ตอนที่ 3
ใครบอกว่าผีไม่มีจริง
ผมมายืนรอพี่ซีอยู่ที่หน้าหอในตอนเที่ยงคืน เวลากลับหอของเขาไม่แน่นอน แต่จากที่เห็นมาก็ราวๆ นี้ ยืนอยู่ไม่นาน คนที่รอก็มาถึง ผมคิดว่าเขาคงจะเมาแล้วคลานกลับมาอย่างทุกวัน แต่ผิดถนัด ผมมองไปยังเจ้าของหอที่ปั่นจักรยานที่เท็นแอบบอกมาว่าราคาแพงขนาดดาวน์บ้านได้เข้ามา เขาหันมามองผมครู่หนึ่งแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
"พี่ซี"
"ถ้าจะมาพูดเรื่องเมื่อวานเงียบปากแล้วขึ้นห้องไปเลย"
ผมเงียบปากอย่างที่เขาบอกแต่ไม่ยอมเดินออกไปจากตรงนี้
"หลบ" เขาพูดขณะที่ผมยืนขวางประตูอยู่
"วันนี้พี่ไม่เมานี่ เราน่าจะคุยกันได้ง่ายหน่อย"
"ไม่เอา ไม่คุยแล้ว" เขาพูดหน้ายุ่ง แล้วจับไหล่ผมแล้วขยับออกจากตรงนั้น เขี่ยผมทิ้งเหมือนกองขยะหน้าบ้าน ส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดมาเปิดประตูเข้าไป ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเดินตามเขาไปด้วย
"พี่...ผมขอร้องล่ะ" เขาไม่พูดอะไร จอดจักรยานไว้อย่างทะนุถนอมแล้วหันมามองผม เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ดังมาจากใบหน้าเอือมๆ
"พี่ซี"
"กูถามจริง คนเราจะตามหาคนที่ตายไปแล้วเพื่ออะไร"
ผมเงียบ ไม่มีคำตอบ ผมไม่ได้อยากเห็นผีทุกตัวบนโลก ก็แค่คนเดียวที่จากกันไป อาจเป็นเพราะเราจากกันโดยไม่มีคำล่ำลา ยังมีเรื่องค้างคาในใจที่ผมอยากรู้ ผมก็เลยอยากเจอเขาอีกสักครั้ง หรือว่าอย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ได้บอกลา อีกสักครั้งก็ยังดี
"ผมมีเรื่องอยากคุยกับเขา"
"..."
"มีเรื่องอยากถาม"
"..."
"มีคำบอกลาที่อยากให้เขาได้ยิน"
พี่ซีก้าวขาเข้ามาใกล้ เขายกสองมือจับไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ ผมเงยหน้ามองเขาและหวังว่าเขาจะเข้าใจในความปรารถนาของผม
"ไปรายการคนอวดผีสิ"
ไอ้...
"ช่วงศูนย์บรรเทาทุกข์ผีอะ เคยดูไหม"
...สัตว์ปีก!
เขาปล่อยให้ผมดีดดิ้นอยู่คนเดียวแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป จริงจังก็แล้ว ทำตัวน่าสงสารก็แล้วแต่ไม่ได้ผลกับคนๆ นั้นเลย ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจพี่ซีว่าทำไมแค่นี้ถึงช่วยไม่ได้ และไม่เข้าใจตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่? คำพูดของเขาก็วนอยู่ในหัว เก็บเอามาคิดแล้วมันก็น่าจะจริงอย่างที่เขาบอก
ผมจะตามหาคนที่ตายแล้วไปเพื่ออะไร
"พี่น่าน"
ผมสะดุ้งเฮือกหลังจากถูกเรียก ผมหันขวับไปมองก่อนจะพบเด็กชายในชุดนักเรียน คนที่เข้ามาทักฉีกยิ้มกว้างแล้วนั่งลงข้างๆ ผม
"อ้าว ไคโร"
"พี่เพิ่งกลับมาเหรอครับ" เขาว่าพลางมองผมที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ผมพยักหน้าส่งๆ อันที่จริงผมกลับมาตั้งนานแล้วแต่มาดักรอเจอพี่ซีต่างหาก
"แล้วมึงอะ เป็นนักเรียนไม่ควรกลับดึกขนาดนี้สิ"
"ผมไปทำรายงานบ้านเพื่อนมา ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีนะ จริงจรี๊ง"
เสียงสูงติดเพดานหอดูมีพิรุธผมจึงหรี่ตามองนิดๆ ตัวมันก็ได้แต่หัวเราะกลับมา ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงดังจากในครัวก็โพล่งขึ้นเป็นเหตุให้เราทั้งคู่สะดุ้งเฮือกแล้วขยับเข้าหากันอัตโนมัติ
"เพล้ง!"
"เฮ้ย!"
ไคโรเบิกตาขึ้นอย่างตกใจตื่น พอกับผมที่หันขวับไปมองในครัวเพราะได้ยินเสียงคล้ายอะไรตกแตกจากตรงนั้น
"เสียงอะไรวะ"
"ไม่รู้ดิพี่ ผีเปล่า?" ไคโรพูดเสียงสั่นแล้วยกมือเกาะแขนผมแน่น
"ผีอะไรเล่า เดี๋ยวกูไปดู..."
"เฮ้ยๆ พี่จะไปไหน"
"ไปดูไงว่าเสียงอะไร"
"เดี๋ยวๆ" เขาฉุดผมให้นั่งลง
"อะไร?"
"ตรงนั้นน่ากลัวนะพี่" ผมมองไปยังในครัว ประตูกระจกหลังห้องครัวที่ไม่มีมีม่านกั้นทำให้มองเห็นหอแปดชั้นผีสิงนั่นได้อย่างถนัดตา เอาจริงๆ มันก็น่ากลัวนั่นแหละ แต่ความสงสัยมันมีมากกว่า ผมจึงลุกแล้วเดินตรงเข้าไปในห้องครัวนั่น ไคโรที่ดูกลัวๆ แต่ก็เดินเกาะแขนผมตามมาด้วย ผมมองเห็นเศษจานที่หล่นแตกกระจายอยู่ที่พื้น ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ก่อนแอบตกใจผ้าม่านหน้าต่างที่ปลิวสะบัดเบาๆ เพราะบานหน้าต่างถูกเปิดอยู่
"พี่น่าน เราไปจากตรงนี้กันเถอะ ไปบอกเฮียซีให้เขาจัดการดีกว่า เขาไม่กลัวผีแถมเป็นเพื่อนกับผีด้วย"
"เป็นเพื่อนกับผีเหรอ"
"ก็ผมเห็นเขาพูดคนเดียวบ่อยๆ อะ ใครๆ ก็บอกว่าเขาคุยกับผีได้"
"จริงดิ"
"เอาจริงเขาเมามั้ง" ไคโรหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ความคิดผมเริ่มเขว หรือพี่ซีจะเป็นแค่คนเมา คนเมาพูดได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ขณะความคิดกำลังสับสนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจนทั้งผมและไคโรรีบหันขวับไปมอง
"ไอรอนแมน ไอรอนแมน"
ผมหันไปเห็นว่าเท็นที่เป็นเจ้าของเสียงนั่น เขาเดินเข้ามาพลางก้มๆ เงยๆ มองหาอะไรสักอย่าง
"พี่เท็นหาอะไรอะ"
"ไอรอนแมน"
คิ้วผมขมวดเข้าหากันพอๆ กับไคโรที่ทำหน้างงๆ ไอรอนแมนจะมาอยู่อะไรที่หอนี้ล่ะวะ แม้จะงงแต่ก็ไม่ทันได้ถาม เท็นก้มมองไปยังหลังตู้เย็นแล้วก็ยิ้มกว้างเหมือนพบสิ่งที่กำลังตามหา
"มาอยู่นี่เองลูกพ่อ" เท็นใช้มือล้วงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมาจากตรงนั้น ก่อนจะพบว่าไอรอนแมนที่ว่านั่นคือแมว
"พี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ"
"เจอมาข้างถนน น่ารักป่ะ" เขาว่าแล้วจับแมวขึ้นมาใกล้ๆ หน้าก่อนจะเอาหน้าตัวเองถูๆ ไถๆ แมวตัวนั้น แมวอะน่ารักนะ แต่คนอุ้มนี่ทำเอาเครียด
"น่ารักเนอะ"
"น่ารัก แต่ไอรอนแมนของพี่ทำจานแตกอะ ผมแนะนำให้รีบเก็บเลยก่อนที่จะโดนเฮียด่า"
"อุ้ย...ทำไมซนแบบนี้ล่ะลูก ไม่น่ารักเลยนะ เดี๋ยวป๋าตีเลยนะ" เท็นจับแมวขึ้นแล้วตีมันเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวจัด เอาจริงสภาพมันน่าเลี้ยงวัวมากกว่าแมวนะ ผมปล่อยให้เท็นจัดการเก็บกวาดตรงนั้นแล้วเดินออกมาข้างนอก ก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าไคโรยังคงเกาะแขนผมติดหนึบ
"เลิกกลัวได้แล้วมั้ง"
"อุ้ย ไม่รู้ตัวเลย" มันหัวเราะเบาๆ แก้เขิน แล้วขอตัวขึ้นห้องไปก่อน ผมเองก็ด้วย ในตอนที่เดินผ่านหน้าห้องพี่ซี ใจอยากเข้าไปคุยกับเขาดีๆ แต่ความหมั่นไส้ที่มีทำให้ทำได้แค่หยุดด่าอยู่ในใจ ยกมือทำท่าจะชกเข้าหน้าประตูแต่ต้องหงายเงิบเพราะคนในนั้นเปิดออกมาพอดี
"ทำไร"
"เปล่า" ผมสวนกลับอย่างเร็วแล้วลดมือลงไปไว้ด้านหลัง
"จะทำอะไรกู"
"เปล่า ไปแล้ว"
"เดี๋ยว!" ผมถูกพี่ซีดึงคอเสื้อจากด้านหลังแล้วกระชากให้กลับไปที่เดิม
"อะไรเล่า!"
"เมื่อกี้จะต่อยกูเหรอ"
"เปล่า!"
"อันธพาลนะเราเนี่ย"
"อันธพาลอะไรเล่า ปล่อย!"
ทันทีที่พี่ซีปล่อยผมออก ผมก็ยกมือทุบแขนเขาเข้าไปทีหนึ่งแล้วรีบเผ่นออกมาก่อนโดนสวน เขายืนกรานว่าจะไม่ช่วยเรื่องที่ผมขอ ผมไม่ได้อยากง้อแต่เขาดันเป็นคนเดียวที่พิเศษแบบหาใครเหมือนไม่ได้ เขาน่าจะเห็นใจผมสักหน่อย คนอะไรหน้าตาก็ดี แต่ใจดำชิบ!
...
เช้าวันถัดมา ผมตื่นเร็วกว่าปกติเพราะเสียงฝนปลุกผมขึ้นมา ไม่แน่ใจนักว่านี่มันฤดูอะไร แต่เช้านี้ฝนโปรยปรายไม่มีทีท่าจะหยุด ผมเดินลงมาข้างล่างหอได้กลิ่นอาหารหอมอบอวลมาจากครัว ก่อนเสียงของป้าทิพย์จะเรียกผมจากตรงนั้น
"น้องน่าน อาหารเช้าค่ะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งตอนที่เห็นอาหารเช้าง่ายๆ อย่างขนมปัง ไส้กรอกและไข่ดาว วางเรียงอยู่บนโต๊ะ ป้าทิพย์บอกกับผมว่าหยิบกินได้เท่าที่ต้องการเป็นสวัสดิการหนึ่งของหอ ความเกรงใจหายไปตอนป้าทิพย์บอกว่าเป็นเงินพี่ซีซื้อมาเลี้ยงนี่แหละ ควรกินให้หมดตัวไปเลย แล้วผมก็ชอบไส้กรอกรมควันแบบนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยเลยไม่ได้ปฏิเสธตอนป้าทิพย์ตักมันใส่จานให้
"กาแฟไหมคะ"
"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ดื่มกาแฟ"
"งั้นนมสักแก้วนะคะ"
ผมกำลังจะปฏิเสธแต่ป้าทิพย์เทนมจืดใส่แก้วให้แล้ว ผมจึงต้องรับแล้วในใจก็คิดอย่างเดียวว่า เงินพี่ซี กินๆ เข้าไปเหอะ
เสร็จจากมื้อเช้า ป้าทิพย์ขอตัวไปทำความสะอาดแล้ว ส่วนผมก็เตรียมตัวออกไปข้างนอก ฝนยังตกลงมาแม้จะเบาลง ผมไม่มีร่ม ไม่รู้ว่าหายไปไหนตอนที่ย้ายหอ แล้วผมก็เกลียดฝน โคตรเกลียดเลย
ผมยกนาฬิกาขึ้นดู ยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะได้เวลาเรียน ถ้ารออีกสักหน่อยฝนอาจจะหยุดตกก็ได้ จึงนั่งลงที่เก้าอี้หน้าหอเพื่อรอ ก่อนจะสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อตัวอะไรไม่รู้โผล่มาที่ขา
ไอรอนแมน?
แมวตัวสีส้มลายคล้ายลูกเสือตัวเล็กๆ เข้ามาคลอเคลียที่ขาผม
"หนาวเหรอไอ้แมว"
ผมว่าแล้วหยิบมันขึ้นมาวางบนตัก ก่อนจะยกมือเกาหลังมันเบาๆ มันทำหน้าสบายๆ แล้วซุกตัวเล็กๆ ของมันอยู่บนตักผม
"ตึ้ด"
เสียงคีย์การ์ดที่ถูกเปิดจากคนข้างในทำผมตกใจนิดหน่อย จึงหันไปมอง คนที่เปิดออกมาคือพี่ซี เขาก้มมองผมแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยทัก
"ไม่ไปเรียนเหรอ"
"ว่าจะรอให้ฝนหยุดตกก่อนอะครับ"
"ไม่มีร่มเหรอ"
"ไม่มี"
"แล้วจะไปเรียนไง"
"คงรอให้มันหยุดแหละ ถ้าไม่หยุดจริงๆ ค่อยให้เพื่อนมารับก็ได้ครับ"
"ตามใจ"
เขาพูดแค่นั้นแล้วหยิบร่มขึ้นมากางแล้วเดินออกไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดแล้วหันมา
"ไปด้วยกันป่ะ"
ผมส่ายหน้าหน่อยๆ
"เดี๋ยวก็เข้าเรียนไม่ทันหรอก"
"ผมไม่อยากเปียก"
"ไม่เปียกหรอก" เขาฉุดผมให้ลุกขึ้นแล้วดึงเข้าไปชิดตัวเขาในพื้นที่ร่มสามารถบังเราจากฝนไว้ได้
"แล้วแมวนี่ละฮะ เอาไว้ไหนดี" ผมว่าพลางชูแมวตัวเล็กในมือให้เขาดู
"เอาไว้ในนี้แหละ" พี่ซีหยิบแมวไปจากผมแล้วเปิดประตูหอก่อนจะเอามันไปไว้ในนั้น แล้วกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม ผมเดินคู่ไปกับพี่ซีภายใต้ร่มคันนั้น มันก็จริงที่ผมจะไม่เปียกแน่ๆ แต่มันไม่ใกล้ไปหน่อยเหรอ
ผมได้แต่ก้มหน้ามอง จนมองเห็นเท้าเราสองคนที่เดินเป็นจังหวะเดียวกันเพื่อให้ก้าวไปพร้อมกัน พี่ซีใส่รองเท้าอีแตะซึ่งไม่มีความเหมาะสมใดกับชุดนักศึกษา แต่เพราะว่ามันเป็นพี่ซีแหละมั้งมันเลยไม่ได้ดูขัดหูขัดตา
"ไม่พูดอะไรกันหน่อยเหรอ"
"ครับ?" ผมสะดุ้งนิดหนึ่งที่จู่ๆ เขาพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
"ก็เห็นมันเงียบๆ อะ ชวนคุยหน่อยดิ"
"พี่มองเห็นผีได้ยังไงเหรอ"
"งั้นเงียบปากแล้วเดินไปเหอะ"
"พี่จะไม่ช่วยผมจริงๆ เหรอ"
"ไม่ช่วย"
"ครั้งเดียวนะ"
ผมพยักหน้าหงึกๆ ยกหัวคิ้วขึ้นพร้อมริมฝีปากเพื่อให้หน้าตาน่าสงสารที่สุด คนใต้ร่มคันเดียวกันยกมุมปากขึ้นยิ้ม
"แล้วทำต้องทำหน้าตาน่ารัก"
"ไรนะ"
"หน้ามึงไง หน้ารักชิบเลยแม่ง"
"แล้วจะช่วยคนน่ารักไหม"
"ไม่เว้ย"
"พี่อะ!"
"ไม่ต้องพูดแล้ว เงียบไปเลย"
"พี่...แค่ครั้ง..."
"หุบปากแล้วเดิน!"
ผมได้แต่เบ้ปากใส่ แต่ต้องแน่ใจก่อนว่าเขาไม่เห็น ด้วยส่วนสูงของเขาที่มากกว่าถ้าไม่ก้มลงมาก็คงไม่เห็น เลยแอบขยับปากด่าแบบไม่มีเสียงไปด้วย ส่วนเขาเดินให้เร็วขึ้นจนผมต้องเร่งเท้าเดินให้ทันเขา จนมาหยุดที่ตึกมนุษย์ศาสตร์ซึ่งเป็นคณะของผม
"เรียนตึกนี้ใช่ป่ะ"
"ครับ"
"ไปดิ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันหรอก"
ผมพยักหน้านิดหนึ่งก่อนจะออกจากร่มของเขาแล้วก้าวเข้าไปในตึก จังหวะนั้นทำให้ผมเห็นเสื้อของเขาที่เปียกไปแถบหนึ่ง
"พี่เปียกทำไมไม่บอกอะ"
"บอกมึงแล้วเสื้อมันจะแห้งป่ะล่ะ"
"พี่!"
"ก็กูบอกแล้วไงว่าจะไม่ให้มึงเปียกอะ"
"แต่ว่า..."
"เออ ช่างเหอะ ถือว่าเป็นบริการลูกค้าที่หอละกัน" เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป ผมยืนมองเขาก้าวขายาวๆ เดินเข้าตึกสถาปัตย์ไป ตอนนี้ผมก็อยากรู้จริงๆ ว่าคนแบบพี่ซี เป็นคนแบบไหนกันแน่นะ
...
วันนี้ที่คณะมีนิทรรศการมนุษย์ศาสตร์ กว่าจะเลิกกิจกรรมก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม วันนี้ไอ้ทิมเองก็ไม่ได้เอารถมาเพราะฝนตกรถติด คืนนี้ผมเลยต้องเดินกลับหอ ส่วนทิมก็ต้องเดินไปรอรถเมล์กลับบ้าน อากาศเย็นๆ และอากาศครึ้มฝนคล้ายจะตกลงมาอีกรอบทำให้ผมรู้สึกแย่ลงไปนิดหน่อย เกลียดฤดูฝนจริงๆ ให้ตายเหอะ
"มึงไม่ต้องไปส่งกูหรอก กูไปได้"
"เออ เดี๋ยวไปส่งก่อน มันดึกแล้ว"
"หอกูอยู่แค่นี้เอง"
"เดี๋ยวมึงโดนฉุดไปทำไง"
"ไอ้ห่านี่! เดี๋ยวกูตบ" ปากบอกว่าเดี๋ยวแต่มือไม่ได้รอ เลยเผลอฟาดมือใส่หัวมันไปหนึ่งทีอย่างสุดแรง
"ไอ้นี่ รุนแรงกับกูตลอด เดี๋ยวกูก็..."
เสียงทิมชะงักไปเพราะเสียงอื่นแทรกเข้ามาแทน เสียงโครมครามดังอยู่ใกล้จนทั้งผมสะดุ้งเฮือก
"เอี๊ยด! ปัง! โครม!"
ใจผมหล่นหายไปวูบหนึ่ง ก่อนกระพริบตาถี่แล้วหันมองหน้าทิม
"อะไรวะ" ทิมถามหน้าตาตื่น ผมได้แต่ส่ายหัวเบาๆ แล้วก้าวเท้าเดินไปยังต้นทางของเสียงเมื่อกี้ ทิมที่เดินตามมาด้วยดึงมือผมให้หยุดก่อน
"กูว่ารถชนกันแน่ๆ เลย อย่าไปดูเลย"
"ขอดูหน่อย"
ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินต่อไป แล้วก็จริงอย่างที่ทิมว่า รถยนต์สองคันชนกันอยู่ที่มุมถนน เสียงแตกตื่นของผู้คนที่พากันวิ่งเข้ามาดูดังจอแจ ผมเลื่อนสายตามองรถที่สภาพพังยับ เศษกระจกแหลกกระจายเต็มพื้น ร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่กลางถนน สภาพของร่างนั้นเป็นเหตุให้ผมเผลอหลับตาหนี
"เฮ้ยน่าน ไปเหอะ น่ากลัวว่ะ" ทิมดึงมือผมให้ออกมาจากตรงนั้น แต่เท้าผมไม่ขยับตาม อยู่ๆ ฝนก็ลงเม็ดลงมา ผมเงยหน้ามองเม็ดฝนนั่น แล้วเลื่อนสายตามองคนบนถนน
"น่าน ไปเหอะ"
วันที่คนรู้จักของผมตาย ฝนก็ตกลงมาแบบนั้น
สภาพรถก็ไม่ต่างอะไรจากตรงนั้น
ร่างกายของเขาก็คล้ายกับคนที่นอนอยู่ตรงนั้น
และเรื่องของวันนั้นวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดหลายปีที่ผ่านมาเหมือนหนังฉายซ้ำ ผมไม่เคยลืมว่าเขาคนนั้นตายยังไง การจากไปของเขาหลอกหลอนอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ
"ไอ้น่าน!"
เสียงของทิมดึงผมออกมาจากความคิดนั่น
"ไปเหอะ มึงเปียกหมดแล้ว มึงไม่ชอบฝนไม่ใช่เหรอ"
"อืม ไปสิ"
ผมพยักหน้ารับแล้วก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น ได้ไม่กี่ก้าวก็กลับหยุดเดินซะเฉยๆ ความคิดบ้าบอโผล่ขึ้นมาในหัวในตอนที่หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น
ถ้าตรงนั้นมีคนตาย ตรงนั้นก็จะต้องมีผีใช่ไหม
"ทิมมึงว่าตรงนั้นจะมีผีป่ะวะ"
"ไรนะ"
"กูว่าตรงนั้นต้องมีผีว่ะ"
"ไอ้น่าน! มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย"
ผมไม่ทันได้ฟังที่ทิมพูดก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่จุดเกิดเหตุ กวาดสายตามองรอบๆ เพื่อมองหาผีหรือวิญญาณที่ผมเชื่อว่ามีจริง ผมอยากรู้ว่ามันมีวิธีไหนที่จะได้เห็นพวกเขาเหล่านั้น ผมต้องทำยังไง
"ไอ้น่าน! ออกมาเหอะ น่ากลัวจะตาย"
"เดี๋ยวดิ!"
"มึงเลิกไร้สาระแล้วออกมา!" ทิมดึงผมออกมาจากตรงนั้น แล้วลากผมจนมาหยุดอยู่ที่หน้าหอ ท่ามกลางฝนที่กระหน่ำตกลงมาไม่หยุด ทั้งผมและทิมเปียกไปทั้งตัว
"มึงเป็นอะไรไอ้น่าน!"
"กูก็แค่อยากรู้ว่าผีมันมีอยู่จริงไหม"
"ไม่มีหรอก มึงเลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว"
"มึงรู้ได้ยังไงว่าไม่มี มึงก็ไม่เคยเห็นนี่"
"เพราะกูไม่เคยเห็นไง กูเลยมั่นใจว่ามันไม่มี"
"กูแค่อยากเจอ..."
"มึงไม่มีวันได้เจอมัน!"
ทิมตะโกนเสียงดังจนผมสะดุ้ง
"มึงไม่มีวันตามหามันเจอ มึงไม่มีทางเจอคนที่ตายไปแล้วได้หรอก มึงมองเห็นผีไม่ได้!"
"แต่มีคนที่มองเห็นผีได้จริงๆ นะเว้ย!"
"ไม่มี! มันไม่อยู่จริง! ไร้สาระ ปัญญาอ่อน งมงาย!"
"ไอ้ทิม!"
"ตั้งสติหน่อยไอ้น่าน!"
ผมเงียบ และก้มหน้าลงเพราะเสียงดังของไอ้ทิม ผมเป็นคนบ้า ก็แค่คนบ้า
"เข้าหอไปได้แล้ว มึงเกลียดฝน มึงไม่ชอบให้ตัวเองเปียก"
ผมพยักหน้าเบาๆ
"กูกลับก่อนนะ"
ผมมองทิมที่เดินออกไป แล้วนั่งลงที่เก้าอี้หน้าหอ ปล่อยความคิดเคลื่อนผ่านความรู้สึกไปช้าๆ มีความจริงหลายอย่างที่ผมต้องยอมรับ ผมไม่มีทางเจอคนที่ตายไปแล้ว ผีไม่มีจริง และคนที่มองเห็นผีก็ไม่มีจริง
ขณะที่ผมยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น คนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมเงยหน้ามองจึงเห็นว่าเป็นพี่ซี แม้รู้ว่ามันไม่ช่วยให้ผมหลบฝนได้พ้น แต่เขาก็ขยับตัวเองมายืนบังฝนนั่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นบังใบหน้าของผมจากฝนที่สาดเข้ามาแล้วเอ่ยบางคำท่ามกลางความเงียบ
"เดี๋ยวหาให้"
"ครับ?"
"ไอ้สิ่งที่ตามหาอยู่อะ"
"..."
"เดี๋ยวช่วยหาให้" To be continued.