อาทิตย์อัสดง บทที่ 6
เสียงฮัมเพลงดังขึ้นเบาๆ ในห้องครัวพิชญจึงรู้ว่าคนที่อยู่ร่วมบ้านนั้นกลับมาแล้วและกำลังทำอาหารเย็น เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่ออกไปจากห้องนอนเพราะยังไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นบนเสื่อใต้ต้นไม้ริมชายหาดวันนี้ทำให้พิชญรู้สึกอายยิ่งนัก
ฝันบ้าๆ พิชญเอ๊ย ใครบอกให้ฝันแบบนั้น ขนาดนอนกลางวันยังอุตส่าห์ฝันระทึกใจ
แต่ถึงจะฝันอย่างไร หากนอนอยู่คนเดียวก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่นี่ เพราะอีตานั่นมานอนอยู่ข้างๆ ถึงได้เกิดเรื่อง ทุกวันก็เห็นหน้าหายตาไป ทำไมวันนี้จะต้องมาแย่งเสื่อเรานอนด้วย เป็นเพราะอีตาท่อนซุงนี่ล่ะ เรื่องแบบนี้เลยเกิดขึ้น
ในที่สุดพิชญก็ตัดสินใจโทษผู้ชายตัวโตคนนั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงมีความกล้าพอที่จะเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับ 'ท่อนซุงลอยน้ำ' ในความฝันซึ่งกำลังทำอาหารเย็นอยู่ในครัวพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แต่เมื่อพ่อครัวเงยหน้าขึ้นมามองและยิ้มมุมปากให้ พิชญก็หันหลับกลับเดินออกไปยังระเบียงหน้าบ้านและยืนลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจว่าต้องหาอะไรทำเพื่อเลี่ยงการพูดคุยกับผู้ชายคนนั้น
เขาจะพูดอะไรยั่วโมโหเราหรือปล่าก็ไม่รู้ อาจจะพูดกระทบกระเทียบทำนองว่าตัวเองโดนล่วงเกิน ตัวเองเสียหาย นอนอยู่ดีๆ เราก็ตะกายขึ้นไปนอนคล่อมเขาหน้าตาเฉย
โธ่เอ๊ย ก็คนนอนดิ้นนี่นา แล้วในความฝันเราตั้งใจที่ไหน่ะ ใครอยากให้มานอนสิ่งเป้นท่อนซุงอยู่ข้างๆ แบบนั้น
พิชญหันซ้ายหันขวา มองเห็นไม้กวาดวางอยู่ใกล้กับประตูจึงคิดอะไรได้บางอย่าง เขาหยิบไม้กวาดแล้วระเบียงหน้าบ้านจนสะอาด จากนั้นจึงเข้าไปในบ้านแล้วกวาดพื้นห้องนอน เวลาผ่านไปกว่ายี่สิบหาทีพิชญจึงรู้สึกผ่อนคลายปนเหนื่อย คราวนี้เขาจึง 'กล้า' ที่จะออกมา 'เผชิญหน้า' กับคนที่เคยร่วมเสื่อ เอ๊ย คนที่อยู่ร่วมบ้านอีกครั้ง
เสียงฮัมเพลงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เป็นจังหวะที่พิชญฟังไม่ออกมาว่าเป็นเพลงอะไร เขาคิดว่าเป็นทำนองที่คนฮัมเพลงแต่งขึ้นมาเองสดๆ เพียงเพื่อจะทำเสียงเป็นท่วงทำนองเพราะความสบายใจ
สบายใจงั้นหรือ นายคนนั้นไม่รู้สึกกระดากหรือไงที่เพิ่งนอนกอดก่ายกันกลางแจ้งแล้วต้องมายืนมองหน้ากันอยู่ในพื้นที่แคบๆ แค่นี้
แน่ะ ยังผิวปากอย่างอารมณ์ดี นี่เมื่อไหร่จะทำอาหารเสร็จ ชักหิวแล้วนะ
พิชญเผลอเบ้ปากด้วยความไม่สบอารมณ์แล้วก้มลงกวาดพื้นต่อไปจะกระทั่งเกือบเสร็จอารมณ์จึงสงบลง เขารู้สึกแปลกใจที่ตัวเองทำงานบ้านได้นานเป็นชั่วโมง ปกติเขาจะทำอย่างมากก็แค่ล้างจานหรืออะไรง่ายๆ ที่ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที แต่นี่เขากวาดบ้านทั้งเกือบทั้งหลัง รู้สึกมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองทำอย่างบอกไม่ถูกทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังทำไปบ่นไปเรื่องผู้ชายคนนั้น
อืม การทำงานบ้านนี่ก็เป็นทางออกในการจัดการกับเรื่องยุ่งยากใจได้เหมือนกันแฮะ
แต่ว่า เอ๊ะ นี่คืออะไร
พิชญชะงัก ก้มลงมองอุปกรณ์กลมๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุตซึ่งกำลังหมุนไปมาช้าๆ อยู่ที่มุมห้องใกล้กับประตูห้องทำงาน แต่ไม่นานพิชญก็รู้ว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้คืออะไร
หนอยแน่ะ ปล่อยให้เรากวาดบ้านอยู่ได้ นี่มันเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัตินี่นา
ได้เวลาหาเรื่องนายยักใหญ่แก้เซ็งแล้วล่ะ
พิชญก้มลงหยิฐเครื่องดูดฝุ่นแล้วเดินกระแทกเท้าไปยังห้องครัว เสียงฮัมเพลงหยุดลงเมื่อ 'พ่อครัว' หันมาคนที่ยืนอยู่ปลายโต๊ะทานอาหารและทำหน้าบึ้ง
“นี่อะไรครับ” พิชญถาม
“คุณไม่รู้จักหรือ หนุ่มเมืองกรุงอย่างคุณน่าจะรู้จัก”
“มิน่า ผมถึงสงสัยอยู่ว่าทำไมบ้านมันสะอาดนักทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้กวาดได้ถู”
“ผมเปิดทิ้งเอาไว้ก่อนออกจากบ้าน” พยุตม์ก้มหน้าพูด
“เมื่อกี้คุณก็เห็นว่าผมกวาดบ้าน ทำไมไม่บอก กวาดบ้านหลังเบ้อเริ่มขนาดนี้เป็นชั่วโมง รู้ไหมว่ามันเหนื่อย”
“สี่สิบสองนาทีเอง ยังไม่ได้ถูด้วยซ้ำ” พยุตม์เถียง
“คุณปล่อยให้ผมกวาดพื้นจนเหนื่อยทั้งที่เปิดไอ้นี่ให้ทำงานอัตโนมัติ” พิชญยื่นเครื่องดูดฝุ่นออกมาข้างหน้า
“เครื่องทำไหนจะสะอาดเท่าคนทำ” พยุตม์ยักไหล่ “แล้วที่คุณกวาดบ้านนี่เหนื่อยหรือครับ ผมเห็นคุณกวาดไปบ่นไป ผมว่าคุณเหนื่อยเพราะบ่นอยู่คนเดียวมากกว่า”
พิชญเม้มปาก วูบหนึ่งอยากขว้างเครื่องดูดฝุ่นในมือใส่พ่อครัวคนที่พูดเสร็จแล้วก้มหน้าปรุงอาหารต่อโดยไม่สนใจเขา
“ผมไม่ได้บ่น คุณได้ยินหรือไง” พิชญเถียงเสียงเข้ม “ผมคิดอะไรอยู่ในใจต่างหาก คุณอ่าน...”
“ผมอ่านใจคุณได้ ผมรู้ว่าคุณกำลังตำหนิผมอยู่ เรื่องอะไรผมไม่รู้ เต่ต้องมีอะไรซักอย่าง” พยุตม์พูดสวน “อ๋อ ไม่สิ ผมรู้ว่าเรื่องอะไร แต่ถึงผมพูดจะพูดไปคุณก็คงไม่ยอมรับ”
“ถ้าผมทำ ทำไมผมจะไม่ยอมรับ”
“อาหารเสร็จแล้วนะครับ คุณรีบทำให้เสร็จๆ จะได้มากินกัน หิวมากแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ยัง”
“คนหิวมักหงุดหงิด”
“ผมยังไม่หิว” พิชญยืนกราน
“พระอาทิตย์ตกทะเลไปแล้ว เสียดาย ไม่ทันได้กินข้าวชมบรรยากาศเพราะเราสองคนมัวแต่ยุ่งกันอยู่”
พิชญทำปากยื่นอย่างฉุนๆ แล้วกดปุ่ม TURBO บนเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ จากนั้นจึงวางบนพื้นใกล้เท้าของพ่อครัว เครื่องกลมๆ สีดำหมุนแรงและครางเสียงดังหึ่งๆ พร้อมกับขยับไปมาด้วยความเร็วพอประมาณ
“เฮ่ยคุณ อย่าเพิ่มมาทำห้องครัวสิ” พยุตม์โวยแต่พิชญไม่ฟัง เดินออกจากห้องครัวไปหน้าตาเฉย แต่อดปรายตาไปมองไม่ได้ ชายหนุ่มร่างใหญ่คนนั้นยกเท้าขึ้นทีละข้างเมื่อเครื่องดูดฝุ่นหมุนไปทำความสะอาดบริเวณที่ตัวเองยืนอยู่
“นี่คุณ มาเอาออกไปก่อน” พยุตม์ร้องเรียกพิชญซึ่งเดินลิ่วไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้องนั่งเล่นด้วยใบหน้ายิ้มๆ รู้สึกสบายใจยิ่งนัก
วันนี้หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จพิชญก็ไปนั่งจ้องทะเลอยู่ที่ชายหาดด้วยความหวังว่าจะได้เห็นปลาโลมา มือแกว่งแว่นตาว่ายน้ำเล่นเป็นจังหวะ เท้ากระดิกตามทำนองเพลงที่ตัวเองร้องหงุงหงิง
พิชญรู้สึกร้อนและแสบแผ่นหลังเพราะนั่งตากแดดอยู่นาน แต่เขาก็อดทน พิชญจำได้ว่าเวลานี้คือเวลาที่ตัวเองเห็น 'อีตาท่อนซุงลอยน้ำ' ลงไปว่ายน้ำเล่นกับปลาโลมา
วันนี้ไม่เห็นออกไปไหน เอาแต่เดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน ทำอะไรของเขาก็ไม่รู้ ทุกวันเห็นทานข้าวเช้าแล้วก็หายไปเลย
พิชญนึกถึงภาพใบหน้าของคนที่อยู่ร่วมบ้านแล้วอดคิดเรื่อง 'บ่ายวันนั้น' ไม่ได้
ช่างเป็นฝันกลางวันที่ระทึกใจและน่าอายมาก
เมื่อภาพของบ่ายวันนั้นผุดขึ้นมาในความคิดของพิชญ ใบหน้าเขาก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที ภาพของคนที่ของคนที่เขาชอบเปรียบว่าเป็น 'ท่อนซุง' นอนหงายอยู่บนเสื่อ สวมกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว มีเขาคว่ำหน้าคล่อมอยู่ มือตะกุยตะกายไปตามเนื้อตัว
แล้วไมโครโฟนร้อนๆ ที่เขากำและดึงจนสุดแรงนั่นล่ะคืออะไร
โอ๊ย น่าอายจริงๆ หวังว่าคงไม่ใช่...คงไม่ใช่...คงไม่ใช่ 'ตรงนั้น' ของอีตาท่อนซุงหรอกนะ
นี่ถ้ามีใครแอบมาถ่ายวิดิโอคลิปเอาไว้แล้วแอบไปโพสลงยูทูปเราคงเจอความ 'หายนะ' แน่นอนทีเดียว เรื่องภาพหลุดที่เป็นปัญหาอยู่ตอนนี้คงถือว่าเป็นเรื่องจิ๊ยจ้อย
พิชญถอนหายใจแรงๆ แล้วต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงห้าวๆ ดังขึ้นข้างหู
“ปลาโลมาเขาไม่มาหรอกคุณ”
“นี่คุณ...” พิชญหันขวับ
“รอไปก็เหนื่อยเปล่า”
“คุณรู้หรือว่าเขาจะมาเมื่อไหร่” พิชญหรี่ตา เอียงหน้าถาม
“เอาเป็นว่า เมื่อผมชวนคุณลงทะเล คุณก็รีบตามผมลงไปก็แล้วกัน” พยุตม์ยักไหล่แล้วยื่นขวดพลาสติกแบนๆ สีดำให้พิชญ “อ้าว ทาซะ เดี๋ยวผิวบางๆ ขาวๆ ของคุณจะกลายเป็นกุ้งต้ม”
“ผมไม่แคร์” พิชญยักไหล่
“ดื้อรั้นจริงๆ”
“คุณแน่ใจนะว่าโลมาไม่มาแน่นอน”
“ดูจากสภาพน้ำและอากาศ” พยุตม์กวาดสายตาไปรอบทิศทางแล้วสรุปว่า “ไม่มาแน่นอนครับ เสียเวลารอเปล่า แต่พรุ่งนี้ไม่แน่”
“คุณโม้หรือเปล่านี่” พิชญไม่อยากจะเชื่อ
“ผมนัดกับสามสามนั่นไว้พรุ่งนี้บ่ายๆ” พยิตม์ยักคิ้ว
“พูดเป็นนิยาย” พิชญเบ้ปาก
“พนันกันไหมล่ะ” พยุตม์หัวเราะเบาๆ “ถ้าผมผิด ผมยอมให้คุณนอนเตียงในห้องนอนทุกคืนจนถึงวันที่คุณกลับกรุงเทพฯ แต่ถ้าผมถูก ผมก็ได้เตียงนอนไป คุณนอนโซฟา”
“คุณแน่ใจหรือว่าจะพนันกับผมแบบนี้” พิชญถามอีกฝ่าย แต่ความจริงแล้วเขาถามตัวเอง
“ผมเป็นคนพูดจริงทำจริง”
“ก็ได้” พิชญรับคำท้า
“คุณนี่ก็ใจถึงเหมือนกันนะ”
“คุณยังรู้จักผมน้อยไป” พิชญเอียงหน้าท้าทาย
“เสียดาย ผมน่าจะพนันกับคุณด้วยเดิมพันสูงกว่านี้”
“ยังเปลี่ยนเงื่อนไขได้นะ ผมอนุญาต” พิชญยักไหล่
“แน่ใจนะ”
“ไม่แน่ก็ไม่ใช่...” พิชญหยุดคำพูดไว้ทัน
“หรือ” พยุตม์ทำเสียงในลำคอ ตาฉายแววสงสัย
“ไม่แน่ก็ไม่ใช่ผม” พิชญพูด
“ทำไม” พยุตม์ถามเบาๆ มองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง
“อะไรหรือ”
“ทำไมคุณไม่ยอมบอกชื่อผม และไม่ถามชื่อผม และไม่ให้ผมบอกชื่อด้วย”
“เปล่านี่” พิชญส่ายหน้า “เพียงแต่...เอ่อ...”
“หรือคุณคิดว่าแบบนี้มันสนุกตื่นเต้นดี ใช้เวลาสองสัปดาห์อยู่กับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง แย่งที่นอนกัน แย่งความเป็นเจ้าของบ้านกัน”
“ผมไม่ได้บอกว่าบ้านเป็นของผม มีแต่คุณนั่นล่ะที่บอกว่าคุณเป็นเจ้าของบ้าน ผมบอกว่าพี่ชายเพื่อนผมให้ยืมบ้านพักตากอากาศ”
“พี่ชายของเพื่อนคุณที่ชื่อคณินทร์” พยุตม์ยักคิ้ว พิชญพยักหน้า
“แต่น้องชายผมไม่ได้ชื่อคณินทร์” พยุตม์ส่ายหน้า “ไม่รู้จักใครเลยที่ชื่อคณินทร์”
“คุณว่าผมมาผิดเกาะ” พิชญหรี่ตา เตรียมตัวจะเถียง
“คุณนี่ ถ้าไม่เป็นคนที่มีความมั่นใจสูงมาก ก็เป็นคนที่ดื้อรั้นมาก”
“ผมเป็นทั้งสองอย่าง” พิชญกระแทกเสียง
“อืม...ดี” พยุตม์พยักหน้าแล้วยื่นขวดโลชั่นกันแดดให้อีก
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” พิชญปฏิเสธ
“แบบนี้เรียกว่าดื้อรั้น” พยุตม์พูด
“ใช่แล้ว” พิชญยักไหล่ ตามองไปยังทะเลเบื้องหน้า
“ผมก็แค่ห่วงว่าผิวคุณจะไหม้”
“โดนแดดแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”
“แนบนี้เรียกว่ามั่นใจ”
“แน่น๊อน” พิชญลงท้ายเสียงสูง
“ไปเถอะคุณ โลมาไม่มาแล้วล่ะ มานั่งตากแดดให้ตัวเองร้อน ทรมานร่างกายเฉยๆ พรุ่งนี้บ่ายๆ ค่อยมาอีกที” พยุตม์พูดแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดว่า “แบบนี้ผมเรียกว่าความมั่นใจและมีเหตุผล”
“คุณจะไปไหนก็ไป” พิชญไล่
“ผมจะไปอีกฝากหนึ่งของเกาะ ฝั่งโน้นเป็นหน้าผาน้ำลึก บ่ายๆ สดใสอย่างนนี้ เผลอๆ ได้เห็นปลาวาฬ”
“อะไรนะ” พิชญหันขวับ สายตาปะทะเข้ากับต้นขากำยำเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนแล้ว ลมทะเลพัดมาทำให้กางเกงขาสั้นของตัวโตลู่แนบติดเนื้อ เช่นเคย เผยให้เห็นเป้าอวบอูม
ไมโครโฟน!
ภาพที่เขายืนถือไมโครโฟนร้องเพลงอยู่กลางเวทีผุดขึ้นมาในหัวของพิชญอย่างช่วยไม่ได้
“คุณอย่ามาหลอกผมเล่นหน่อยเลย” พิชญพูดอุบอิบ
“บางทีก็เป็นปลาพยูน”
“ไม่จริงหรอก”
“แล้วคุณคิดว่าที่ผมหายไปตอนกลางวันทุกวันเพราะอะไรล่ะ” พยุตม์พูด “คุณนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่จุดเดิม ไม่เสาะแสวงหา จะเจออะไรดีๆ ได้ยังไง”
“ถ้าไม่เห็นละก็...” พิชญยันตัวลุกขึ้นช้าๆ
“ผมบอกว่าบางทีนะครับ ผมไม่ได้การันตี”
“ถ้าไม่เห็นก็เดินเหนื่อยเสียเที่วสิ” พิชญบ่น
“ถือซะว่าเดินชมธรรมชาติ”
“เดินชมธรรมชาติกับคุณนี่นะ กลางแดดร้อนเปรี้ยงแบบนี้สนุกตายล่ะ” พิชญเบ้ปาก
“เมื่อกี้ยังเก่งอยู่เลยว่าไม่ร้อน”
“ผมไม่ได้บอกว่าไม่ร้อน ผมพูดว่า ไม่เป็นไร ขอบคุณ” พิชญเน้นเสียง
“เชื่อเค้าเลย” พยุตม์หัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วเดินนำหน้า แต่เมื่อ 'คนดื้อรั้นและมั่นใจในตัวเองสูง' ยังยืนนิ่งอยู่จึงหันไปมองและเลิกคิ้วถามอีกครั้ง “ไปไหมครับ”
“ผมอยากเห็นปลาฉลาม” พิชญพูดและเดินตามช้าๆ
“ต้องออกไปทะเลไกลๆ”
“จริงหรือ” พิชญตาโต “คุณอย่ามาหลอกเล่นนะ”
“ผมเคยเจอมาแล้ว”
“คุณว่ายน้ำได้ไกลขนาดนั้นเลยหรอ”
“ผมเป็นนักว่ายน้ำมาราธอน ตอนเรียนมหา'ลัยผมแข่งได้เหรียญทองระดับภาคเลยนะจะบอกให้” พยุตม์อวด
“ผมได้เหรียญทองโต้วาที” พิชญอวดบ้าง
“เชื่อโดยไม่สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว” พยุตม์พูดเสียงราบเรียบ
ได้ผล คนที่เดินตามหลังมาช้าๆ เพิ่มความเร็วฝีเท้าทันใดเพื่อให้เดินทัน 'ไกด์นนำเที่ยว' ก่อนที่จะเปิดฉากการโต้วาทีรอบพิเศษกลางแจ้ง
เช้าวันนี้พิชญทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน วันนี้เขาถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่เพราะ 'คนที่นอนตื่นเช้า' เคาะประตูชวนเขาออกไปวิ่งออกกำลังกายแต่เขาปฏิเสธ
“เอาแต่นอน มิน่าไม่เห็นอะไรดีๆ”
พิชญเผลอขย้ำนิตยสารในมือเมื่อนึกถึงคำพูดเหน็บแนมเมื่อเช้านี้ของคนรักการออกกำลังกาย
พอเขาปฏิเสธไม่ไปวิ่งด้วยก็มาพูดกระทบ ผู้ชายคนนี้ปากร้ายไม่ใช่เล่น เห็นนิ่งๆ แบบนั้นก็กวนอารมณ์ได้อย่างสม่ำเสมอ แล้วนี่ไปวิ่งมาราธอนเตรียแข่งโอลิมปิกส์หรือไงถึงได้นานขนาดนี้ สายแล้วก็ยังไม่กลับมากินข้าวเช้า อุตส่าห์ทำเผื่อ นี่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยนะรู้หรือเปล่า
พิชญเดินออกไปยืนมองทะเลกับท้องฟ้าที่ระเบียงหน้าบ้านแล้วถอนหายใจเบาๆ เพราะวันนี้เมฆครึ้มเหมือนฝนจะตก ไม่มีแสงแดดส่องผ่านลงมาแม้แต่นิดเดียว วันนี้เขาตั้งใจจะอาบแดดให้ผิวคล้ำขึ้น จะได้ไม่ต้องโดนใครมาค่อนขอดว่าผิวขาวๆ จะกลายเป็นกุ้งต้ม
พิชญได้ยินเสียงตึงตังที่บันไดจึงหันไปมอง ร่างสูงใหญ่วิ่งขึ้นมาบนบ้าน ผิวสีแทนเข้มโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แผงอกกว้างสะท้อนขึ้นลงเพราะหายใจหอบถี่ กางเกงขาสั้นสีขาวเปียกชุ่ม ผ้าแนบติดลำตัว ราวกับว่าเพิ่งขึ้นมาจากทะเลไม่ใช่กลับจากวิ่งออกกำลังกาย
ชายหนุ่มนักวิ่งเปลือยอกยกมือขึ้นสองข้าง ชูนิ้วสิบนิ้ว พร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงเหนื่อยหอบว่า “สิบกิโล”
พิชญเดินเข้าไปใกล้ ผู้ชายตัวโตวิ่งเหยาะๆ อยู่กับที่ กางเกงขาสั้นสีขาวชุ่มเหงื่อทำให้เห็นว่าอีกฝ่ายสวมกางเกงชั้นในสีดำ เป้าตุงขยับตามจังหวะการเคลื่อนไหว
“ผมก็วิ่งได้สิบกิโลเหมือนกัน”
“บนเครื่องวิ่งสายพานในยิมใช่หรือเปล่า” นักวิ่งตอบยิ้มๆ “แบบนั้นผมวิ่งได้ถึงยี่สิบกิโลโดยไม่มีพัก”
“ผมวิ่งรอบสนามกีฬาทองทัพบกได้สิบรอบ” พิชญอวด
“นั่นแค่สี่กิโลเมตร”
“ตั้งสิบรอบเลยนะคุณ” พิชญท้วง
“แล้วคุณคิดว่าหนึ่งรอบสนามฟุตบอลนี่ระยะทางเท่าไหร่ล่ะ”
“สิบรอบสนามนี่ก็ไม่ใช่น้อยล่ะ” พิชญยักไหล่
“ผมวิ่งครอสคันทรี่นะครับ มันเทียบกันไม่ได้ สิบกิโลเมตรของครอสคันทรี่กับสิบกิโลเมตรรอบลู่วิ่งสนามกีฬามันคนละเรื่องกันเลยนะคุณ ยิ่งสิบกิโลเมตรบนสายพานในยิมติดแอร์ เปิดเพลงดังๆ มีทีวีให้ดูด้วยยิ่งคนละเรื่อง”
“คุณรู้ว่าเค้ามีแบบนี้กันด้วยหรือ” พิชญประชด
“ผมไม่ได้อยู่แต่บนเกาะกลางทะเลนะครับคุณ”
“ผมก็ไม่ได้อยู่แต่ในห้องแอร์ในกรุงเทพฯ” พิชญพูดสวนกลับ
“เอาอีกแล้ว หากเรื่องอีกแล้ว” พยุตม์หยุดวิ่ง ยืนกางขา เท้าสะเอว หอบหายใจ มองคนที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ
“ผมหิวข้าว”
“คุณต้องไปอาบน้ำก่อนจึงจะกินข้าวได้ เหงื่อโทรมตัว เหม็นจะแย่” พิชญทำจมูกย่น
“ครับท่าน แต่ผมว่ากลิ่นเหงื่อเซ็กซี่ดีออก” พยุตม์ยกมือขึ้นวันทยาหัตถ์เหมือนทหารแล้วหัวเราะชอบใจก่อนจะเดินเข้าบ้านตรงไปยังห้องนอนเพื่ออาบน้ำ 'ตามคำสั่ง' ทิ้งให้พิชญยืนนิ่งด้วยสีหน้าฉุนๆ ที่โดนล้อเลียน
วันนี้ฝนตกปรอยๆ ทั้งวัน พิชญนอนเบื่อๆ อยู่บนเตียง แผนที่วางไว้สำหรับวันนี้ต้องล้มเลิกเพราะดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ
แผนนอนอาบแดดงั้นหรือ ตลกซะไม่มี ตอนอยู่กรุงเทพฯ ความคิดนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของเราเลย จู่ๆ ก็เกิดอยากจะผิวคล้ำขึ้นมา
เพราะอีตานักวิ่งคนนั้นทีเดียว ใครใช้ให้มาแสดงความิดเห็นเรื่องผิวของเรา แล้วไอ้การวางแผนเพื่อทำสิ่งเดียวในหนึ่งวันนี่ช่างเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ เลย คณินทร์กับพี่ปานมาได้ยินเข้าคงหัวเราะจนท้องแข็ง
ชีวิตที่นี่ช่างแตกต่างจากชีวิตในกรุงเทพฯ วันนี้วางแผนจะอาบแดด พรุ่งนี้วางแผนจะไปปูเสื่อนอนอ่านหนังสือให้จบ วันต่อไปวางแผนจะไปเดินเล่นรอบเกาะ ตอนอยู่กรุงเทพฯ มีสมุดจดรายการที่ต้องทำในแต่ละวันแล้วต้องมีเหตุให้สับเปลี่ยนเลื่อนโน่นเลื่อนนี่ตลอด ขนาดผู้จัดการส่วนตัวเก่งๆ อย่างพี่ปานยังแทบรับมือไม่ไหว
พิชญถอนหายใจเบาๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองไม่ง่วงเสียทีทั้งที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงเป็นเวลานานแต่กลับไม่ง่วง ต่างกับครั้งอื่นๆ ที่พอนอนเล่นแล้วไม่นานก็จะรู้สึกง่วง
ฝนตกอย่างนี้นายคนนั้นจะทำอะไรอยู่ ทุกทีเห็นออกจากบ้าน แต่วันนี้เขาจะทำยังไง คนแบบนั้นคงชอบชีวิตกลางแจ้ง ถ้ามาต้องมาติดแหงกอยู่ในบ้านเหมือนเราคงขาดใจตาย แต่เราเอกปกติก็เป็นคนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แล้วทำไมรู้สึกอึดอัดอย่างนี้ อยากออกไปนอกบ้านแล้วนอนเล่นกินบรรยากาศให้สบายๆ จะแย่อยู่แล้ว
“นี่คุณ...คุณ...ทำอะไรอยู่” เสียง 'คนแบบนั้น' ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง พิชญเกือบจะตะโกนตอบไปแล้วว่า 'กำลังหลับอยู่' แต่ก็ยังปากไว้ทัน เขานิ่งเงียบ จงใจไม่ตอบอีกฝ่าย ปล่อยให้เคาะประตูต่อไป
“คุณ นอนหลับอยู่หรือเปล่า อย่าเอาแต่นอนนักเลย ไปเล่นกับน้ำกับผมไหม”
แน่ะ ยังมาว่าเขาอีก ไปเล่นน้ำงั้นหรือ ฝนตกปรอยๆ แบบนี้จะชวนออกไปเล่นน้ำได้ยังไง ไม่ใช่เด็กแล้วนะ จะได้ไปวิ่งเล่นตากฝน
แต่เอ๊ะ หรือว่าเขาหมาถึงเล่นน้ำทะเล ใครจะไปเล่นน้ำทะเลตอนฝนตก พิลึกคนจริงๆ เลย
พิชญทำจมูกย่น ประหนึ่งว่าทำใส่ 'คนพิลึก' ที่ชวนเขาออกไปเล่นน้ำในเวลาเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็รีบหลับตาลง แกล้งทำเป็นนอนหลับ
“นี่คุณ...คุณ...” เสียงคนพิลึกเรียกเบาๆ แล้วบ่นว่า “ว๊า หลับอีกแล้ว นี่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ไกลขนาดนี้เพื่อมานอนอย่างเดียวหรือเนี่ย”
ใครบอก เขาหลบมาหาที่เงียบๆ เพื่ออยู่คนเดียวและคิดไตร่ตรองเรื่องปัญหาสารพัดที่กำลังเผชิญอยู่ต่างหาก แต่เป็นไงล่ะ ไม่มีโอกาสคิดแก้ปัญหาเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่างเพราะมัวแต่ทะเลาะกับคนกวนอารมณ์อย่างคุณ
พิชญเถียงอยู่ในใจ พยายามไม่สนใจเสียงเรียกไม่ยอมหยุดของคนกวนอารมณ์
“นี่คุณ...ตื่นเถอะ ออกไปข้างนอกกัน”
ไม่ ไม่ไป ทำมาเซ้าซี้ ทุกทีเห็นหลบไปอยู่คนเดียว ทำไมหลังๆ มานี่ชอบยุ่งกับเรานัก
“คุณ...หลับจริงหรือเปล่า”
อีตาบ้า ก็หลับสิ คนนอนหลับตาอยู่บนเตียงไม่ให้เรียกว่าหลับได้ยังไง
“คุณ...คุณ...ขี้เซาจริงๆ”
ใครว่า...ได้ยินคุณพูดทุกอย่างเลยล่ะ
“นี่คุณ...คุณ...”
เฮ่ย ไม่ยอมหยุดเรียกซะที
พิชญกลั้นหายใจ ทั้งๆ ที่อยากให้คนกวนอารมณ์เลิกปลุกแต่เขากลับรอฟังว่าผู้ชายคนนี้จะพูดอะไรต่อ
เอ๊ะ ทำไมเงียบไป นี่ยังอยู่หรือเปล่า จะแอบลืมตามองก็กลัวจะถูกจับได้ว่าแกล้งหลับ คนอะไร ตัวโตยังกะยักษ์แต่เดินเงียบเหมือนแมว
“นี่คุณ...”
โอ๊ะ โชคดียังไม่ไป ดีนะเมื่อกี้ไม่ลืมตามอง”
“เฮ่ย นั่น...” เสียงคนที่ตัวโตเหมือนยักษ์อุทานขึ้นมา มือดึงม่านออกกว้างจนสุดแล้วเปิดหน้าต่างออก ทำให้ลมเย็นๆ พัดเข้ามาในห้อง
“ปลาโลมาเล่นน้ำ เป็นฝูงเลยแฮะ”
“ไหนๆ” พิชญลืมตัว รีบลุกขึ้นนั่งแล้วคล้านไปโผล่หน้าขึ้นเหนือหัวเตียงเพื่อมองออกไปข้างนอก
“โน่นไงครับ เห็นหางลิๆ คุณมองดีๆ” พยุตม์ก้มมองคนที่อยู่บนเตียงขำ แล้วชี้มือไปยังกลางทะเล
“มองไม่เห็น”
“นั่นไงเล่า” พยุตม์พูดแล้วรีบผลุนผลันออกจากห้อง พิชญมองตามแล้วถามว่าจะไปไหน คนที่กำลังรีบตอบว่าจะไปว่ายน้ำเล่นกับปลาโลมา
“จะบ้าหรือคุณ นี่ฝนกำลังตก คุณจะลงไปในทะเลทั้งที่ฝนตกแบบนี้งั้นหรือ”
“แค่ตกปรอยๆ ตามผมมาเถอะน่า อย่าลืมก๊อกเกิ้ล”
พิชญวิ่งตามร่างสูงใหญ่ไปติดๆ มือซ้ายถือแว่นตาว่ายน้ำ มือขวากำโทรศัพท์ พยายามระวังตัวไม่ให้ลื่นล้ม ไม่นานก็มายืนอยู่บนชายหาด น้ำทะเลเย็นจนพิชญเผลอยกเท้าขึ้นและก้าวถอยหลัง
“เย็นตายเลย” พิชญบ่น
“เร็วๆ เข้า” ผู้ชายตัวโตเดินลุยน้ำลงไปพร้อมกับสวมแว่นตาว่ายน้ำ
“ผมกลัว” พิชญพูดขึ้นมาเบาๆ
“มากับผมจะกลัวอะไร”
“แต่ว่า...” พิชญลังเล
“รีบสวมแว่นเร็วเข้า” คนพูดหันหน้ามาเร่งแล้วก็ต้องส่ายหน้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนเก้ๆ กังๆ “คุณจะเอากล้องมาด้วยทำไม ไม่กลัวมันจมน้ำหรือเปียกน้ำหรือคร้าบ”
“โทรศัพท์ผมกันน้ำได้” พิชญกระแทกเสียง เถียงไปข้างๆ คูๆ
“เอาวางไว้บนก้อนหินโน่น หาอะไรคลุมเอาไว้จะได้ไม่เปียก”
“พูดง่ายๆ จะหาอะไรคลุมล่ะ แถวนี้มีแต่ทรายกับก้อนหิน”
“ช้าอดเล่นกับปลาโลมานะครับ”
“ผมว่ายน้ำไม่เก่งเท่าคุณนะ” พิชญพูดเสียงหวั่นๆ หันซ้ายหันขวาแล้ววางโทรศัพท์ไว้ในซอกหินที่โชคดีเห็นว่าพอจะบังฝนที่กำลังตกปรอยๆ ได้
“ผมรับผิดชอบชีวิตคุณเอง มาเถอะ” พยุตม์พยักหน้าเรียก
พิชญเดินลงไปในทะเลช้าๆ ใจเต้นตึกตักเพราะกำลังจะได้ประสบการณ์แปลกใหม่เป็นครั้งแรกในชีวิต เขายอมรับว่ากลัว แต่น้ำเสียงหนักแน่นของผู้ชายตัวโตที่ยืนอยู่ข้างหนน้าทำให้พิชญมีความมั่นใจขึ้นอย่างประหลาด
เขาคงไม่ปล่อยให้เราจมน้ำตาย ถ้าไม่ไหวจริงๆ เราก็จะตะกายเกาะเขาเอาไว้เหมือนเกาะท่อนซุงลอยน้ำในความฝันตอนบ่ายวันนั้นเลยทีเดียว
คราวนี้จะระวังไม่คว้าไมโครโฟนมาร้องเพลง
::: End of chapter 6 :::