่ว่างประคองเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะหันไปหาน้องฟาที่เอาแต่ยิ้มเรียกแม่ๆ ไม่ยอมหยุด “นี่เราวิ่งหนีคุณแม่มาใช่ไหมหือ”
“น้องป่าวว”
“เดี๋ยวเถอะ” ว่าแล้วก็บีบจมูกน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู
“คุณหมอ ขอบคุณมากนะคะที่ดูแลฟาให้” คุณแม่ที่น่าจะหายเหนื่อยแล้วหันมายกมือไหว้ก่อนจะยื่นมือมาหา ทำท่าจะรับน้องไปอุ้มไว้เอง ติดอยู่ตรงที่เจ้าตัวเล็กดันเกาะติดผมเป็นตังเม ไม่ยอมปล่อยมือแม้แต่นิดเดียว
“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมอุ้มก่อนก็ได้” ผมยิ้มบางแล้วลูบหัวน้องเบาๆ เป็นเชิงบอกให้อยู่นิ่งๆ ซึ่งเจ้าเด็กดื้อก็ยอมทำตามโดยการหมุนตัวหันไปหาคุณแม่ทั้งที่ยังนั่งตักกอดแขนผมไว้อยู่ “แล้วนี่คุณแม่พาน้องมาทำอะไรเหรอครับ หรือว่าน้องจะไม่สบายอีก”
“ซนขนาดนี้ ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกค่ะคุณหมอ” เธอหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย “พอดีดิฉันมาเยี่ยมเพื่อนที่นี่แล้วเอาฟาติดมาด้วย แต่ระหว่างที่กำลังคุยกับคุณพยาบาล จู่ๆ เจ้าฟาก็ดิ้นยกใหญ่ พอปล่อยให้เดินเองเท่านั้นละ...”
ผมพยักหน้าเข้าใจ พอจะเดาเหตุการณ์ได้คร่าวๆ ดูท่าที่เจ้าตัวดิ้นจะเดินเองแล้ววิ่งหนีคุณแม่มา น่าจะเป็นเพราะหันมาเห็นตอนผมเดินผ่านเคาน์เตอร์ด้านหน้าเข้าพอดีแน่ๆ
“ว่าแต่คุณหมอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะ”
“ครับ?” เปลี่ยนเหรอ...
“พอโกนหนวดแล้วดูเด็กลงเยอะเลยค่ะ ดิฉันแปลกใจมากเลยที่เจ้าฟายังจำคุณหมอได้” เธอว่าแล้วก้มลงชมลูกชายตัวเองยกใหญ่
“ลองเปลี่ยนลุคบ้างน่ะครับ” ผมยิ้มแหย จะบอกว่าจงใจเปลี่ยนด้วยตัวเองก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก
หลังจากนั่งคุยกับคุณแม่และน้องฟาอยู่ประมาณห้านาทีพยาบาลก็เข้ามาตาม ผมบอกลาคุณแม่และน้องฟา ก่อนจะพยายามแกะตุ๊กแกออกจากตัว โชคดีที่น้องไม่ใช่เด็กดื้อ ซ้ำยังเข้าใจได้ง่าย สุดท้ายเลยจากกันได้โดยไม่มีเสียงร้องไห้ใดๆ ดังขึ้นมา
นับจากที่ได้กลับมาทำงานอีกครั้งก็ผ่านมาสองสามวันแล้ว ผมทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนเดิม ต่างกันตรงที่ตารางดูจะสบายขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้เข้าเวรถี่เหมือนเมื่อก่อนเนื่องจากมีแพทย์เข้ามาเพิ่ม หากไม่นับการทำงานนอกเวลาที่มักเกิดขึ้นหลายครั้งก็อาจถือได้ว่าเวลาพักผ่อนมีเยอะขึ้นพอควร
“ผมแข็งแกร่ง ไม่ร้องไห้แน่นอน!”
“โห...เก่งจังเลย”
“หมอฉีดเลย ผมฮึบอยู่”
“ครับผม ฮึบไว้นะพลทหาร”
ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนอยากร้องไห้เต็มแก่ของคนที่บอกว่าจะไม่ร้องไห้แน่นอน เด็กชายอายุแปดขวบที่มีจิตใจแข็งแกร่งน่านับถือ น้องน่าจะกล้ากว่าผมที่อายุเกือบสามสิบเสียอีก เห็นปากบอกทนได้ตั้งแต่เดินเข้าห้องตรวจ ทำเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าโดนฉีดยาแน่ๆ ซึ่งพอเอาเข้าจริง...
“แง้!!”
ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
คุณพ่อเองก็ดูทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ท่าทางคงไม่ค่อยได้เลี้ยงลูก ผมเห็นแบบนั้นเลยต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา กลายเป็นหลักยึดเกาะให้ทหารกล้าซุกหน้าถูน้ำมูกกับน้ำลายใส่เสื้อตามความเคยชิน มือก็ช่วยลูบหัวลูบหลังปลอบไปด้วย
“ทอทหารอดทนเก่งมากเลย”
“แง้...ไม่เป็นทหารแล้ว”
เดี๋ยว...ตอนแรกยังบอกทอทหารอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตายอยู่เลย
“โธ่ลูก...” ฝ่ายคุณพ่อที่มือไม้แข็ง ท่าทางน่าจะเป็นทหารจริงๆ ได้แต่พูดโธ่ลูกออกมา แล้วยืนมองผมปลอบเด็กด้วยใบหน้ากระวนกระวาย “คุณหมอครับ ลูกผมจะ...”
“ไม่เป็นไรครับ น้องแค่เจ็บเฉยๆ” ผมรีบดักทางเพราะรู้ดีว่าคนที่ไม่เคยพาเด็กมาโรงพยาบาลต้องถามแน่ๆ ว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า ร้องไห้ลั่นห้องซะขนาดนี้
อยากบอกคุณพ่อว่ามันเป็นเรื่องปกติครับ...ที่ไม่ปกติคือผู้ใหญ่อายุเกือบสามสิบที่แค่คิดว่าจะโดนฉีดยาก็น้ำตาคลอต่างหาก
หลังจากตรวจเด็กๆ ไปอีกสามสี่คนก็ถึงเวลาเลิกงานในที่สุด ผมไม่ได้กลับบ้านในทันที แต่กะจะแวบไปดูเด็กๆ ที่สนามเด็กเล่นก่อน ซึ่งสนามเด็กเล่นที่ว่าไม่ได้อยู่ด้านนอกหรอก แต่อยู่ในตัวโรงพยาบาลนี่แหละ เป็นเหมือนกับห้องทำกิจกรรมระหว่างรอคิว เอาไว้สำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ
“คูมหมอ!”
นั่นไง แม้แต่เจ้าฟาก็อยู่ที่นี่ด้วย ยังไม่ยอมกลับบ้านอีก
“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอเรา” ผมย่อตัวลงรับเด็กตัวกลมเข้ามากอด สายตาเหลือบไปเห็นคุณแม่ของน้องทำท่าเหนื่อยๆ นั่งอยู่ไม่ไกลพอดีเลยยกมือเป็นเชิงบอกว่าจะช่วยดูให้ ซึ่งเธอก็รีบผงกหัวขอบคุณแล้วชี้ไปที่ห้องน้ำ ท่าทางคงอยากเข้านานแล้ว แต่ไม่กล้าละสายตาออกจากเด็กดื้อที่น่าจะอายุน้อยที่สุดในบริเวณนี้
“รอพ่อ” น้องฟาตอบเสียงฉะฉาน ที่่แท้ที่ยังอยู่ก็เพราะรอคุณพ่อมารับ มิน่าคุณแม่ถึงไม่ได้บังคับให้กลับบ้าน “คูมหมอๆ”
“หืม” ผมลุกขึ้นยืนเมื่อเจ้าตัวเล็กพยายามดึงแขนเสื้อให้เดินตามไปในทิศทางหนึ่ง
“หาปิชาย”
“พี่ชาย?”
“มาเยว” น้องทำหน้ายู่ยี่เมื่อเห็นผมไม่ยอมเดินตามไปเสียที
“โอเคๆ ไปก็ไป” สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามเด็กตัวเล็กที่ยังสูงไม่ถึงเอวไปเรื่อยๆ แต่อาจเป็นเพราะสนามเด็กเล่นที่ถูกปูด้วยพื้นนิ่มๆ ทั้งห้องมันกว้างใหญ่พอควร เท้าเล็กๆ ที่ก้าวได้ทีละน้อยของน้องฟาเลยพาไปไม่ถึงจุดหมายสักที จากที่เดินตาม ผมเริ่มสงสารน้องจนต้องเปลี่ยนเป็นคุกเข่าลงแล้วตามไปช้าๆ แทน
ยัง...ยังไม่ถึงอีก
“น้องฟาครับ ให้หมออะ...”
“เดินแบบนี้เมื่อไหร่จะถึง”
“คิกๆ ปิชายยยย”
ผมเงยหน้ามองตามเสียงทุ้มต่ำของคนที่อุ้มน้องฟาขึ้นไปต่อหน้าต่อตาแล้วได้แต่อ้าปากค้าง ขายาวๆ กับใบหน้าคมคายเหมือนปลาตาย ไหนจะแววตาว่างเปล่านั่นอีก ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็คือคนที่ผมเพิ่งคุยด้วยในไลน์เมื่อเช้าชัดๆ
ไหนว่ายังอยู่ภูเก็ตไง...
“ภาม!”
“ไง” เขาทักแล้วยิ้มจาง แวบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนได้เห็นประกายตามีชีวิตชีวาอันหาได้ยากในดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง
“มะ...มาได้ไง” ผมกะพริบตามองด้วยความงุนงง หากใจที่ได้พักผ่อนอย่างสงบมาตลอดหลายวันกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาเฉยๆ เหมือนจะบอกว่าหมดเวลาพักร้อนแล้ว
แปลกใจ ไม่เข้าใจ ประหลาดใจ ทั้งหมดคือสิ่งที่ตีรวนอยู่ในอก
แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุด...กลับเป็นความดีใจ
เราต่างมองหน้ากันอยู่นานหลายนาที จวบจนคุณแม่ของน้องฟาเข้ามารับน้องพร้อมกับคุณพ่อแล้ว ผมก็ทำได้เพียงเอ่ยลา ในขณะที่สายตาไม่อาจละออกจากใบหน้าของภามได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
“จำที่ผมบอกว่า ‘สิ่งนั้น’ จะมาหาคุณเองได้ไหม” เขาถามขณะย่อตัวลงนั่งด้านหน้าผม และจ้องมองมาด้วยแววตาที่ทำให้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนทุกครั้ง
“จำที่ผมเคยบอกว่าจะช่วยตามหาในสิ่งที่คุณขาดได้ไหม”
‘จำได้’
‘อันที่จริงผมรู้แล้วว่ามันคืออะไร ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรับไว้หรือเปล่า’
‘คืออะไร’
‘คุณกลับไปรอที่กรุงเทพก่อน เดี๋ยวสิ่งนั้นจะไปหาคุณเอง’
“ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว”
ผมยังคงทำได้เพียงมองหน้าเขา ปล่อยให้อีกคนดึงมือไปวางบนแก้มตัวเอง ทั้งยังเผลอไล้นิ้วไปตามกรอบหน้าคมที่ยอมรับได้เพียงในใจว่า ‘คิดถึง’ โดยไม่รู้ตัว
“ฉัน…"
“ตอนนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว...ว่าจะรับไว้หรือเปล่า” คนพูดบอกพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ผมตาพร่า ต้องเบือนหน้าหลบโดยอัตโนมัติ หากเขากลับไม่ยอมปล่อยให้ชักมือออก ยังคงจับให้แนบหน้าตัวเองไว้อยู่อย่างนั้น “ตอบมาก่อน”
ตอบยังไงเล่า...
ก็เพราะตอบไม่ได้นั่นแหละ ถึงได้พยายามหลบเลี่ยงอยู่แบบนี้ แล้วยังมีหน้ามากดดันกันอีกนะ ผมบ่นในใจไปนานหลายนาที แต่น่าแปลกที่ภามไม่ได้พูดซ้ำอะไรอีก เขาแค่บังคับให้ผมวางมือแนบแก้มไว้ แล้วนั่งเงียบๆ ราวกับกำลังรอคำตอบ ซึ่งถ้าไม่ตอบ ก็พร้อมจะนั่งอยู่แบบนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า
“ก็…" ผมเม้มปาก ในหัวครุ่นคิดหลายเรื่องจนปวดหัวไปหมด จะอ้าปากบอกว่าไม่รับก็เหมือนโกหกตัวเอง ทั้งยังพูดไม่ออกด้วย แบบนี้ยังเหลือทางเลือกอะไรให้อีก “ก็ไม่ได้...”
“…”
“ไม่...ไม่ได้ห้าม”
“…”
“ไม่ได้บอกให้ไปไหน”
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมเอาแต่มองพื้น ไม่ยอมเงยหน้าสบตาภามเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งเขายอมปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ ความสงสัยจึงทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ
“ขอบคุณ” รอยยิ้มสดใสซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจระดับสิบปรากฏขึ้นบนใบหน้าปลาตาย ส่งผลให้เขาดูอ่อนโยนขึ้นหลายระดับจนผมเผลอมองค้าง ไม่อาจละสายตาไปไหน ความร้อนวูบวาบไล่ขึ้นจากกลางใจ ลุกลามอย่างรวดเร็วไปตามใบหน้าและลำตัวจนเผลอทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
และในตอนนั้นเอง...
“เย้!”
“ชู่วววว พี่ชายบอกให้เงียบๆ ไง”
“นี่ อย่าพูดสิ”
“เดี๋ยวพี่หมอก็รู้ตัวหรอก”
ไม่ทันละ...
ว่าแต่ฝูงเด็กตาแป๋วตัวขาวจั๊วะที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างผมอย่างเป็นระเบียบนี่มันอะไรกัน!
“เด็กๆ...” ผมเรียกสติกลับมา ไม่อยากเชื่อว่าจะเอาแต่มองหน้าภามจนลืมสังเกตรอบด้าน ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีเด็กหกเจ็ดคนมานั่งจ้องตาแป๋วตั้งแต่เมื่อไหร่ “มานั่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“เราจะมาเล่นกับพี่ชายแหละ” น้องคนหนึ่งตอบเสียงฉะฉาน “แต่พี่ชายเอานิ้วแตะปาก แม่เคยบอกว่าเป็นสัญญาณให้เงียบไว้ เราเลยนั่งรอกันฮะ”
เมื่อได้ยินคำตอบแล้วผมก็ตวัดสายตาไปมองคนที่รู้ตัวมาโดยตลอดแบบเคืองๆ โชคดีที่ตรงจุดที่เรานั่งอยู่มีเสาบดบังสายตาของผู้ปกครองด้านนอกเอาไว้ ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“พี่หมอ”
“ครับ” ผมหันไปยิ้มให้น้องผู้หญิงในชุดกระโปรงสีชมพูซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุด
“พี่หมอหายโกรธพี่ชายนะคะ หนูไม่อยากให้พี่ชายเศร้า พี่ชายใจดี”
“เอ่อ...”
“พี่ชายอุ้มผมขึ้นไปบนบ้านลมด้วยฮับ”
“พี่หมออย่าโกรธพี่ชายน้า”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยที่ดูจะรักพี่ชายเสียเหลือเกินดังขึ้นไม่หยุด ผมพยายามบอกให้เงียบก็ไม่ฟัง เอาแต่พูดว่าให้หายโกรธพี่ชายก่อน
“โอเคๆ” ผมยกมือยอมแพ้เพราะทนสู้เสียงของเด็กน้อยไม่ไหว “ไม่โกรธแล้วครับ”
“เย้!”
ดูหน้าพี่ชายที่ว่าสิ...ยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้ว น่าเตะเป็นบ้า
หลังจากจบเหตุการณ์น่าปวดหัวของคนที่บังอาจเอาเด็กๆ มาเป็นเครื่องมือ ผมก็จัดการลากคนตัวสูงออกมาพร้อมกันก่อนจะเกิดเหตุวุ่นวายไปมากกว่านี้ ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่าที่ผมดันไม่ได้เอารถมาเพราะขี้เกียจขับ เลยตื่นแต่เช้าติดรถมากับพ่อ กะว่าจะนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน ผลคือตอนนี้ได้มานั่งอยู่บนรถออดี้คันหรูของคุณชายภามเรียบร้อยแล้ว
“แล้วนี่นายอยู่ที่ไหน”
“คอนโดนั่น” ภามตอบสั้นๆ แล้วชี้นิ้วไปที่คอนโดหรู ซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่มากนัก
“โห...ใกล้ชะมัด” เทียบกับบ้านผมที่อยู่ไกลแสนไกลแล้ว... “น่าอิจฉาชะมัด”
“มาอยู่ด้วยกันไหม”
“หา…” ผมหันไปมองหน้าคนพูดซึ่งกำลังขับรถอยู่แบบงงๆ พยายามสังเกตดูว่าเขากำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า แต่ภามกลับเบนหน้ามาหา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้โกหก
“เตียงผมกว้าง...”
“จะบ้าหรือไง” ขืนบ้าจี้ไปอยู่ด้วยจริงๆ ขึ้นมาก็เท่ากับเป็นการย้ำสถานะระหว่างเราน่ะสิ
“ผมไม่ได้กะจะให้ตอบรับตอนนี้ แค่บอกไว้เผื่ออนาคต”
ทำเป็นรู้อนาคต...
แล้วทำไมกูเสียวสันหลังวะเนี่ย
ท้องฟ้าดูมืดมิดเร็วกว่าปกติเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวที่ไม่หนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกรุงเทพฯ ที่เหมือนมีแค่ฤดูร้อนกับฤดูร้อนมาก ผมเคยชินไปแล้วเพราะอยู่ที่นี่มานาน แต่คนที่เดินอยู่ด้านข้างคงไม่ชินนัก เพราะตอนนี้คิ้วเข้มขมวดมุ่น กระดุมเสื้อถูกปลดออกไปแล้วสองเม็ดเพื่อระบายความร้อนนับตั้งแต่ลงมาจากรถ
“บอกแล้วให้พาไปส่งบ้านก็พอ” ผมพูดเรื่องเดิมเป็นรอบที่สอง “ยังจะพามาแวะอีก”
“ผมอยากอยู่กับคุณต่ออีกหน่อย”
ตอบมาแบบนี้จะเถียงอะไรได้...
อันที่จริงเรามาถึงหมู่บ้านของผมกันตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อนแล้ว แต่ภามบอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนเขาก่อน เพราะยังไม่อยากกลับคอนโด สุดท้ายผมเลยบอกให้มาแวะที่สนามเด็กเล่นในหมู่บ้านซึ่งไม่มีใครอยู่เลยสักคน ห่างจากซอยบ้านมาแค่สองซอย พอถึงเวลาเขาจะได้ไม่ต้องขับรถไกลๆ มาส่งแล้วย้อนกลับไปคอนโดตัวเองอีก
“ภะ…" ผมเงียบลงกะทันหันเมื่อหันไปมองคนด้านหลังแล้วเห็นเขายืนเหม่ออยู่ด้านนอก ไม่ยอมก้าวเท้าเข้ามาด้านในสนาม ตอนแรกก็ไม่ได้อยากรบกวนเท่าไหร่นัก กะจะให้เขาเดินเข้ามาเอง แต่เมื่อจับความรู้สึกลึกๆ ในดวงตาคู่นั้นได้ ความกังวลบางอย่างก็สั่งให้ผมเดินเข้าไปกอบกุมมือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ ส่งผ่านความอบอุ่นไปให้จนอีกคนรู้สึกตัวและหันมามอง
“คุณ…" ภามกะพริบตา ท่าทางเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว
“อยากไปที่อื่นไหม”
ในฐานะของคนเป็นหมอ แม้จะไม่ได้เรียนสายจิตวิทยาหรืออะไรมาโดยตรง แต่ผมมั่นใจว่าภามน่าจะเคยมีปัญหามาก่อน เพราะนับตั้งแต่ที่เราได้เจอกันบนรถไฟ เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าเข้าใจความคิดของผม เหมือนจะรู้ว่าถ้าปล่อยให้ผมมีความรู้สึกเบื่อหน่ายและท้อแท้กับชีวิตต่อไป มันจะส่งผลต่อสุขภาพจิตไปถึงขั้นไหน ท่าทีทุกอย่างบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าปัญหาของเขาคืออะไรก็ตาม
“ไม่เป็นไร” แรงบีบกระชับกลับที่มือทำให้ผมรู้สึกตัว หันไปเห็นใบหน้าผ่อนคลายของคนด้านข้างเข้าพอดี “คุณอยู่ตรงนี้แล้ว”
“ทำเป็นพูดดี” ผมเบะปากแล้วออกแรงลากให้เขาเดินตามมา ไม่อยากยืนนิ่งๆ ให้โดนแกล้งต่อแล้ว ดูรอยยิ้มนิดๆ บนหน้านั่นซะก่อน มองยังไงก็จงใจพูดแกล้งกันชัดๆ
สนามเด็กเล่นแห่งนี้เป็นสนามเด็กเล่นที่ผมเห็นมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เหมือนจะเพิ่งปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม สังเกตได้จากเครื่องเล่นที่มีเยอะขึ้นและดูใหม่ขึ้น ปกติเด็กๆ จะมาเล่นกันตอนเย็น พอฟ้าเริ่มมืดก็กลับกันหมดแล้ว เพราะผู้ปกครองคงไม่ปล่อยให้อยู่จนดึกดื่น แม้จะเป็นหมู่บ้านปิดที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีพอควร แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี
“นั่นอะไร” ภามชี้นิ้วไปที่โดมรูปหัวเห็ดซึ่งมีรูอยู่รอบๆ มันเป็นเครื่องเล่นเพียงอย่างเดียวที่ผมเห็นมาตั้งแต่ยังเด็ก และไม่ได้ถูกเปลี่ยนเหมือนเครื่องเล่นอันอื่น
“เครื่องเล่นนั่นแหละ เอาไว้ให้เด็กที่โตขึ้นมาหน่อยปีนเล่นตามรู” ผมเดาเอาจากสภาพการณ์ เพราะตอนเด็กๆ ตัวเองก็ไม่เคยขึ้นไปปีนเหมือนกัน มีแต่ไปนั่งด้านใน “มานี่สิ”
จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยอยากเข้าไปดูดาวในนั้น เพราะหัวโดมมีช่องว่างที่ส่องไปบนฟ้าได้พอดีอยู่ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสเสียที เพราะแม่ไม่เคยปล่อยให้อยู่จนฟ้ามืดเลย
หลังจากกดไหล่ภามให้นั่งลงบนพื้นหญ้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็นั่งลงบนพื้นข้างๆ ก่อนจะทอดสายตามองไปด้านบน เห็นเป็นรูโหว่เหมือนในความทรงจำแบบเดิมจริงๆ ต่างกันตรงที่บนท้องฟ้าไม่ได้มีดวงดาวมากมายลอยอยู่แบบที่เคยจินตนาการไว้ มีเพียงผืนฟ้าสีดำสนิทบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเวลากลางคืนเท่านั้น
“เป็นอะไร” คนที่โดนลากเข้ามาแบบงงๆ หันมาถาม คงเพราะเห็นผมแสดงท่าทีเสียดายออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ตอนเด็กๆ ฉันเคยคิดว่าถ้ามานั่งในนี้แล้วมองออกไปด้านนอก เห็นท้องฟ้าที่มีดวงดาวมากมาย มันคงจะสวยและรู้สึกดีมากแน่ๆ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ” ว่าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแบบเซ็งๆ “ตอนอยู่เกาะสวยกว่าตั้งเยอะ”
“อยู่ในเมืองมองเห็นดาวยากอยู่แล้ว”
“นั่นสินะ...”
“ตอนเด็กๆ แม่ก็ชอบพาผมกับพี่ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นแถวบ้านเหมือนกัน” ภามทอดสายตาออกไปด้านนอก กวาดมองโดยรอบช้าๆ ในขณะที่ผมขยับตัวเข้าหา พยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้ดูอยากรู้มากจนเกินไป
“ที่อังกฤษเหรอ”
“ใช่...แต่ผมไม่ได้กลับไปที่นั่นมานานแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
ภามชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาหาแล้วดึงมือผมไปจับไว้ ดวงตาว่างเปล่าทอประกายหม่นหมอง แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้นมันก็จางหายไป จนตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า
“เพราะที่นั่นไม่มีแม่แล้ว”
“…”
ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองบีบมือเขากลับแน่นขนาดไหน จวบจนเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า อาการปวดหนึบในใจจึงค่อยๆ จางหายไปช้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอก แม่เลี้ยงของผมใจดีมาก เธอดูแลผมเหมือนลูกแท้ๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
แต่ก็แทนที่กันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ...
ถึงจะยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่สัญชาตญาณของผมกลับร้องเตือนว่าให้เปลี่ยนเรื่องตั้งแต่ตอนนี้ เพราะสิ่งที่เขาเคยเป็น จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณแม่แท้ๆ แน่ๆ และที่สำคัญคือความอยากรู้ของผมมันไม่ได้มากเท่าความห่วงใยที่เอ่อล้นอยู่ในใจ
ถ้าต้องนึกถึงแล้วทำให้ภามรู้สึกไม่ดี...ผมยอมเป็นคนไม่รู้เรื่องต่อไปดีกว่า
“ว่าแต่นายไปโผล่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง”
ภามเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ แต่เพียงไม่นานสีหน้างุนงงก็แปรเปลี่ยนเป็นพออกพอใจ เหมือนจะบอกว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนเรื่อง เห็นแล้วก็ได้แต่ฮึดฮัดโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้า ปล่อยให้คนหน้าด้านนั่งเล่นมือตัวเองต่อไปเงียบๆ
“เก้าบอกว่าคุณทำงานที่โรงพยาบาลนั้น แล้วจะชอบแวะไปดูเด็กๆ ก่อนกลับบ้านตลอด ผมเลยไปนั่งรอ...” คนพูดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วเล่าต่อ “ที่นั่งรอของผู้ปกครองเต็มหมดแล้ว ผมเลยคิดว่าหลังบ้านลมจะเงียบพอให้นั่งรอได้ ไม่นึกว่าเด็กคนหนึ่งจะมาเจอ แล้วยังไปชักชวนเพื่อนให้เข้ามามุงอีก”
“มิน่าถึงโดนเรียกว่าพี่ชาย” ผมหัวเราะอารมณ์ดี แค่นึกภาพภามโดนเด็กเข้าไปมุง กระโดดโลดเต้นไปมารอบตัวพร้อมถามว่าพี่ชายมาทำอะไรตรงนี้ก็ขำแล้ว
“เด็กพวกนี้เสียงดังกว่าเด็กที่เกาะ” เขาขมวดคิ้วมุ่น หน้าตาเป็นปลาตายเหมือนเดิม แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมองเห็นความสยดสยองที่แสดงออกมารางๆ ผ่านดวงตาคู่นั้น
“ธรรมดาแหละ...เวลาร้องก็ร้องดังกว่ามาก”
นึกถึงเสียงร้องไห้ของพลทหารที่ไม่อยากเป็นทหารแล้วขึ้นมา ก็อดเอาไปเปรียบเทียบกับเสียงร้องไห้ของเจ้าตาลไม่ได้ รายนั้นเคยร้องไห้เพราะหกล้ม นั่งฮึบอยู่นานจนน่าสงสาร สุดท้ายพอเห็นภามเข้าใกล้ก็ปล่อยโฮ แต่เทียบความดังกับพลทหารที่ผมเจอเมื่อเช้าไม่ได้เลย
ก็นะ...พวกเด็กที่เกาะเล่นจริงเจ็บจริงกันจนชินแล้ว ไม่แปลกที่จะถึกทนทานกว่า
“ตอนคุณเป็นหมอ...” ภามเรียกความสนใจของผมกลับไปหาโดยการบีบนิ้วกันเบาๆ “คุณดูอ่อนโยนมาก...แล้วก็ดูโตกว่าปกติด้วย”
“นั่นชมใช่ไหม”
“…น่าจะ”
งั้นคงเป็นแอบด่าแล้วแหละ
“เด็กๆ ที่มารักษาบางคน พอรู้ว่าต้องมาโรงพยาบาลก็กลัวมากพออยู่แล้ว ฉันอยากให้พวกเขารู้ว่าหมอไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิด สิ่งที่ควรกลัวคือเข็มฉีดยาต่างหาก...” ผมพูดตามความจริงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แต่ไม่รู้ทำไมภามถึงทำหน้าเหนื่อยหน่ายใส่ “นี่พูดจริงๆ นะ นายไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวเหรอ แค่ลองคิดว่าจะโดนจิ้มเองก็อยากร้องไห้แล้ว เพราะงั้นฉันถึงเข้าใจเด็กๆ มากไง”
“คุณนี่มัน...” เขาทำหน้าเหมือนคนพูดไม่ออก แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมาเบาๆ
“อะไรเล่า” ผมแกล้งถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าภามดูกลับมาเป็นภามคนเดิมแล้ว
ถึงสิ่งที่บอกเขาจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าเหตุผลที่ผมพูดออกไปแบบนั้น เป็นเพราะอยากให้ภามหายเครียดมากกว่าอยากบอกความจริง
“จะว่าไป...เหมือนเก้าจะบอกว่าคุณแม่ของคุณโทรไปขอบใจเมื่อวาน”
ผมหันขวับไปมองหน้าภามเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก อารมณ์ถูกเปลี่ยนแทบจะทันทีที่ได้ยินชื่อของไอ้เพื่อนเวรที่หายหน้าหายตา ไม่ยอมตอบไลน์ไม่ยอมรับโทรศัพท์ เหมือนรู้ว่าถูกคาดโทษไว้แล้ว
“ทำไมไอ้เก้ามันไม่ยอมตอบไลน์ฉัน ไอ้โซก็ด้วย พวกมันอยู่ด้วยกันที่ภูเก็ตใช่ไหม”
“ใช่” ภามพยักหน้ารับ “เก้าบอกว่าถ้ากลับอังกฤษเมื่อไหร่จะตอบ ส่วนโซบอกว่าขี้เกียจ”
ไอ้เพื่อนเลว...
ถึงแม้จะรู้สึกอยากเตะเท้าไปมา ระบายอารมณ์หัวร้อนออกไปมากมายขนาดไหน แต่เพราะภามไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเลวของพวกมัน นอกจากนั้นยังเป็นเหยื่อเหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้วผมก็ได้แต่ท่องยุบหนอพองหนอในใจ พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง
“อนาคิน”
“หา”
“อนาคิน...”
“เรียกซะยาวเชียว” ผมหันไปมองหน้าภามขำๆ จะว่าไปแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าเขายังไม่ยอมเรียกผมว่าเจไดเลย ทั้งที่มันสั้นกว่าอนาคินตั้งหนึ่งพยางค์ แต่จะว่าไปคำนี้ก็ไม่ได้ยินมานานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่วันที่เรา...
ภาพที่ได้จูบกันตอนอยู่ที่ทะเลฉายขึ้นในหัว ผมหน้าร้อนวาบ รีบเบนสายตาออกจากหน้าภามเพราะกลัวว่าเขาจะสังเกตเห็น
“คุณคิดถึงผมหรือเปล่า” คำถามนั้นดังขึ้น พร้อมกับที่ปลายนิ้วอุ่นร้อนแตะลงบนแก้มเหมือนที่เขาชอบทำตอนเรายังอยู่ด้วยกันบนเกาะ
“…”
คิดถึงเหรอ...การที่นึกถึงช่วงเวลาตอนอยู่ด้วยกันตลอดเวลามันเข้าข่ายหรือเปล่านะ
“ไม่ต้องตอบก็ได้” คนพูดเกลี่ยแก้มผมเบาๆ และมองมาด้วยแววตาที่ดูอ่อนแสงลง “แค่ฟังก็พอ”
“ฟัง…อะไร”
“ผมคิดถึงคุณ”
“…” ผมเม้มปากแน่น ใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วราวกับถูกดวงอาทิตย์แผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่หัวใจก็ทรยศด้วยการเต้นกระหน่ำไม่สนใจคำสั่งของสมองที่บอกให้หยุดเสียที
“อนาคิน” เขาเรียกชื่อจริงของผม ขณะที่ปลายนิ้วไล่ลงมาจนถึงริมฝีปาก และเป็นเสียงเรียกนั้นเองที่สะกดผมให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ แม้ยามใบหน้าคมคายที่ติดอยู่ในความทรงจำเคลื่อนเข้าหา “อนาคิน...”
ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดพวงแก้ม จั๊กจี้จนต้องเอียงหน้าหนีตามสัญชาตญาณ แต่มือที่แตะมุมปากกันอยู่กลับเลื่อนลงมาจับคาง บังคับให้หันกลับไปสบตาตามเดิม
“อย่าหนี...” เพียงคำพูดเดียวของเขาก็ทำให้ผมนั่งนิ่งเป็นตอไม้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากนั้นแนบลงมาช้าๆ แตะลงเบาๆ ที่มุมปาก แล้วค่อยๆ ขยับเข้าแนบชิด กลืนกินลมหายใจของผมเหมือนกับ...
วันที่เราจูบกันเป็นครั้งแรก
ภามไม่ได้ลุกล้ำไปมากกว่านั้น เขาแค่แตะริมฝีปากลงมา กดค้างอยู่นานนับนาทีและผละออก ก่อนจะขยับใบหน้าให้จมูกโด่งนั้นฝังลงบนหน้าผาก กดริมฝีปากลงบนปลายจมูก และแช่เอาไว้ราวกับต้องการถ่ายทอดทุกความรู้สึกมาให้
“ผม...ขาดคุณไม่ได้แล้วจริงๆ”
“…”
บางที...อาจไม่ใช่แค่เขาคนเดียว
———————-