... บทที่ ๒๒
ผมเอาของที่ติดตัวมาเพียงน้อยนิดนั้นกลับมาไว้ที่คอนโด แล้วกะจะงีบสักหน่อยค่อยออกเดินทางต่อ แต่พยายามข่มตายังไงก็ไม่สำเร็จ ความคับอกคับใจมันมีเยอะกว่า
แม้รายรอบหิมพานต์จะเจริญรุดหน้าไปไม่แพ้เมืองมนุษย์ แต่ใจกางหิมพานต์จริงๆ ก็ยังคงสภาพความสมบูรณ์ของป่าเขาลำเนาไพรไว้อยู่ เพราะฉะนั้นการเดินทางเข้าไปในนั้น ถึงผมจะมีพลังเหนือมนุษย์คนอื่นเขาแค่ไหนก็ไม่ใช่ง่ายเหมือนเดินเข้าไปในห้างแน่นอน
อยากได้ลูกเสือก็ต้องเขาถ้ำเสือ
ผมนอนเอามือก่ายหน้าผากเหม่อจ้องเพดานห้อง ในหัวคิดหาหนทางที่จะได้ไข่หงส์หม้ายมาให้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นความหวังที่พนรัญชน์จะรอดพ้นจากความตายก็คงริบหรี่ และหากเมื่อนั้นมาถึงจริงๆ ชีวิตผมเองต่อจากนั้นก็คงเหมือนคนจรที่ชีวิตไร้ความหมาย ไร้ค่าเสียไม่มี
ชีวิตผมอยู่อย่างไร้จุดหมายปลายทางมานานแสนนาน การเจอพนรัญชน์ในครั้งนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตของผมมีสีสันมากกว่าที่เคยเป็น และผมมองเห็นจุดหมายปลายทางที่มีแสงสว่างรออยู่
ผมมีเวลาที่นี่แค่สิบห้านั่นคือมากที่สุด
หลังจากที่บนเครื่องไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากเบียร์กระป๋องเดียว ตอนนี้ท้องผมก็เริ่มลั่นครืดคราด ผมเดินออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงห้อง ทอดมองเมืองใหญ่ที่เจริญไปกว่าครั้งล่าสุดที่ผมเห็นไปอย่างผิดหูผิดตา มีตึกสูงเพิ่มขึ้นหลายตึก ขณะเดียวกันบริเวณชายป่าหิมพานต์ก็ถูกลุกล้ำเข้าไปอีกพอสมควร
ที่นี่ตอนเช้าอากาศหนาว หมอกหนาปกคลุมไปทั่วบริเวณ ผมเดินเข้าไปหยิบแจ็คเก็ตในตู้มาใส่ กะว่าจะลงไปหาอะไรกินแก้หิวเสียหน่อย
เมืองนี้มีชื่อว่าคตุลา เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ป่าหิมพานต์มากที่สุด และเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญเร็วที่สุดในโลกนี้เพราะชาวหิมพานต์ใช้เป็นทางผ่านเมื่อต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา ผู้คนที่อาศัยอยู่เมืองนี้ส่วนใหญ่คืออมนุษย์เช่นผม และเหล่าชาวหิมพานต์พงศ์พันธุ์ต่างๆ หรือแม้แต่พรานหิมพานต์เองก็มีมาอาศัยอยู่ที่นี่
ผมนั่งสูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเนื้อรสชาติเดียวกันกับที่เมืองมนุษย์ พลางเลื่อนหาเบอร์ของใครคนหนึ่ง
“วริทธิ์เองครับผม”“นี่เดชาธรนะ”
“เฮ้ย คุณเดช นี่คุณมาหิมพานต์เหรอ ทำไมไม่บอกผม ...”ผมนั่งฟังน้ำเสียงตื่นเต้นของคนปลายสาย
วริทธิ์เป็นทายาทของฤๅษีที่ผมเคยไปอาศัยฝึกวิชาด้วย ผมจำไม่ได้แล้วว่าเขาเป็นทายาทรุ่นที่เท่าไหร่ของพระอาจารย์ผม รู้แค่ว่าเขาเป็นทายาทที่ไม่ใช่สายตรง คือไม่ได้เกิดจากสายเลือดโดยตรง แต่ต้นบรรพบุรุษเขาเกิดจากเวทมนต์ วริทธิ์เป็นพวกอวิชชา อวิชชาในที่นี้ไม่ใช่พวกที่เกี่ยวข้องกับไสยมืดเหมือนที่โลกนั้นเข้าใจนะ อวิชชาในที่นี้คือพวกที่อาศัยอยู่ที่นี่ แต่ไม่มีพลังอำนาจอะไรเลย
คิดแล้วก็น่าสงสาร บรรพบุรุษแก่กล้าวิชาอาคม แต่มันดันไม่ได้รับการสืบทอดอะไรมาเลย ทำให้ชีวิตที่นี่ลำบากไม่น้อย
ผมเจอมันที่นี่เมื่อหลายปีก่อนตอนกลับมาเที่ยวพักผ่อน เจอครั้งแรกที่ลานกลางเมือง กำลังเล่นแสดงปาหี่ที่ไม่ค่อยมีใครสนใจนัก ก็อย่าลืมว่าที่นี่คือที่ไหน เวทมนต์คือเรื่องน่าเบื่อ ยิ่งเป็นเวทมนต์ปลอมๆ ที่แสดงโดยพวกอวิชชายิ่งน่าขัน
ตอนนั้นชีวิตมันก็ไม่ต่างอะไรกับขอทาน อดมื้อกินมื้อ ผมเจอมันอีกครั้งตอนกำลังจะถูกกระทืบตายเพราะถูกพวกทวงหนี้ไล่ทัน ผมเห็นแล้วสงสารเลยจัดการให้ หมอนี่มีบางอย่างที่ทำให้ผมนึกถึงพระอาจารย์ เลยสืบสาวราวเรื่องจนได้รู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือสายทายาทของพระอาจารย์ผมจริงๆ
ผมเลยหางานให้มันทำที่แดนหิมพานต์ เป็นพวกตรวจตั๋วผ่านแดน พร้อมกับให้เงินไปตั้งตัวก้อนหนึ่ง จนเมื่อไม่นานมานี้ผมรู้จากเอกกรณ์ที่กลับมาทำธุระที่นี่ว่ามันกลายเป็นหนึ่งในคนนำทางวิชาชีพมือฉมังชนิดหาตัวจับยากไปเสียแล้ว
ผมนั่งตากอากาศหนาวเหน็บอยู่ที่ลานกลางเมือง ชนิดที่หายใจออกมาเป็นไอเลยทีเดียว ขนาดสวมเสื้อคลุมเอาฮูดคลุมหัวก็ยังแทบไม่ช่วยอะไร จนต้องเอามือสองข้างซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม
ไม่นานนักก็มีมือหนึ่งมีแตะที่ไหล่ เด็กหนุ่มตัวสูงกระโดดอ้อมมายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าผม เจ้าตัวยิ้มให้ผม แต่ผมแอบเห็นว่านัยน์ตามันรื้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“อากาศเป็นแบบนี้มากี่วันแล้ววะ ขมุกขมัวไปหมด”
“เกือบอาทิตย์แล้วครับ หน้าหนาวกำลังจะมา” มันตอบทั้งที่ยังยืนอยู่อย่างนั้น วริทธ์เอาเข้าจริงๆ มันเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาไม่ธรรมดาเลยนะ ถ้าอยู่ในโลกนั้นก็คงเป็นนายแบบหรือนักแสดงระดับแถวหน้าได้ไม่ยาก ถ้าไม่ติดว่าผิดกฎโลกนี้ ผมก็อยากจะพามันไปอาศัยหาอยู่หากินที่โลกนู้นให้สิ้นเรื่อง คงจะง่ายสำหรับมันมากกว่าที่นี่
มันเดินมาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ผม
“มานั่งข้างอ่างน้ำพุอย่างนี้จะยิ่งหนาวนะป๋า”
“ไม่รู้จะไปรอที่ไหนที่มันจะหากันเจอง่ายๆ”
“รอที่ไหนผมก็หาคุณเดชเจอหมดแหละ อย่าลืมสิว่าผมเป็นใคร”
“เด็กจรจัด”
“แหม่ พูดซะเสีย นั่นมันอดีต ตอนนี้ผมเป็นคนนำทางระดับพรีเมี่ยมแล้วนะครับท่าน”
“เป็นไงบ้างชีวิตมึง”
“ก็เรื่อยๆ มีงานเข้ามาบ้างประปราย แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่เจอป๋า” มันก้มหน้า
แม้ภายนอกจะเป็นคนร่าเริงหรือโปกฮาเหมือนจะหาสาระไม่ได้ไปวันๆ แค่ไหน สุดท้ายทุกคนก็ไม่อาจหลีกหนีความเจ็บปวด ซึ่งบางครั้งพยายามจะซ่อนไว้แค่ไหนก็ไม่มิด
“ขอโทษที่สะกิดแผล”
“ขอทงขอโทษอะไรกันท่าน ไม่คิดมากน่า” มันเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วพอๆ กับเปลี่ยนหน้ากากที่เคยใช้แสดง
ครั้งที่แล้วที่เจอกัน ผมเป็นเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวสำหรับมัน เท่าที่มันบอกผมราวสามร้อยรอบน่ะนะ คราวนี้กลับกัน ผมต้องการความช่วยเหลือจากอัศวินขี่ม้าขาวที่ได้ชื่อว่า วริทธิ์บ้าง ผมก้มหน้าลง ในหัววกวนไปหมด ลึกๆ ผมกลัว กลัวว่าผมจะทำไม่สำเร็จ
“ไข่นางหงส์หม้าย”
ผมพยักหน้า
“น่าจะหาไม่ได้ในร้านขายของหายากแถวนี้” มันทำสีหน้าคิดหนัก
มันก็แหงอยู่แล้ว ไข่นางหงส์นะเว้ย เอาออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าโดนตามเล่นงานกันฉิบหายแน่นอน
“กูถึงต้องการความช่วยเหลือจากมึง ได้ยินมาว่าเป็นคนนำทางผู้หาตัวจับยาก” ผมตบบ่ามัน
“เมืองหงส์อยู่กลางหิมพานต์ ได้ยินมาว่าเพิ่งจะอพยพจากถ้ำทองออกมาอยู่กลางพญาตะแบกยักษ์ที่ใจกลางป่าเมื่อไม่นานมานี้” สายตามันมองตรงไปทางทิศเหนือ ถัดจากเขตเมืองเป็นความเชียวชอุ่มที่ตอนนี้กลืนไปกับความขมุกขมัวของอากาศ ทอดสูงขึ้นไปถึงแนวเขาที่สูงลิบลับ เป็นอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่มหาศาลจนยากจะวัดเทียบ
“เชื่อมือผม” มันพูดน้ำเสียงมุ่งมั่นขณะที่ลุกพรวดขึ้น
ผมมองมันขยิบตาพร้อมกับโบกมือให้สาวสามสี่คนที่เดินผ่านไป เดาไม่ผิดน่าจะพวกครุฑสาวออกมาช็อปปิ้งกันเต็มไม้เต็มมือ
เมื่อกี้ยังซีเรียสอยู่แหมบๆ คิดจะฝากผีฝากไข้ไว้กับมัน หวังว่าจะไม่คิดผิด
“ท่านจะออกเดินทางวันไหน” พอมองสาวเดินผ่านไปจนลับตา มันถึงหันมาสนใจผม
“เร็วที่สุด” ผมลุกขึ้นท่าทีขึงขัง ให้มันเห็นว่าผมจริงจังแค่ไหนกับเรื่องนี้
ผมผ่านแดนเข้าป่ามาในบ่ายของวันนั้นเลย พร้อมกับเป้ติดตัวมาคนละใบกับวริทธิ์ ระยะทางไปถึงใจกลางป่า เดินเท้าธรรมดาก็คงใช้เวลาหลายเดือนหรือนับปี ไหนจะอุปสรรคมากมายที่ไม่เหมือนเดินตามถนนคอนกรีตในเมือง ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นก็คงไม่ทันการ
คงต้องขอบคุณความเป็นอมนุษย์ของผม ที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาหน่อย
หากผมจะหายตัวไปโผล่ที่กลางป่าเลยก็พอทำได้ อาจใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นด้วยซ้ำ แต่อย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่าวริทธิ์มันไม่มีอำนาจวิเศษอะไรเลย มันเชี่ยวชาญการเดินป่านี้ก็จริง แต่ลูกค้าของมันคืออมนุษย์ที่ล่องหนหายตัวไม่ได้เหมือนกับมัน อาจจะฟังดูแปลกแต่มีพวกนี้อยู่จริง หรือไม่ก็ชาวหิมพานต์ที่มีข้อบกพร่องทางเวทมนต์ อาจจะได้รับบาดเจ็บหรือด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ และพวกอวิชชาทั้งหลายแหล่
หากจะเปรียบกับอาชีพสักอาชีพบนโลกนั้นก็คงพวกเจ้าหน้าที่นำเที่ยวในอุทยานละมั้งผมว่า
เพราะฉะนั้นการที่ผมจะล่องหนหายตัวโดยเอามันติดตัวไปด้วยในครั้งนี้มันมีลิมิตของมันอยู่ เพื่อความปลอดภัยของตัวมันเอง โดยจะย่นเวลาลง แต่ก็ไม่ได้ไวไปเสียทีเดียว
แต่ถ้าถามว่าแล้วจะพกมันไปทำภาระอะไร อย่างที่บอกว่าเมื่อถึงตรงนั้นแล้ว ผมไม่รู้อะไรเลย แต่คนที่รู้คือวริทธิ์ มันอยู่ที่นี่ มันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับป่าหิมพานต์
ผมนั่งก้มตัวลงใกล้ขอบตลิ่ง ใช้มือวักน้ำขึ้นล้างหน้าล้างตาให้วริทธิ์ที่สภาพอิดโดยเต็มทน ผลจากการหายตัวมายี่สิบกว่าชั่วโมง มันหายใจหอบอยู่นาน ก่อนจะขยับตัวไปนั่งพักอยู่บนขอนไม้ใกล้ๆ ผมจึงจัดการล้างหน้าล้างตาตัวเองต่อ
น้ำที่นี่น่าจะไหลมาจากสระสักสระในหิมพานต์ ล้างหน้าล้างตาเสร็จผมก็ใช้สองมือกอบน้ำที่ทั้งใสและเย็นฉ่ำใส่ปากสองสามอึก
นั่งมองสายธารที่ไหลเอื่อยอยู่นานหันกลับไปอีกทีก็เห็นว่าวริทธิ์มันกางเต้นสองหลังจนเสร็จแล้ว และกำลังเริ่มก่อไฟ
“พักก่อนสักสองสามชั่วโมงนะท่าน ค่อยเดินทางต่อ”
ผมพยักหน้าให้มัน ดูจากสีหน้าก็เข้าใจมันอยู่ ขืนยังเดินทางด้วยการล่องหนต่อ ผมว่ามันอ้วกออกมาเป็นเลือดแน่ หน้าตามันตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนเมารถ
“เช้าเลยก็ได้ อีกไม่กี่รอบก็น่าจะถึงที่นั่นแล้วล่ะ” ผมว่า
“หิวไหม” เมื่อก่อไฟเสร็จมันก็ถามขึ้น ก่อนจะเดินไปเปิดกระเป๋าเป้ หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาสองกระป๋อง
“กินนี่ไปก่อน ถ้าหมดแล้วค่อยหาอะไรจากในป่านี้กิน”
มื้อเย็นของผมจึงจบลงที่บะหมี่ต้มโง่ๆ ที่วริทธิ์มันพกมา แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอร่อยอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ก่อนหน้าผมไม่เคยคิดจะแตะมันเลยด้วยซ้ำ
กินข้าวกินปลาจนอิ่ม ผมกับมันก็สลับกันลงไปอาบน้ำแล้วแยกย้ายกันเข้านอน ผ่านมาหลายชั่วโมง ผมก็ยังคงนอนพลิกไปมาในเต้นเล็กๆ แทบจะไม่พอดีตัวนี้ ข้างนอกมีเสียงแปลกๆ มากมายดังขึ้นและเงียบลงสลับกันไปมา ไหนจะเสียงกิ่งไม่พัดไหว และแมลงกลางคืนที่หวีดระงม
บรรยากาศกลางคืนในป่าปกติน่ากลัวขนาดไหน กลางหิมพานต์น่ากลัวกว่าร้อยเท่า ผมไม่อยากจะนึกถ้าไอ้เด็กป่ามันมาอยู่ในที่แบบนี้ จะขวัญเสียแค่ไหน
ผมขยับนอนหงาย เอามือก่ายหน้าผาก
ไปวุ่นวายอยู่ที่ไหนนะไอ้เด็กดื้อ อดทนหน่อยนะเดี๋ยวพี่จะพาเรากลับบ้านขณะกำลังจะเคลิ้มหลับก็มีเสียงเหมือนใครกำลังลุยน้ำเข้ามาใกล้ ผมเงี่ยหูฟัง และมันก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงที่เหมือนกับน้ำไหล แต่ทำไมถึงดังเข้ามาใกล้เต้นที่ผมนอนอยู่ได้ ผมเลยลุกขึ้นนั่ง
“อย่าออกจากเต้นนะท่าน ข้างนอกนั่นมีนางพราย” ผมกำลังจะลุกขึ้นไปเปิดเต้นก็มีเสียงของวริทธิ์ดังมาจากเต้นข้างๆ
พร้อมกันนั้นก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น ฟังดูเหมือนเสียงขับกล่อม และมันโหยหวนและเยือกเย็นเหมือนสายลมที่พัดหวิวไปทั่วบริเวณ
จะว่าไป ผมก็แทบจะลืมเสียงนางพรายไปแล้วนะเนี่ย อันที่จริงผมเจอมาแทบจะทุกอย่างแล้วล่ะ นับตั้งแต่ตอนที่ผมไปบำเพ็ญเพียรภาวนากับฤๅษีเมื่อครั้งก่อนโน้น
นี่คงจะเป็นพรายน้ำ ที่หลอกล่อให้คนไปออกไปติดกับ แล้วลากลงน้ำไป
แต่วิธีเอาตัวรอดจากพวกพรายไม่ใช่เรื่องยากอะไร แค่มีสติ และหาอะไรอุดหูซะ แล้วอย่าไปสนใจมัน
รู้สึกตัวอีกทีตอนที่วริทธิ์มาปลุก ผมลุกมาล้างหน้าล้างตา กลับไปก็เห็นว่ามันเตรียมข้าวเช้าไว้แล้ว มีปลากระป๋องกับขนมปัง เป็นการมิกซ์แอนด์แมทช์ที่โคตรจะวริทธิ์
ผมมองมันนั่งกินอาหารเช้าที่มันเตรียมเองอย่างเอร็ดอร่อย เลยหยิบมาชิ้นหนึ่ง ลองหน่อย ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ท้องเสียเอา
เข้าสู่เช้าวันที่หก ในที่สุดผมกับวริทธิ์ก็มาโผล่ที่บริเวณชะง่อนผาหิน มองลงไปเป็นบริเวณป่าที่รกครึ้มสุดลูกหูลูกตา และตรงนั้นมีต้นไม้ใหญ่ ขนาดของมันที่แผ่กึ่งก้านสาขาออกไปกินอาณาบริเวณกว้างขวาง ถัดไปเป็นทิวผาหินที่กำลังมีแสงอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นมา แสงอาทิตย์ยามเช้ากระทบกับต้นไม้ต้นนั้นสอดแทรกไปตามกิ่งก้านสาขาจนเป็นลำแสงนับร้อยนับพันเส้น
“นั่นไงต้นตะแบกยักษ์ ที่อยู่ของพวกหงส์”
ผมละสายตาจากภาพตรงหน้าหันกลับมามองมัน หนาตาที่เคยหล่อเหลาบัดนี้มอมแมมจนเห็นแล้วแทบจะกลั้นขำไม่ไหว ขอบตาที่ลึกโบ๋และดำคล้ำ เสื้อผ้าเปื้อนเปรอะมีขาดบ้างบางจุดบ่งบอกว่าผ่านอะไรมามากมาย ซึ่งก็ไม่ใช่ความสะดวกสบายอย่างสิ้นเชิง และแน่นอน สภาพผมเองก็คงไม่ต่างกัน
หกวันกับอีกห้าคืนที่บุกบั่นฝ่ามาที่นี่ ฝ่าลมฝน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเป็นผ่านตาย ไม่เสียใจที่มีไอ้เด็กหนุ่มคนนี้ติดสอยห้อยตามมาด้วย
“จากตรงนี้ไปที่นั่นคงใช้วิธีล่องหนหายตัวไม่ได้แล้ว พวกหงส์มีวิธีการป้องกันศัตรูที่ซับซ้อนเกินกว่าเราท่านจะเข้าใจ ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือแบบโต้งๆ”
ครับ โต้งๆ ครับ
ผมกับมันเลยถูกโยนลงมากลางโถงใหญ่จนคางไถไปกับพื้นท่ามกลางสายตานับร้อย ขายขี้หน้า
“บอกสิท่านคือใคร” เสียงนุ่มละมุนหูดังขึ้น ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังจุก เงยมองขึ้นไปบนบัลลังก์สูงชันบุด้วยขนนกสีเงิน ท่ามกลางรัศมีเปล่งประกายนั่นคือสตรีในอาภรณ์แปลกตาที่พลิ้วไสวอยู่ตลอดเวลาท่ามกลางแสงระยิบระยับเหล่านั้น
ผมบอกไปตามความจริงทุกอย่าง เพราะเวลาที่เหลืออยู่ก็ไม่มากแล้ว
เธอนิ่งเงียบไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประสงค์ของผม
“อันที่จริงเธอเป็นหม้าย” ไอ้คนคุกเข่าอยู่ข้างๆ ผมกระซิบกระซาบ
“ไม่ใช่มารยาทที่ดี” นางพูดขึ้น เป็นโทนเสียงปกติแต่ช่างฟังดูก้องกังวาน เหล่าข้าราชบริพารหงส์ที่อยู่ในโถงแห่งนี้ต่างก็ก้มหัวแสดงความขามเกรงในบารมี
“ขอโทษครับๆ” มันผู้ไม่รู้ประสีประสาก้มหัวพินอบพิเทาขึ้นมาทันที
“ไม่คิดว่ามันง่ายไปหน่อยหรอ”
ก็กะไว้แล้วล่ะ ผมเงยหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง เธอเชิดหน้าคอระหงบ่งบอกว่าใครเหนือกว่าในสถานการณ์นี้ ตาเรียวงามใต้ขนตายาวได้รูปสีเหมือนปีกหงส์กระพริบไหวอย่างเชื่องช้า
“แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร คนรักของข้ากำลังจะจากข้าไปตลอดกาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้”
“มันก็เรื่องของท่าน”
“ข้าเข้าใจว่ามันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของท่านที่จะต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนกับข้า แค่เพียงข้านึกว่าท่านจะเข้าใจหัวอกคนอย่างข้าดีก็เท่านั้น”
“เอาเรื่องว่ะ เธออึ้งไปเลย” วริทธิ์กระซิบ ผมล่ะอยากจะลุกขึ้นตบหัวมันสักฉาด จากที่สถานการณ์เลวร้ายอยู่แล้วจะยิ่งแย่เพราะความปากพล่อยของมัน
เธอมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก แล้วลุกพรวดขึ้น
“ทหาร”
เสียงขานรับกึกก้องดังขึ้นทันทีที่เธอเอ่ยปาก ก่อนที่ทหารหงส์สามสี่นายจะตีขบวนออกจากห้องโถงไป ผมนี่เสียวสันหลังวาบ นึกว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งในดงหงส์ซะแล้ว
นอกจากผมกับวริทธิ์แล้ว สายตาทุกสายตาในโถงนี้แทบจะมองไปที่สิ่งๆ หนึ่งนั้นพร้อมๆ กัน ไข่ใบสีขาวเหลือบฟ้าขนาดสองอุ้งมือโอบเห็นจะได้ มีรัศมีเปล่งประกายบนฐานรองที่ทำจากเถาวัลย์ถักทอปูด้วยหุ้มขนนก
ไข่ใบนั้นถูกนำขึ้นไปยื่นไว้ให้เธอผู้อยู่บนบัลลังก์สูงนั้น
“ไข่ใบนี้เป็นไข่จากบุตรเพียงคนเดียวของข้าที่ไม่อาจลืมตามาดูโลกได้”
เศร้าจริงๆ ด้วยแฮะ สามีก็ตาย ลูกก็ดันมาตายอีก
“แล้วท่านมีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนรึ” เธอเอ่ยถาม
“ท่านต้องการสิ่งใดก็ย่อมได้”
เธอเผยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ความรักที่ท่านมีต่อคนๆ นั้น”
“แต่ท่าน-”
“ครึ่งของครึ่งหนึ่ง... จะไม่ยอมก็ย่อมได้ หากแต่วันนี้ท่านต้องกลับไปมือเปล่า”
ผมเคยได้ยินมาบ้างว่าคนจากโลกนี้สามารถแบ่งความรักกันได้เหมือนแบ่งขนม เธอคงเห็นแล้วว่าสิ่งที่ผมกำลังทำเพื่อพนรัญชน์อยู่มันยิ่งใหญ่แค่ไหน คนที่เจ็บช้ำจากความรักมาตลอดเช่นเธอ ก็คงต้องการความรักแบบนี้บ้าง
ครึ่งของครึ่งหนึ่ง ผมตรึกตรองคำๆ นั้นอยู่ในหัวหลายต่อหลายรอบ
ผมทำทุกอย่างเพื่อพนรัญชน์ เป้าหมายคือให้เขาฟื้นจากความตายแบบถาวร จริงอยู่จะรักหรือไม่รักแล้วมีความหมายอะไร แต่สิ่งที่ผมกลัวคือ ถ้าหากว่าผมหมดรักจากพนรัญชน์แล้ว ผมจะไม่หยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่นี้เพื่อต่อชีวิตพนรัญชน์หรอกหรือ
แต่พอคิดดูดีๆ แล้ว ได้คุ้มกว่าเสีย ครึ่งของครึ่งไม่ได้หมายความว่าทั้งหมด ผมไม่รู้ว่าความรักที่ผมมีต่อพนรัญชน์มันมากน้อยแค่ไหน แต่ผมมั่นใจว่าที่รักที่เหลือจากที่เธอแบ่งไปก็ไม่น้อยเช่นกัน
“ข้ายอมรับ”
“ท่าน” วริทธ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนพยายามจะเตือนสติผม
แต่ผมตัดสินใจแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้
ด่านแรกผ่านไปแล้ว เหลืออีกสามอย่างที่พ่อพระเอกเราต้องออกตามหาเพื่อมาชุบชีวิตไอ้ดื้อ
#สาปกินรา #EternalCurse #เดชาธรพนรัญชน์ #เดชป่า... ก่อนเหมันต์ ...