Chapter 18 Hide and Seek
คุณป้าแม่บ้านกลับมาช่อฟ้าในเช้าวันจันทร์ บ้านเงียบเหงาจนสงสัยว่าเจ้านายคนเล็กของบ้านอาจจะยังไม่ตื่นทั้งที่ปกติยามเช้าจะต้องได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วคุยกับเจิ้น ทว่าบ้านกลับเงียบงันประตูห้องนอนเปิดไว้ก็ไม่มีคนอยู่ เพิ่งจะหกโมงเช้าเจิ้นไม่น่าจะตื่นไปทำงานแล้ว หรือจะยังไม่กลับจากกาญจนบุรี?
แม่บ้านวัยกลางคนตัดสินใจไปให้อาหารนกที่เก๋งด้านนอกเหมือนอย่างทุกวันเป็นอันดับแรก ดวงตาที่มีริ้วรอยแห่งวัยเบิกกว้างเมื่อเห็นเจ้านายของช่อฟ้านั่งอยู่ในเก๋ง บนโต๊ะมีขวดเหล้ากลิ้งเกลื่อนกลาดและก้นบุหรี่หล่นกระจัดกระจาย
เจิ้นเป็นวัยรุ่นสูบบุหรี่อยู่ช่วงหนึ่งแต่ก็เลิกไปตั้งแต่เยว่มีเจ้านายตัวเล็กเข้ามาอยู่ เธอเห็นบ้างนานๆทีที่เจิ้นจะสูบในเวลาเครียดๆแต่ต้องไม่ใช่ต่อหน้าคุณจันทร์ กระทั่งเหล้าราคาแพงก็ถูกเก็บในตู้มิดชิด
“เจิ้นคะ”
นัยน์ตาของเจิ้นแห้งผากมองไปที่ขอบฟ้าไกลๆ ผมยาวที่มัดรวบไว้ยุ่งเหยิงเล็กน้อย กลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่เหม็นคลุ้งไปหมด คุณชายน้อยในวันวานที่เลี้ยงมากับมือจนเป็นเจ้าบ้านเยว่ในวันนี้อ่อนแอเหลือเกิน
“ลมแรงนะคะ เข้าไปข้างในดีกว่าเดี๋ยวป้าชงชาให้”
สองมือประคองมือเย็นซีดของเจิ้น พาสารร่างที่เหมือนไร้วิญญาณเข้ามาด้านใน เจิ้นเองก็ไม่ได้ดื้อรั้นอะไรแค่เดินตามมาเงียบๆปล่อยให้คุณป้าแม่บ้านดูแล ล้างหน้า เช็ดตัว ดื่มชาอุ่นๆ คำแรกที่เอ่ยปากเป็นเพียงแค่การขอยานอนหลับสักเม็ด นานแล้วที่เจิ้นไม่ได้กินยานอนหลับ สมัยรับตำแหน่งเจ้าบ้านเยว่แรกๆมีบ้างทีความเครียดรุมเร้าจนต้องพึ่งมัน คุณป้าแม่บ้านไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะดูท่าแล้วเจิ้นคงนอนไม่ได้นอนมาทั้งคืน
ม่านผืนหนาปิดกั้นแสงจากด้านนอกจนห้องมืดสนิท หลังจากส่งเจิ้นเข้านานในยามเกือบแปดโมงเรียบร้อยก็แง้มประตูทิ้งไว้เล็กน้อย เดินไปโทรศัพท์แจ้งการป่วยให้กับเลขาและบ้านใหญ่
คุณป้าแม่บ้านไม่เข้าใจนักว่าอะไรเป็นอะไรแต่เรื่องเดียวที่มีผลกระทบกับเจิ้นก็คงจะเป็นเรื่องของเจ้านายคนเล็กที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ บรรยากาศช่อฟ้าต่างจากวันศุกร์ลิบลับที่ยังได้ช่วยคุณจันทร์จัดกระเป๋า ปากเล็กๆเจื้อยแจ้วว่าจะซื้อขนมมาฝาก จะไปถ่ายรูป จะทำนั่นทำนี่เต็มไปหมด
“คุณจันทร์ต้องรีบกลับมานะคะ...เจิ้นจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีคุณจันทร์”
เธอเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดคนทั้งคู่มากที่สุดทำไมจะไม่รู้ว่าเจ้านายคนโตรู้สึกยังไง เลี้ยงมากับมือตั้งแต่เพิ่งคลอด ดูแลกันมาเกือบจะสามสิบปีเข้าไปแล้วทำไมจะไม่เห็น ความสุขของเจิ้นก็เหมือนความสุขของเธอด้วย
หวังว่าหมอกขมุกขมัวที่ช่อฟ้าจะพัดผ่านไปในเร็ววัน
“กินข้าวอีกหน่อยนะลูก”
“ผมอิ่มแล้ว...”
แม่ทำข้าวต้มหมูให้ มันรสชาติอร่อยไปคนละแบบกับที่คุณป้าแม่บ้านทำแต่ผมก็กินไม่ลง มันตื้อไปหมด หัวก็ปวดตาก็บวม เมื่อเช้าตื่นมาเข้าห้องน้ำถึงกับตกใจตัวเอง
แม่พยายามคะยั้นคะยอให้ผมกินอีกแต่ผมกินไม่ไหวแล้วเลยเปลี่ยนเป็นนมอุ่นให้ผมแทน ไม่ว่าจะอยู่บ้านไหนทุกคนก็จะอุ่นนมให้ผมกันหมดอย่างกับเขามีไลน์กลุ่มคุยกันเรื่องอาหารการกินผมอย่างนั้นแหละ ลักษณะของกินผมจะมีรูปแบบที่ชัดเจนมากเพราะผมปวดท้องง่ายแล้วผมก็ไม่เบื่อด้วย เพราะคุณป้าแม่บ้านทำกับข้าวอร่อย แม่ก็ทำอร่อย กินซ้ำๆก็ยังดีกว่าปวดท้องเยอะเลย
“เดี๋ยวกินยาด้วยล่ะ”
พ่อถือเนคไทเดินลงมา แม่รีบเดินเข้าไปช่วยพ่อผูก ภาพพ่อกับแม่คุยกันหัวเราะกันทำให้ผมนึกถึงตัวเองกับเจิ้น ทุกเช้าผมก็ช่วยเจิ้นแต่งตัวแบบนี้ แล้วเราก็จุ้บกันเหมือนที่พ่อหอมแก้มแม่แบบนี้
“ไม่หิวข้าวหรอลูก”
ผมพยักหน้าพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรก่อนจะรับชามข้าวต้มของแม่มา ผมเห็นรอยยิ้มอยู่บนหน้าแม่ตลอดเวลาเพราะตั้งแต่คำแรกที่กินพ่อก็หันไปชมว่าอร่อยมาก ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของแม่...ตอนเจิ้มชมผมก็ดีใจมากเหมือนกัน
ถึงเขาจะชมเหมือนทุกๆวันแต่มันก็รู้สึกดี มากกว่าคำชมคงจะเป็นการที่เจิ้นกินข้าวฝีมือผมหมดจาน และแม่ก็คงดีใจมากที่พ่อขอข้าวต้มเพิ่มอีกถ้วย
แม่เป็นแม่บ้านเต็มตัว ผมไม่เคยอยู่บ้านกับแม่ในวันธรรมดามาก่อนถึงเพิ่งรู้ว่าระหว่างวันแม่จะชอบทำงานฝีมือ ผมช่วยแม่ร้อยไหมสำหรับปักผ้า ตลอดมาผมนึกว่าแม่ซื้อพวกผ้ารองจาน พวงกุญแจบ้านแต่เปล่าเลย แม่ผมทำเองทั้งหมด เราช่วยกันเลือกสีผ้า เลือกลาย แม่อยากจะทำปอกหมอนลายใหม่สำหรับปีใหม่ให้พ่อ
มือของแม่ปักผ้าเร็วกว่าผมที่เพิ่งจะกระดืบไปช้าๆแถมเบี้ยวๆบูดๆ แม่เลือกผ้าสีฟ้าอ่อนเป็นปลอกหมอนและจะปักลายหมีสีน้ำตาลตรงมุม
“จันทร์ดูให้มันเท่าๆกันแบบของแม่หน่อยลูก”
ผมไม่เก่งขนาดปักหมีเหมือนแม่ผมเลยปักผ้าเช็ดหน้าสีขาวลายพระจันทร์แทน พระจันทร์เสี้ยงของผมเบี้ยวไปเบี้ยวมาแถมผ้าบางๆก็ชักจะเป็นรูเข็มที่ทิ่มผิดบ่อยๆ แม่ปักหมีเสร็จสองตัวผมก็ได้พระจันทร์...เอ่อ เกินครึ่งเสี้ยวแต่ไม่ถึงครึ่งดวง แม่ช่วยปักขอบสีดำให้มันจะได้ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ผมจะเอาไปให้เจิ้น...
ทั้งพ่อทั้งแม่ไม่ถามผมว่าเป็นอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นทำให้ผมไม่อึดอัดเท่าไหร่ พอผมหายสติแตกผมเริ่มอายแทนที่ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังขนาดนั้นแล้วก็เริ่มรู้สึกผิดกับเจิ้น แต่ก็ไม่กล้าโทรหาเจิ้นอยู่ดีเพราะอารมณ์ผมยังหมุนๆวนๆไปๆมาๆ เมื่อคืนเจิ้นจะนอนหลับไหม ผมไม่ได้นอนด้วย สินเชื่อก็อยู่กับผม...เป็นห่วงจัง
ความเสียใจกับความเป็นห่วงมันคนละเรื่องกันสำหรับผม ถึงผมจะเสียใจอะไรก็ไม่รู้แต่ผมก็เป็นห่วงเจิ้น ตอนบ่ายแม่ไปจ่ายค่าไฟที่เซเว่นผมเลยโทรหาคุณป้าแม่บ้านแทน
“เจิ้นไม่สบายค่ะคุณจันทร์ เพิ่งนอนพักไปสักครู่เอง”
ผมเริ่มร้อนใจ เจิ้นไม่ใช่คนป่วยง่ายเลยเพราะเขาทั้งออกกำลังกาย นอนเป็นเวลา เรื่องอาหารคุณป้าแม่บ้านก็ดูแลอย่างดีแถมมีวิตามินเสริมอีก นานๆครั้งมากๆเจิ้นถึงจะป่วยและพอเจิ้นป่วยก็มักจะต้องเข้าโรงพยาบาลหรือนอนซมเป็นวันๆ กินข้าวก็ยาก ยาก็ไม่ค่อยยอมกินถ้าไม่บังคับ ดื้อจะอาบน้ำไม่ยอมเช็ดตัว แล้วสารพัดจะงอแงจนผมกับคุณป้าแม่บ้านปวดหัวกันทุกที
อยากกลับไปหาเจิ้นจัง ถึงผมจะคิดว่าตัวเองไม่โอเคแต่เจิ้นป่วยนะ เรื่องอื่นต้องไว้ทีหลังก่อน ทุกปัญหาที่เกิดจากผม ที่ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ผมจะต้อง วาง ลง ก่อน!
ผมโทรหาพ่อพูดกับพ่ออะไรบ้างก็ไม่รู้ ผมสติแตกอีกรอบเพราะเป็นห่วงเจิ้น ผมพ่นออกมาเยอะแยะจนกระทั่งเหนื่อยหมดแรงพ่อตอบมาแค่ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อนเดี๋ยวพาไปเยี่ยมวันหลังและไม่ต้องห่วง เจิ้นไม่ได้เป็นอะไรมาก น้ำเสียงของพ่อสงบราวกับเวิ้งน้ำจนผมคล้อยตามเพราะพ่อไม่จำเป็นต้องโกหก
ตอนเย็นเราไปกินข้าวร้านอาหารแถวบ้านกัน แม่พยายามสั่งกับข้าวที่ผมชอบแต่ผมก็ยังกินได้ไม่เยอะ พอเห็นปลานึ่งบ๊วยก็อยากจะกลับไปกินฝึมือคุณป้าแม่บ้าน มันก็อร่อย...แต่กับข้าวคุณป้าแม่บ้านอร่อยกว่า
ทำไมความรู้สึกผมมันย้อนแย้งไปหมดกันนะ...ทั้งอยากกลับแต่ก็ไม่อยากกลับ อยากโทรหาเจิ้นก็ไม่กล้าโทร ดีนะที่เป็นช่วงปิดเทอมเพราะผมคงไม่มีกระจิตกระใจจะเรียนแน่ๆ
พ่อชวนผมไปหาเจิ้นวันต่อมาแต่ผมกลับไม่กล้าที่จะไป ผมกลัวตัวเองจะร้องไห้ถ้าเห็นเจิ้นป่วยเลยฝากผ้าเช็ดหน้าที่ผมตั้งใจปักลายพระจันทร์เบี้ยวบูดไปให้แทนแล้วก็...สินเชื่อ
“ไม่ไปกับพ่อแน่นะ?”
“อื้อ....ให้สินเชื่อไปก่อน”
ผมกระวนกระวายไปทั้งวันไม่มีอารมณ์จะช่วยแม่ปักผ้าต่อเลยขึ้นห้องมานอน สินเชื่อไม่อยู่เตียงผมโล่งขึ้นนิดหน่อย พ่อยังไม่โทรมาหาไม่รู้ป่านนี้ไปหาเจิ้นหรือยัง เจิ้นจะยอมกินยาไหมนะ
“หายไวๆนะจันทร์เป็นห่วง”
“ไอ้คนป่วย ป่วยการเมืองปะวะชวนพวกกูกินเหล้า”
กลุ่มเพื่อนที่บังเอิญเป็นห่วงเจิ้นหลังจากไลน์กลุ่มที่นานๆทีเพื่อนสนิทดีกรีเจ้าของธนาคารจะมาคุยด้วยเอ่ยปากชวนกินเหล้า เป็นห่วงจริงๆนะไม่ได้อยากรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
แถมสถานที่ยังเป็นยอดหอคอยช่อฟ้าที่ถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นมาเหยียบกันทั้งกลุ่มนานแล้ว ต่างคนต่างพากันคันปากยิบๆเพราะเจ้าจันทร์ที่คาดหวังจะได้เห็นหน้าค่าตาไม่รู้ไปอยู่มุมไหน ปกติต้องนั่งข้างเจิ้นตัวติดกันเป็นตังเม
“มีเรื่อวอะไรเครียดๆก็คุยกับพวกกูได้”
“นิดหน่อย”
“ทะเลาะกับน้อง?”
ถามเปรยๆแต่เจิ้นกลับพยักหน้ายอมรับ กลุ่มเพื่อนราวกับรอจังหวะถ้ามีหูมีหางคงหูกระดิกหางสะบัดกันทั้งกลุ่ม แต่ละคนมองหน้ากัน ห่วงเพื่อนก็ห่วงแต่ความสงสัยก็มีเยอะไม่ต่างกัน
“ทะเลาะอะไรกันวะ เฮ้อเลี้ยงเด็กมันไม่ง่ายหรอก มึงต้องเอาใจ เล่นด้วยบ้าง ง้อบ้าง”
“ใช่ๆ หยอดบ้าง จีบบ้างให้ใจเต้นตึกตัก เด็กๆก็ชอบอะไรแบบนี้ เหมือนกูง้อเด็กกูอ่ะ ต้องซื้อกระเป๋าให้ทุกที”
“จันทร์ไม่ชอบกระเป๋า”
“แล้วงอนอะไรกันวะ ไหนเล่าดี้ พวกกูช่วยประเมิณสถานการณ์ให้ แล้วจะบอกมึงเองว่าต้องใช้แผนรับมือแบบไหน”
ตาคมหรี่ลงไม่ค่อยอยากจะเชื่อเพื่อนตัวเองเท่าไหร่ วีรกรรมชวนเจ้าจันทร์คุยเรื่องแปลกๆเมื่อหลายปีก่อนทำให้ไม่ค่อยไว้ใจนัก
“เออน่า พวกกูรู้ว่ามึงจริงจัง กูไม่ล้อเล่นกับหัวใจเพื่อนหรอก”
สุดท้ายคนที่ไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเองก็ค่อยๆเล่าออกมา เพราะจนปัญญาจะคิดคนเดียวว่าเจ้าจันทร์ร้องไห้เพราะอะไร เสียใจอะไร....ทำไมถึงกับไม่อยากอยู่ด้วยกัน ผ้าเช็ดหน้าที่ปักมาให้ สินเชื่อกระต่ายที่มีกลิ่นนมอ่อนๆของเจ้าจันทร์ติดมาทุกอย่างมันบอกว่าคิดถึง...
ทำไมคนที่คิดถึงกันถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน
จะไปหาก็กลัวตาโตๆจะร้องไห้จนแดงช้ำ จะกอดก็กลัวว่าเจ้าจันทร์จะวิ่งหนี เขาคงรับไม่ได้ถ้าเป็นเช่นนั้น การถูกเจ้าจันทร์ปฏิเสธมันทรมานจนหายไม่ออก
“กูว่าหึง”
“หึงชัวร์ เหมือนเมียกูเป๊ะ คุยกับหญิงหน่อยนะตาวาว งอแง โมเม หยิกกูจนแขนเขียว แล้วก็ไล่ไปนอนนอกห้อง”
คนมีประสบการณ์แต่งงานทำหน้าสยอง ก่อนแต่งจำได้ว่าเป็นเสือทำไมอยู่ดีๆกลายเป็นเหยื่อก็ไม่แน่ใจ รู้ตัวอีกทีก็โดนเมียข่ม จะไหวตัวก็ไม่ทันแล้ว
“แต่น้องยังเด็ก จะไปสู้อะไรกับใครได้วะ นั่นแพร พิมพิลานะเว่ย เพอร์เฟคสุดในยุคนี้ สู้ไม่ได้ก็ร้องไห้อ่ะถูกแล้ว”
“แล้วไอ้หลุมดำในตัวอะไรนี่ มึงเลี้ยงน้องมายังไงวะไม่ให้รู้จักอิจฉาอะไรคนอื่นมั่ง คนนะโว้ยไม่ใช่นักพรตบำเพ็ญตนจะเป็นเซียนบนสวรรค์ พออิจฉาบ้างหึงบ้างก็เลยไม่รู้จัก”
“เจิ้นมันเลี้ยงของมันให้น้องนิสัยดี มึงจะไปยุให้เด็กไปขี้อิจฉาทำไมวะ มันยุคเศรษฐกิจพอเพียงก็ถูกแล้ว”
“เรื่องรักๆใคร่ๆจะไปพอเพียงได้ยังไงวะ ทีมึงมีกิ๊กสองคนพอเพียงมากเลยเพื่อน กูว่ากูเห็นด้วยกับทฤษฏีไม่รู้จักอิจฉาก็เลยทำตัวไม่ถูกนะ คนเราพอรู้สึกอะไรที่ไม่เคยรู้สึกก็ตกใจกันเป็นธรรมดาปะวะ?”
“แล้วน้องก็ถูกประคบประหงมมาสุดๆ อย่างกับกระต่ายขี้ตกใจ พอตกใจกลัวก็วิ่งไปหาพ่อหาแม่อ่ะถูกแล้ว เด็กเวลากลัวก็ฟ้องพ่อฟ้องแม่กันทั้งนั้น”
“แล้วไอ้เจิ้นอ่ะ? เลี้ยงมาแต่ไหนแต่ไรไม่เห็นมาฟ้องเจิ้น”
“มันอยากเป็นพ่อเจ้าจันทร์รึไง กูเห็นเพื่อนกูอยากเป็นผัวเด็กตั้งแต่เด็กมันหกขวบ”
“กูว่าเด็กมันก็แยกแยะได้ด้วยว่ามันไม่ได้รู้สึกกับเจิ้นเหมือนพ่อหรอก มึงเคยบอกรักน้องบ้างยัง? ขอเป็นแฟน ขอจีบ ไปเดท?”
“กูก็บอก...ว่าเราเป็นครอบครัวกันสองคน”
เพื่อนพากันกลอกตา
“มันข้ามขั้นไปโว้ย ครอบครัวสองคนนี่ พ่อกับลูก พี่กับน้อง ก็ได้ คือน้องเข้าใจว่าอยู่กันสองคนของมึงเนี่ยแบบผัวเมียรึเปล่าวะ คือมึง สัสเจิ้น มึงต้องเดินไปทีละก้าวๆ ข้ามขั้นไปหลังแต่งเลยเด็กมันก็งงดิวะ”
“กับเด็กๆมึงต้องค่อยๆเคี้ยว มันไม่ได้อายุจะสามสิบเหมือนเรานะที่พูดอ้อมๆยังรู้ว่าอยากได้อะไร ไม่เหมือนมึงคุยกับเลขาที่เปรยๆก็ตรัสรู้ละว่ามึงจะเอานั่นเอานี่”
“น้องมันไม่หนีมึงไปไหนหรอก แต่มึงทำน้องสับสน”
“ความชัดเจนของแต่ละคนก็อยู่ในจุดโฟสกัสที่แตกต่างกัน เจ้าจันทร์ไม่ได้เข้าใจยากหรอก แต่มึงต่างหากที่ทำให้มันยากเอง”
“กินเยอะอีกหน่อยจันทร์”
“ไม่อยากกินแล้ว”
ผมกินน้อยลงกว่าเดิมอีกแล้ว ทั้งๆที่วันก่อนๆที่ผ่านมาผมก็พยายามจะกินให้เท่าเดิมนะ แต่ร่างกายมันเริ่มจะไม่รับเอง อาจเป็นเพราะผมพะวงเรื่องเจิ้นตลอดเวลา เราไม่ได้คุยกันเลย...ไม่รู้ว่าเจิ้นหายป่วยหรือยัง
“พ่อ ผม...แอบไปดูเจิ้นได้ไหม”
แม่ชะงักมือที่กำลังคีบผักบุ้งใส่ถ้วยข้าวต้มของพ่อ พ่อขมวดคิ้วนิดหน่อยแต่ก็ยิ้มให้ผม
“ถ้ากินข้าวหมดถ้วย นมอีกหนึ่งแก้ว พ่อจะพาไป”
พ่อพาผมมาที่ช่อฟ้าตอนเกือบสิบโมง พ่อโทรมาถามพี่เลขาของเจิ้นแล้วเจิ้นไม่ได้มีตารางไปไหน ผมเลยขอขึ้นไปหาคุณป้าแม่บ้าน พ่อบอกว่าสักบ่ายสองจะมารับผมกลับ
คุณป้าแม่บ้านตกใจมากที่เห็นผม ป้ารีบเข้ามากอดทำผมเกือบจะร้องไห้ ผมคิดถึงคุณป้าแม่บ้านมากเลย ผมขอช่วยทำอาหารกลางวันให้เจิ้นเหมือนทุกครั้ง
“ถ้าคุณจันทร์ทำให้ เจิ้นต้องยอมกินข้าวแน่เลยค่ะ เธอทานน้อยทุกวัน ป่วยก็ยังไม่หายดีแท้ๆก็รีบกลับไปทำงานแล้ว เมื่อคืนก็พาเพื่อนมาดื่มกัน คุณจันทร์ทานข้าวเป็นเพื่อนเจิ้นหน่อยนะคะ”
“มะ ไม่ได้หรอก.... ผมแค่มาเฉยๆ อย่าบอกเจิ้นนะครับ ผมยังไม่พร้อม...”
“โธ่คุณจันทร์ของป้า ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ป้ากำลังจะทำข้าวปั้นเหมือนที่เราเคยทำ ป้าคิดว่าเจิ้นอาจจะกินได้เยอะขึ้นถ้าเธอเห็นแล้วนึกถึงคุณจันทร์ ช่วยป้าปั้นข้าวนะคะ”
ข้าวปั้นของผมบุบๆเบี้ยวๆเหมือนเดิม ไข่ตุ๋นก็ทำเอง แทบจะเหมือนกับที่เคยทำให้เจิ้นทุกอย่าง ต่างแค่คราวนี้มีตะเกียบคู่เดียวในกล่อง
ผมนั่งรอคุณป้าแม่บ้านถือห่อข้าวไปให้เจิ้นอยู่แถวๆหน้าลิฟต์ ผมไม่กล้าเดินไปด้วยเพราะกลัวเจิ้นจะเดินออกมาเจอผมเลยรออยู่ที่มุมนี้ พี่ๆเลขาก็คงไม่เห็นเพราะจากตรงนี้ไปห้องทำงานเจิ้นก็ไม่ได้ใกล้กันมากนัก
“คุณจันทร์? สวัสดีครับ”
“อ้ะ...พี่บอดี้การ์ด”
ผมตกใจมากที่ลิฟต์ฝั่งตรงข้ามเปิดแล้วพี่บอดี้การ์ดเดินออกมา มีคนเห็นผมแล้ว! ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตาดุของพี่บอดี้การ์ดหรี่ลง
“ยะ อย่าบอกเจิ้นนะครับว่าผมมา....ไม่อยากให้เจิ้นรู้ ระ เรา ไม่คุยกันอยู่”
“อ้อ ครับ งั้นขอตัวก่อนนะครับ”
พี่บอดี้การ์ดรับคำง่ายๆก่อนจะเดินไปทางห้องทำงาน สวนกับคุณป้าแม่บ้านกลางทาง ผมเห็นทั้งคู่แวะคุยกันนิดหน่อย คุณป้าแม่บ้านกับผมกลับมาชั้นบนกัน ผมยังไม่ค่อยหิวเลยเดินไปหาสินเชื่อในห้องนอน บนโต๊ะหัวเตียงฝั่งที่เจิ้นนอนมีผ้าเช็ดหน้าของผมวางอยู่ด้วย
“สินเชื่อ...เจิ้นชอบผ้าเช็ดหน้าของจันทร์ใช่ไหม? สินเชื่อนอนเป็นเพื่อนเจิ้นแล้วเจิ้นหายป่วยหรือยัง ดูแลเจิ้นแทนจันทร์ก่อนนะ....บอกเจิ้นอย่าดื่มบ่อยนะจันทร์ไม่สบายใจเลย”
ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมากับสินเชื่อสักพักก็เริ่มง่วง อาจจะเพราะเป็นเตียงที่ผมนอนประจำ ผ้าห่มประจำแล้วก็กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมๆ แถมยังมีสินเชื่ออีก
หลายวันมานี้ผมนอนไม่ค่อยหลับ แม่ต้องลูบหลังจนดึกกว่าผมจะง่วง.... น่าแปลกที่แค่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงเจิ้นก็ทำผมหาวได้แล้ว
นอนแปปเดียว...ไม่เป็นไรมั้ง
“คุณจันทร์อยู่ข้างบน เขาไม่ให้บอกเจิ้น แต่บอกเลขาคงไม่เป็นไร”
เลขามือหนึ่งของช่อฟ้าเลิกคิ้วงงที่คุณบอดี้การ์ดเดินมาบอกแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง แต่เพราะทำงานกับเจิ้นมานานทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น รีบลุกขึ้นหยิบกล่องมื้อกลางวันที่คุณป้าแม่บ้านเพิ่งเอามาส่งเดินเข้าไปข้างในทั้งๆที่ไม่ใช่เวลากินข้าว
“ยังไม่เที่ยง เอาออกไป”
“คุณจันทร์มาครับ”
ปากกาที่กำลังเซ็นเอกสารหล่นจากมือ ตาหรี่ลงมองหนึ่งในเลขาคนสนิทที่เดินไปวางกล่องข้าวบนโต๊ะ
“คุณจันทร์ไม่ได้ถือมาเองครับเจิ้น แต่นายบอดี้การ์ดบอกว่าคุณจันทร์ไม่ให้เขาบอกเจิ้น เขาเลยมาบอกผม ส่วนผมไม่ได้โดนสั่งห้ามบอกใครก็เลยมาบอกเจิ้น”
เจิ้นลุกจากโต๊ะทำงานมาเปิดดูกล่องข้าว มื้อกลางวันเหมือนกับที่เจ้าจันทร์เคยทำมา มีข้าวปั้นที่ปั้นเป็นก้อนสวยกับก้อนเบี้ยวๆปะปนอยู่ เขารู้ได้ในทันทีว่าฝีมือที่ไม่ดีนักเป็นของใคร
แต่ละวันก็จะมีอะไรที่ทำผิดทำพลาดบ้างแต่เพราะใบหน้าคาดหวังให้เขาชิมช่างน่ารักจนต้องเอ่ยชมทุกครั้งไป เจ้าจันทร์มีความสุขเขาก็มีความสุข
“อยู่ไหน?”
“ข้างบนครับ”
เลขาเดินออกไปแล้ว ส่วนเจิ้นนั่งลงกินข้าวทั้งๆที่ยังไม่เที่ยง ไม่อยากจะรีบขึ้นไปเจอเพราะเจ้าจันทร์บอกเองว่าไม่อยากให้รู้ ถ้ากินจนหมดคงจะทำให้เจ้าจันทร์พอใจ
เจิ้นกินข้าวได้เกือบหมด ข้าวปั้นเบี้ยวๆเกลี้ยงไม่มีเหลือ กลายเป็นซาซิมิราคาแพงที่ถูกทิ้งขว้าง มือถือกล่องข้าวตั้งใจจะขึ้นเอาไปคืนด้วยตัวเอง
อยากรู้ว่าคนที่คิดถึงมาอยู่ที่นี่จริงๆไหม...
แต่เพราะเงื่อนไขที่ว่าไม่อยากให้รู้ก็เลยไม่สามารถขึ้นไปเองได้ทันที แต่ให้เลขาโทรขึ้นไปถามคุณป้าแม่บ้านให้รู้เรื่อง คำตอบที่ได้คือเจ้าตัวนอนหลับสนิทอยู่ในห้องและจะกลับตอนบ่ายสองทำให้เจิ้นไม่รั้งรอที่จะรีบไปหาทันที
พระจันทร์ที่เขาคิดถึงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง มีกระต่ายที่ได้รับความรักเกินควรอยู่ในอ้อมแขน แอร์หรี่ลงไม่ให้หนาวเกินไป มือหนาช้อนท้ายทอยเล็กยกขึ้นแทนที่ด้วยหมอนใบประจำของเจ้าตัว
เจิ้นทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างแต่ไม่กล้าดึงเข้ามากอดเพราะกลัวอีกฝ่ายจะตกใจแล้วหนีหายไปอีก มือหนายกขึ้นปัดปอยผมออกจากใบหน้าเนียนที่ค่อนข้างซีดบ่งบอกว่าอีกฝ่ายก็ไม่สบายอยู่นิดหน่อย
ไม่รู้ว่าเลิกร้องไห้หรือยัง....กินข้าวได้ไหม? นอนหลับหรือเปล่า?
“....หายโกรธพี่หรือยังมูนนี่”
ร่างสูงขยับตัวขึ้นก่อนจะโน้มตัวลงทิ้งสัมผัสเนิ่นนานที่แก้มนิ่ม...กลิ่นนมอ่อนๆที่คุ้นเคยยิ่งทำให้คิดถึง อยากจะดึงมากอดก็ทำไม่ได้ ไม่อยากจะสร้างความลำบากใจ
แค่มาหากันที่นี่ มาทำอาหารให้ก็พอจะรู้ว่าเจ้าจันทร์ก็กำลังพยายาม ไม่ได้เกลียดกันถึงขนาดไม่อยากเจอกันอีก เขารอได้....
ในเมื่อเจ้าจันทร์ไม่อยากให้พี่รู้ พี่ก็จะยอมทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น แต่อย่านานเกินไปนัก ความคิดถึงมันน่ากลัว ใช้ชีวิตมาเกือบสามสิบปีการที่ไม่มีเจ้าจันทร์คือเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของพี่
มือบางถูกยกขึ้นประทับจูบกลางฝ่ามือ...แตะต้องไปตามเรียวนิ้ว งับแผ่วเบาที่นิ้วนางย้ำๆ ราวกับจะบ่งบอกว่านิ้วนี้มันจะว่างอีกแค่ไม่นาน สัญลักษณ์แห่งการมีเจ้าของจะถูกประทับที่นิ้วเล็กๆนี้ตลอดไป
“พี่รักจันทร์”
กระซิบที่ใบหูนิ่มแผ่วเบาทว่ามั่นคงก่อนจะยอมกลับไปทำงาน ถ้าอยู่นานอีกนิดคงได้ทำน้องตื่นแล้วไม่ยอมปล่อยให้กลับบ้านอีก
ตากลมปรือช้าๆเหมือนได้ยินใครเรียกชื่อ เห็นแผ่นหลังคุ้นตากำลังห่างออกไป เจิ้นหรอ? ความง่วงงุนทำให้สมองไม่แจ่มใสนัก ปากเล็กพึมพำเรียกชื่อคนที่อยู่ในความคิดถึงเบาๆก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
คงจะฝัน...ฝันดีมากๆเลย
==============
มาม่าเริ่มบางลงยังคะ เดี๋ยวมีอีกหม้อนะ แต่ยังก่อน 555+ ให้แม่ยกมูนนี่ได้หายใจหายคอ หายใจเข้าลึกๆ ไม่ดราม่าเยอะเนอะ สงสารน้อง ฮือออออ ตอนแรกก็นึกว่าทีมเจิ้น ไปๆมาๆนี่ทีมมูนนี่ไปแล้ว 5555+
เรื่องนี้ไม่เทาจริงๆนะ.... เชื่อนะ เชื่อ