เดือนที่ 11
พูดไปแล้ว ⚙☽
"เมื่อคืนทานข้าวอร่อยไหม?" เสียงหวานๆ ของแฟนสาวดาวคณะอักษรศาสตร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมเอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่มือเรียวๆ บางๆ นั่นกำลังจับส้อมและมีดหั่นสเต๊กปลาในจานตรงหน้า ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ผมตอบไปตามความจริง
"ก็อร่อยดีนะ เสียดายที่รินไปไม่ได้"
รินเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะละสายตาจากอาหารในจานตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม
"ก็ไปอีกไม่ได้เหรอ?" ดวงตากลมโตสีน้ำตาลช้อนมอง กะพริบตาใสแป๋วจ้องผมราวกับลูกแมวกำลังอ้อนให้เล่นด้วย เห็นแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะวางมีดกับส้อมลงแล้วยื่นมือไปยีเส้นผมสีสว่างนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว
"ทำไมจะไปไม่ได้ล่ะครับ ไว้รินว่างวันไหนก็บอกแล้วกัน คราวนี้จะได้พาไปเลย"
คนที่ถูกผมยีหัวเล่นหัวเราะคิกคัก ก่อนจะปัดมือที่เล่นหัวตัวเองออก ยกมือขึ้นจัดผมที่เริ่มยุ่งของตัวเองให้เข้าที่ ไม่ได้เลยครับคนนี้ ต้องสวยตลอดเวลา หึ
พอได้รับคำตอบจากผมรินก็ยิ้มหวานพยักหน้ารับ แล้วจัดการอาหารในจานของเธอต่อ ก็กินไปด้วยคุยกันไปด้วย เรื่องนั่นเรื่องนี่ รวมทั้งเรื่องที่ผมพาคนอื่นไปกินข้าวแทนรินด้วย
"ว่าเเต่เมืองเอกไปกับใครมาเหรอ? รินเห็นเมืองเอกลงรูปใน IG"
"อ้อ พอดีไปกับเดือนสิบมันน่ะ ตอนนั้นอยู่ด้วยกันพอดีไง ที่พามันไปซื้อคอมฯ"
"งั้นก็เเสดงว่าเดือนสิบก็ไม่อะไรกับเมืองเอกเเล้วใช่ไหม?"
รินถามเพราะเรื่องที่ตอนนั้นผมไปพูดไม่ดีกับเดือนสิบเธอก็รู้ จริงๆ ผมก็เคยบอกไปแล้วนะว่าผมไม่อะไรกับเดือนสิบมันเเล้ว เมื่อวานซืนก็ขอโทษไปแล้ว เรื่องเรียบร้อยดีไม่มีอะไรน่ากังวล
"อืม"
"ดีเเล้วล่ะ รักๆ กันไว้น่ะดีแล้ว"
รินฉีกยิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วหันไปสนใจของในจานต่อ
พอพูดถึงเดือนสิบมันแล้ว เรื่องที่ผมบอกมันไปเมื่อเช้าว่าจะถามที่ร้านให้เรื่องกระเป๋าเงินของมัน ผมก็โทรไปถามมาเรียบร้อยแล้วครับ น่าเสียดายที่ร้านบอกว่าไม่เจอเลย ทั้งพนักงาน ทั้งลูกค้าไม่มีใครเห็นกระเป๋าเงินมันเลย คิดเเล้วก็เป็นห่วงมันว่ะครับ ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงบ้าง เงินมันก็ไม่ได้ยืมผม แต่ผมคิดว่าเดือนสิบอาจจะยืมเพื่อนมันเอา... ห้องมันก็ยังเข้าไม่ได้ อืม ยังไม่ได้ไลน์บอกมันเลยนี่นา
ผมที่กินของตัวเองเสร็จไปนานแล้ว หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดได้เรื่องไลน์ ตั้งใจจะไลน์ไปหาเดือนสิบมัน เเต่ว่ารินพูดขึ้นมาก่อน
"เมืองเอกรินอิ่มแล้ว คิดเงินเลยไหม?"
ผมพยักหน้า เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเหมือนเดิมแล้วยกมือเรียกพนักงานมาคิดเงิน
.
.
.
ผมขับรถมาส่งคุณผู้หญิงที่คณะอักษรศาสตร์ตามที่ตกลงกัน ก็รับไปกินข้าว แล้วก็พากลับมาส่งที่คณะ ที่ไม่ไปส่งที่หอรินไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ รินลงเป็นลีดฯให้คณะอักษร ก็เลยต้องอยู่ซ้อมทุกเย็น ปกติผมไม่ค่อยได้มานั่งเฝ้ารอแฟนตัวเองซ้อมเสร็จเท่าไหร่หรอก รินไม่ได้ว่าอะไรที่ผมจะไม่รอ แต่ก็มีบางครั้งที่อยู่ดูซ้อมลีดบ้าง
"ขอบคุณมากเลยนะ ว่าเเต่เมืองเอกจะลงไปดูรินซ้อมไหม?"
รินหันมาถามในขณะที่ปลดเข็มขัดนิรภัย ผมเลยให้เวลาตัวเองคิดนิดหน่อยว่าจะเอายังไง หลังจากนี้ผมไม่ได้มีธุระอะไร ไอ้เบศก็กลับไปนานแล้ว แรปมันหายหัวไปกับพวกไอ้พี่ตอ ว่ากันตามตรงก็ว่างจริงๆ งั้น...
"งั้นเดี๋ยวเราลงไปอยู่เป็นเพื่อนสักพักเเล้วกัน รินลงไปก่อนเลย เดี๋ยวขอไปหาที่จอดรถหน่อย"
"โอเคค่ะ"
เธอตอบตกลง พอรินลงไปผมก็ขับไปหาที่จอด ตั้งเเต่เป็นแฟนกับริน ผมก็มาแถวคณะอักษรบ่อย เรื่องที่จอดรถ ตรงไหนจอดได้ จอดไม่ได้ผมรู้หมดเเล้วครับ ผมเลี้ยวรถเข้ามาข้างตึกเรียน ตรงนั้นมีที่จอดรถอยู่ น่าจะทำไว้ให้พวกอาจารย์จอด แต่มันว่างผมก็เลยเข้าไปเสียบได้...
คณะอักษรที่จอดว่างกว่าคณะผมเยอะเลยครับ บางวันที่ผมขี้เกียจเอารถตัวเองไปก็เพราะว่าหาที่จอดแถวคณะยาก ยิ่งวันที่ผมเรียนบ่ายนะ แม่งไม่ต้องพูดถึง อย่าหวังว่าจะได้จอดที่คณะ
ระหว่างที่กำลังถอยรถเข้าจอดผมก็คิดอะไรไปเรื่อย จนกระทั่งไปสะดุดตากับผู้ชายตัวสูงที่เดินเอื่อยๆ ออกมาจากข้างตึก ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือคุ้นชิบหาย ผมหรี่ตามองดีๆ เออ... จะไม่ให้คุ้นได้ไงก็นั่นมันเดือนสิบนี่หว่า เข้าไปทำอะไรตรงนั้นวะ?
ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองมองมันอยู่บนรถนานกว่านี้ รีบเปิดประตูลงไป เดินเร็วๆ เข้าไปใกล้ ผู้ชายตัวสูงที่ก้าวเท้าแต่ละครั้งแม่งช้าเหลือเกิน
“เดือนสิบ”
ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินเข้าไปถึงตัวมันได้ ก็เลยส่งเสียงเรียกแล้วถือวิสาสะยกมือขึ้นมาจับไหล่มันจากข้างหลัง คนถูกเรียกสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนที่หน้าขาวๆ นั่นจะหันมา เดือนสิบเห็นว่าเป็นผมแต่มันยังไม่ได้พูดอะไร
“เรื่องกระเป๋าเงิน---...มึง...”
ผมเบิกตากว้าง มองหน้าเดือนสิบ ความคิดที่จะบอกเรื่องกระเป๋าเงินลอยหายไปในอากาศ ความสนใจทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่หน้านั่น... ใบหน้านิ่งเรียบไม่แสดงสีหน้าอะไรเหมือนปกติ แต่ว่าที่ไม่ปกติคือริ้วรอยแดงเหมือนรอยนิ้วที่เห็นได้ชัดบนแก้มข้างขวา
ดวงตาหลังเลนส์แว่นใสรื้นน้ำ เหมือนครั้งแรกที่เจอกันที่ห้องน้ำ ตอนนั้นมันน้ำตาไหล แต่คงไม่ใช่เพราะจะร้องไห้ เป็นเพราะคอนแทคเลนส์ แต่ครั้งนี้ล่ะ?
“....”
เหมือนผมจะจ้องเดือนสิบมันนานเกินไป คนที่ถูกจ้องรู้ตัว แล้วก็รู้ด้วยว่าผมจ้องอะไร เดือนสิบยกมือขึ้นมาแตะแก้มของตัวเองเบาๆ ริมฝีปากสีสดเม้มแน่นก่อนจะพูดออกมา
“เรื่องกระเป๋าเงินใช่ไหม? พอดี... เจอแล้ว ขอบคุณนะที่ช่วยหาให้”
พูดแค่นั้นจริงๆ เดือนสิบหันหลังกลับให้ผม ตั้งใจจะเดินออกไปอีกครั้ง ผมที่ไม่ได้สนใจประโยคที่มันบอกอยู่แล้ว ก็เลยเรียก แล้วก็รั้งมันไว้
“หน้าไปโดนอะไรมา?”
“....”
ได้ผล ที่เดือนสิบมันหยุด
“ใครทำอะไรมึง?”
ผมยังคงมองรอยตบบนใบหน้าเดือนสิบที่หันกลับมามองผมตอบ สิ่งที่ได้ตอบกลับมาจะเป็นความเงียบ ผมคงจะยุ่งเรื่องของมันมากไป มันไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องบอกผม แม้ว่าตอนนี้เราจะเป็นเพื่อนกัน คงเป็นอย่างนั้น
“มึงเจอกระเป๋าเงินก็ดีแล้ว”
ทุกอย่าง ถ้ามันอยากจะพูด เดี๋ยวก็คงพูดออกมาเอง ดวงตาคู่นั้นสั่นระริกไม่เหมือนสีหน้าที่นิ่งเรียบของมันเลย ต่อให้เดือนสิบมันไม่พูดว่าตอนนี้ตัวเองไม่โอเค ใครๆ ก็รู้ เป็นผมที่หลบตามันก่อน แต่ก่อนจะได้เดินออกห่างมา เสียงจากคนที่ผมอยากได้ยินมันพูดที่สุดก็ดังขึ้นมา
“ถ้าริน... ไม่สิ ถ้าแฟนของเมืองเอกไปจูบกับคนอื่น เมืองเอกจะโกรธไหม?"
ประโยคที่เดือนสิบถาม ผมค่อนข้างตกใจ เพราะถ้ามันพูดเรื่องแบบนี้ตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องต้นเหตุที่ทำให้หน้าของเดือนมหา’ลัยเป็นแบบนี้แน่ๆ ถึงประโยคจะมีการหยิบเอาชื่อแฟนของผมเข้ามาเกี่ยวก็เถอะ แต่ผมมั่นใจเว้ยว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับรินจริงๆ หรอกแค่ยกตัวอย่าง ตอนนี้ผมที่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมาก ก็เลยตอบตามความจริงไป
“โกรธดิวะ ถ้าแฟนไปทำอย่างนั้นกับคนอื่นอะ ถ้าไม่โกรธ ก็แสดงว่าไม่ได้รักแล้วมั้ง”
เดือนสิบที่ได้คำตอบก้มหน้าต่ำมองพื้นด้านล่าง เงียบไปแป๊บหนึ่ง
“ก็นั่นสินะ เป็นแฟนกัน รักกัน เป็นใครก็ต้องโกรธแหละเนอะ”
ใบหน้านั้นปรากฏรอยยิ้มจางๆ มันไม่เข้ากันเลย ถึงแม้ผมจะเคยบอกว่าชอบหน้ามันตอนยิ้ม แต่หน้ามันตอนนี้ไม่เหมาะกับยิ้มแบบนี้เลยสักนิด
“เดือนสิบ ไม่โอเคก็อย่าฝืนยิ้มสิวะ”
“......”
เดือนมหา’ลัยเงยหน้าขึ้นมามองแล้วเก็บรอยยิ้มกลับไป
“มีอะไรก็ระบายออกมาได้นะ กูอยู่ตรงนี้แล้วไง”
หนึ่งหยดน้ำตา ไหลออกมาจากดวงตาวาววับคู่นั้นจนได้ ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยเสียงสั่นเครือ
“เมืองเอก...”
.
.
.
ผมลากเดือนมหา’ลัยที่ตกลงเป็นเพื่อนกันเมื่อคืน และตกลงเป็นเพื่อนอย่างเป็นทางการเมื่อเช้าให้มานั่งเล่าทุกอย่างให้ผมฟังบนรถที่สตาร์ทเปิดแอร์จอดอยู่ตรงที่จอดเดิมนั่นแหละครับ เหตุผลคือในรถจะเก็บเสียง ฟิล์มรถผมดำ แถมยังมีแอร์เย็นอีก ก่อนหน้านั้นผมก็ไลน์ไปบอกรินว่าจะไม่ลงไปดูซ้อมลีดแล้วด้วย
ตอนนี้ก็เลยนั่งฟังเดือนสิบมัน คนที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างๆ เล่าช้าๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
“ทำไมมึงไม่บอกเดชองส์ไปวะว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด มึงเมา ไม่ได้สติ แถมไอ้พี่เอสต่างหากที่เป็นคนฉวยโอกาส” แอบสะกิดใจนิดหน่อยตรงนี้ เดือนสิบมันไม่อธิบายให้เดชองส์ฟัง มันยอมให้โดนตบโดยไม่พูดอะไรเลย? ได้ไงวะ...
“อ้างไม่ได้หรอกเมืองเอก ในเมื่อเราไปจูบกับพี่เอสจริงๆ ต่อให้มีสติหรือไม่มีสติ...”
แต่พอเดือนสิบมันพูดอย่างนั้น ผมกลับพอเข้าใจมันขึ้นมานิดหน่อย แต่ว่า...
“สิ่งที่มึงต้องกลัวที่สุดไม่ใช่เรื่องของสองคนนั้นหรอก กลัวเรื่องคลิปมากกว่า... ถ้ามันหลุดขึ้นมา...”
อ... ชิบหายละ กูมาพูดอะไรตอนนี้วะเนี่ย
ผมแม่งโคตรอยากตีปากตัวเองเลยว่ะ เดือนสิบที่มันเป็นอย่างงี้ ผมก็ว่าเพราะมันห่วงเรื่องนี้นี่แหละ มันเป็นเดือนมหา’ลัย พี่เอสแม่งก็มีข่าวแบบนี้เยอะ ถ้าเกิดหลุดขึ้นมาเป็นเรื่องแน่นอน แต่ก็ไม่สมควรมาพูดให้มันเครียดอยู่ดีโว้ย
ผมมองหน้าเดือนสิบที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ นั่งเงียบๆ เหมือนใช้ความคิด แล้ว... มันร้องไห้นะ แต่ไม่หนักขนาดสะอื้น ไม่มีเสียงร้องด้วยซ้ำ แค่น้ำตาไหลเงียบๆ เห็นแล้วโคตรสงสารเลย ผมไม่ค่อยชอบเห็นใครร้องไห้ด้วย อดไม่ได้ที่จะยกมือไปลูบหัวมันแล้วปลอบว่าไม่เป็นไรนะเว่ย หยิบกล่องทิชชู่เบาะหลังส่งให้มันอีก
“เรื่องคลิปอาจจะต้องลองไปติดต่อเดชองส์ดูว่าได้มาจากไหน จะได้ไปคุยถูกว่าอย่าปล่อย ส่วนพี่เอส กูว่ามึงอย่าไปยุ่งกับพี่มันเลยดีกว่า ยุ่งกับพี่มันเหมือนเล่นกับไฟ ยิ่งเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยแล้ว กูว่าพี่มันอาจจะสนใจมึงอยู่”
ผมเสนอคำอธิบายแล้วก็พูดความคิดของตัวเองด้วย คนที่หยิบทิชชู่ซับน้ำตาอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่พยักหน้ารับเห็นด้วยกับผม
จะว่าไปพี่เอสกับพวกพี่ตอก็ไม่ค่อยญาติดีกันเท่าไหร่ เรียกได้ว่าอยู่กันคนละโลกเลยก็ว่าได้ ถ้าสนิทกันสักหน่อย ไม่แน่ผมอาจจะไปช่วยพูดให้ได้... (คราวที่แล้วผมก็โดนอิพี่มันสั่งให้ไปสารภาพกับพี่เอส ซึ่งสาเหตุเกิดจากการหมั่นไส้ของอิพี่ตอมันล้วนๆ เลยครับ)
“อะ...!”
อยู่ดีๆ เดือนสิบที่นั่งเงียบๆ ก็ร้องขึ้นมา เรียกความสนใจให้ผมหันหน้าไปมอง เดือนสิบที่หันมามองหน้าผมเหมือนกัน ริมฝีปากนั่นขยับเบาๆ เป็นประโยค
“มีนัดกับพี่เอสไว้เรื่องกระเป๋าเงิน...”
“....”
หา? อย่าบอกนะว่า เรื่องกระเป๋าเงินมันหายนี่ พี่แม่งก็เข้ามาเกี่ยวด้วยอีกแล้ว?
-------------------------------
☽ เดือนสิบ พาร์ท ☽
พอได้ระบายให้เมืองเอกฟังบ้างผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ เรื่องคลิป ตอนแรกผมกลัว ผมแพนิคแทบตาย กลัวว่ามันจะหลุด กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องขึ้นมา จนถึงเมื่อกี้ผมก็นั่งไถโทรศัพท์ตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง เช็คดูเพจ เช็คดูทวิตเตอร์ ว่าจะมีข่าวเรื่องคลิปนั่นหลุดออกมาไหม แต่ก็โล่งใจที่มันไม่มี ตอนนี้ผมก็เริ่มสงบสติตัวเองได้สักนิด เรื่องคลิป เรื่องข่าวช่างมันก่อน สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมตอนนี้ก็เรื่องพี่เอสมากกว่า
“กูรอตรงนี้นะ”
เสียงต่ำบอกเบาๆ ผมได้แต่ตอบรับอืมในลำคอแล้วเปิดประตูลงจากรถเข้าไปในร้านกาแฟตามที่นัดกันไว้กับพี่เอส ไม่ใช่ผมอยากจะเจอเขา ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเลี่ยง แต่ที่ต้องมาเพราะผมเองก็ต้องการจะจบเรื่องแบบนี้เหมือนกัน
ผมใส่แมสสีดำปิดไว้ครึ่งหน้า ไม่ใช่เพราะกลัวฝุ่นกรุงเทพฯ หรือเป็นหวัด แต่ใส่เพราะต้องการปิดรอย หึ คงจะรู้ว่ารอยอะไร
ผมกวาดสายตามองไปทั่วร้าน ยังไม่เห็นวี่แววของรุ่นพี่อดีตเดือนมหา’ลัย ก็เลยเดินไปสั่งน้ำแล้วเลือกนั่งรอตรงมุมร้าน ไม่นาน เสียงกริ่งที่แขวนไว้ที่ประตูร้านกาแฟก็ดังอีกครั้ง เรียกความสนใจของผมให้หันมอง อดีตเดือนมหา’ลัย รูปร่างดี ดีกรีนายแบบ ออร่าส่องประกายซะจนพนักงานในร้านมองเพลิน
ดวงตาคมคู่นั้นกวาดสายตามองไปรอบร้าน ก่อนที่จะสังเกตเห็นผม ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพี่เขาจำได้ หรือเพราะในร้านไม่มีใครคนอื่นแล้ว หรือเปล่า เขาถึงรู้แล้วเดินเข้ามาหาทันที
“เดือนสิบ พี่ขอโทษที่ให้เรารอนะ”
ผมส่ายหัว ไม่นานหรอกครับ แค่แป๊บเดียวเท่านั้น พี่เอสนั่งลงที่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนพี่เขาออกจะสนอกสนใจแมสผม แต่ไม่ได้ถามอะไร แสดงว่าพี่เอสคงยังไม่รู้เรื่องเดชองส์ หลังจากที่ดวงตาคู่นั้นจ้องมองแมสบนหน้าผมอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ละสายตา แล้วหันมามองแก้วกาแฟที่อยู่บนโต๊ะผมแทน
“ค่าน้ำนี้ออกไปรึยังครับ? ให้พี่เลี้ยงนะ”
ผมส่ายหัวปฏิเสธอีกครั้ง ไม่ได้จะมาให้เขาเลี้ยงอยู่แล้ว แค่อยากได้กระเป๋าเงินคืน แล้วก็... เหมือนเขาจะอ่านผมออกว่าผมต้องการอะไร พี่เอสหยิบกระเป๋าเงินของผมขึ้นมาวางคืนให้บนโต๊ะ ผมไม่รอช้าที่จะคว้ามันไว้แต่ว่า... มือของเขามาวางทับไว้ลงกระเป๋าเงินนั่นก่อน
เขาหยิบกระเป๋าเงินอีกใบขึ้นมา มันเป็นแบรนด์เดียวกับกระเป๋าเงินของผม รุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน ก็ไม่แปลกถ้าพี่เขาจะสับสนแล้วหยิบกลับไปอย่างที่เขาบอกจริงๆ
"ใช้แบรนด์เดียวกันด้วยนะครับ"
คงคิดว่าปกติผมใช้ของแพงๆ แบบนี้ แต่ไม่ใช่หรอกครับ
"เปล่าหรอกครับ"
"มีคนซื้อให้ใช่ไหม?"ผมพยักหน้า แล้วตอบเบาๆ
"ครับ"
เขาเอามือออกจากกระเป๋าแล้ว หยิบมันส่งมาให้ ผมรับมันไว้ ไม่ได้เปิดเช็คตรงนี้หรอกครับ เดี๋ยวมันเสียมารยาท ความจริง ถ้าแค่นัดมาเอากระเป๋าเงิน ผมก็กลับได้ทันที แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่ ผมช้อนสายตามองหน้าพี่เอส เขายกยิ้มอย่างมีเสน่ห์มองมาหาแต่ว่าผมไม่อิน
ผมเลื่อนมือไปปลดแมสปิดปากของตัวเองออกแล้วกำเอาไว้ในมือ อยากให้เขาเห็นหน้าผมชัดๆ อยากให้เห็นรอยบนหน้านี้ ผมไม่รู้ว่าพี่เอสทำหน้ายังไงตอนนี้อยู่เพราะผมหลบสายตาไม่กล้ามอง แต่ว่า..
“เดือนสิบถูกใครทำอะไรมา?”
เสียงเขาดูอ่อนโยนและเป็นห่วง ปนตกใจนิดๆ หน่อยๆ ด้วย แล้วผมก็สะดุ้ง เมื่อสัมผัสจากปลายนิ้วเย็นๆ ของอีกคนแตะลงบนแก้มข้างที่เป็นรอยอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมปัดมือพี่เอสออกเบาๆ แล้วตอบเขาไป
“ใครจะทำอะไรไม่สำคัญหรอกครับ ผมไม่ได้จะมาฟ้องเรื่องนี้กับพี่”
ผมแค่อยาก..
“เดชองส์ใช่ไหม?”
....
พี่เอสถอนหายใจแล้วมองหน้าผม
“เดชองส์ก็เหมือนทุกคนที่ผ่านมา เดี๋ยวพี่ก็เลิก ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรจะมาหึงหวงพี่ด้วยซ้ำ”
นี่ล่ะ ก็สิ่งที่พี่เอสพูดออกมา ไม่ผิดจากข่าวลือ ทุกคนที่เข้ามามีความสัมพันธ์กับคนๆ นี้ ทำได้แค่มีความสัมพันธ์ทางกาย ไม่ใช่ทางใจ...
“งั้นต่อไปจะเป็นผมเหรอ?”พี่เอสเงียบ พอได้ยินผมพูดแบบนั้น
“ถ้าต่อไปจะเป็นผม ถ้าอย่างนั้นพี่เอสอย่ามายุ่งกับผมเลย ผมไม่อยากยุ่งกับพี่”
ผมพูดออกไปแบบนั้น พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดที่สุดออกไป
ถ้าพี่เอสไม่คิดจะจริงจังกับใครสักคน ทำไมถึงต้องทำร้ายคนอื่นด้วย ในเมื่ออีกฝ่ายเขาคิดอะไรกับพี่มากเกินกว่าที่พี่คิด ไม่รู้สิ หรือคนที่เป็นฝ่ายผิดจะเป็นฝ่ายที่หลงพี่เขามากกว่ารึเปล่า... ?
แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว ผมตั้งใจจะลุก ถ้าไม่ติดที่พี่เอสที่นั่งอยู่อีกฝั่งไม่พูดอะไรออกมาสักก่อน
“พี่ชอบจูบของเดือนสิบนะ หวานมากจนพี่หลงเลย”ดวงตาของผมเบิกกว้าง ไม่คิดว่าพี่เขาจะเอาเรื่องนั้นมาพูดตอนนี้..
“แล้วเดือนสิบ ไม่ติดใจจูบของพี่บ้างเหรอ?”
“...ผมจำไม่ได้”
ผมเม้มปาก บอกตามตรง
“งั้นมาทวนความจำกันหน่อยไหม?”
มองคนที่ยิ้มร้ายตรงนั้น พูดออกมาได้หน้าไม่อาย...
“พี่เอสพอได้แล้ว ผมไม่ใช่เกย์”
“หืม? เหรอครับ แต่
รักแรกของเดือนสิบก็ไม่ใช่ผู้หญิงนี่ครับ?”
เหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด หน้าผมชา ทุกสิ่งในหัวเริ่มรวน รวมทั้งภาพพี่เอสตรงหน้าก็พร่าเลือนไปหมด ผมรวบรวมสติ บังคับมือตัวเองหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง กดโทรออกเบอร์เบอร์หนึ่ง...
พอแล้ว...
“พี่.. รู้ถึงขนาดไหน...?”“อดีตสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
ผมไม่ไหวแล้ว
“TIME OUT”
ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียง ร่างของผู้ชายในชุดนิสิตยืนทำหน้าหล่ออยู่ข้างโต๊ะ ดวงตาคู่นั้นหันมามองผม ที่เหมือนถูกดึงสติกลับมา
“ได้ของคืนแล้วก็กลับ 'หวัดดีพี่”
ผมพยักหน้าให้เมืองเอก แล้วลุกตามออกไปจากร้านโดยไม่ได้หันมองพี่เอสแม้แต่นิดเดียว
.
.
.
.
เอสมองตามสองคนที่เดินออกไปจากร้านจนลับตาแล้วจึงหันกลับมามองภาพตรงหน้า ที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่เคยมีรุ่นน้องเดือนมหา’ลัยนั่งอยู่ตรงนั้น แก้วไอซ์คอฟฟี่ที่เริ่มละลายของอีกฝ่ายก็ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะ
เอสยกยิ้ม แล้วยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก แล้วหวนนึกถึงรสจูบเมื่อคืนขึ้นมา...
“ของ
ชล.. ได้ยากอย่างนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย”
----------------------------TBC-------------------------
สวัสดีทุกคนค่ะ สุขสันต์วันสงกรานต์ เทศกาลวันหยุด
ขอให้มีความสุขรับเทศกาลกันเยอะๆ นะคะ เย่ >< <3
รักทุกคนค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอมาา
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ !
ปล.ตอนนี้สั้นจังเลย? //แอ้ ~~~~~
#วิศวะเดือนสิบ