ตอนที่ 5
วันนี้ทั้งวันจะต้องผมช็อกกี่รอบกันละครับเนี๊ยะ ผมไม่คิดเลยว่าผมจะได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเผ่าซาตานที่คุณตาพร่ำบอกให้ผมหลีกเลี่ยงไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรู ซึ่งผมก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาตลอดทั้งชีวิต แต่ตอนนี้กลับต้องมานอนอยู่ห้องข้างๆกันซะอย่างนั้น
“ไหงเรื่องมันเป็นแบบนี้ไปได้ พี่แมทล้อกันเล่นปะ”
“ป๊าบ!” พี่แมทลุกมาตบผมหัวจนเซ “มันใช่เรื่องจะมาล้อเล่นไหมล่ะ พี่ก็ไม่รู้ที่มาที่ไปหรอก ลุงเบนแกไม่ได้เล่าละเอียดขนาดนั้น แกก็เล่าในสิ่งที่แกอยากให้รู้แค่นั้นแหละ ปู่กับลุงเบนคงมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกเรา”
“เฮ้อ” ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันตีกันไปหมดจนผมไม่รู้ว่าต้องเริ่มจับต้นชนปลายยังไง
“เอาหน่า ถึงเวลาถ้ามีอะไรที่เราต้องรู้ เดี๋ยวปู่ก็คงบอกให้รู้เอง ไปๆๆนอนได้แล้ว”
“แหมม...พี่ก็พูดได้สิ ไม่ได้ต้องอยู่กับดิออนบ่อยๆ ผมนี่สิต้องตัวติดกับมันแหงๆ ไหนจะต้องพาไปเรียนด้วย เกิดวันไหนมันหิวเลือดมาเที่ยวไล่เจาะคอคนอื่นขึ้นมาให้ทำยังไง”
พี่แมทเอื้อมมือหมายจะตบหัวผมอีกสักที แต่ดีที่คราวนี้ผมไหวหัวหลบทัน
“คิดไปได้ เรื่องนั้นหายห่วงไปได้เลย ทั้งปู่ทั้งลุงเบนยืนยันว่ามันจะไม่เกิดขึ้นตอนนี้อย่างแน่นอน ดิออนเองก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองไม่เหมือนคนอื่นได้ไม่กี่วัน ตั้งแต่เด็กก็โตมาเหมือนมนุษย์คนนึง ไม่เคยเรียนรู้วิถีแวมไพร์ด้วยซ้ำ”
“มันเกี่ยวหรอว่าโตมายังไง มันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณไหมพี่”
สิ่งที่ผมพูดดูเหมือนจะทำให้พี่แมทคล้อยตามและฉุกคิดขึ้นมาหน่อยนึง จริงๆผมก็ไม่ได้กังวลอะไรหรอก เพราะถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริงๆผมคงรับมือดิออนได้ไม่ยากนัก
“เอาหน่า บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ ปู่คงไม่ยอมให้อยู่ด้วยกันถ้าไม่มั่นใจหรอก ปู่คงมีวิธีจัดการของปู่นั่นละ ออกไปได้แล้วพี่จะนอน”
พี่แมทพูดแล้วพยายามดันให้ผมออกจากห้องไป
“เดี๋ยวดิ เป็นแวมไพร์แล้วทำไมไม่กลัวแดด มันไม่แปลกๆหรอพี่แมท” ยังไงข้อนี้ก็ยังมีอะไรน่าสงสัย ผมมั่นใจว่าเป็นแวมไพร์จะต้องกลัวแดด
“จะไปรู้เร้อะ อยากรู้ก็ไปถามปู่ พี่จะนอนแล้ว”
สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้ออกจากห้องพี่แมทมาพร้อมคำถามล้านแปดในหัว คนขี้เสือกแบบผมถ้าไม่ได้รู้คำตอบให้ชัดเจนคงข่มตาให้หลับผ่านคืนนี้ไปไม่ได้แน่ๆ
ผมตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นสามก่อนจะมาหยุดหน้าห้องของดิออน แล้วเคาะประตูเบาๆ เผื่อดิออนยังไม่นอน รอซักพัก...ไม่มีแม้เสียงตอบรับ อาจจะนอนไปแล้วรึเปล่า
“แกร๊ก”
เสียงประตูเปิดออก มันแง้มไว้เพียงเล็กน้อย ดูเหมือนข้างในห้องจะมืดสนิทเพราะไม่มีแสงไฟลอดออกมาเลย ผมเลยผลักประตูเข้าไปเปิดกว้างแต่แล้วก็ต้องตกใจ
ดิออนยืนอยู่หลังประตูในสภาพเปลือยท่อนบน ท่อนล่างสวมเพียงกางเกงนอนขายาวหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบเอว รูปร่างดูเหมือนคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั้นดูดีจนผมยังเผลอมองไปชั่วขณะหนึ่ง นอกจากจะหน้าดีแล้ว ยังหุ่นดีจนน่าหมั่นไส้ ไหล่กว้างแข็งแรงดูรับกันดีกับช่วงท้องที่มีกล้ามเนื้อสวยงามกำลังดี มันลายตาไปหมดจนไม่รู้ว่ามีกล้ามท้องกี่ลูก จะเรียกว่า 6 หรือ 8 แพคดี มันไม่ได้ดูบึกบึนเหมือนนักเล่นกล้ามแต่รูปร่างของมันเป็นนิยามของคำว่าพอดี ส่วนของวีเชฟหรุบหายเข้าไปในกางเกงขายาวจนชวนคิดไปไกล
“มีอะไร”
เหมือนได้เสียงเรียกสติ ผมเลยต้องเสหน้าไปทางอื่นก่อนหันไปสบตา เพิ่งจะเห็นว่าเจ้าตัวนั้นงัวเงียเหมือนถูกปลุกขึ้นกลางคัน
“นะ นายนอนแล้วหรอ”
ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ คอก็แห้งขึ้นมากะทันหัน เล่นเอาเสียงหลง เสียงหาย ปรับคีย์แทบไม่ถูก
“อืม นอนแล้ว”
“เค งั้นนอนต่อเถอะ”
พูดจบก็ดึงลูกบิดปิดประตูไว้ตามเดิม ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องตัวเองที่อยู่ข้างกันด้วยความรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าแถมหัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด
จะว่าเพราะผมขาดเรื่องอย่างว่ามานานก็ไม่น่าเกี่ยว ผมไม่ใช่เด็กๆ อายุ 15-16 ที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ อายุอานามก็ปาไป 91 แล้ว ใช่ว่าไม่เคยผ่านเรื่องแบบนั้นซักหน่อย และด้วยความที่ผมอยู่มานานพอสมควร เทียบได้กับหนึ่งชั่วอายุคน ทำให้ค่อนข้างเปิดเสรีกับรสนิยมทางเพศ ไม่ได้จำกัดว่าตัวเองจะต้องมีเซ็กส์แค่กับเพศหญิง แต่ถ้าต้องเลือกคู่ชีวิตซักคน ก็คงจะเลือกแม่มดที่มีจิตใจดีและไม่ขี้บ่นแค่นี้พอ ส่วนถ้าเป็นผู้ชาย...ผมยังไม่นึกภาพไม่ออกเท่าไหร่
เซ็กส์กับผู้ชายที่ผ่านๆ มาเกิดขึ้นเพราะความอยากรู้อยากลอง อยากสนุกเพียงข้ามคืนซะมากกว่า มันก็ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดีจนรู้สึกติดใจ ที่ผมใจสั่นอาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่ชินกับการที่มีคนแปลกหน้ามาถอดเสื้ออยู่ในบ้านมากกว่านั่นแหละ
“เป็นไงบ้างลีโอ ได้ความว่ายังไงบ้าง”
ผมถามหาความเอาจากเจ้าแมวส้มที่นอนอ้วนอยู่บนเตียง ต่อให้พี่แมทจะบอกว่าคุณตารู้ทัน เลยไล่ลีโอออกไปข้างนอกตอนที่ทั้งสามคุยกัน แต่ผมเชื่อว่าลีโอมีแผนสำรองและไม่ทำให้ผิดหวังเสมอ
ลีโอเล่าทุกอย่างให้ผมฟังเหมือนที่พี่แมทเล่าไม่มีตกหล่น นั่นแปลว่าพี่แมทไม่ได้มีอะไรปิดบังผมเป็นพิเศษ
“แต่ว่านะมิ...ก่อนที่เบนจามินจะกลับ เขาอ้อนวอนให้คริสช่วยปกป้องดิออนด้วย”
ลีโอเล่าให้ฟังอย่างนึกสงสัยอยู่ในที นั่นยิ่งทำให้ผมยิ่งอยากรู้ทุกเรื่องทั้งหมดของดิออนไวๆ
“ปกป้องดิออนหรอ ปกป้องจากอะไร”
สุดท้ายก็ไม่สามารถหาคำตอบอะไรต่อได้ในคืนนี้ ผมเลยต้องยอมจำใจนอนแล้วตั้งหลักกันใหม่ในพรุ่งนี้ ผมมีแผนต่อไปในหัวเรียบร้อยแล้ว
ผมตื่นเช้าด้วยความสดใส วางแผนไว้เรียบร้อยว่าจะต้องพาดิออนไปเจอกับเพื่อนแฝดตามที่คิดไว้ให้ได้ อย่างน้อยนิมิตของฟาติมากับฟารีดาก็ไม่สามารถบิดเบือนความจริงได้ น่าจะได้ข้อมูลหรืออะไรเพิ่มเติมจากทั้งคู่บ้างแหละ
ผมลงมาร่วมทานมื้อเช้าก็เจอดิออนนั่งทานข้าวกับคุณตาและพี่แมทอยู่ก่อนแล้ว วันนี้ดิออนดูผ่อนคลายขึ้นแต่ก็ยังดูเงียบๆ อยู่ดี
“เป็นเจ้าบ้านแท้ๆ แต่ตื่นเอาทีหลังเพื่อน”
เสียงพี่แมทแซวตั้งแต่เห็นผมลากเท้าเข้ามายังห้องอาหาร ผมซ่อนมือไว้ข้างหลัง ก่อนจะแอบร่ายมนตร์เหยาะพริกไทยเข้าไปในโจ๊กของพี่แมท
“ก็มันนอนไม่หลับ...ก็เลยนอนดึก มอร์นิ่งฮะตา ฮายดิออน”
คุณตาอมยิ้มเบาๆแล้วพยักหน้า ส่วนดิออนแค่หรุบตาลงเป็นการทักทายตอบ จะขี้เก๊กคีพคูลไปถึงไหน
“แค่กๆๆ ไอมิ แกใส่อะไรในโจ๊กวะเนี๊ยะ” เสียงพี่แมทโวยวายปนไอออกมาจนผมรู้สึกแสบคอแทน
“อะไรกัน ใส่อะไร ตอนไหน ไม่มี” ผมลอยหน้าลอยตาพูดก่อนจะหยิบซอสปรุงรสมาปรุงชามโจ๊กของตัวเองที่ถูกตักเตรียมไว้อยู่แล้ว
“ต้องให้ตาบอกอีกกี่ครั้งว่าอย่าเล่นกับอาหาร”
เสียงคุณตาดุขึ้นไม่จริงจังนัก ผมเลยต้องก้มหัวขอโทษพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆคล้ายสำนึกผิด เมื่อพ้นสายตาคุณตาจึงยักคิ้วให้พี่แมทหนึ่งทีเป็นการเยาะเย้ย ผมเห็นจากหางตาว่าดิออนมองผมอยู่ จึงหันไปมองตอบ
ดิออนมองสู้ ไม่ได้หลบสายตาแต่อย่างใด เราทั้งคู่เหมือนสบตากันอยู่อย่างนั้นชั่วขณะนึง ก่อนเป็นผมที่เลื่อนสายตามาที่โจ๊กตรงหน้า
“วันนี้ช่วงสายๆ ว่าจะออกไปซื้อของใช้ส่วนตัวนิดหน่อย เมื่อคืนมีอะไรขาดเหลือรึเปล่า ผมพาดิออนไปด้วยดีไหมตา เผื่ออยากได้อะไรเพิ่มเติม” ท้ายประโยคผมหันไปหาเสียงสนับสนุนจากตา
“ก็ดี มีอะไรขาดเหลือก็จัดการซื้อให้เรียบร้อย ไม่ต้องเกรงใจนะ”
เยส! แค่คุณตาเห็นด้วยก็สบายละ
“ครับ” ดิออนตอบรับอย่างสุภาพ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินโจ๊กในชามต่อ
“ให้แน่นะมิเกลว่าพาดิออนไปซื้อของ ไม่ใช่ชวนกันไปเล่นอะไรแผลงๆ”
พี่แมทจะพูดให้เสียเรื่องทำไมเนี๊ยะ ไม่รู้เวล่ำเวลาเลย เดี๋ยวตาก็ไม่ยอมให้ไปหรอก
“ไปห้างแปบเดียวเดี๋ยวก็กลับ ไม่เชื่อก็รอถามลีโอก็ได้ เดี๋ยวพาลีโอไปด้วย”
“เดี๋ยววันนี้จะดูมิเกลให้นะแมทธิว รับรองไม่มีเถลไถล” ลีโอเดินเข้ามาในห้องเหมือนรู้จังหวะ ก่อนจะกระโดดขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวถัดจากผม
“หึ ยิ่งพากันสนับสนุนละสิไม่ว่า เข้าขาอย่างกับอะไรดี”
พี่แมทส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่ผมไม่สนใจ ยังไงวันนี้ก็ต้องพาดิออนออกไปข้างนอกให้ได้ พอหันไปหาดิออน เจ้าตัวกำลังตกอยู่ในอาการอึ้ง อ้าปากค้างจนหลุดธีมไปซะอย่างนั้น จ้องไปที่ลีโอตาไม่กะพริบเลย
“อ๋อ นี่ลีโอ เป็นสัตว์ประจำตัวของชั้นเอง เป็นแมวพูดได้ เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ” ผมพูดอวดสรรพคุณลีโอกับดิออน
“หวัดดีดิออน ยินดีที่ได้รู้จักนะ เหมียววววว”
ลีโอพูดพร้อมกับส่ายหางไปมาเป็นการอวดโฉม โธ่เอ้ย...ปกติเคยร้องว่าเหมียวซะที่ไหน
“หวัดดี”
ดิออนเองก็ตอบรับอย่างอึ้งๆ คงไม่รู้จักสัตว์ประจำตัว ยิ่งไปกว่านั้นคือลีโอเป็นแมวพูดได้
“งั้นเดี๋ยว 11 โมงเจอกันนะ อยากได้อะไรก็ลิสท์ไว้ละกัน” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนจะกินโจ๊กต่ออย่างอารมณ์ดี
ผมแต่งตัวสำหรับออกไปข้างนอกเมื่อใกล้ถึงเวลานัด พร้อมทั้งโทรและไลน์นัดเพื่อนแฝดให้ไปเจอกันที่ห้างตอนบ่ายโมงนิดๆ คิดว่าจะคุยกันตอนทานมื้อเที่ยงด้วยกัน พร้อมวานให้สองคนนั้นช่วยจองห้องไพรเวทรูมสำหรับมื้อเที่ยงด้วย
วันนี้พาลีโอไปด้วย ลีโอยืนยันที่จะอยู่ในร่างของแฮมสเตอร์จิ๋วเพื่อเข้ามาซุกตัวในกระเป๋าเสื้อตรงอกผม มากกว่าอยู่ในร่างแมวให้ผมสะพายเป้าสีใสทรงอวกาศเหมือนที่คนนิยมกัน เพราะหลายๆครั้งจะเจอพวกทาสแมวเข้ามาเล่นด้วย ลีโอบอกว่ามันรู้สึกอึดอัดและกลัวลืมตัวโวยวายเสียงดังใส่
ส่วนดิออนแต่งตัวสบายๆในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีน แต่ก็ยังดูดีไร้ที่ติ รูปร่างเขาเหมาะจะเป็นนายแบบจริงๆ
“นายอยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
ผมหันไปถามดิออนเมื่อขึ้นมานั่งบนรถไพรเวทแท็กซี่แล้วเรียบร้อย
“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องซื้อ อาจจะดูเสื้อผ้าสองสามชุด กับกีตาร์ซักตัว ตัวเก่ามันเสียไปแล้ว ผมไม่ได้หยิบมาจากบ้าน”
ให้ตายสิ นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ดิออนพูดกับผมตั้งแต่เจอกันเมื่อวานเลยก็ว่าได้
“โอเค”
“ถามอะไรหน่อยดิ”
นอกจากจะพูดยาวขึ้นแล้วยังขี้เสือกขี้สงสัยขึ้นด้วยหรอเนี๊ยะ ออกจากบ้านหน่อยเดียวเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยนะ
“อะไรหรอ”
ดิออนดูท่าทางลังเลจะถาม ก่อนหันไปมองคนขับรถแท็กซี่เป็นสัญญาณว่าไม่อยากให้เขาได้ยิน
“ถามได้” ผมพูดพร้อมกับใช้เวทมนตร์ปรับเสียงวิทยุในรถให้ดังขึ้นกว่าเดิม “แค่นี้ก็ไม่ได้ยินที่เราคุยกันละ”
“เรื่องสัตว์ประจำตัว พ่อมดแม่มดทุกคนจะต้องมีสัตว์ประจำตัวหรอ”
อยู่ๆดิออนก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา คงยังติดใจกับลีโอไม่หาย
“ก็ไม่ทุกคนนะ จริงๆ เป็นส่วนน้อยด้วยซ้ำ” ผมตอบดิออนก่อนจะหยิบลีโอที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาอุ้มไว้ในมือ “สัตว์ประจำตัวจะมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ หรือความสามารถพิเศษเฉพาะตัวต่างกันออกไป อย่างเจ้าลีโอเป็นแมวที่สามารถเลียนแบบได้ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นแฮมสเตอร์นี่”
“ว่ากันว่า...สัตว์ประจำตัวของพ่อมดแม่มดจะเกิดและตายพร้อมกับเจ้าของ และมีเจ้าของเพียงคนเดียวชั่วอายุของมัน ส่วนจะเป็นสัตว์ประเภทไหนก็แล้วแต่จะได้มา”
ดิออนพยักหน้าช้าๆ เป็นอันว่าเข้าใจที่ผมอธิบาย “แล้วเมื่อคืนมีอะไรรึเปล่า”
ผมสะดุ้งเล็กน้อยที่อยู่ๆ เจ้าตัวก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา เห็นเมื่อเช้าไม่ได้ทักเรื่องนี้คิดว่าจำไม่ได้หรือไม่รู้สึกตัวแล้วซะอีก
“เปล่า แค่มีอะไรสงสัยนิดหน่อย แต่ช่างมันเถอะ” ผมตอบปัดไปก่อนจะมองออกไปนอกรถ
เมื่อถึงห้างผมก็พาดิออนตรงเข้าไปที่โซน Luxury Brand ทันที เพราะยังไม่รู้ว่าเจ้าตัวมีแบรนด์ไหนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษหรือใช้เป็นประจำหรือเปล่า ห้างวันธรรมดาไม่ได้มีคนพลุกพล่านเหมือนอย่างวันหยุด เลยเดินได้สบายๆไม่ต้องระวังตัวมาก
“ปกตินายใส่แบรนด์ไหนเป็นประจำ?”
“ไม่มี...ชอบก็ซื้อ”
“งั้นเริ่มที่ร้านนี้ก็แล้วกัน ค่อยๆดูไปทีละร้าน” ผมลากดิออนเข้าร้านประจำที่เป็นแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก แต่ราคาแพงระดับจักรวาล
“เดี๋ยว...ผมว่ามันแพงไป ผมไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น”
ผมหันกลับไปมองอย่างนึกสงสัย ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเจอพ่อมดแม่มดที่มีฐานะยากจนเลย บางคนอาจจะไม่ได้ร่ำรวยมากนักแต่ส่วนใหญ่ก็มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อของพวกนี้ได้สบาย
“นี่บ้านนายไม่รวยหรอ” เหมือนผมจะพูดออกไปโดยไม่ทันระวังคำพูด ดิออนเลยคิ้วขมวดติดกันเหมือนจะไม่สบอารมณ์อยู่หน่อยๆ “โทษที คือชั้นคิดว่าปกติพ่อมดแม่มดไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินกันเท่าไหร่ ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกดูแคลนอะไร เอาเถอะ...ยังไงนายก็มาอยู่ความดูแลของตา เดี๋ยวชั้นจ่ายให้เอง”
“ผมจ่ายเองได้ แต่ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยพวกนั้น”
สีหน้าดิออนดูผ่อนคลายลง คงเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ แต่ก็ยังไม่ยอมรับน้ำใจจากผมอยู่ดี
“มาเถอะ...เดี๋ยวจ่ายเอง นายไม่รู้หรอว่าบ้านชั้นรวย ซื้อห้างนี้ทั้งห้างนี้ยังได้เลย”
ผมไม่รอให้ดิออนปฏิเสธ รีบลากแขนเดินเข้ามาในร้าน ตั้งใจจะดูเสื้อโค้ทตัวใหม่สำหรับไปเกาหลีด้วย
“สวัสดีค่ะคุณไมค์”
พนักงานต้อนรับทักทายด้วยชื่อล่าสุดที่ผมใช้อยู่ เพราะผมเป็นลูกค้าชั้นดีของแบรนด์นี้ ทุกคนในช็อปจำเป็นต้องจำผมให้ได้ ลำบากผมที่ต้องมาไล่ลบความจำทุกครั้งที่เปลี่ยนชื่อ
ถ้าจะให้อธิบายเพิ่มเติม จริงๆก็ไม่เชิงเป็นเวทมนตร์ลบความทรงจำหรอก แต่เป็นการแทนที่ความทรงจำเก่าด้วยข้อมูลชุดใหม่ ซึ่งนั่นจะทำให้เจ้าตัวเกิดความสับสนแต่จะเลือกเชื่อข้อมูลชุดใหม่ที่ผมป้อนไปทันที ไม่อย่างนั้นผมคงเดินห้างลำบากเพราะหน้าตาแทบจะไม่แก่ลงตั้งแต่ห้างเปิดทำการขึ้นมา
“เอาคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดให้คนนี้...ทุกชุด แล้วก็ดูโค้ทให้ผมซัก 3 ตัวนะ”
ผมพูดพร้อมกับผายมือไปที่ดิออน พนักงานเห็นดังนั้นจึงรีบขออนุญาตเจ้าตัวพร้อมกับลากไปวัดตัวทันที ดิออนดูจะไม่เต็มใจนักแต่ก็ได้เพียงแค่อึกอัก
“ไม่เห็นต้องขนาดนี้เลย” ดิออนพูดแย้งในขณะที่พนักงานกำลังวัดบ่าของเขา
“เอาๆไปเถอะหน่า อย่าเรื่องมาก”
“งั้นผมจะไม่ใส่” แน่ะ..มีขู่ด้วย
“งั้นก็เลือกเฉพาะตัวที่ชอบไปก็แล้วกัน”
ดิออนพยักหน้าอย่างจำยอม ก่อนจะยืนให้พนักงานวัดอีกสองสามที ถ้าว่ากันตามตรงไซส์ของดิออนแทบจะไม่ต้องวัดตัวเลยด้วยซ้ำ มองผ่านๆยังหยิบไซส์ได้ไม่ยาก พวกพนักงานคงอยากจะแต๊ะอั๋งเขาละสิ
แล้วพนักงานก็เดินไปจัดคอลเลคชั่นใหม่ทั้งราวเข็นมาให้ดิออนเลือก ซึ่งเจ้าตัวก็ดูไม่ได้ตั้งใจเลือกมากนากแต่ก็เลือกอะไรที่ดูสบายๆ ไม่มีลูกเล่นที่ดูเป็นแฟชั่นจ๋า
“ลีโอ อยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
ผมถามลีโอที่ซุกตัวอยู่กับอก แต่ได้คำตอบว่าไม่เอาอะไรทั้งนั้น ให้รีบๆซื้อของเพราะเจ้าตัวอึดอัดจะแย่แล้ว สุดท้ายทั้งผมและดิออนก็ได้เสื้อผ้าไปหลายถุงใหญ่ๆ จนต้องให้ทางห้างจัดส่งไปที่บ้าน ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร
ผมพาดิออนไปดูกีตาร์ที่บอกว่าอยากได้ตรงโซนเครื่องดนตรี เห็นเจ้าตัวทั้งดู ทั้งลองดีดอยู่สองสามตัวก่อนจะตัดสินใจเลือกกีตาร์โปร่งตัวหนึ่ง ราคาไม่ได้แพงมากนัก
“อันนี้ผมจ่ายเอง”
“ตามใจ!” ผมพูดก่อนเดินไปดูเครื่องดนตรีตัวอื่นที่อยู่ใกล้ๆ กัน ผมชอบฟังแต่ไม่ชอบเล่น น่าจะเป็นไม่กี่อย่างที่ผมไม่คิดจะลองฝึก “เดี๋ยวแวะทานข้าวเที่ยงที่นี่เลยละกัน จองห้องไว้เรียบร้อยแล้ว มีเพื่อนจะแนะนำให้รู้จักด้วย”
“อะไรนะ ไม่เห็นบอกก่อนว่าจะพาไปเจอคนอื่นด้วย”
“ก็บอกอยู่นี่ไง” ดิออนมองค้อนผมอย่างหนัก “เอาหน่า เพื่อนชั้นก็เป็นแม่มด แถมนิสัยเฟรนด์ลี่ด้วย ไม่มีอะไรหรอก”
ผมพาดิออนไปยังร้านอาหารที่นัดคู่แฝดเอาไว้ จากที่ไลน์คุยกันล่าสุด...ทั้งสองคนเข้าไปรอในห้องส่วนตัว พร้อมทั้งสั่งอาหารรอล่วงหน้าแล้ว
“ว่าไงสาวๆ รอนานป่าว”
ผมเดินนำดิออนเข้าไปในห้องด้วยเคยชินพร้อมกล่าวทักทาย แต่สายตาของคู่แฝดดูจะโฟกัสอยู่ที่ดิออนอย่างเดียวเลย
“นี่ดิออน ที่บอกว่าจะแนะนำให้รู้จัก” ผมลากแขนดิออนให้ขยับเข้ามาใกล้ๆ เพราะเจ้าตัวมัวแต่ยืนแข็งเป็นหิน “คนซ้ายนี่ฟาติมา ส่วนคนขวานี่ฟารีดา เป็นฝาแฝดกัน เป็นเพื่อนสนิทชั้นเอง รู้จักกันไว้นะ เดี๋ยวเจอกันบ่อยๆนายคงแยกออกทั้งสองคนได้ไวขึ้น”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะดิออน มานั่งก่อนสิ นี่พวกเราสั่งอาหารรอไว้แล้ว มีอะไรที่ดิออนแพ้หรือทานไม่ได้รึเปล่า ถามมิแล้วมิบอกว่าไม่รู้ เราเลยสั่งแต่ของอร่อยไปก่อน” เป็นฟาติมาที่พูดยาวเหยียดทำความรู้จักกับดิออน
ผมมองอาหารที่ทั้งคู่ตะบี้ตะบันสั่งจนเต็มโต๊ะ นี่จะสั่งเผื่อไปยังสัปดาห์หน้ากันเลยหรือไง
“ไม่มีครับ ผมทานได้ทุกอย่าง”
ผมลากแขนดิออนมานั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ ก่อนหันไปร่ายเวทใส่ประตูให้เปิดออกจากข้างนอกไม่ได้ จะได้คุยกันสะดวก ซึ่งปกติถ้าเป็นไพรเวทรูมแบบนี้พนักงานจะไม่เดินเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่แล้ว ยกเว้นเราจะกดปุ่มเรียก แต่ป้องกันไว้ย่อมดีกว่า
ผมหยิบลีโอออกมาจากกระเป๋าเสื้อตรงอก ลีโอรีบคืนสภาพกลายเป็นแมวก่อนจะบ่นระงมว่าทั้งร้อนทั้งอึดอัด
“ก็ช่วยไม่ได้ เป็นแมวอยู่ดีๆ เลือกจะเป็นหนูอยู่ในกระเป๋าเสื้อ”
“วันนี้ลีโอสุดหล่อก็มาด้วย นี่ๆฟาติสั่งของโปรดให้ลีโอด้วยนะ”
แล้วฟาติมากับฟารีดาก็ผลัดกันพูดจาเอาอกเอาใจลีโอ แต่ก็ยังไม่ลืมดีออน มีแต่ผมที่ดูจะเป็นหมาหัวเน่าของวันนี้ เห็นแบบนี้...เจ้าลีโอมีคนตามไอจีเกือบแสนด้วยบทบาทเซเลบแมวส้มชื่อดัง โดยมีฟาติมากับฟารีดาเป็นแอดมิน นั่นยิ่งทำให้เจ้าลีโออึดอัดเวลาต้องออกมาข้างนอก แต่เจ้าตัวก็ยังชอบที่จะเป็นนายแบบถ่ายรูปอยู่ดี
“อาจจะเป็นดิออนก็ได้นะมิ ที่ชั้นเห็นจากนิมิตครั้งก่อนว่าได้ไปเรียนที่เกาหลีด้วยกัน มันเห็นไม่ชัดเท่าไหร่ แต่คิดว่าน่าจะใช่” อยู่ๆฟาติมาก็พูดย้อนทวนความจำที่เคยบอกไว้เมื่อวันก่อนที่เจอกัน
ส่วนดิออนก็งงเป็นไก่ตาแตกที่ชื่อตัวเองตกเป็นหัวข้อบทสนทนาแปลกๆ นี้
“อ๋อ ไม่ต้องแปลกใจหรอก ฟาติมากับฟารีดาเป็นแม่มดที่มีความสามารถในการมองเห็นทั้งอดีตและอนาคต” ผมหันไปอธิบายให้ดิออนฟัง “นายไม่อยากรู้ความเป็นมาของนายที่ลุงเบนไม่เคยเล่าให้ฟังหรอ”
ดิออนเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด
“ลองดูสิ ไม่มีอะไรเสียหายหรอก” ผมพูดโน้มน้าว และดิออนก็ตอบตกลง
เราทั้งหมดเริ่มทานข้าวกัน โดยบทสนทนาส่วนใหญ่ตกเป็นของพวกเรา เว้นแต่ดิออน ถึงแม้ทั้งฟาติมาและฟารีดาจะชวนคุยขนาดไหน ดิออนเพียงแต่ตอบตามมารยาทก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าว
หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็เรียกให้พนักงานมาเคลียร์โต๊ะพร้อมยกจานข้าวออกไป แล้วสั่งขนมหวานมาล้างท้อง แล้วจึงร่ายเวทใส่ประตูไว้เหมือนเดิม
“ฟาติ ฟารี มาลองดูว่าเห็นอะไรบ้าง ให้ฟารีก่อนก็แล้วกัน”
ฟารีดาเดินอ้อมมานั่งลงบนขอบโต๊ะก่อนขออนุญาตกุมมือดิออนไว้
“ใส่แหวนไม้ด้วยหรอ” ฟารีดาทักขึ้นคงเพื่อไม่ให้ดิออนรู้สึกประหม่า “ปล่อยตัวปล่อยใจตามสบายนะดิออน”
แล้วฟารีดาก็หลับตา ร่ายเวทเพื่อมองเห็นอดีตของดิออน
“อดีตของดิออนแทบจะไม่มีอะไรต่างจากมนุษย์ปกติเลยมิ ส่วนใหญ่ก็ไปโรงเรียน เลิกเรียนก็กลับบ้าน มีแวะเล่นกีฬา เล่นดนตรีกับเพื่อนบ้าง เหมือนเด็กม.ปลายทั่วๆไป” ฟารีดาบรรยายคร่าวๆ ในสิ่งที่ตัวเองมองเห็นจากในนิมิต “ไม่มีอะไรแปลกเลย ยกเว้นนกอินทรีย์ตัวนั้น ตัวใหญ่ๆ ขนสีดำสนิททั้งตัว”
แล้วฟารีดาก็ลืมตาขึ้น ทุกคนจึงหันไปหาดิออนเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
“นกอินทรีหรอ นกอินทรีตัวนั้นทำไมหรอ” ดิออนถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“มันเป็นสัตว์ประจำตัวของดิออน เหมือนลีโอของมิเกลไง ตอนนี้นกตัวนั้นไม่ได้ตามดิออนไปอยู่ที่บ้านของมิเกลใช่ไหม” ฟารีดาอธิบายให้ดิออนฟังก่อนจะถามกลับจากสิ่งที่เธอเห็น
“ผมไม่รู้ว่านกตัวนั้นเป็นสัตว์ประจำตัวของผม ตั้งแต่เด็กก็จะเห็นมันคอยเกาะอยู่บนต้นไม้ตรงข้ามกับห้องนอน คิดว่าเป็นนกที่หลงกับแม่ของมันตั้งแต่มันยังเล็กๆ มันเลยไม่ยอมไปไหน แต่ก็ไม่เห็นมันพยายามพูดกับผมเหมือนอย่างลีโอ”
ผมไม่คิดเลยว่าดิออนจะมีสัตว์ประจำตัว ยิ่งดิออนเป็นเพียงพ่อมดเลือดผสม เพราะแม้แต่พ่อมดแม่มดปกติอย่างเพื่อนในกลุ่มไม่ว่าจะคู่แฝดหรืออีวาน หรือจะเป็นคนในครอบครัวคนอื่นๆต่างก็ไม่มีสัตว์ประจำตัว แต่ทำไมเลือดผสมอย่างดิออนถึงมี
“ดิออน ไม่ใช่สัตว์ประจำตัวทุกตัวจะพูดได้เหมือนลีโอหรอกนะ ลีโอเป็นส่วนน้อยหน่ะ ส่วนใหญ่จะพูดไม่ได้แต่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด” ผมอธิบายให้ดิออนเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นผมต้องทำยังไงกับมัน”
“ก็ต้องไปรับมันมาอยู่ด้วยกัน เป็นสัตว์ประจำตัวยังไงก็ต้องอยู่ด้วยกัน” เป็นฟารีดาที่ตอบ
ดิออนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ฟาติ มาดูหน่อย” ผมพยักหน้าเรียกฟาติเข้ามาต่อ
ฟาติมาเดินมาแทนที่ฟารีดาแล้วจับมือของดิออนขึ้นมาก่อนหลับตาร่ายเวท ซึ่งที่จริงแล้วความสามารถของฟาติมาไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับตัวดิออนก็เห็นนิมิตถ้ามันจะเห็น
“มือคู่นี้ใช้ควบคุมไฟ” ฟาติมาพูดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่
“อันนั้นผมรู้อยู่แล้ว” เป็นดิออนที่พูดออกมาหน้าซื่อ
“อ้าว แล้วเมื่อวานที่ชั้นถาม นายบอกว่าไม่มี”
“ลุงเบนบอกผมตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรว่าผมสามารถควบคุมไฟได้ แต่ตอนนี้ผมยังทำไม่ได้ ผมเลยบอกคุณไปว่าไม่มี” ดิออนอธิบายขึ้นมา
“ที่ยังควบคุมไม่ได้เพราะมันถูกบางอย่างปิดกั้นอยู่ ต้องใช้เวลา” ฟาติมาพูดต่อและยังคบหลับตาอยู่ เหมือนกำลังพยายามเรียบเรียงอะไรซักอย่างจากสิ่งที่เห็น
“บางอย่างที่ว่าคืออะไรหรอฟาติ” เป็นผมที่ถามขึ้นเพราะความสงสัย แต่ฟาติมาก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้หรือมองไม่เห็น ผมก็ไม่ทราบได้
“ฮึก!!!!”
ยังไม่ทันที่ผมจะถามให้กระจ่าง อยู่ๆฟาติมาก็สะดุ้งเฮือกพร้อมกับปล่อยมือดิออนลงเหมือนจับโดนของร้อน แล้วมองหน้าผมกับดิออนสลับไปมา
“ฟาติ มีอะไรหรอ โอเคไหม” ผมรีบลุกขึ้นยืนประคองเพื่อนที่ดูเหมือนจะตกใจอยู่
“ปะ เปล่า” ฟาติตอบปฏิเสธก่อนจะหลบตาผม
“จะเปล่าได้ยังไง ก็มิเห็นเหมือนฟาติตกใจจนต้องปล่อยมือดิออน”
“ไม่มีอะไรหรอกมิ ก็แค่เห็นแกสองคนไปเรียนด้วยกัน ละอยู่ๆภาพในนิมิตมันตัดไป ก็เลยตกใจหน่ะ”
ฟาติมาพยายามเรียบเรียงอธิบายช้าๆให้ผมเข้าใจ
“อ้อ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังว่าดิออนจะมาอยู่ด้วย คงได้ไปเรียนด้วยกันที่โซล และคงไปไหนมาไหนด้วยกัน” ผมพูดเสริมในสิ่งที่ฟาติมาเห็น
แต่แท้ที่จริงแล้ว...เธอจะอธิบายกับเพื่อนสนิทของเธอได้อย่างไรว่าภาพที่เธอเห็นจากนิมิตคือสงครามนองเลือดที่มีทั้งสองคนเป็นจุดเริ่มต้น ไม่มีวันจบสิ้น และอาจจะเพลี่ยงพล้ำจนไม่มีใครรอดชีวิต แม้แต่ตัวเธอเอง
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ร้อนตับแตกค่ะ เอาตอนที่ 5 มาเสิร์ฟให้แล้วนะคะ หวังว่าทุกคนที่อ่านมาถึงตอนนี้จะยังชอบนะคะ อยากให้ติดตามกันต่อไป เอาใจช่วยมิเกล ว่าจะเอาชนะโชคชะตาของตัวเองได้หรือเปล่า ส่วนดิออนจะใช่พระเอกอย่างที่เดากันไว้ไหม
อย่าลืมดูแลตัวเอง รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ด้วยความเป็นห่วงค่ะ