จูบที่สิบเอ็ด คำพูดของรองวนเวียนอยู่ในความคิดผมตลอดทางกลับบ้าน
ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกว่าท่าทางกระลิ้มกะเหลี่ยที่เขาแสดงออกชัดเจนนั้นแปลกเกินกว่าคนเป็นพี่น้องจะทำกัน ผมรู้สึกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเขาและรู้สึกมาตลอด พยายามคิดว่าการกระทำแบบนั้นคงเป็นนิสัยส่วนตัวของรองเอง แต่พอมาเจอแบบนี้ ผมถึงรู้ว่าน้องมันจริงจัง
ท่าทางดีใจเกินเหตุตอนเขารู้ว่าผมเป็นพี่รหัส...การมองผมแบบไม่คลาดสายตานั้น...หรือการเจอกันแล้วกระโดดกอด...ทุกอย่างมันเมกเซนส์ไปหมด ผมไม่ได้คิดไปเอง
กระอักกระอ่วน แน่ล่ะมันทำให้ผมกระอักกระอ่วน ผมไม่เคยโดนบอกชอบจริงจังแบบนี้บ่อยๆ นี่ครับ อันที่จริงตั้งแต่เกิดมาผมก็เคยโดนแบบนี้จากคนๆ เดียวเท่านั้น...ใช่ครับ ไอ้ลูกดาราคนที่เพิ่งทะเลาะกันเมื่อวานนั่นแหละ
...ผมจะปฏิเสธความรู้สึกดีๆ นั้นลงคอได้ยังไง
“งว้ากกกกกกกกก” ผมปิดประตูบ้านแล้วทึ้งเส้นผมหยักหนาของตัวเองด้วยความปวดหัว ส่งเสียงร้องออกมาในบ้านยามวิกาลที่มืดสนิทและเงียบงัน พอรู้ตัวว่าเสียงตัวเองอาจทำให้คนในบ้านตื่นก็หุบปากโดยพลัน มือเอื้อมไปเปิดสวิทช์ไฟข้างประตู
ด้วยสายตาที่ยังไม่คุ้นชินกับความสว่างนักทำให้เห็นภาพเบลอ แต่ก็พอจะรู้ว่า...มีเงาของบางคนนั่งรอผมอยู่บนโซฟา
“จ๊ะเอ๋”
“อ๊า! ผี!!!”
“ผีบ้านแกสิ นี่แม่!”
ผมขยี้ตา ภาพเลือนรางกลับมาชัดเจนไม่กี่วินาทีเผยให้เห็นผู้หญิงอวบกับทรงผมบ๊อบเท ผู้ซึ่งผมเทไม่คุยกับเธอมาเกือบวันแล้ว
ยังไม่ทันจะพูดอะไร แม่ก็กวักมือไหวๆ บอกให้ลงไปนั่งข้างๆ ผมก้าวเข้าไปหย่อนก้นลงบนโซฟา ตาเหลือบมองนาฬิกาเรือนยักษ์ตรงข้างบันได
“ตีสองแล้ว ไม่นอนอีกเหรอแม่”
“ตีสองแล้ว เพิ่งกลับมาเหรอลูก” แม่เล่นคำซะจี้ใจจนรู้สึกผิด ไม่รู้จะพูดอะไรทำได้แต่ “เง้ออออ”
“วัยรุ่นมันต้องใช้ชีวิตให้สุดๆ เนอะ แต่นี่สุดไปนิดนึงนะครับนายจุมพิต” ผู้หญิงตรงหน้าช้อนตามองผมด้วยสายตาคาดโทษแบบคุณครู ผมหัวเราะแฮ่ใส่ “ขอโทษครับ ไปเลี้ยงน้องมา ทุกคนเมาจนจุ๊บต้องพาไปส่งหอให้ครบหมดเลยอะแม่...แต่จุ๊บไม่ได้กินนะ” ผมรีบบอก
“แม่ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย” แม่แหว “แม่รู้แหละว่าเธอไม่กิน ไอ้นิสัยชอบเทคแคร์คนอื่นนี่ด้วย แต่บางทีก็เทคแคร์จนลืมโทรหาคนที่บ้านเนอะ...เออๆ แม่โอเคเว้ย”
“แฮ่...ขอโทษอีกทีครับ” ผมยิ้มแหย “แล้วนี่แม่ทนรอจุ๊บอยู่ที่นี่มืดๆ ได้ยังไง ไม่ง่วงเหรอ”
“ไม่ง่วง” แม่บอก แถมยิ้มยีฟันแสดงสีหน้าสดชื่นเต็มที่ “เพราะฉันหลับรอบนโซฟานี่ไงยะ ใครจะไปทนตาแข็งรอเธอได้ ปั๊ดโถ่”
เหมือนกำลังโดนด่าว่าสำคัญตัวผิดเลยอะ “ปะ งั้นไปนอนกันดีกว่าแม่ ดึกแล้ว”
ผมจับแขนแม่กะจะพยุงท่านให้ลุกขึ้น แต่แม่ยื่นมือมาจับแขนผมและยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ ชั่วขณะนั้นเองที่ทำให้ผมรู้ตัว เออว่ะ กำลังหลบหน้าแม่กับพ่ออยู่นี่หว่า…
“อยู่คุยกับแม่แป๊บนึงสิจุ๊บ” แม่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลก่อนที่ผมจะทันอ้างอะไรออกไปเสียอีก พอสบตากับแววตาแน่วแน่ราวกับคำสั่งกลายๆ นั้นก็ทำให้ผมไม่กล้าหนี เหมือนมีรังสีความเป็นแม่ที่ทำให้เราต้องยอมทุกเรื่องรั้งผมให้หย่อนก้นลงบนโซฟาตัวเดิม...ไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆ
“จุ๊บรู้ใช่ไหมว่าจุ๊บคุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง และแม่หมายถึงทุกเรื่องจริงๆ” ผู้หญิงตรงหน้าพูด ยิ้มบางปรากฏขึ้นบนริมฝีปากเอิบอิ่ม “เธอมีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังไหม”
ผมเงียบ ใจเริ่มครุ่นคิดไปถึงเรื่องของเขาที่ทำให้คิดมากมาทั้งวันอีกครั้ง
“เรื่องที่แม่อาจจะไม่รู้ เรื่องที่แม่น่าจะรู้ เรื่องที่จุ๊บกำลังไม่สบายใจอยู่ เรื่องอะไรก็ได้” แม่ลูบเรือนผมของผมลงมาจนถึงใบหน้า ผมเม้มปากมองผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าอย่างลำบากใจ...จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
“จุ๊บมีคนที่เขาชอบผม และจุ๊บก็ชอบเขา” ผมตัดสินใจเริ่มจากเรื่องที่เล่าให้แม่ฟังล่าสุด “คู่ชีวิตของผมที่เป็นผู้ชายที่เคยเล่าให้แม่ฟัง”
แม่พยักหน้า “คนที่บดขยี้ริมฝีปากเธอแล้วเวลาหยุด”
“จูบเฉยๆ ก็ได้มั้งครับ” บางทีผมก็แบบ...เออ...ไม่เข้าใจว่าแม่ติดใจอะไรกับการแสดงพลังวิเศษของผมหรือเปล่า “ใช่ฮะ คนนั้น”
“อือฮึ”
“เรื่องที่ผมไม่เคยบอกแม่หรือใครเลยคือ...เขาคือธีร์ ดำรงเดช”
“กรี๊ดดดดดดดด!” แม่กรีดร้องออกมาเสียงดังจนผมตกใจ พอรู้ตัวว่าเสียงตัวเองอาจทำให้ทั้งบ้านตื่นแม่ก็เปลี่ยนมากรี๊ดด้วยเสียงลมแหบๆ แทน ตัวของท่านสั่นอย่างระริกระรี้ แก้มฉีกยิ้มอย่างตื่นเต้น แม่จับมือผมแล้วถามต่อว่า
“ธีร์ ดำรงเดชเป็นใครเหรอ”
“แม่!” เชื่อเขาเลยครับ “แล้วกรี๊ดทำไม แม่ไม่รู้จักแล้วกรี๊ดทำไม”
“ฉันล้อเล่น!” แม่โพล่งออกมา หัวเราะเอิ้กอ้ากตบมุขตัวเองที่ผมไม่ค่อยจะขำไปด้วย เอาจริงๆ ผมยังไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าแม่จะรู้จักธีร์ “ฉันรู้จักเถอะ ลูกชายคนเดียวของต่าย พิมพ์ผกาขวัญใจพ่อเธอ คนที่เพิ่งเข้ามาเป็นรุ่นน้องคณะเดียวกับเธอ...คนที่เพิ่งมาเยี่ยมพ่อเมื่อวาน ใช่มะ”
“ใช่ครับ คนนั้นเลย” ผมบอกตรงๆ ปัดความละเหี่ยใจทิ้งแล้วเริ่มพูดต่อ “ก็อย่างที่เคยเล่าให้แม่ฟังไป เราเจอกัน เราจูบกันโดยบังเอิญ แล้วเราก็รู้ว่าเราเป็นคู่ชีวิตกัน” พูดให้ถูกก็คือผมรู้ว่าเขาคือคู่ชีวิต แต่ธีร์เข้าใจว่าเราเป็นคู่เวรคู่กรรม
“แล้ว...การมีคู่ชีวิตเป็นธีร์ ดำรงเดชมันไม่ดีตรงไหน”
แม่คงเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของผมตอนเล่าจึงถามออกมาโต้งๆ ผมเงียบไปสักพัก แล้วตอบคำถามนั้นด้วยการถามแม่กลับ
“แม่เคยรู้สึก...ไม่ชอบอะไรในตัวพ่อบ้างไหมครับ ผมหมายถึง ผมเข้าใจว่าคนเราก็มีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย แต่เราจะทำยังไงในเมื่อเขาไม่ได้พยายามเปลี่ยนข้อเสียเพื่อเราเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือข้อเสียของตัวเอง”
“เขามีอีโก้แบบคนเป็นดาราเหรอ”
“เปล่าครับ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นดาราของธีร์เลยสักนิด...หรือเกี่ยวนะ” ผมเริ่มไม่แน่ใจ “มันมีเวลาที่ผมคิดว่าผมรู้จักเขาดี แล้วทุกครั้งหลังจากนั้นเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนไม่รู้จักเขาเลย เราเคยคุยกันจนผมคิดว่าเราเข้าใจกัน แต่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น”
“มันเกี่ยวอะไรกับการที่เขามาเยี่ยมพ่อเมื่อวานไหมจุ๊บ”
“นั่นก็ด้วย” ผมยอมรับ “ผมบอกเขาว่าพ่อกับแม่ไม่รู้ว่าเขาคือคู่ชีวิต แล้วยิ่งเป็นพ่อ...แม่ก็รู้ว่าพ่อไม่ยอมรับการรักกันแบบผู้ชายกับผู้ชาย ดูจากที่พ่อวิจารณ์ละครก็ดูออก”
“...”
“ผมเคยบอกธีร์ไว้ว่าอยากรอเวลาสักพักก่อนจะพาเขามาหาพ่อกับแม่”
“แต่เขาก็ไม่รอ” ผมพยักหน้ากับคำบอกของแม่ “เอาแต่ใจเหมือนกันน้อลูกดาราเนี่ย”
“ที่หนึ่งเลยครับ”
“แล้วลูกทำยังไงหลังจากนั้น...ไปปรับความเข้าใจกันแล้ว” แม่เดา
“ก็...ประมาณนั้นครับ” ผมตอบอ้อมแอ้ม “แต่จบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ผมไล่เขากลับอ่า”
ได้ยินดังนั้นแม่ก็ปรือลมหายใจออกมาทางจมูกยาวพรืด หากท่าทางก็ไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่ผมบอกไปเท่าไหร่ ผมกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความรู้สึกผิดมากขึ้นอีก
“แม่พูดไม่ได้ว่าแม่เข้าใจความรู้สึก แต่แม่ก็เคยผ่านอะไรแบบนี้มาเหมือนกัน” หญิงอวบตรงหน้าผมเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เธอถามแม่ว่ามีอะไรในตัวพ่อที่แม่ไม่ชอบไหม ฉันตอบตรงนี้เลยจ้ะว่าเยอะ เมื่อก่อนพ่อเธอหน้าม่อ เจ้าชู้ เป็นสิงห์อมควัน แต่ฉันก็อยู่กับเขามาได้ ไม่ใช่เพราะว่าแม่ทำใจให้ชอบได้หรือทนอยู่นะ แม่บ่นแทบทุกครั้งที่เจอสิ่งที่ขัดเหมือนกัน แต่สุดท้ายมันก็หาทางอยู่ได้ของมันเอง แม่รู้ตัวว่าทิ้งพ่อไปไม่ได้ เพราะแม่รู้ว่าเขาจะให้อ้อมกอดเดียวที่แม่รู้สึกปลอดภัยตอนอยู่ในนั้น...
“ความรักมันแบบนี้แหละ ต้องมีการอะลุ้มอล่วย ประณีประนอมกันไป เรายังเด็ก ยังต้องลองผิดลองถูกกันทั้งคู่ เรามีสิทธิ์ทำผิดพลาด เพื่อที่จะได้รู้ว่าต่อไปเราต้องไม่ทำพลาดอีก ที่สำคัญพลาดแล้วอย่าถอดใจกับเขาเพราะการกระทำแค่นั้น”
“...”
“แม่รู้ว่าจุ๊บเป็นคนอดทน แต่เราจะคาดหวังให้อีกคนมาเป็นเหมือนเราปุบปับมันไม่ได้หรอก เราเติบโตมาไม่เหมือนกัน จะให้เขาเปลี่ยนตัวเองเพื่อเรา แม้ว่าเราจะเป็นเหตุผลที่ควรค่าต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นของเขาก็เถอะ มันยากนะ”
“แล้ว...จุ๊บต้องทำยังไงเหรอแม่ ต้องอยู่กับความไม่สบายใจแบบนี้ไปตลอดเหรอครับ”
“การเป็นคู่ชีวิตกันไม่ได้หมายความว่าจะต้องเจอกันแล้วต้องมีความสุขตลอดเวลา การเป็นคู่ชีวิตมันคือการบอกว่าเราจะอยู่กับเขาตรงนี้ พร้อมเจอทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่แย่” “...”
“บางทีนะ มีเป็นล้านๆ เหตุผลที่เราจะไม่ชอบคนหนึ่งคน แต่ล้านเหตุผลนั้นกลับมีน้ำหนักน้อยกว่าเหตุผลแค่เหตุผลเดียวที่ทำให้เราชอบเขา อย่างแม่ก็มีสิ่งที่พ่อไม่ชอบเหมือนกัน จู้จี้ขี้บ่น เจ้าระเบียบเกินใคร แล้วยังไง ฉันก็มีหน้าอกใหญ่ๆ ให้พ่อเธอซบแล้วกัน”
“เดี๋ยวนะครับ...”
“มันอยู่ที่เธอแล้วว่าหาเหตุผลนั้นเจอหรือยัง”
แม่ยิ้มแล้วยักคิ้วให้ผมหนึ่งจึ๊ก มือทั้งสองเอื้อมมาบีบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจ “เธอจะหาเจอ แม่เชื่อ”
ผมโคลงหัวแสดงออกว่าไม่มั่นใจเท่าใดนัก กระนั้นก็ลูบมือแม่เบาๆ แสดงความขอบคุณ แม่ยกนิ้วขึ้นมาจิ้มรอยย่นตรงหว่างคิ้วของผมแล้วพูดว่า “อยากให้ไอ้นี่หายไปก็ให้อภัยเขาซะ แล้วอย่าลืมให้อภัยตัวเองด้วย”
“โอเคครับ” ผมสัญญา
“แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องพ่อล่ะ” แม่เอ่ยถึงอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมหนักใจขึ้นมา ผมทำหน้าฉงนใส่เชิงถามว่าจะไม่ให้คิดมากได้ยังไง
“แม่ว่าพ่อจะยอมรับผมกับธีร์ได้ไหม” ผมถาม “ผมหมายถึง พ่อรู้เหมือนคนอื่นในครอบครัวไหมว่าผมมีคู่ชีวิตเป็นผู้ชาย”
“รู้สิ พ่อเธอก็รู้พอๆ กับฉันนี่แหละ” คำตอบของแม่ทำให้ผมขมวดคิ้วสงสัยมากขึ้นไปอีก
“แล้วทำไมพ่อถึง...”
“พ่อเธอไม่ได้ไม่ยอมรับหรอก จุ๊บ เธอก็รู้จักพ่อเธอดี ชอบปากแข็งชอบท้าทายให้เธอเอาชนะ ทั้งๆ ที่จริงไม่ได้มีอะไรเลย” จริงอย่างที่แม่พูด บางครั้งผมก็รู้สึกว่าคำพูดของพ่อบั่นทอนกำลังใจในตัวผมต่อการทำอะไรหลายอย่าง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมฮึดสู้จะทำสิ่งนั้นต่อให้สำเร็จให้เขาได้เห็น ตั้งแต่ช่วงมัธยมที่ทุกครั้งที่เจอกันจะได้รับคำดูแคลนทั้งเรื่องการเรียนและกิจกรรมจากพ่ออยู่เสมอจนบางครั้งก็ท้อ อดสงสัยในตัวเองไม่ได้ว่าผมทำหน้าที่ของลูกที่ดีบกพร่องไปหรือเปล่า
ตอนผมทำพลาด พ่อมักจะปรากฏตัวพร้อมกับคำจี้ใจดำไม่กี่คำที่ทำให้ผมอยากพยายามให้หนักขึ้น แต่พอผมทำสำเร็จ พ่อจะปรากฏตัวพร้อมกับใบหน้าตึงๆ และความเงียบ ไม่เคยใจดี ไม่เคยมีคำชม ผมชินกับภาพนั้นของเขาไปแล้ว
“รู้นะว่าคิดมากอยู่” แม่ดีดนิ้วที่หว่างคิ้วผมอีกสองที “ถ้ายังไม่สบายใจ เดี๋ยวแม่คุยกับพ่อเธอให้เอง ไม่ต้องห่วง”
ผมยิ้มชืดๆ กลับไปให้ อย่างน้อยประโยคของแม่ก็ทำให้ผมโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ผมโอบแขนรอบเอวหญิงวัยกลางคนสุดที่รักแล้วสวมกอดเธอไว้หลวมๆ “รักแม่จัง”
“ปากหวาน” แม่ยู่ปาก “เดี๋ยวก็ไปรักคนอื่นมากกว่าแม่แล้ว”
“ไม่หรอก ยังไงแม่ก็คือที่หนึ่งในใจจุ๊บ”
“มันจะไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แต่ฉันจะโกหกเธอตอนนี้ก็ได้ว่าฉันเชื่อจ้ะ ฉันเชื่อ” แม่ประคองหน้าผมออกมาและมองอย่างเอ็นดู ผมหัวเราะฮี่ในลำคอ ทันใดนั้นสองมือท้วมก็ลงมือหยิกแก้มของผมและดึงจนแทบย้วย
“อ๊า แม่หยิกจุ๊บทำไม” ผมถามทั้งๆ ที่มือแม่ยังคาอยู่ที่แก้ม ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยง่ายๆ อีก
“หมั่นไส้” เธอบอก “มีแฟนเป็นดาราแล้วไม่เคยคิดจะบอกแม่ตัวเอง จิตใจทำด้วยอะไร”
“อ๊า แม่ เจ็บๆๆๆ” ผมโอดครวญได้สักพักแม่ก็ยอมปล่อยมือ แก้มแดงเป็นรอยเลย ฮื้อ “ผมกลัวไงครับ”
“กลัวอะไรของเธอยะ” แม่แหว “กลัวว่าฉันจะบ้าดารา กรี๊ดลั่นบ้านงั้นเหรอ...ฉันก็ไม่ขนาดนั้นซะหน่อย”
...ก็เมื่อกี้เพิ่งทำไปอยู่หยกๆ อะ
“เปล่าครับ ผมกลัวว่าบอกไปตอนเรายังไม่ชัดเจนกันแล้วมันจะแย่...ผมยังไม่ได้เป็นแฟนกับเขาด้วยซ้ำ” ผมตอบอ้อมแอ้ม “แม่อย่าเพิ่งเอาไปบอกใครในบ้านได้ไหม อย่างป้าเด้า ไอ้จีบ โดยเฉพาะไอ้จีบ”
“เขาก็ไม่ได้จะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง” ผมเลิกคิ้วราวกับถามว่าแม่แน่ใจจริงเร้อ ขนาดแม่ที่ว่าไม่ขนาดนั้นยังแบบ...โห “แต่โอเค แม่ไม่บอกใครก่อนก็ได้...”
“ขอบคุณครับ”
“...แต่เล่นไพ่เพลินๆ แล้วหลุดออกไปนี่ก็ไม่รู้เด้อ”
“แม่...”
“ล้อเล่น! เธอไปจัดการตัวเองเถอะ แม่ให้สิทธิ์เธอพูดเองเมื่อพร้อมแล้วกัน”
แม่สรุปให้ผมในที่สุด หวั่นใจในคำพูดทีเล่นทีจริงนั้นเหมือนกันแต่ผมก็พยักหน้ารับคำแต่โดยดี เจ้าของทรงผมบ็อบเทหันมองนาฬิกาเห็นว่าจวนจะตีสามเลยต้อนให้ผมไปนอน เราบอกราตรีสวัสดิ์กัน และแม่ย้ำประโยคนั้นอีกครั้งก่อนจะปลีกตัวออกไป
“อย่างที่แม่บอก หาเหตุผลนั้นให้เจอ”
…เหตุผลเดียวที่อยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง
ผมปิดประตู คลำทางในความมืดและจมลงไปในห้วงนิทราขณะที่คำพูดนั้นยังดังก้องในความคิด ชั่วขณะหนึ่งใบหน้าของธีร์ที่สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวังในผมก็ฉายชัดขึ้นมา แล้วถูกทาบทับด้วยใบหน้ายิ้มแป้นแดงแจ๋ของน้องรองที่เพิ่งสารภาพรักกับผมไปหยกๆ ชั่วขณะนั้นผมก็รู้สึกว่าพวกเขาช่างแตกต่างกันเหลือเกิน...ไม่ใช่เรื่องรูปร่างหน้าตา แต่ผมกำลังหมายถึงความรู้สึกข้างในตัวผมที่มีต่อทั้งคู่
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้อาจเป็นบททดสอบจากใครสักคน
และบางที มันอาจเป็นบททดสอบที่ทำให้ผมหาเหตุผลนั้นเจอ
ก่อนที่จะจมลงในห้วงนิทราอย่างเต็มกำลัง ผมเอื้อมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาและกดส่งข้อความไปหาเขา...คนหนึ่งคนนั้นที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ส่งผลต่อหัวใจผมได้ทุกครั้ง
Jub Joompit ขอโทษ
เราคุยกันได้ไหม อาจเพราะหมอนเป็นใจให้ซุกหัวลงไป แต่หัวใจก็สั่งให้พิมพ์ทุกอย่างจนเสร็จ ผมจึงรู้สึกยาวนานเหมือนตลอดกาลกว่าข้อความนั้นจะส่งไปถึงเขา
แต่ไม่ว่าตลอดกาลจะนานแค่ไหน ผมยอมโปรดติดตามตอนต่อไปติชม กรี๊ดกร๊าด อวดสามี ไปที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์นะคะ