B.N.32.5“หมอบอกว่าต้องเลือก ระหว่างความเสี่ยงของการเลือดออก หรือเส้นเลือดหัวใจตีบอีกรอบ”
“แล้วเมฆว่ายังไง”
“…สำหรับผมไม่ว่าแบบไหน ผมก็ไม่สบายใจทั้งนั้น”
“อืม นั่นสินะ”
นั่งอยู่บนเตียง ฟังถ้อยคำที่ถูกย่อยมาจากศัพท์แพทย์ยุ่งเหยิงอีกทีจากลูกชายคนโต ก็ต้องเข้าใจว่าต่อให้เป็นแพทย์ที่เก่งที่สุดหรือโรงพยาบาลที่ดีแค่ไหน เมื่อถึงคราวของตนแล้ว ก็คงหนีให้พ้นยาก
“ฉันอยากที่จะตายสบายๆ…”
“ไม่เอาน่า พ่อยังอยู่ได้อีกนาน”
“แกก็รู้ว่าไม่จริง เมฆ”
“ผมคิดแบบนั้นจริงๆ”
ไปได้สายตาเด็ดเดี่ยวแบบนี้มาจากไหน..ใช่แม่ของแกหรือเปล่านะ เมฆ เธอเป็นคนเดียวที่กล้าจ้องฉันด้วยสายตาแบบนี้ตั้งแต่แรก จะว่าคิดถึงสายตานี้ก็ไม่แปลก เพราะก็ไม่ได้เจอกันเกือบๆสามสิบปีแล้ว แต่เพราะถูกลูกๆจ้องมองอยู่ตลอด จึงรู้สึกคุ้นเคยเหมือนมันไม่หายไปไหน
ถ้ามองในแง่ดี ก็ใกล้จะได้เจอกันอีกแล้วนะ
แต่ถ้าโลกหลังความตายนี่ ไม่มีเธอ อลิสา มันคงจะน่าเบื่อมากเลยทีเดียว
ดูลูกชายคนโตของเรา ได้ทั้งนิสัยของฉัน ความรับผิดชอบ ทำงานขยันขันแข็ง และก็ได้ความอัธยาศัยดีของเธอไปด้วย เชื่อไหมว่าฝนน่ะได้ไปเยอะมากกว่าใคร เรียกได้ว่าสดใสจนไม่เหมือนฉันเลี้ยงมากับมือเลย
พูดถึงตรงนี้ก็คงจะต้องขอโทษเธอสักหน่อย ที่ฉันไม่สามารถดูแลบริษัทไปพร้อมๆกับลูกเราได้ ฉันได้แต่หวังในทุกๆวัน ว่าเธอจะให้อภัยฉันในเรื่องนี้ บริษัทถ้ามองจากมุมมองของผู้บริหารก็เหมือนเด็กทารก คิดว่าจะโตแล้วก็ล้มลุกคลุกคลานให้ใจหายได้เรื่อยๆ แต่ฉันเชื่อใจว่าลูกของเราน่ะแข็งแรง แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น ฟังดูก็คล้ายกับเป็นข้ออ้าง แต่ฉันเชื่อมั่นอย่างนั้นจริงๆ
ในช่วงสุดท้ายของชีวิตแบบนี้ ฉันกลายเป็นคนแก่ไปเลยนะ
เธอเห็นสภาพของฉันตอนนี้ก็คงจะหัวเราะออกมา แล้วคงจะพูดแบบที่เธอชอบพูดเสมอๆ ว่า “ฉันบอกคุณแล้ว”
ใช่ เธอน่ะบอกฉันแล้ว ว่าฉันจะต้องตายอย่างเดียวดาย
แต่ตอนนี้เจ้าเมฆมันก็นั่งอยู่ข้างเตียง ถึงจะคร่ำเคร่งอยู่กับแท็บเล็ตและงานอยู่ก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่ได้ตายอย่างโดดเดี่ยวอย่างที่ทำนายในตอนนี้ โชคอาจจะเข้าข้างเธอถ้าเมฆกลับไปก่อน
ฝน ลูกสาวคนเดียวของเรา เธอคงไม่รู้ว่าฉันคงเป็นพ่อตาที่ใครๆก็ปวดหัวแน่นอน ฉันมันเป็นคนปากแข็ง จะให้ไปพูดตรงๆว่าหวงลูกสาวมากแค่ไหนใครๆก็คงจะไม่เชื่อ และฉันก็คงไม่มีหน้าไปพูดแบบนั้นกับใครเขาด้วย ฉันเลยได้แต่ตามสืบข่าวของลูกสาวเราอย่างห่างๆ ว่าไปคบกับใคร บ้านช่องเขาเป็นยังไง ช่วยไม่ได้ ฉันห่วงของฉันแบบนี้
ถ้าฉันจะมีโอกาสได้กอดลูกของเราบ่อยๆ พวกเขาคงจะอ่อนโยนกว่าที่เป็นอยู่
มาคิดได้ในตอนที่แม้แต่นอนราบยังไม่ไหว มาคิดได้ในตอนที่ปากฉันหนักยิ่งกว่าอะไร แค่จะบอกว่าอยากจะเจอฝน ฉันยังไม่พูดออกไปเลย อลิสา เธอต้องหัวเราะฉันแน่ๆ พอคิดถึงเสียงหัวเราะของเธอ ฉันก็นึกถึงลูกชายคนกลางของเรา
หมอกฉันเป็นพ่อมันแท้ๆ…ยังไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะของมันเลย
จะเป็นแบบไหน สดใสหรือเปล่า สู้เธอได้ไหม?
ในบรรดาลูกสามคน หมอกเป็นคนเดียวที่ฉันได้ตั้งชื่อจริงให้ อัษฏา ฉันตั้งชื่อนี้เพื่อให้เหมือนกับชื่ออลิสาของเธอ เธอน่ะเกรงใจฉันเกินไป ตั้งชื่อลูกเราสองคนให้เหมือนฉัน ธนินท์ ธนันตถ์ ธนัชชา พวกเขาเป็นลูกของพวกเรา ไม่ใช่ลูกของฉันคนเดียว
ทั้งๆที่ตั้งใจให้ชื่อคล้ายเธอ แต่หมอกกลับพกนิสัยของฉันไปจนหมด จนแทบไม่มีเค้าโครงของเธอเลย
เธอน่ะ น่าจะให้ความเข้มแข็งกับเขาอีกหน่อย ที่เห็นว่ามันแข็งกระด้างแบบนี้ก็เพราะอ่อนแอเกินไป ไม่สิ ไม่มีหรอก ลูกเราไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่มันอ่อนโยนเกินไปต่างหาก หมอกอ่อนโยนเสียจนฉันรู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นหน้า ฉันควรจะหล่อเลี้ยงความเปราะบางนั่นด้วยความเมตตา ไม่ใช่ความเย็นชาแบบที่ฉันเลือกใช้ แต่หมอกน่ะเลี้ยงยากจริงๆนะอลิสา ต่อให้รวมฝนหรือเมฆเข้าด้วยกันก็ยังไม่ได้ครึ่งนึงของมันด้วยซ้ำ จนหลายครั้งฉันได้แต่โมโหว่าความอ่อนโยนนั่นไม่เพียงพอหรอกที่จะทดแทนส่วนอื่นๆของมันได้ อย่างที่ฉันบอกเธอนั่นแหละ ว่ามันได้ส่วนของฉันไปเยอะเกินไป ถึงได้หัวแข็งทำอะไรไม่สนใจคนอื่นเอาเสียเลย
ในบรรดาสามคนนี้ ฉันเสียใจที่จะบอกว่าหมอกเป็นลูกชายที่ฉันรักมากที่สุด
ไม่ใช่ว่าเมฆไม่ดี หรือฝนไม่น่ารักพอ สองคนนั้นมีสเน่ห์ในแบบของตัวเอง มีความโดดเด่นเฉพาะอย่าง และฉันเอ็นดูเด็กสามคนนี้เท่าๆกัน แต่มันก็ยังทำให้ฉันรู้สึกผิดที่มีความคิดแบบนี้ขึ้นมาอยู่ตลอด
หมอกเป็นเด็กเก่ง เป็นเด็กที่มองอะไรบางอย่างแค่เพียงครั้งเดียวก็สามารถทำตามได้ เป็นคนที่เข้าใจเรื่องระบบ เรียนอะไรก็เป็นที่หนึ่ง เป็นคนที่ฉันหวังให้มาสืบสานกิจการของเรามากที่สุด ฉันคิดไว้แบบนี้ตั้งแต่แรก ว่าอยากให้หมอกเป็นคนดำเนินกิจการโดยมีเมฆที่เก่งเรื่องการสื่อสารมากกว่าคอยช่วยเหลือ และเพราะหมอกเป็นคนเข้มเข็ง ฉันเลยอยากให้หมอกทำหน้าที่นี้มากกว่าเมฆที่มีพลังงานในตัวต่ำกว่า ฉันรักและห่วงลูกชายของฉันเท่ากัน ฉันเลยอยากให้พวกเขาทำในส่วนที่เขาถนัดมากที่สุด เธอพอเข้าใจใช่ไหม
ความเก่งนั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ฉันรักหมอกมากที่สุด แต่เพราะว่าเธอต่างหาก อลิสา เธอทำให้ฉันรักหมอกมากกว่าใคร
เขาเกิดมาในช่วงเวลาที่เราลำบากที่สุด หลังยุคที่กิจการของเราเติบโตในช่วงเมฆลืมตาดูโลกไม่นาน ทุกอย่างก็กลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งในช่วงที่หมอกเกิด ฉันกับเธอ เราไม่เคยญาติดีกันเท่าตอนนั้นเลย เธอดูแลฉัน ให้กำลังใจฉันอยู่ตลอด ช่วยงานของฉัน ไม่มีใครเก่งเรื่องบัญชีเท่าเธอ ในขณะเดียวกันเธอก็เลี้ยงลูกของเราทั้งสองคนอย่างสุดความสามารถ ให้ความรักอย่างที่คนอย่างฉันไม่มีวันจะให้ได้เท่าที่เธอทำ เธอได้ทำให้ฉันรู้ว่าในโลกใบนี้ มีความรักแบบของเธออยู่ และฉันโชคดีแค่ไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความรักนั้น
แม้พวกเราจะล้มเหลว แต่เราก็โชคดีที่ไม่ถึงขั้นล้มละลาย เงินที่เหลืออยู่บ้าง ฉันซื้อบ้านริมทะเลให้เธอเป็นของขวัญวันแต่งงานที่ไม่เคยมีโอกาสได้ให้กับเธอเลย ส่วนหนึ่งฉันกับเธอช่วยกันต่อไม้ ทาสีบ้าน แต่ปัจจุบันมันถูกรื้อและสร้างตัวบ้านใหม่ทับที่เดิม จนฉันจำภาพเค้าโครงเดิมไม่ได้อีกแล้ว
เธอชอบทะเล
ฉันจำครั้งแรกๆที่พวกเราไปเที่ยวกันได้ ตอนนั้นเธอยังเป็นนักศึกษา ฉันเรียนจบทำงานปีแรก พอเงินเดือนออก ฉันก็ชวนเธอนั่งรถสองแถวมาเที่ยวริมหาดนี้ เธอยิ้ม หัวเราะสดใสจนแดดวันนั้นก็ไม่สว่างสไวเท่ารอยยิ้มของเธอ ขอโทษนะที่ฉันไม่เคยบอกเลยว่าเธอมีค่าแค่ไหนแม้แต่ตอนที่เธอจากไป…แม้แต่ตอนนั้นเธอก็ยังให้ของขวัญที่ดีที่สุดกับฉันอีกชิ้น คือลูกสาวของพวกเรา
หมอก ทำให้ฉันยังนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น ยังจำชัดเหมือนเป็นที่เก็บความทรงจำ ทุกครั้งที่ฉันเห็นหมอก ฉันจะรู้สึกเหมือนกำลังเรียกชื่อของเธออยู่ และยิ่งรักมากเท่าไหร่ ฉันก็ผิดหวังและเจ็บปวดมากเท่านั้นเมื่อคิดว่าลูกเราเดินไปไกลจากเส้นทางที่ฉันคิดเอาไว้
ถ้าเป็นเธอ เธอคงต้องตามใจลูกเราแน่ๆ
พฤติกรรมของหมอก สร้างความปวดหัวให้ฉันตลอด ชกต่อย แข่งรถ เที่ยวผู้หญิง แค่ไม่มีเรื่องเหล้าหรือยาเสพติดฉันก็ต้องขอบคุณพระเจ้าซักเท่าไหร่แล้ว แต่เรื่องที่คิดไม่ตกมากที่สุดคือ เธอรู้ไหมว่าลูกเราไม่ได้ชอบผู้หญิง เธอทำใจได้แค่ไหนที่เห็นเด็กหนุ่มท่าทางซอมซ่อเป็นคนรักของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ
ฉันไม่เคยมีโอกาสได้ปกป้องลูกเลยในเวลาที่ผ่านมา ฉันเลยคิดว่าครั้งนี้ คงถึงเวลาที่ฉันจะได้ทำหน้าที่พ่อ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นความคิดที่ผิดพลาดที่สุด
ฉันแค่ต้องการให้หมอกได้เจอคนที่ดีที่สุด บางทีอาจจะเป็นฉันเองก็ได้ที่ทำอะไรตามใจตัวเอง
ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็คิดมาตลอดว่าคนแบบไหนถึงจะมารับมือลูกชายของเราคนนี้ได้ เพียงแต่ไม่เคยเลย สักครั้งที่ฉันจะคิดภาพหลุดออกไปจากหญิงสาวที่อ่อนโยน มาเป็นเด็กหนุ่มคนที่ฉันได้เจอ
ถึงเขาจะดูซื่อ แต่ภายใต้ใบหน้าแบบนั้น เขาหวังผลประโยชน์อะไรจากลูกชายเราไหม
เงินหรือเปล่า ที่เขาต้องการ
ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่อยากเลยที่จะให้ในสิ่งที่เขาต้องการและออกไปจากชีวิตเรา แต่เรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิอลิสา เพราะทันทีที่ฉันทำแบบนั้น คนที่โกรธเกลียดฉันมากที่สุดกับกลายเป็นหมอก ถึงขั้นที่จะล้มบริษัทฉันเลยทีเดียว เธอจะรู้สึกอย่างไร เวลาที่ลูกชายของเธอเกลียดเธอขนาดนั้น ทั้งๆที่สิ่งที่เธอมี มีเพียงความหวังดีที่สื่อสารไม่เป็น
ฉันไม่เคยโทษหมอกเลยที่จะรู้สึกกับฉันแบบนั้น
บางทีฉันก็คงเลี้ยงลูกไม่เป็นเองจริงๆ
ถึงได้คิดว่าทางที่ดีที่สุด มาจากความคิดของฉัน ฉันไม่เคยถามลูกเลยว่าเป็นยังไงบ้าง กลับกันฉันกลับถามว่า”ทำถึงไหนแล้ว” พวกเขาเป็นลูกของฉัน ไม่ใช่ลูกจ้าง ถึงฉันจะรู้ดีแค่ไหน แต่การกระทำของฉันมันไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย
ฉันอยากให้อะไรสักอย่างกับพวกเขา
ถ้าฉันจะสละตัวเองได้ ฉันอยากให้ความเข้มแข็งของฉันกับฝน มอบพลังที่ฉันยังมีอยู่เต็มเปี่ยมเหมือนเปลวไฟกองใหญ่ให้กับเมฆ และให้อิสระกับหมอก
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันคิด แม้แต่ตอนที่ฉันบอกเมฆว่าฉันอยากจะทำพินัยกรรมสักฉบับให้พวกเขา
เมฆปฏิเสธ แต่ฉันรู้ดี รู้ว่ามันถึงเวลาของฉันแล้ว ตอนนั้น ทนายถึงมา และพวกเราก็ตัดสินใจกันในความเงียบ
ฉันถามเมฆ ในประโยคที่เจ้าเมฆต้องมองตาค้าง ใช้เวลาก่อนจะตอบ
“เมฆชอบงานที่ทำอยู่ไหม”
“…งาน?”
“ใช่ งานที่ทำอยู่ตอนนี้ ชอบมันหรือเปล่า หนักไปไหม หรืออยากทำอะไรอย่างอื่น?”
นั่งนิ่งไปนาน แล้วก็ตอบว่า “ไม่รู้สิ…ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย” เมฆถอนหายใจ ปลดกระดุมคอเม็ดบนที่กลัดกั้นความจริงไว้ “ผมทำได้เรื่อยๆ คงจะชอบด้วยล่ะมั้ง พ่อไม่ต้องห่วงผมหรอก”
หุ้นส่วนใหญ่จึงให้เมฆเป็นคนถือไว้ รวมถึงบ้านหลังใหญ่ แน่อยู่แล้วที่เมฆจะได้บ้านหลังนี้ไป เพราะสะดวกสุดถ้าจะทำงานที่สำนักใหญ่ รวมถึงหุ้นของกิจการฮ่องกง ซึ่งเมฆไม่ใช่ผู้จัดการหลัก คิดว่าคงจะไม่หนักเกินไป ยังต้องอาศัยประสบการณ์อีกมา ต้องใช้เวลากว่าจะมาถึงจุดเดียวกับฉันได้ ฉันจึงไม่เร่งร้อนอะไร
สำหรับฝน ฉันแค่ต้องการให้ถือหุ้นร่วมเฉยๆ ไม่ต้องยุ่งงานบริหาร ฉันอยากให้ฝนทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ฝนดูจะชอบไปทางภาษา ถ้ามีโอกาส หรือฝนสนใจ ค่อยให้เข้ามาช่วยประสานงานก็ได้ แต่นั่นเป็นเรื่องที่ฝนจะต้องตัดสินใจเองบ้างแล้ว ฉันได้ฝากเมฆให้ดูแลเรื่องนี้ และฝากดูแลคนที่จะเข้าไปเขยฉันในอนาคตด้วย เมฆรับปาก และเปิดเผยเรื่องที่ฉันไม่เคยรู้ว่าจริงๆแล้วเมฆก็หวงน้องสาวคนนี้ไม่ต่างกับฉัน ถึงขั้นเคยไปคุยกับแฟนเก่าของฝนคนหนึ่งเลยทีเดียว
“แล้วของหมอกล่ะ?”
อื้ม คิดหนัก
คนนี้ต้องคิดให้มาก
หมอกเป็นคนไม่ชอบให้ใครบังคับ นั่นเป็นจุดลำบากที่สุดเวลาต้องการจะทำอะไรสักอย่างที่ต้องอาศัยความร่วมมือ แค่มาถึงจุดนี้มองย้อนกลับไปก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แค่ไหน ที่ยอมจากเด็กคนนั้นไป เรียนต่อในสาขาที่คิดว่าต้องใช้เวลาสี่ปี แต่กลับมาในเวลาสองปี ก็คงจะมีเวลาที่ยากลำบากมากเลยสินะ..
“ไม่ต้องให้อะไร”“ครับ?”
“ไม่ต้องให้อะไรหมอกเลย แบบนี้แหละ”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันพอแล้ว กับเจ้าลูกคนนี้”
“พ่อโกรธหมอกหรอ”
“จะบอกว่าไม่เลยก็คงไม่ได้ ก็คงจะมีบ้าง แต่พอแล้ว ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรแล้ว”
เคยพูดแรงถึงขั้นตัดพ่อตัดลูกไป ตอนนั้นมีแต่ความโกรธ โมโห ไม่ได้โกรธที่มันไปลงเอยกับเจ้าเด็กนั่นอย่างเดียวหรอก แต่โกรธที่มันทำอะไรไม่ปรึกษาใคร หุนหันพลันแล่น และคิดจะหักหลังบริษัทที่เลี้ยงตัวเองมา ถึงมันจะยังไม่ทำแบบนั้นจริงๆ แต่คิดว่าอยากหมอกถ้าจะทำคงไม่ใช่เรื่องยาก และก็คงจะทำได้จริงๆโดยไม่รู้สึกอะไรนอกจากชัยชนะ
แค่โกรธกันด้วยเหตุผลส่วนตัวต้องทำให้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรอ
แล้วก็นึกถึงคำที่มันเคยพูดไว้ว่า ทุกคนล้วนทำงานเพราะเหตุผลส่วนตัว ก็คงจะจริง ฉันก็สร้างอาณาจักรทางการเงินยิ่งใหญ่ขนาดนี้เพื่อให้ลูกๆทุกคนได้อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องลำบากอย่างที่ฉันเคยเจอ ก็ไม่คิดว่ามันจะให้ผลลัพธ์ที่ตรงข้ามกับที่คิดขนาดนี้
อยากย้อนเวลากลับไป คิดโดยทั้งๆที่รู้ว่าทำได้ซะที่ไหน อยากจะกลับไปสอนมันใหม่ จะใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่านี้ ตอนแรกคิดไว้ว่าถ้าอยู่ถึงอายุสักแปดสิบ อาจมีเวลาแก้ตัวใหม่กับหลานตัวน้อยๆ แต่ดูสิ เมฆก็มัวแต่ทำงาน หมอกก็ดันอยู่กับผู้ชายคนนั้น แล้วฝนก็ยังเด็กเกินไป เด็กจนยังสับสนว่าชีวิตนี้ต้องการอะไรกันแน่
…แล้วฉันล่ะอลิสา ฉันต้องการอะไรกันแน่นะ
“อยากให้อิสระกับหมอกซักที”
“คนอย่างนั้น ต่อให้เป็นด้ายเล็กๆ ถ้าไม่ได้เลือกเองก็คงอึดอัดอยู่ดี”
เมฆพยักหน้าเงียบๆ ดูจะรู้จักน้องชายดีเหมือนกันนะ
เห็นแบบนี้ก็สบายใจ
“เมฆ แล้วแกคิดจะบอกหมอกยังไง”
“ไม่ว่ายังไงผมก็คิดว่าให้บ้านซักหลังกับรถของมันไว้ก็ได้นะพ่อ”
อย่างหมอก อีกไม่นาน ก็คงหาใหม่ได้
บ้านหรอ
นึกถึงกลิ่นทะเล
บ้านหลังที่รักที่สุด และรู้สึกจริงๆว่านี่แหละ คือ
”บ้าน”ของฉัน
บ้านที่เธอกับฉันตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าด้วยกัน เธอยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ เพราะหมอกน่ะกินนมเก่งกว่าลูกคนไหน ร้องไห้โยเย ให้อุ้มตลอดทั้งคืน ฉันอุ้มเจ้าเด็กตัวเล็กๆขึ้นพาดบ่า ร้องเพลงเบาๆเดินวนไปรอบบ้าน ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเราก็มีเวลาแบบนั้น
เวลาที่อุ้งมือเล็กๆนั้นเอื้อมมาหา แล้วเรายื่นนิ้วออกไปให้จับ ความรู้สึกอุ่นก็ท่วมท้นจนน้ำตาปริ่ม
ไม่อยากจะลืมเลย ฉันน่าจะจำไว้ให้แม่นๆ
ความรู้สึกของการเป็นพ่อ ว่ามันวิเศษแค่ไหน
มันล้ำค่า ต่อให้เอาทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมาแลก ฉันก็จะไม่คิดลังเล
ความรู้สึกของการเป็นสามี ที่ได้มีเวลาดีๆอยู่กับเธอ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆในชีวิตนี้ และต้องใช้เวลาที่เหลือด้วยความทรงจำเหล่านั้นเพียงลำพัง โดยไม่มีเธออยู่
….มันก็คุ้มค่าเหลือเกิน“ให้บ้านริมทะเลหลังของแม่แก รถทุกคันของมัน”
ทนายจดลงบนกระดาษ ฉันเฝ้ามองพวกเขาเซ็นลายเซ็นรับรองการเป็นพยาน ยื่นมาให้ฉันเซ็น ดูสิ แค่ไม่ได้จับปากกาไม่นาน ลายมือฉันก็สั่นจนทุเรศตัวเองแล้ว
“เมฆ แกต้องไล่หมอกไป”
“ผมไม่อยากทำแบบนั้น”
“แกก็รู้ ว่ามันจะไม่มีทางอิสระ จนกว่าเราจะตัดทุกทางจากมันแบบนี้”
“…ผมก็รักน้องของผมนะพ่อ”
“เพราะว่าแกรัก..แกถึงต้องทำแบบนี้ เพราะไม่ว่าทางไหน หมอกก็คงจะไปจากพวกเราอยู่ดี ให้มันได้ไปอย่างสบายใจเถอะ”
อย่าได้เป็นชนักติดหลังให้ต้องรู้สึกหนัก อย่าเป็นหินถ่วงไม่ให้เหยี่ยวตัวนั้นบินสูง
จงเป็นลมใต้ปีกที่ไร้ตัวตน พัดพาให้อิสระโอบอุ้มหมอกของพวกเราไว้
“…พ่อครับ”
“อย่าร้องไห้เลย พ่อปลอบแกไม่เป็น”
“ผมไม่อยากคิดว่าถ้าไม่มีพ่อจะทำยังไงเลย”
“ไม่ต้องคิดเลย เมฆ เพราะถ้าเวลามันมาถึง แกจะรู้เองว่าแกต้องทำยังไง คิดไปก่อนแกก็มีแต่เสียใจ ฉันยังอยู่ตรงนี้ ยังอยู่ช่วยแกเท่าที่ฉันจะทำไหว”
“พอแล้ว…พ่อไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว พ่อพักผ่อนเถอะ”
อย่าไปเลย เมฆ นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันอีกซักหน่อยแต่ฉันกลับตอบพยักหน้าไป
ไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม เธอคงหัวเราะฉันอยู่สินะ
ฉันหลับตาลง ฟังเสียงรองเท้าเมฆเดินออกไป ประตูปิด ทิ้งฉันอยู่กับเสียงของเครื่องวัดชีพจรและสายระโยงรยางค์
อลิสา
ฉันรู้สึกเหมือนเธอยังจับมือฉันไว้อยู่เลย
…………………………………………..
………………………………..
[B.N.32.5]
[6.10.59]
/อยากฟังความเห็นคนอ่าน 55 เป็นไงบ้าง พูดคุยกันได้นะ ไม่ได้เขียนมานานมาก ชอบอ่านความเห็น เอาตามสบายใจเลย//ตอนหน้าคงจะเป็นตอนจบแล้ว เจอกันต่อในเล่ม ) /