ตอนที่ 14
“กี้ กูตื่นเต้นว่ะ มือเย็นไปหมดแล้วเนี่ย”
ชมพู่ในชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินเข้มกระโปรงฟูฟ่องกำลังจับมือผมเขย่าไปมาจนผมหัวสั่นหัวคอนไปด้วย
“ใจเย็นมึง คนดูออกจะเยอะแยะ มึงจะตื่นเต้นไปทำไม”
“กี้ กูว่านั่นฟังทะแม่ง ๆ ว่ะ” อินเอ่ยทักคำพูดของผม ผมเลยได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้ชมพู่ที่ทำหน้าตาตื่นอยู่
“อ้าวเหรอ เออ...ชมพู่วันนี้มึงสวยมากเลย รับรองต้องได้สักตำแหน่งแน่ ๆ”
ที่ชมพู่แต่งเนื้อแต่งตัวสวยเป็นพิเศษก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันงานเฟรชชี่ไนท์ครับ และเป็นวันประกวดเดือนและดาวของมหาลัยเราด้วย
ใช่แล้วครับ
ชมพู่เป็นตัวแทนลงประกวดชิงตำแหน่งดาวมหาลัยในนามคณะวิทยาศาสตร์ ตามที่มันเคยพูดเอาไว้ไม่มีผิด เสียดายที่วันคัดเลือกดาวเดือนของคณะผมไม่ได้อยู่ด้วย เลยไม่รู้ว่าทำไมสาวห้าวสุดเกรียนอย่างชมพู่ถึงได้รับเลือกให้เป็นดาวคณะวิทย์ได้ ถึงแม้ว่าหน้าตามันจะน่ารักมากก็เถอะ สงสัยว่าปีนี้เขาคงจะชอบของแปลกกันน่ะครับ พอผมเผลอพูดแบบนี้ออกไปก็โดนดาวคณะวิทย์คนล่าสุดตบหัวไปทีหนึ่ง
ตอนที่เดินเข้ามาพวกผมเจอกับพิ้งค์ด้วย พิ้งค์ที่สวยอยู่แล้ววันนี้ยิ่งสวยกว่าที่เจอกันครั้งก่อนอีก พอเห็นพวกผมพิ้งค์ก็โบกมือทักทายพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ทำเอาผมเคลิ้มไปเลยเหมือนกัน เหลือบมองไอ้อินที่เดินมาด้วยกันก็เห็นมันแค่ยิ้มรับแล้วเดินมาหาชมพู่เลย
ทำเป็นเมินคนสวยนะมึง
“นี่พวกมึงโหวตให้กูแล้วใช่ไหม”
“กูให้มายมันไปเหมาสติ๊กเกอร์เรียบร้อยแล้วล่ะ”
การตัดสินรางวัลป๊อบปูล่าร์โหวตใช้การซื้อสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีชมพูแปร๋นของทางสโมสรนักศึกษาแล้วนำไปแปะใต้รูปผู้เข้าประกวดที่ต้องการจะโหวตตรงบอร์ดที่ตั้งอยู่หน้างาน รูปใครที่มีสติ๊กเกอร์ติดมากที่สุดก็ได้ตำแหน่งนี้ไปครับ
“แล้วนี่ช่วงแสดงความสามารถพิเศษ มึงจะทำอะไรวะ”
“กูโชว์ยูโดน่ะ คู่กับปอนด์ มันจะโชว์เทควันโด”
ผมหันไปมองหนุ่มหน้าหวานยิ่งกว่าผู้หญิง รูปร่างสูงเพรียวที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ นี่คือตัวแทนคณะวิทย์อีกคนในตำแหน่งของเดือนคณะ
...สงสัยปีนี้คณะผมเขาจะชอบแนวหน้าหวานแต่มาสายโหดกันนะครับ
“สู้ ๆ นะมึง เดี๋ยวกูออกไปเชียร์หน้าเวที สู้ ๆ นะปอนด์”
ผมยิ้มให้กำลังใจเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะหันมาถามเพื่อนสนิทอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“อินมึงจะออกไปด้วยเลยไหม หรือว่าต้องอยู่ที่หลังเวทีตลอด”
“กูออกไปดูด้วย เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาค่อยเข้ามา”
ผมกับอินเดินออกจากมาจากหลังเวที มาสมทบกับมายที่ยืนรออยู่หน้าทางเข้างาน เนื่องจากไม่มีบัตรสต๊าฟเข้าหลังเวทีได้เหมือนพวกผม หลังจากทำการแปะสติ๊กเกอร์ที่รูปของชมพู่จนสาแก่ใจแล้ว พวกผมก็พากันเข้าไปในหอประชุมก่อนที่งานประกวดดาวและเดือนของมหาลัยจะเริ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
งานประกวดดาวและเดือนของมหาลัยเริ่มต้นด้วยภาพวิดีโอเปิดตัวผู้เข้าประกวดแต่ละคณะก่อนที่ผู้เข้าประกวดแต่ละคนจะขึ้นมาแนะนำตัว พวกผมช่วยกันปรบมือเป่าปากเมื่อชมพู่แนะนำเสร็จ ผมโบกมือให้มันด้วย หลังจากนั้นก็เป็นการแสดงความสามารถพิเศษของผู้เข้าประกวด คณะวิทย์แสดงเป็นลำดับที่ 7 ชมพู่กับปอนด์ในชุดนักกีฬายูโดและเทควันโดแสดงฝีมืออยู่บนเวที ตอนที่ชมพู่จับเพื่อนผู้ชายที่ร่วมแสดงด้วยทุ่มลงพื้นเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ผู้ชายใส่เสื้อช็อปวิศวะที่ยืนอยู่ข้างผมซึ่งตอนแรกคุยกับเพื่อนให้ได้ยินว่าดาวคณะวิทย์หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเห็นแล้วอยากจะดูแลถึงกับหน้าซีดจนผมอดขำไม่ได้ พอถึงการแสดงของคณะสุดท้ายอินก็ขอตัวกลับไปที่หลังเวทีเพื่อจะเตรียมตัวกับวง
ผลการประกวดปรากฏว่าชมพู่ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ปอนด์ได้รางวัลป๊อบปูล่าโหวต ได้ข่าวว่ามีทั้งสาว ๆ และหนุ่ม ๆรุมติดสติ๊กเกอร์หัวใจสีชมพู่แปร๋นจนไม่เหลือพื้นที่สีขาวใต้รูปของปอนด์เลย ส่วนพิ้งค์ได้ตำแหน่งดาวมหาลัยไปตามความคาดหมายคู่กับเดือนจากคณะนิติศาสตร์
หลังจากการประกาศผมดาวและเดือนมหาลัยก็เป็นการแสดงของวงจากชมรมดนตรีที่มาเล่นเปิดให้กับศิลปินหลักของงาน
ผมยังไม่เคยบอกสินะครับว่าวงของอินมันมีชื่อวงด้วยนะครับ อินเพิ่งบอกกับผมเมื่อวันก่อนนี่เอง ชื่อวงว่า
“เอาละครับ ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะได้พบกับวงดนตรีของมหาลัยเราที่มาเล่นเป็นวงเปิดในวันนี้ ขอเชิญพบกับ วงเวียน ได้เลยครับ”
ครับ...ชื่อวงว่าวงเวียนครับ
ผมถามอินมันเหมือนกันว่าทำไมชื่อนี้ อินบอกเป็นชื่อที่รุ่นพี่ที่ก่อตั้งชมรมรุ่นแรก ๆ ตั้งไว้และใช้กันมานาน มีความหมายว่าเป็นวงดนตรีที่มีสมาชิกเป็นนักศึกษาแต่ละรุ่นสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ถือว่าเป็นมรดกตกทอดมาอย่างหนึ่งละมั้งครับ
เสียงโห่ร้องกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นเมื่อดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงที่กำลังฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง บวกกับเสียงร้องมันเป็นเอกลักษณ์ของอินยิ่งทำให้รู้สึกสนุกยิ่งขึ้น ผมมองคนที่กำลังร้องเพลงอย่างมีความสุขอยู่บนเวทีแล้วก็ยิ้มกว้างให้กับตัวเอง
ผมชอบอินเวลาอยู่บนเวที
ผมชอบเวลาที่อินได้ทำในสิ่งที่มันชอบ
ผมชอบอิน
อินออกมาสมทบกับผมและมายอีกครั้งหลังจากที่งานเลิก ส่วนชมพู่หอบช่อกุหลาบขาวช่อใหญ่แวะมาทักทายขอบอกขอบใจพวกผมแป๊บเดียวก็ต้องไปถ่ายรูปต่อ
“โทษที มัวแต่เก็บของน่ะ”
“แล้วนี่เก็บเสร็จแล้วเหรอ กูไม่ได้ไปช่วยเลย”
ผมถามอินด้วยสำนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองก็เป็นสมาชิกชมรมดนตรีคนหนึ่งเหมือนกัน แต่เมื่อครู่มัวแต่ดูคอนเสิร์ตเพลินไปหน่อยจนลืมเข้าไปช่วยงานที่หลังเวที
“เรียบร้อยแล้วละ นี่จะกลับกันไหม หรือว่าจะไปไหนต่อ”
“เราว่าเรากลับเลยดีกว่า ไว้เจอกัน”
“โอเค กลับรถดี ๆ นะมึง”
ผมโบกมือให้มายที่ขอตัวกลับไปก่อน แล้วหันกลับมามองคนข้างกาย ตอนนี้เหลือผมกับมันสองคนแล้ว
“เอาไง”
“หิวไหม”
ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ มาช่วยขนของตั้งแต่เที่ยง นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว ท้องมันก็เริ่มประท้วงแล้วครับ
“งั้นเดี๋ยวแวะหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับคอนโด”
ขณะที่ผมกับอินกำลังตกลงกันว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดี ก็มีบรรดานักศึกษาหญิงกรูเข้ามารุมล้อมก่อนที่จะมีคนโพล่งถามนำขึ้นมา
“อินคะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”
“มึงว่าไง ได้ไหมกี้”
ผมหันไปมองอินอย่างงง ๆ ที่อยู่ดี ๆ มันก็หันมาถามผมเอาดื้อ ๆ
“เขาจะขอถ่ายรูปด้วย กี้ว่าไง ให้เขาถ่ายได้ไหม”
อินทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางสาว ๆ ที่ยืนถือโทรศัพท์กับกล้องรายล้อมอยู่ ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“เขาขอถ่ายกับมึงไม่ได้ขอถ่ายกับกูนี่ มึงมาถามกูทำไม”
“งั้นมึงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ไม่งอนกูนะ”
งอนบ้าอะไรของมึง
ผมทำตาโตใส่เมื่อได้ยินมันพูดแบบนั้น เสียงสาว ๆ ที่ล้อมพวกผมอยู่หวีดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับเสียงซุบซิบ
“อร๊าย แก เขาต้องขออนุญาตกันด้วยอ่ะ”
“แบบนี้มันไม่ใช่แค่เพื่อนกันแล้วแก”
“เอ่อ ทำไมต้องขอกี้ก่อนด้วยละคะ”
สาวน้อยนางหนี่งใจกล้าถามอินทันที อินหันไปยิ้มหล่อ ๆ ให้ก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาหวานเชื่อมที่ชวนให้ขนลุก
“เดี๋ยวกี้มันงอนน่ะครับ ผมขี้เกียจตามง้อ”
“ว้าย เขามีงอนมีง้อกันด้วยอ่ะ”
“โอ้ย ฟินเวอร์”
“แบบนี้ฉันไม่ทนแล้วแก”
คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่เสียงซุบซิบอีกแล้วละครับ บางคนนี่ถึงกับหันไปตีแขนเพื่อนข้าง ๆ ใหญ่เลย
“เฮ้ย ไอ้อินพูดอะไรเนี่ย ใครงอนอะไรกัน มึงพูดดี ๆ”
ผมหันไปโวยวายไอ้คนที่พูดจาแปลก ๆ แต่มันกลับเอาแต่ยืนยิ้มชวนให้น่าโมโห
“ไม่งอนก็ไม่งอน งั้นต้องบอกว่ากี้หวงสินะ”
“ไอ้อิน”
“อุ้ย เพื่อนกันเขาหวงกันด้วยเหรอคะอิน” ผู้หญิงคนเดิมอีกแล้วครับ นี่ก็ช่างขยันถามเหลือเกิน
“ก็ไม่ใช่เพื่อนกันนี่ครับ”
จู่ ๆ อินก็ยกมือขึ้นโอบไหล่ผม ผมได้แต่มองมันตาปริบ ๆ ไม่รู้มันจะมาไม้ไหนก่อนจะต้องตกใจกับสิ่งที่มันพูดออกมา
“เราเป็นแฟนกันครับ”
“กริ๊ดดดดดดดด เป็นแฟนกัน”
“อินบอกว่าเป็นแฟนกี้อ่ะ”
เสียงกริ๊ดดังลั่นพอ ๆ กับเสียงชัตเตอร์ที่ดังรัวขึ้นมาจากบรรดาสาว ๆ จนคนรอบข้างหันมามองทางนี้ด้วยความสนใจ
“ไอ้อิน พูดบ้าอะไร”
ตอนนี้หน้าผมร้อนเห่อไปหมดแล้วครับ พยายามจะสลัดมือที่พาดอยู่บนบ่าออก แต่ไอ้อินนี่ก็มือเหนียวเป็นตุ๊กแกเลยครับ
“งั้นขอถ่ายรูปสองคนคู่กันแทนนะคะ”
“ได้สิครับ”
“ไม่เอา” ผมรีบปฎิเสธทันที แค่นี้ก็อายจะแย่แล้วครับ
“เอ่อ...ไม่ได้เหรอคะกี้”
พวกสาว ๆ ที่รายล้อมอยู่ต่างทำสีหน้าผิดหวัง ทำเอาผมใจอ่อน ยอมยืนให้สาว ๆ ถ่ายรูปคู่กับไอ้อินในที่สุด
“...ก็ได้ครับ แต่แป๊บเดียวนะครับ”
“เดี๋ยวสิกี้ จะรีบไปไหน”
พอเห็นว่าถ่ายรูปกันได้พอสมควรแล้ว ผมก็ขอตัวกลับ เดินลิ่ว ๆ ไม่สนใจคนที่เดินตามหลังมาแม้แต่น้อย แต่เพราะไอ้อินมันขายาวกว่าผมหรืออย่างไง ไม่ทันไรมันก็เดินตามผมมาจนทัน
“มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูเลย มึงพูดแบบนั้นได้ไง”
“พูดว่าเราเป็นแฟนกันอ่ะนะ”
“ไอ้อิน ใครเป็นแฟนมึง”
ผมหันไปแหวใส่มันทันที โทษฐานพูดจามั่วซั่วไม่เข้าหู
“ก็มึงไงกี้”
“กูไปเป็นแฟนมึงตอนไหน”
“ก็ตอนที่มึงบอกว่าชอบกูนั่นแหละ”
อินกระพริบตาปริบ ๆ ทำเหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศธรรมดา ๆ ที่ผมควรจะเข้าใจแต่กลับไม่เข้าใจเสียอย่างงั้น
“กูชอบมึง มึงก็ชอบกู เราก็ต้องเป็นแฟนกัน มันก็ถูกแล้วนี่”
ที่มันพูดมาจะว่าถูกก็ถูก จะว่าไปผมกับอินเรายังไม่ได้พูดคุยถึงสถานะระหว่างเราสองคนให้ชัดเจนเลย แต่ถึงอย่างไงมันก็ยังไม่เคยเอ่ยปากขอคบกับผมเลยสักคำ จะมาขี้ตู่ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้แบบนี้ได้อย่างไง ผมไม่โอเคนะ
“ตะ...แต่กูยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนมึงโว้ย”
“งั้นมึงก็เป็นแฟนกูตอนนี้เลย”
“หา”
อินคว้ามือผมไปกุมเอาไว้ พร้อมกับใช้หน้าหล่อ ๆ และเสียงทุ้มนุ่มสะกดใจของมันมาทำเสียงอ้อน ๆ ใส่ผม
“เป็นแฟนกันนะกี้”
“ไอ้...”
ตอนนี้หน้าผมร้อนไปหมดแล้ว ไอ้เจ้าพวกผีเสื้อในท้องก็พากันบินกันคึกคักเหลือเกิน พวกมึงนี่ไม่เคยจะเก็บอาการเลยจริง ๆ
“นะครับกี้”
ผมก้มหน้าหลบสายตาคมที่มองไม่เลิก พยายามจะกระตุกมือออก
“ไม่รู้โว้ย”
“ไม่รู้ได้ไง ตอบมาก่อนสิ”
“กูจะกลับบ้าน”
“ยังไม่ให้กลับ ตอบกูมาก่อน”
“...”
“หรือว่ามึงอายที่คบกับกู”
ผมเม้นริมฝีปากแน่น อายน่ะมันก็อายอยู่ ผมไม่ได้หน้าด้านหน้าทนแบบไอ้อินมันนี่ ก็ผมไม่เคยมีแฟนนี่หน่า
“ไม่อยากเป็นแฟนกูเหรอ”
อินย่อตัวลงมาจนสามารถช้อนตามองผมที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาได้
“แต่กูอยากเป็นแฟนกับมึงนะกี้ อยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่ากูกับมึงคบกันอยู่”
ทำไมอินมันต้องทำหน้าตาน่าสงสารขนาดนั้นด้วย แล้วยังจะมองผมด้วยสายตาละห้อยอีก
แม่ง มึงมันขี้โกงไอ้อิน....
“อือ ก็ได้”
เพราะมันรู้ดีสินะว่าผมน่ะเป็นคนใจอ่อนแค่ไหน ถึงได้ใช้ไม้นี้
“เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ”
“...กูบอกว่าก็ได้ไง จะให้พูดอะไรเยอะแยะวะ”
ผมทำหน้าหงิก เห็นแววตาเป็นประกายของไอ้คนที่เพิ่งจะตกลงคบกันเป็นแฟนก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
“งั้นตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”
“อือ”
“ขอจูบทีสิ”
“ไอ้เชี่ยอิน ไม่ได้โว้ย”
“กี้ครับ อย่าด่าแฟนแบบนี้สิครับ ไม่น่ารักเลยนะ”
“ไอ้เชี่ยอิน กูไม่คุยกับมึงแล้ว”
ผมสะบัดมือหนีแล้วเดินไปทางที่จอดรถ ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่มือของอินจะสอดประสานเข้ากับมือของผมรั้งให้ผมเดินเคียงข้างกัน แรงบีบกระชับเบา ๆ ที่มือส่งความอบอุ่น แต่เสียงทุ้มนุ่มกระซิบที่ข้างหูทำเอาผมแทบจะสะบัดมือมันทิ้ง
“ก็จูบกันทุกวันยังจะเขินอะไรอีก”
“ไอ้อิน ถ้ามึงพูดอีกคำเดียวกูจะโกรธจริง ๆ ด้วย”
TBC.....