-17-
-อิฐ-
งานเข้าผมซะแล้ว ตั้งแต่แม็กม่าจากไปหลายวันก่อน ดูเหมือนคุณแม่จะโกรธผมเอามากๆ ที่ไม่มีปัญญาจะเอาทั้งลูกและเมีย (กำมะลอ) กลับมาได้ แต่ใช่ว่าผมจะนิ่งดูดายนะ ผมก็พยายามมากที่สุดแล้วที่จะแวะไปขอความเมตตา แต่ซูกัสก็ไม่ยอมให้ผมได้พบหน้าแม็กม่าเลยสักวัน จนในที่สุดคุณแม่ก็ยื่นคำขาดว่าถ้าผมยังไม่สามารถพาตัวเขากลับมาได้ ท่านจะทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์หุ้นของท่านทั้งหมดให้กับแม็กม่า
ผมพอเดาได้ว่าคุณแม่ทำแบบนี้ทำไม ท่านคงแค่จะใช้มันเพื่อขู่ผม ท่านรู้ดีว่าอิทธิฤทธิ์กรุ๊ปมีความสำคัญกับผมมากแค่ไหน แต่สิ่งที่ท่านไม่รู้เลยคือความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม็กม่า มันไม่ได้ลึกซึ้งมากพอที่จะวางใจให้เขาถือหุ้นมากมายขนาดนั้น แค่ถือไว้เฉยๆ แล้วมาประชุมบอร์ดอย่างเดียวก็พอว่า แต่ถ้าเขาเกิดขายมันขึ้นมาล่ะก็จบเห่แน่!
“แม่ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ” ผมรีบคัดค้านความคิดนั้นทันที
“ทำไมจะทำไม่ได้ นี่มันความผิดแกเต็มๆ เลยนะที่เขาหนีไปแบบนี้ เพราะฉะนั้นแกก็ต้องรับผิดชอบ”
“แต่ผมกับแม็ก... ไม่ได้รักกันจริงๆ ซะหน่อย” หมดทางเลือกแล้วครับ ถ้ายังดึงดันโกหกต่อไปคงแย่แน่ ผมจำต้องพูดความจริงกับท่าน
“แล้วไง” แต่แม่กลับไม่ได้ตกใจในคำสารภาพของผมสักนิดเลย แถมยังออกคำสั่งอันเอาแต่ใจอีกด้วย “ถ้าไม่จริงก็ทำให้มันจริงซะสิ”
“โธ่แม่!!”
“ไม่ต้องมาพูดเลยตาอิฐ บอกไว้เลยนะว่าแกเป็นคนพาเขามาเอง แม่ได้เป็นคนบังคับหรือหามาให้ แล้วแม่ก็ชอบเขาแล้วด้วย จะรักกันหรือไม่รักน่ะมันไม่สำคัญ เพราะเรื่องที่เค้าอุ้มท้องแกมันเรื่องจริง เพราะฉะนั้นถ้าแกโง่มากขนาดเห็นคนอื่นดีกว่าเมียกว่าลูก แม่ก็จะตัดหางแกปล่อยวัด ไม่ต้องเอาเอาสมบงสมบัติอะไรแล้ว” คุณแม่ขู่ซ้ำอีกระลอกก่อนจะเชิดหน้าเดินหนีไป ทิ้งผมไว้กับความกลุ้มยิ่งกว่ากลุ้ม...
“แม่คุณท่าจะเอาจริงนะ” บีทเปรยขึ้นยิ้มๆ ดูไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจเมื่อผมเล่าเรื่องที่คุณแม่จะโอนหุ้นให้แม็กม่าให้เขาฟัง คงเพราะชินความวุ่นวายในครอบครัวผมแล้ว สมัยก่อนก็วุ่นวายหาคู่ดูตัวไม่เว้นแต่ละวัน นั่นว่าหนักแล้ว แต่นี่หนักหนากว่าเก่าอีก
“เอาจริงมากๆ เลยล่ะ” ผมตอบรับหน้าเครียด
“ทำไมคุณไม่บอกแม่คุณไปตามความจริงล่ะว่าเด็กคนนั้น ไม่ใช่คนรักของคุณ”
“บอกแล้ว...แต่...” ท่านไม่ได้ถามต่อและผมจึงไม่ได้เล่าด้วยว่าเป็นแค่การจ้าง...
“อ้อ... แม่คุณคงชอบเด็กนั่นแล้วสิ แล้วคุณล่ะ”
“ผมทำไม?”
“ไม่ชอบบ้างเหรอ?” ผมค่อนข้างอึดอัดกับคำถามนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่...
“ไม่เชื่อใจผมเหรอ?” ผมถามกลับ อีกฝ่ายยิ้มแล้วเดินเข้ามากอดคอไว้
“รักแท้แพ้ใกล้ชิดนี่”
“ผมใกล้ชิดกับคุณมากกว่าอีกนะ” ผมบอกพลางหัวเราะ รั้งเอวเขาเข้าไปกอดแล้วซบคางลงบนไหล่เป็นการเอาใจ เพื่อให้ความหวาดระแวงนั้นเบาบางลง
“สัญญากับผมนะ ว่าคุณจะไม่รักเขา” เขาวอนด้วยน้ำเสียงขี้อ้อนปนเอาแต่ใจ
“สัญญาสิ” ผมตอบรับง่ายๆ อีกฝ่ายยิ้มบางแล้วถามต่อ
“แล้วคุณจะทำไงต่อไป”
“ก็คงต้องหาทางเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปที่บ้านก่อน แต่ถ้าไม่สำเร็จ... เฮ้อ...” ผมถอนใจเพราะยังคิดอะไรไม่ออก
“คุณก็ต้องหาวิธีให้เค้าเซ็นชื่อโอนหุ้นกลับมาด้วยตัวเอง”
ก็จริง... แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ? คิดไม่ออกเลย
ผมล่ะเซ็ง ทำไมเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ? ครั้นผมเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหมอที่คลินิก เขาก็มีทีท่าไม่สนใจดังเดิมตอบกลับมาแค่ว่า
“ช่วยไม่ได้ว่ะอิฐ เคยบอกแล้วนี่ เรียนผูกก็เรียนแก้เอาเองแล้วกัน ขืนหมอเข้าไปช่วยเดี๋ยวซูกัสได้โกรธตาย”
โธ่เอ๊ยยยยย ทำเป็นพูดดี กลัวเมียก็บอก!!!
“เออจะว่าไปแล้ว แม็กเค้าก็ไม่ได้มาตรวจนานแล้วนะ ใช่ไหมหมอ?” ผมนั่งใช้ความคิดเงียบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้
“อือ...”
“นัดต่อไปเมื่อไรนะ” ผมถามพลางกดดูปฏิทินในมือถือ แล้วก็ได้คำตอบโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรสักคำ ผมจึงถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “พรุ่งนี้เหรอ”
หมอเงียบ ไม่ได้ตอบรับหรือตอบปฏิเสธแค่นั้นก็รู้แล้วว่าถูกต้อง...
และตอนนี้... ผมก็ได้ตัวจอมยุ่งมาแล้วด้วย! ผมพาเขานั่งรถขับออกจากหลังคลินิกเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมาย...
“คุณจะพาผมไปไหนครับ” ในคำถามนั้นไม่มีท่าทีตกอกตกใจ หวาดกลัว ตื่นเต้นอะไรเลย มันเหมือนคนเบื่อมากกว่า
“......” ผมเงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่ตอบไม่ได้ เพราะเรื่องที่ลากเขามาแบบนี้ผมไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า จะให้ผมพาเขาไปที่บ้านก็ได้ แต่สุดท้ายตอนที่ผมไม่อยู่บ้านเขาก็คงหาทางหนีไปได้อยู่ดี ส่วนที่อื่น...
จะบ้าหรือไง? จะให้จับคนท้องมาขังเนี่ยนะ!!
“เธออยากไปไหนไหม?” ผมหันไปขอความเห็นเพราะตอนนี้นึกอะไรไม่ออกเลย
“อยากกลับบ้าน” ตอบโดยไม่ต้องคิด
“บ้านฉันเหรอ?” แกล้งกวนกลับไป กะจะแกล้งให้อีกฝ่ายโวยวายแต่เขากลับเงียบ ไม่ตอบ ไม่เถียงสักคำ มีเพียงสายตาตำหนิ ทำไมรู้สึกเหมือนโดนด่าในใจตลอดเลยก็ไม่รู้สิ
“หิวไหม เราไปหาอะไรกินกันดีกว่านะ”
ผมถามแล้วเลี้ยวรถขับพาเขาไปยังสวนอาหารขึ้นชื่อในแถบนั้น คนที่มาด้วยไม่โวยวายอะไร ผมคิดว่าเขาคงหิวแล้วล่ะเพราะนี่ก็เพลแล้ว
“บ้านผมที่คุณซื้อให้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้นะครับ ไม่มีคนอยู่เลย” จู่ๆ เขาก็พูดถึงบ้านเขาขึ้นมาระหว่างมื้ออาหาร ตลกดีเหมือนกัน ผมอุตส่าห์ซื้อบ้านนั้นให้เขาแถมหาคนดูแลให้อีกคน สุดท้ายแล้วเขาก็ได้อยู่แค่ครึ่งปีเอง
“ทำไมจะไม่มี ก็กุ้งไง” ผมเถียง เพราะถึงแม็กจะไม่ได้อยู่บ้านนั้นแล้วผมก็ยังไม่ได้บอกเลิกจ้างกุ้งอยู่ดี
“พี่เค้ายังอยู่เหรอครับ” น้ำเสียงแสดงความแปลกใจ
“อยู่สิ เอ๊ะ! หรือไม่อยู่นะ ไม่ได้ไปนานแล้วเหมือนกัน ไม่แน่ป่านนี้อาจจะยกเค้าไปหมดบ้านแล้วก็ได้” ผมว่าติดตลก แต่คราวนี้อีกฝ่ายมีสีหน้ากังวลจนผมหลุดขำ ทีอย่างงี้ละเกิดคิดจริงจัง “งั้นลองไปดูกันไหม”
เขาหันมามองด้วยสายตาแปลกใจอีกครั้งแล้วก็เอ่ยถาม
“แล้วคุณไม่ทำงานเหรอครับวันนี้”
“ไม่” ผมตอบสั้น ไม่ได้บอกออกไปตามตรงว่าการตกลงกับเขาถือว่าเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้
“แล้วเรื่องที่คุณมาหาผมนี่... คุณบีทรู้ไหม?”
“รู้...”
“เขาไม่ว่าเหรอครับ”
“ว่าเรื่องอะไรล่ะ?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ
“เปล่าหรอกครับ แค่หาเรื่องคุยไปอย่างงั้นเอง” เขาตอบเลี่ยงแล้วหรุบตาต่ำ
จะว่าไปแล้วบีทก็ไม่ได้ว่าอะไรผมจริงๆ นั่นแหละ บอกแค่ว่า...
“สัญญากับผมนะ ว่าคุณจะไม่รักเขา...”
หลังมื้ออาหาร ผมพาเขาไปที่บ้านที่ผมซื้อให้เขา ดูเหมือนเขาจะตื่นเต้นดีใจที่ได้กลับมา ทักทายพูดคุยกับกุ้งเหมือนไม่ได้เจอกันมายาวนานเป็นปีทั้งๆ ที่เพิ่งจะผ่านไป แค่เดือนกว่าๆ มันก็ดีตรงที่ทำให้รู้ว่า คนยิ้มยากก็ยิ้มเป็น และมันก็น่ามองมาก...
ผมออกมานั่งรับลมเย็นอยู่ที่ชิงช้าหน้าบ้าน มองรถเก๋งคันใหม่เอี่ยมจอดไว้ที่เดิมตลอด เพราะแม็กม่าขับรถไม่เป็น ถ้าเขาขับรถเป็น เขาคงมีข้อโต้เถียงที่จะไม่ไปอยู่ที่บ้านผม และเรื่องราวคงไม่บานปลายขนาดนี้
“ทำไมไม่ไปหัดขับรถล่ะ?” ผมถามเมื่อเขาเดินออกมาจากบ้าน
“ไปแล้วครับ ก็เหมือนจะขับเป็นนะ แต่ผมขี้ขลาด ไม่กล้าขับออกถนน ก็เลยไม่รู้ว่าถ้าขับออกไปแล้วจะเป็นยังไง” เขาตอบแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ชิงช้าเล็กๆ ตัวเดียวกันที่ผมวาดแขนพาดยาวไปบนขอบพนักเก้าอี้ จนเมื่อเขาเอนตัวลงพิงพนักจึงเหมือนถูกโอบทางอ้อม...
“กลัวอะไรล่ะ มองซ้ายมองขวาให้มันดีๆ สิ”
“อุบัติเหตุมันไม่ได้เกิดขึ้นจากเราคนเดียวนี่ครับ เหมือนแม่ผม ท่านแค่เดินตามทางเท้าเฉยๆ อยู่ดีๆ ก็มีคนขับรถมาชนซะอย่างนั้น เรียกว่าโชคร้าย หรือแค่อีกฝ่ายประมาทก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะตอนนั้นผมก็ยังเด็กมาก”
“เสียใจด้วยนะ”
“เรื่องมานานมาแล้วครับ” เขายิ้มบางตอบรับคำของผม รอยยิ้มที่นานๆ จะโผล่มาสักที จางหายไปอย่างรวดเร็ว...แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเศร้า...
“พาผมไปส่งเถอะ ไม่อย่างงั้นคุณต้องเสียใจแน่” แม็กม่าเอ่ยขึ้นลอยๆ ท่ามกลางความเงียบ
“เสียใจเรื่องอะไร”
“ก็คุณจะลักพาตัวผมไม่ใช่เหรอ? ละครแนวจำเลยรักน่ะ ตอนจบพระเอกมักจะรักนางเอกนะ ทุกเรื่องเลย”
“ทำไมล่ะ เธอไม่อยากให้ฉันรักเธอเหรอ? ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ เธอจะได้ทุกอย่างมาง่ายๆ โดยไม่ต้องเอาลูกมาขู่ด้วย” ผมแขวะหน้ายิ้ม
“นี่คุณยังคิดอะไรแบบนี้อยู่อีกเหรอ” เขาหันมาขมวดคิ้วใส่
“ถ้าเธอไม่คิด... งั้นเธอสัญญาได้ไหมล่ะว่าถ้าคุณแม่ท่านยกอะไรให้เธอ เธอจะยืนยันไม่ยอมรับมันเอาไว้”
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ลืมเหตุผลที่ผมมาหาเขา
ในความเป็นจริงแล้วการโอนหุ้นแบบระบุชื่อจะต้องได้รับการเซ็นชื่อทั้งผู้ให้ ผู้รับและพยาน ถ้าไม่อย่างนั้นจะถือเป็นโมฆะ เพราะฉะนั้นถ้าคุณแม่อยากให้แต่อีกฝ่ายไม่เซ็นรับก็ไม่เป็นไร
“คุณแม่จะให้อะไรผมเหรอครับ”
“เปล่า... ฉันแค่พูดเผื่อไว้”
“ถ้าผมตกลง แล้วคุณจะพาผมไปส่งบ้านซูกัสเหรอครับ”
“อื้อ...”
“ครับ งั้นผมก็ตกลง ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากครอบครัวคุณทั้งนั้น”
ผมก็ได้แต่หวังว่า... เขาจะรักษาคำพูด...
ในที่สุด หลังจากได้คำตอบที่พอใจ ผมก็ขับรถพาแม็กม่ากลับไปส่งที่บ้านซูกัสตามที่รับปากไว้
“ต่อไปนี้...คุณอย่ามาหาผมอีกเลยนะครับ” คำพูดตัดรอนนั้นทำให้เจ็บปวดอยู่ลึกๆ ความรู้สึกที่ถูกตัดรอนอย่างไร้เยื่อใยค่อนข้างทำให้ผมหงุดหงิด
“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนล่ะ ถ้าฉันไม่ง้อเธอ คุณแม่เอาฉันตาย”
“ผมบอกท่านไปแล้วว่าไว้ให้หลานคลอดจะพาไปหา คุณก็เหมือนกันรอให้ลูกคลอดก่อนก็ได้ค่อยมา...รับเขา ผมไม่หนีไปไหนหรอกครับ เพราะนอกจากที่พึ่งอย่างซูกัส ผมก็ไม่มีที่จะไปอีกแล้ว” เขาทำให้ผมเศร้าตามเลยล่ะ ถึงจะรู้สึกได้ว่าเขาพูดจริง แต่...
“ถ้าฉันทำอย่างนั้นจริงๆ เชื่อเถอะว่าซูกัสคงไม่ให้ฉันได้เห็นทั้งเธอและลูกแน่”
เขาเงียบ... คงเพราะไม่รู้จะเถียงยังไง เขาก็คงรู้นิสัยเอาแต่ใจตัวเองของเพื่อนดี ผมหันไปมองเขาใบหน้านิ่งเฉยมีย้อมเศร้าจนแลอึดอัด ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อก่อนมันเป็นอย่างนี้เสมอหรือไม่ เพราะปกติเขาก็เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด และหน้าเฉยแบบนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา คือแววตาแสนเหงา
“ไปอยู่กับซูกัสตั้งหลายวัน ไม่ติดนิสัยร่าเริงมาบ้างหรือไง” ผมโพล่งขึ้นมาในที่สุดเมื่อนึกขัดใจกับสีหน้าและแววตาแบบนั้น
“ถ้านิสัยร่าเริงมันติดกันได้จริงก็ดีสิ ผมคงร่าเริงมาตั้งแต่สมัยเรียน”
“วันๆ ทำเป็นอยู่หน้าเดียว ไม่เมื่อยหน้าบ้างหรือไง”
“แล้วจะให้ทำหน้าแบบไหนล่ะครับ”
“ยิ้มไง... มัวแต่ทำหน้าอมทุกข์ คงพลอยทำให้ลูกสุขภาพจิตแย่ไปด้วยอีกคน”
“ถ้าผมยิ้มหรือหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลก็คนบ้าแล้วครับ”
“เหตุผลก็คืออารมณ์ดีไง หรือถ้าเธอไม่รู้จะยิ้มให้ใคร งั้นเธอก็ยิ้มตอบฉันก็ได้นะ” ผมหันไปยิ้ม แต่อีกฝ่ายดันหยิ่งหน้านิ่งตอบ ทำให้ผมยิ้มเก้อฝ่ายเดียว แล้วยังตอบว่า...
“แต่ตอนอยู่กับคุณ ผมอารมณ์ไม่ดีนี่ครับ” ทำไมเขาชอบทำให้รอยยิ้มผมเจื่อนลงทุกทีเลยก็ไม่รู้
บางทีผมอาจจะชอบความเสแสร้งของเขามากกว่า เสแสร้งเป็นรัก เสแสร้งเป็นเอาใจเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น อย่างน้อยก็มีสีหน้าอื่นบ้างไม่ได้เย็นชาตลอดแบบนี้
“นี่เธอเกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงขนาดไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากยิ้มให้ ไม่อยากอยู่ใกล้” ผมถามอย่างไม่พอใจนิดๆ เขาหันมองกลับมาจ้องตาผม มันมีประกายบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ แต่มันน่าแปลกตรงที่สีหน้าเฉยชาเหมือนเดิมนั้น แววตากลับเศร้าลงทุกวันไม่รู้ว่าทำไม
“เกลียดเหรอครับ... อาจจะไม่ใช่เหตุนั้นก็ได้นะ” ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นเพราะอะไรล่ะ?
ผมจ้องกลับไปในแววตาคู่นั้นอย่างค้นคว้า แต่ก็พบแต่แววตาที่ผมอ่านไม่ออก
++++++++++