โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]  (อ่าน 40401 ครั้ง)

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 13 [02/03/2018]
«ตอบ #60 เมื่อ03-03-2018 11:36:21 »

ในที่สุดก้อเข้าใจกันแล้วววววว ><

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 13 [02/03/2018]
«ตอบ #61 เมื่อ03-03-2018 15:23:27 »

คืนนี้น่าติดตามต่อจริงๆ

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 14 [09/03/2018]
«ตอบ #62 เมื่อ09-03-2018 20:36:01 »

     
          ตอนที่ 14

         

            “กี้ กูตื่นเต้นว่ะ มือเย็นไปหมดแล้วเนี่ย”

            ชมพู่ในชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินเข้มกระโปรงฟูฟ่องกำลังจับมือผมเขย่าไปมาจนผมหัวสั่นหัวคอนไปด้วย

            “ใจเย็นมึง คนดูออกจะเยอะแยะ มึงจะตื่นเต้นไปทำไม”

            “กี้ กูว่านั่นฟังทะแม่ง ๆ ว่ะ” อินเอ่ยทักคำพูดของผม ผมเลยได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้ชมพู่ที่ทำหน้าตาตื่นอยู่

            “อ้าวเหรอ เออ...ชมพู่วันนี้มึงสวยมากเลย รับรองต้องได้สักตำแหน่งแน่ ๆ”

            ที่ชมพู่แต่งเนื้อแต่งตัวสวยเป็นพิเศษก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันงานเฟรชชี่ไนท์ครับ และเป็นวันประกวดเดือนและดาวของมหาลัยเราด้วย

            ใช่แล้วครับ

            ชมพู่เป็นตัวแทนลงประกวดชิงตำแหน่งดาวมหาลัยในนามคณะวิทยาศาสตร์ ตามที่มันเคยพูดเอาไว้ไม่มีผิด เสียดายที่วันคัดเลือกดาวเดือนของคณะผมไม่ได้อยู่ด้วย เลยไม่รู้ว่าทำไมสาวห้าวสุดเกรียนอย่างชมพู่ถึงได้รับเลือกให้เป็นดาวคณะวิทย์ได้ ถึงแม้ว่าหน้าตามันจะน่ารักมากก็เถอะ สงสัยว่าปีนี้เขาคงจะชอบของแปลกกันน่ะครับ พอผมเผลอพูดแบบนี้ออกไปก็โดนดาวคณะวิทย์คนล่าสุดตบหัวไปทีหนึ่ง

            ตอนที่เดินเข้ามาพวกผมเจอกับพิ้งค์ด้วย พิ้งค์ที่สวยอยู่แล้ววันนี้ยิ่งสวยกว่าที่เจอกันครั้งก่อนอีก พอเห็นพวกผมพิ้งค์ก็โบกมือทักทายพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ทำเอาผมเคลิ้มไปเลยเหมือนกัน เหลือบมองไอ้อินที่เดินมาด้วยกันก็เห็นมันแค่ยิ้มรับแล้วเดินมาหาชมพู่เลย

            ทำเป็นเมินคนสวยนะมึง

            “นี่พวกมึงโหวตให้กูแล้วใช่ไหม”

            “กูให้มายมันไปเหมาสติ๊กเกอร์เรียบร้อยแล้วล่ะ”

            การตัดสินรางวัลป๊อบปูล่าร์โหวตใช้การซื้อสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีชมพูแปร๋นของทางสโมสรนักศึกษาแล้วนำไปแปะใต้รูปผู้เข้าประกวดที่ต้องการจะโหวตตรงบอร์ดที่ตั้งอยู่หน้างาน รูปใครที่มีสติ๊กเกอร์ติดมากที่สุดก็ได้ตำแหน่งนี้ไปครับ

            “แล้วนี่ช่วงแสดงความสามารถพิเศษ มึงจะทำอะไรวะ”

          “กูโชว์ยูโดน่ะ คู่กับปอนด์ มันจะโชว์เทควันโด”

          ผมหันไปมองหนุ่มหน้าหวานยิ่งกว่าผู้หญิง รูปร่างสูงเพรียวที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ นี่คือตัวแทนคณะวิทย์อีกคนในตำแหน่งของเดือนคณะ

            ...สงสัยปีนี้คณะผมเขาจะชอบแนวหน้าหวานแต่มาสายโหดกันนะครับ

            “สู้ ๆ นะมึง เดี๋ยวกูออกไปเชียร์หน้าเวที สู้ ๆ นะปอนด์”

            ผมยิ้มให้กำลังใจเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะหันมาถามเพื่อนสนิทอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน

            “อินมึงจะออกไปด้วยเลยไหม หรือว่าต้องอยู่ที่หลังเวทีตลอด”

            “กูออกไปดูด้วย เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาค่อยเข้ามา”

          ผมกับอินเดินออกจากมาจากหลังเวที มาสมทบกับมายที่ยืนรออยู่หน้าทางเข้างาน เนื่องจากไม่มีบัตรสต๊าฟเข้าหลังเวทีได้เหมือนพวกผม หลังจากทำการแปะสติ๊กเกอร์ที่รูปของชมพู่จนสาแก่ใจแล้ว พวกผมก็พากันเข้าไปในหอประชุมก่อนที่งานประกวดดาวและเดือนของมหาลัยจะเริ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

            งานประกวดดาวและเดือนของมหาลัยเริ่มต้นด้วยภาพวิดีโอเปิดตัวผู้เข้าประกวดแต่ละคณะก่อนที่ผู้เข้าประกวดแต่ละคนจะขึ้นมาแนะนำตัว พวกผมช่วยกันปรบมือเป่าปากเมื่อชมพู่แนะนำเสร็จ ผมโบกมือให้มันด้วย หลังจากนั้นก็เป็นการแสดงความสามารถพิเศษของผู้เข้าประกวด คณะวิทย์แสดงเป็นลำดับที่ 7 ชมพู่กับปอนด์ในชุดนักกีฬายูโดและเทควันโดแสดงฝีมืออยู่บนเวที ตอนที่ชมพู่จับเพื่อนผู้ชายที่ร่วมแสดงด้วยทุ่มลงพื้นเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ผู้ชายใส่เสื้อช็อปวิศวะที่ยืนอยู่ข้างผมซึ่งตอนแรกคุยกับเพื่อนให้ได้ยินว่าดาวคณะวิทย์หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเห็นแล้วอยากจะดูแลถึงกับหน้าซีดจนผมอดขำไม่ได้ พอถึงการแสดงของคณะสุดท้ายอินก็ขอตัวกลับไปที่หลังเวทีเพื่อจะเตรียมตัวกับวง

          ผลการประกวดปรากฏว่าชมพู่ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ปอนด์ได้รางวัลป๊อบปูล่าโหวต ได้ข่าวว่ามีทั้งสาว ๆ และหนุ่ม ๆรุมติดสติ๊กเกอร์หัวใจสีชมพู่แปร๋นจนไม่เหลือพื้นที่สีขาวใต้รูปของปอนด์เลย ส่วนพิ้งค์ได้ตำแหน่งดาวมหาลัยไปตามความคาดหมายคู่กับเดือนจากคณะนิติศาสตร์

            หลังจากการประกาศผมดาวและเดือนมหาลัยก็เป็นการแสดงของวงจากชมรมดนตรีที่มาเล่นเปิดให้กับศิลปินหลักของงาน

            ผมยังไม่เคยบอกสินะครับว่าวงของอินมันมีชื่อวงด้วยนะครับ อินเพิ่งบอกกับผมเมื่อวันก่อนนี่เอง ชื่อวงว่า

            “เอาละครับ ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะได้พบกับวงดนตรีของมหาลัยเราที่มาเล่นเป็นวงเปิดในวันนี้ ขอเชิญพบกับ วงเวียน ได้เลยครับ”

            ครับ...ชื่อวงว่าวงเวียนครับ

            ผมถามอินมันเหมือนกันว่าทำไมชื่อนี้ อินบอกเป็นชื่อที่รุ่นพี่ที่ก่อตั้งชมรมรุ่นแรก ๆ ตั้งไว้และใช้กันมานาน มีความหมายว่าเป็นวงดนตรีที่มีสมาชิกเป็นนักศึกษาแต่ละรุ่นสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ถือว่าเป็นมรดกตกทอดมาอย่างหนึ่งละมั้งครับ

            เสียงโห่ร้องกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นเมื่อดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงที่กำลังฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง บวกกับเสียงร้องมันเป็นเอกลักษณ์ของอินยิ่งทำให้รู้สึกสนุกยิ่งขึ้น ผมมองคนที่กำลังร้องเพลงอย่างมีความสุขอยู่บนเวทีแล้วก็ยิ้มกว้างให้กับตัวเอง

            ผมชอบอินเวลาอยู่บนเวที

ผมชอบเวลาที่อินได้ทำในสิ่งที่มันชอบ

ผมชอบอิน

 

 

            อินออกมาสมทบกับผมและมายอีกครั้งหลังจากที่งานเลิก ส่วนชมพู่หอบช่อกุหลาบขาวช่อใหญ่แวะมาทักทายขอบอกขอบใจพวกผมแป๊บเดียวก็ต้องไปถ่ายรูปต่อ

            “โทษที มัวแต่เก็บของน่ะ”

            “แล้วนี่เก็บเสร็จแล้วเหรอ กูไม่ได้ไปช่วยเลย”

            ผมถามอินด้วยสำนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองก็เป็นสมาชิกชมรมดนตรีคนหนึ่งเหมือนกัน แต่เมื่อครู่มัวแต่ดูคอนเสิร์ตเพลินไปหน่อยจนลืมเข้าไปช่วยงานที่หลังเวที

            “เรียบร้อยแล้วละ นี่จะกลับกันไหม หรือว่าจะไปไหนต่อ”

            “เราว่าเรากลับเลยดีกว่า ไว้เจอกัน”

            “โอเค กลับรถดี ๆ นะมึง”

            ผมโบกมือให้มายที่ขอตัวกลับไปก่อน แล้วหันกลับมามองคนข้างกาย ตอนนี้เหลือผมกับมันสองคนแล้ว

            “เอาไง”

          “หิวไหม”

            ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ มาช่วยขนของตั้งแต่เที่ยง นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว ท้องมันก็เริ่มประท้วงแล้วครับ

            “งั้นเดี๋ยวแวะหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับคอนโด”

            ขณะที่ผมกับอินกำลังตกลงกันว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดี ก็มีบรรดานักศึกษาหญิงกรูเข้ามารุมล้อมก่อนที่จะมีคนโพล่งถามนำขึ้นมา

            “อินคะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”

            “มึงว่าไง ได้ไหมกี้”

            ผมหันไปมองอินอย่างงง ๆ ที่อยู่ดี ๆ มันก็หันมาถามผมเอาดื้อ ๆ

            “เขาจะขอถ่ายรูปด้วย กี้ว่าไง ให้เขาถ่ายได้ไหม”

          อินทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางสาว ๆ ที่ยืนถือโทรศัพท์กับกล้องรายล้อมอยู่ ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

            “เขาขอถ่ายกับมึงไม่ได้ขอถ่ายกับกูนี่ มึงมาถามกูทำไม”

            “งั้นมึงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ไม่งอนกูนะ”

            งอนบ้าอะไรของมึง

            ผมทำตาโตใส่เมื่อได้ยินมันพูดแบบนั้น เสียงสาว ๆ ที่ล้อมพวกผมอยู่หวีดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับเสียงซุบซิบ

            “อร๊าย แก เขาต้องขออนุญาตกันด้วยอ่ะ”

            “แบบนี้มันไม่ใช่แค่เพื่อนกันแล้วแก”

            “เอ่อ ทำไมต้องขอกี้ก่อนด้วยละคะ”

สาวน้อยนางหนี่งใจกล้าถามอินทันที อินหันไปยิ้มหล่อ ๆ ให้ก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาหวานเชื่อมที่ชวนให้ขนลุก

            “เดี๋ยวกี้มันงอนน่ะครับ ผมขี้เกียจตามง้อ”

            “ว้าย เขามีงอนมีง้อกันด้วยอ่ะ”

“โอ้ย ฟินเวอร์”

“แบบนี้ฉันไม่ทนแล้วแก”

คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่เสียงซุบซิบอีกแล้วละครับ บางคนนี่ถึงกับหันไปตีแขนเพื่อนข้าง ๆ ใหญ่เลย

            “เฮ้ย ไอ้อินพูดอะไรเนี่ย ใครงอนอะไรกัน มึงพูดดี ๆ”

          ผมหันไปโวยวายไอ้คนที่พูดจาแปลก ๆ แต่มันกลับเอาแต่ยืนยิ้มชวนให้น่าโมโห

            “ไม่งอนก็ไม่งอน งั้นต้องบอกว่ากี้หวงสินะ”

            “ไอ้อิน”

            “อุ้ย เพื่อนกันเขาหวงกันด้วยเหรอคะอิน” ผู้หญิงคนเดิมอีกแล้วครับ นี่ก็ช่างขยันถามเหลือเกิน

            “ก็ไม่ใช่เพื่อนกันนี่ครับ”

          จู่ ๆ อินก็ยกมือขึ้นโอบไหล่ผม ผมได้แต่มองมันตาปริบ ๆ ไม่รู้มันจะมาไม้ไหนก่อนจะต้องตกใจกับสิ่งที่มันพูดออกมา

            “เราเป็นแฟนกันครับ”

            “กริ๊ดดดดดดดด เป็นแฟนกัน”

            “อินบอกว่าเป็นแฟนกี้อ่ะ”

          เสียงกริ๊ดดังลั่นพอ ๆ กับเสียงชัตเตอร์ที่ดังรัวขึ้นมาจากบรรดาสาว ๆ จนคนรอบข้างหันมามองทางนี้ด้วยความสนใจ

            “ไอ้อิน พูดบ้าอะไร”

          ตอนนี้หน้าผมร้อนเห่อไปหมดแล้วครับ พยายามจะสลัดมือที่พาดอยู่บนบ่าออก แต่ไอ้อินนี่ก็มือเหนียวเป็นตุ๊กแกเลยครับ

          “งั้นขอถ่ายรูปสองคนคู่กันแทนนะคะ”

            “ได้สิครับ”

            “ไม่เอา” ผมรีบปฎิเสธทันที แค่นี้ก็อายจะแย่แล้วครับ

            “เอ่อ...ไม่ได้เหรอคะกี้”

          พวกสาว ๆ ที่รายล้อมอยู่ต่างทำสีหน้าผิดหวัง ทำเอาผมใจอ่อน ยอมยืนให้สาว ๆ ถ่ายรูปคู่กับไอ้อินในที่สุด

            “...ก็ได้ครับ แต่แป๊บเดียวนะครับ”

 

 

            “เดี๋ยวสิกี้ จะรีบไปไหน”

          พอเห็นว่าถ่ายรูปกันได้พอสมควรแล้ว ผมก็ขอตัวกลับ เดินลิ่ว ๆ ไม่สนใจคนที่เดินตามหลังมาแม้แต่น้อย แต่เพราะไอ้อินมันขายาวกว่าผมหรืออย่างไง ไม่ทันไรมันก็เดินตามผมมาจนทัน

            “มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูเลย มึงพูดแบบนั้นได้ไง”

            “พูดว่าเราเป็นแฟนกันอ่ะนะ”

            “ไอ้อิน ใครเป็นแฟนมึง”

          ผมหันไปแหวใส่มันทันที โทษฐานพูดจามั่วซั่วไม่เข้าหู

            “ก็มึงไงกี้”

            “กูไปเป็นแฟนมึงตอนไหน”

            “ก็ตอนที่มึงบอกว่าชอบกูนั่นแหละ”

          อินกระพริบตาปริบ ๆ ทำเหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศธรรมดา ๆ ที่ผมควรจะเข้าใจแต่กลับไม่เข้าใจเสียอย่างงั้น

            “กูชอบมึง มึงก็ชอบกู เราก็ต้องเป็นแฟนกัน มันก็ถูกแล้วนี่”

          ที่มันพูดมาจะว่าถูกก็ถูก จะว่าไปผมกับอินเรายังไม่ได้พูดคุยถึงสถานะระหว่างเราสองคนให้ชัดเจนเลย แต่ถึงอย่างไงมันก็ยังไม่เคยเอ่ยปากขอคบกับผมเลยสักคำ จะมาขี้ตู่ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้แบบนี้ได้อย่างไง ผมไม่โอเคนะ

            “ตะ...แต่กูยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนมึงโว้ย”

          “งั้นมึงก็เป็นแฟนกูตอนนี้เลย”

          “หา”

          อินคว้ามือผมไปกุมเอาไว้ พร้อมกับใช้หน้าหล่อ ๆ และเสียงทุ้มนุ่มสะกดใจของมันมาทำเสียงอ้อน ๆ ใส่ผม

            “เป็นแฟนกันนะกี้”

            “ไอ้...”

ตอนนี้หน้าผมร้อนไปหมดแล้ว ไอ้เจ้าพวกผีเสื้อในท้องก็พากันบินกันคึกคักเหลือเกิน พวกมึงนี่ไม่เคยจะเก็บอาการเลยจริง ๆ

            “นะครับกี้”

          ผมก้มหน้าหลบสายตาคมที่มองไม่เลิก พยายามจะกระตุกมือออก

            “ไม่รู้โว้ย”

          “ไม่รู้ได้ไง ตอบมาก่อนสิ”

            “กูจะกลับบ้าน”

            “ยังไม่ให้กลับ ตอบกูมาก่อน”

            “...”

            “หรือว่ามึงอายที่คบกับกู”

            ผมเม้นริมฝีปากแน่น อายน่ะมันก็อายอยู่ ผมไม่ได้หน้าด้านหน้าทนแบบไอ้อินมันนี่ ก็ผมไม่เคยมีแฟนนี่หน่า

            “ไม่อยากเป็นแฟนกูเหรอ”

          อินย่อตัวลงมาจนสามารถช้อนตามองผมที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาได้

            “แต่กูอยากเป็นแฟนกับมึงนะกี้ อยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่ากูกับมึงคบกันอยู่”

          ทำไมอินมันต้องทำหน้าตาน่าสงสารขนาดนั้นด้วย แล้วยังจะมองผมด้วยสายตาละห้อยอีก

            แม่ง มึงมันขี้โกงไอ้อิน....

            “อือ ก็ได้”

          เพราะมันรู้ดีสินะว่าผมน่ะเป็นคนใจอ่อนแค่ไหน ถึงได้ใช้ไม้นี้

            “เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ”

            “...กูบอกว่าก็ได้ไง จะให้พูดอะไรเยอะแยะวะ”

            ผมทำหน้าหงิก เห็นแววตาเป็นประกายของไอ้คนที่เพิ่งจะตกลงคบกันเป็นแฟนก็อดหมั่นไส้ไม่ได้

            “งั้นตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

            “อือ”

            “ขอจูบทีสิ”

            “ไอ้เชี่ยอิน ไม่ได้โว้ย”

            “กี้ครับ อย่าด่าแฟนแบบนี้สิครับ ไม่น่ารักเลยนะ”

            “ไอ้เชี่ยอิน กูไม่คุยกับมึงแล้ว”

            ผมสะบัดมือหนีแล้วเดินไปทางที่จอดรถ ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่มือของอินจะสอดประสานเข้ากับมือของผมรั้งให้ผมเดินเคียงข้างกัน แรงบีบกระชับเบา ๆ ที่มือส่งความอบอุ่น แต่เสียงทุ้มนุ่มกระซิบที่ข้างหูทำเอาผมแทบจะสะบัดมือมันทิ้ง

            “ก็จูบกันทุกวันยังจะเขินอะไรอีก”

            “ไอ้อิน ถ้ามึงพูดอีกคำเดียวกูจะโกรธจริง ๆ ด้วย”



            TBC.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2018 20:55:37 โดย Polkaneko »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 14 [09/03/2018]
«ตอบ #63 เมื่อ09-03-2018 21:59:35 »

 :L2: :pig4:

เล้าเป็นอะไรทำไมกดบวกยาก :ling1:

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 14 [09/03/2018]
«ตอบ #64 เมื่อ09-03-2018 23:12:17 »

แผนต่อไป กำจัดผีเสื้อนะอิน

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 14 [09/03/2018]
«ตอบ #65 เมื่อ10-03-2018 13:23:39 »

มีความล่อลวงกี้นะอิน :-[

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 15 [25/03/2018]
«ตอบ #66 เมื่อ25-03-2018 23:18:39 »

ตอนที่ 15

 

            เช้าวันต่อมา ทันทีที่พวกผมก้าวเท้าลงจากรถก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา ทั้งแอบมอง ทั้งมองกันตรง ๆ มองกันตั้งแต่ลานจอดรถคณะจนถึงตึกเรียน มองเสียจนผมเขินเลยสะกิดถามไอ้อิน มันก็ยักไหล่บอกไม่รู้ ทุกอย่างมาเฉลยตอนที่เจอกับพวกชมพู่ที่ห้องเรียน

"ไงพวกมึง แกรนด์โอเพ่นนิ่งเลยนะเมื่อวาน ทำเอาข่าวดาวเดือนนี่จืดไปเลย"

ประโยคแรกที่ชมพู่เอ่ยทักผมที่เพิ่งเดินมาถึงพร้อมกับอิน ทำเอาผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

"อะไรวะ"

"ถามแบบนี้แสดงว่ายังไม่เห็นสินะ"

ชมพู่หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดเข้าหน้าเฟชบุ๊คแล้วยื่นมาให้ผมกับอินดู หน้าฟีดที่เห็นทำเอาผมถึงกับตาเหลือกหันไปเล่นงานกับไอ้ตัวดีที่ยืนอยู่ข้างกัน มิน่าคนถึงมองกันเยอะขนาดนี้ ก็ตอนนี้มีแต่รูปของผมกับอินและข่าวที่ว่าพวกผมประกาศคบกันกลางงานประกวดดาวเดือนเต็มไทม์ไลน์ไปหมด

"เชี่ย ไอ้อินเพราะมึงคนเดียวเลย"

ผมทำตาโตหันไปโวยวายกับไอ้ตัวต้นเหตุ มึงนะมึง แต่คนหน้าด้านหน้าทนอย่างไอ้อินมันเพียงแค่มองผ่าน ๆ เอาแต่ยืนยิ้มกวนประสาทเหมือนเคย

"นี่สรุปว่าพวกมึงคบกันแล้วจริงๆสินะ"

"อือ กูกับกี้เป็นแฟนกันแล้ว"

"เชี่ยอิน พูดไม่อายเลยนะมึง"

ไม่พูดเปล่า อินเอาแขนมาโอบไหล่ผมด้วย ผมหันไปทำตาดุใส่กลบเกลื่อนอาการร้อนผ่าวที่หน้า แต่มันก็ไม่สนใจ

"ไม่ต้องเขินหรอก ไหนๆพวกนี้มันก็รู้แล้ว"

"เฮ้อ กูดีใจกับมึงด้วยนะอินที่ในที่สุดไอ้กี้มันก็รู้ตัวสักที"

"เรายินดีด้วยนะครับอินที่สมหวังสักที เราลุ้นอยู่ตั้งนาน"

"ขอบใจนะพวกมึง"

"เดี๋ยวนะ ทำไมพวกมึงพูดเหมือนรู้เรื่องอยู่แล้วละ"

ผมหันไปมองหน้าทุกคนเลิกลัก นี่มันหมายความว่าไง ไอ้พวกเพื่อน ๆ ของผมมันรู้กันตั้งแต่แรกแล้วเหรอ มายอมยิ้มไม่ตอบ ส่วนชมพู่ส่ายหน้าก่อนจะแกล้งถอนหายใจเสียงดังใส่ผม

"เฮ้อ ไอ้กี้ คนอื่นเขาดูออกกันตั้งแต่วันแรกแล้วมั้งว่าอินน่ะคิดยังไงกับมึง ก็เล่นหวงมึงเสียขนาดนั้น มีแต่มึงนี่แหละที่โง่ไม่เคยรู้ตัว"

ผมยิ้มเขิน ๆ พลางเกาหัวแก้เขิน ก่อนจะถลึงตาใส่ไอ้คนที่ได้ชื่อว่าแฟนหมาด ๆ ด้วยมันหันมายิ้มล้อเลียนผม ก็ผมจะไปรู้ได้ไงละครับว่าอินมันรู้สึกพิเศษกับผมมาตั้งนานแล้ว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาอินคอยดูแล คอยอยู่ข้าง ๆ  สิ่งต่าง ๆ ที่มันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าเป็นเรื่องปกติมานานหลายปีแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีอินอยู่ข้าง ๆ อยู่เสมอ ฉะนั้นอย่ามาโทษว่าผมรู้ตัวช้านะ เรื่องนี้ต้องโทษอินตั้งหากที่มันทำให้ผมเคยตัวจนทำให้รู้ตัวช้าไปหน่อย

 

 

พอถึงตอนเย็นหลังเรียนเสร็จพวกผมก็แวะมาที่ห้องชมรมเหมือนอย่างเคย เจอพี่นัทที่หน้าห้องด้วย ไม่รู้พี่แกเป็นอะไรนะครับ พอผมทักก็แค่ยิ้มให้แล้วเดินผ่านไปเฉย ๆ ไม่เข้ามาคุยเล่นกับผมเหมือนทุกที สงสัยจะรีบ

"ว่าไงไอ้คู่รักข้าวใหม่ปลามัน"

ทันที่ที่เจอหน้ากันพี่ต้าร์ก็เล่นทักซะผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว

"โหย พี่อย่าเรียกแบบนี้สิ อายเขา"

"มึงจะอายทำไม นี่มึงควรภูมิใจด้วยซ้ำที่หนุ่มฮอตระดับไอ้อินหลงผิดมาชอบมึงเนี่ย"

“โหย พูดซะผมดูเป็นหมาไปเลยนะครับพี่”

"กี้มันเขินน่ะพี่"

อินเอามือขยี้หัวผมอย่างเคยแม้ว่าผมจะพยายามโยกหัวหลบมือมันก็ตาม

"เดี๋ยวมึงก็ชินไอ้หนุ่ม"

ผมมองท่าทางที่ดูชิลเหลือเกินของพี่ท่านก็เกิดความสงสัย

"ทำไมพี่ดูไม่ตกใจเลยละที่พวกผมคบกัน"

"กูควรตกใจตั้งแต่วันที่มึงเล่าว่าโดนไอ้อินจูบแล้วไหม"

ผมยิ้มแหยแก้เก้อ ลืมไปเลยว่าพี่ต้าร์รู้เพราะผมเผลอเล่าทุกเรื่องทั้งเรื่องอาการประหลาดและเรื่องจูบให้แกฟังไปหมดแล้ว

"อ่ะ กูมีของจะให้ ถือว่าเป็นของขวัญจากพี่ชายคนนี้"

พี่ต้าร์ยื่นถุงพลาสติกมีโลโก้ร้านยาให้กับอิน

"อะไรเหรอพี่"

"พวกมึงเปิดดูเอง"

ผมชะโงกหน้าไปดูถุงที่อยู่ในมือของอิน กล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ 3-4 กล่องพร้อมกับเจลหลอดเล็กนอนนิ่งอยู่ก้นถุง

"พี่ต้าร์!"

พอเห็นว่าเป็นอะไรผมก็หันไปโวยวายกับคนที่ซื้อมา ของที่อยู่ในถุงทำเอาหน้าผมร้อนเห่อไปหมด ผมรีบรวบปากถุงเมื่อเห็นว่าไอ้อินมันกำลังจะรื้อของข้างในออกมาดู

"พี่ต้าร์เอาอะไรมาให้เนี่ย"

"ก็เซฟเซ็กส์ไงมึง นี่ยังไม่ได้กันใช่ม่ะ พวกมึงต้องรู้จักเตรียมพร้อมนะ ไม่ใช่อยากจะทำก็ทำ ต้องรู้จักดูแลตัวเอง ดูแลกันละกันด้วย เข้าใจไหม"

"พี่ต้าร์อ่ะ"

ผมได้แต่โอดครวญ นี่พี่แกพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ไม่อายปากเลยหรือยัง อย่างน้อยก็ควรจะนึกถึงจิตใจเด็กซอฟ ๆ ใส ๆ แบบผมบ้างนะ

"ไอ้กี้มึงไม่ต้องมาทำเป็นอายกู เรื่องแบบนี้มันเรื่องธรรมชาติ"

พี่แกทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผมก่อนจะหันไปคุยกับอินแทน

"อิน เดี๋ยวกูสอนให้ว่าของพวกนี้มันต้องใช้อย่างไง ท่าทางอย่างไอ้กี้คงไม่ได้เป็นคนใช้แน่ ๆ นี่กูอุตส่าห์ซื้อแบบบางพิเศษให้มึงเลยนะ"

"พี่ต้าร์!"

ผมเผลอตะโกนเสียงดัง อยากจะเอามืออุดปากไอ้คุณพี่ต้าร์ที่พูดไม่ยอมหยุด ส่วนไอ้อินก็เอาแต่หัวเราะชอบใจใหญ่

"ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมหาเปิดดูในเนตดีกว่า แค่นี้กี้มันก็เขินมากแล้ว ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ รับรองผมใช้แน่นอน"

"ไอ้อิน มึงเลิกพูดเดี๋ยวนี้"

คราวนี้ผมหันไปเล่นงานไอ้แฟนตัวดี แต่มันกลับส่งสายตาวาว ๆ มาให้ผมเป็นนัย ๆ ว่าของขวัญที่ได้จากพี่ต้าร์จะใช้กับใคร

“กูไม่คุยด้วยแล้ว”

ผมเดินหนีไปคว้ากีตาร์ตัวเดิมมานั่งดีดตามที่พี่ต้าร์เคยสอน อินเดินตามมานั่งข้างกัน

“แม่ง เพราะมึงเลย ป่านนี้รู้กันหมดทั้งมหาลัยแล้วมั้ง”

ผมทำปากยื่นบ่นกระปอดกระแปด เพราะมันเลย ไปไหนถึงได้มีแต่คนล้อ

“ให้รู้กันทั่วน่ะดีแล้ว”

“ดีอะไรละ กูอายเขา”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย กูยังไม่อายเลย”

“กูไม่ได้หน้าหนาแบบมึงนี่”

“มึงอายที่คบกับกูเหรอ”

“...เปล่า”

ผมเม้นปากพลางหลบสายตาอ้อน ๆ ของอินที่มองมา ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ

“กูแค่ทำตัวไม่ถูก”

“มึงก็ทำตัวเหมือนเดิมนั่นแหละ”

 

มือของอินยกขึ้นขยี้หัวผมเหมือนอย่างที่ชอบทำ พร้อมแววตาที่มองด้วยความเอ็นดู ผมมองใบหน้าหล่อเหลาที่ไปไหนก็มีแต่สาว ๆ มองตามของมันแล้วถอนหายใจเบา ๆ

“แล้วมึงละ มีคนสวย ๆ น่ารัก ๆมาชอบมึงตั้งเยอะนะ มึงไม่เสียดายเหรอที่มาคบกับกู”

“เสียดายทำไม กูไม่ได้ชอบคนสวยคนน่ารักพวกนั้นนี่”

อินส่งยิ้มละมุนให้ผม ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องหน้าแดง

“กูชอบแค่มึงเท่านั้น”

“นี่พวกมึงไม่หวานกันที่อื่นได้ไหม กูเห็นแล้วหมั่นไส้เหลือเกิน นี่มันในห้องชมรมนะโว้ย”

นี่ก็ไม่รู้ว่าตามมานั่งด้วยตั้งแต่ตอนไหนนะครับ แฟนเขาจะคุยกันยังมานั่งเป็นก้างขวางคออยู่ตรงนี้

“พี่ต้าร์อย่าอิจฉา”

อินหันไปบอกกับพี่ต้าร์เสียงเรียบ ๆ ทำเอาผมขำกิ๊ก

“กูไม่ได้อิจฉาโว้ย กูรำคาญ”

“คนไม่มีแฟนก็งี้แหละ”

            ผมร่วมวงด้วยเมื่อเห็นพี่ต้าร์เริ่มโวยวาย

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่มี”

“งั้นพี่ก็พามาให้พวกผมรู้จักสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันที่หลงผิดว่าเป็นแฟนพี่ได้”

“ไอ้กี้ มึงซ้อมกีตาร์ถึงไหนแล้ว เล่นได้เป็นเพลงหรือยัง มึงซ้อมต่อเดี๋ยวนี้เลย”

พอเถียงไม่ได้ก็ใช้วิธีทำมาเป็นขึงขังใส่ผมแทนนะครับคุณพี่ ผมโอดโอยทันที ซ้อมถึงปีหน้าก็ยังไม่ได้สักเพลงหรอกครับ

“โหย พี่อ่ะ”

“ถ้าวันนี้เล่นไม่ได้นะ มึงไม่ต้องกลับเลย ไอ้อินมึงก็ไปไกล ๆ ไปซ้อมตรงโน้นเลย ห้ามมานั่งกับไอ้กี้”

อินส่ายหัวขำก่อนจะลุกไปโดยดี ปล่อยให้แฟนอย่างผมโดนพี่ต้าร์โขกสับอยู่คนเดียวอยู่เป็นชั่วโมงถึงจะยอมปล่อยให้พวกผมกลับบ้านได้

 

“โอ้ย ท้องจะแตก”

ผมพุ่งเข้าหาโซฟาทันทีเมื่อกลับมาถึงห้อง ลูบพุงที่ป่องขึ้นมาเพราะหมูกระทะที่เพิ่งจัดเต็มมาเป็นมื้อเย็น

“อ่ะ”

“อะไร”

ผมหยิบถุงพลาสติกที่อินมันโยนลงมาบนพุงของผมขึ้นมาดู นึกว่ามันซื้อขนมมาให้ พอเปิดเห็นของข้างในผมรีบโยนกลับคืนให้มันทันที

“เอามาให้กูทำไม มึงเอาไปทิ้งเลยนะ”

อินทรุดตัวลงนั่งเบียดบนโซฟาที่ผมนอนอยู่ ผมมองมือมันที่หหยิบของแต่ละชิ้นในถุงออกมาดูด้วยความหวาดระแวง

“ทิ้งทำไม พี่ต้าร์อุตส่าห์ให้มานะ”

ก่อนที่สายตาคม ๆ ของมันจะเหลือบมองผมพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

“หรือว่ามึงชอบแบบสด ๆ”

“ไอ้อิน เดี๋ยวกูถีบเลย”

ผมยกขาทำท่าจะถีบมัน แต่กลับโดนไอ้อินจับกดไว้พร้อมกับคร่อมผมไว้โดยไม่ให้ทันตั้งตัว

“เฮ้ย มึงจะทำอะไร”

อินไม่ตอบ มันเพียงแค่ยกยิ้มแบบที่ทำให้ผมใจเต้นแรง พร้อมกับอาการมวนท้องเพราะเจ้าพวกผีเสื้อที่พากันโบยบิน สายตาของมันเลื่อนลงต่ำมาหยุดที่ริมฝีปากของผม

“อะ..อิน...ไม่เอา”

 

แต่มีหรือที่คนอย่างไอ้อินมันจะยอมฟังผม อินก้มลงกัดริมฝีปากล่างของผมเบา ๆ ก่อนจะดูดดึงและส่งลิ้นเข้ามาไล่ต้อนผมให้จนมุม เล่นกับริมฝีปากผมไม่พอ มือของไอ้อินมันยังยุ่มย่ามมุดเข้ามาใต้เสื้อนักศึกษาของผม มือร้อน ๆ ของมันลูบไล่ไปตามหน้าอกทำเอาผมขนลุก สองมือขยุ้มเสื้อเชิ้ตของมันแน่น สั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่ออินมันละริมฝีปากออกแล้วหันไปจู่โจมซอกคอและใบหูของผมแทน

“อะ...อิน...กูกลัว”

ผมบอกมันเสียงสั่น กลัวใจอินมันอยากจะทดลองใช้ของที่พี่ต้าร์ให้มา ผมช้อนตามองอินเมื่อมันผละออกมาสบตากับผม

อินลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหลังอย่างอ่อนโยนพร้อมกับกระซิบบอก

"กูไม่ทำอะไรมึงหรอก กูรู้มึงยังไม่พร้อม กูรอได้"

"กู...ขอโทษ"

"ขอโทษทำไม กูรอให้มึงรู้ใจตัวเองมาตั้งหลายปี ทำไมแค่นี้กูจะรอไม่ได้"

"มึงเหนื่อยไหมที่ต้องรอกูตั้งนาน"

ผมมุดหน้าเข้าไปอกของอิน ฟังเสียงหัวใจของมันที่เต้นแรงไม่ต่างกัน

"ไม่เหนื่อยเลย" อินคลายอ้อมกอดเพื่อให้ผมขยับตัวได้สบายขึ้น "แต่กูกลัวมากกว่า กลัวว่ากูจะคิดไปเอาข้างเดียว กลัวว่ามึงจะเจอคนอื่นที่มึงรักมากกว่า"

"มึงถึงไม่ยอมให้กูคบใครใช่ไหม กูรู้นะ"

"ก็กูอยากเป็นคนที่อยู่ข้างๆมึงแค่คนเดียว มึงจะได้ไม่ต้องมองคนอื่น"

ผมเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มละมุนที่ถูกส่งมาให้

"กูอยากเป็นคนที่ดูดีที่สุดในสายตาของมึง เป็นคนที่เก่งที่สุด ใจดีกับมึงที่สุด แล้วก็รักมึงที่สุดด้วยกี้"

"ไอ้บ้า พูดมาได้ไม่อายปาก"

ทำไมพอเป็นแฟนกันอินมันถึงชอบพูดจาทำให้ผมหน้าร้อนทุกทีเลย

"ทำไม มึงเขินเหรอที่กูบอกว่ารักมึง"

อินยิ้มยั่วด้วยสายตาเป็นประกาย

"กูให้มึงบอกรักคืนก็ได้จะได้เจ๊ากัน"

"บอกอะไร ไม่บอกโว้ย"

ผมออกแรงผลักไอ้คนกวนประสาทก่อนจะลุกหนี ทิ้งไอ้อินนั่งหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว จนอดหันกลับไปแว๊ดใส่มันไม่ได้

"ไอ้อินมึงหยุดหัวเราะเลยนะ"

 

TBC....

 
      ขอโทษนะคะที่มาช้า ช่วงนี้เรายุ่งๆ เลยไม่ค่อยได้เขียน
     ดีใจนะคะที่ยังเห็นมีคนเข้ามาอ่าน และขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นจริงๆค่ะ *โค้ง*
 

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 15 [25/03/2018]
«ตอบ #67 เมื่อ07-04-2018 01:51:21 »

ละมุนละไม ตอนหน้าต้องรีบทดลองใช้ของฝากนะคะไรท์ เด่วบูด

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 16 [08/04/2018]
«ตอบ #68 เมื่อ08-04-2018 21:44:48 »

 
ตอนที่ 16


            “กี้ สอบเสร็จจะกลับบ้านเลยไหม”

            ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือในมือ หันไปตอบอินที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาหลังจากตากผ้าที่ระเบียงเสร็จ

            “กลับสิ”

            ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาเพราะเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้

            “กูยังไม่ได้จองตั๋วเลยนี่หว่า แม่งเต็มยังวะ”

            “ไม่ต้องจอง เดี๋ยวกลับพร้อมกัน กูจะขับรถกลับ”

            “งั้นเดี๋ยวกูช่วยขับ”

            “อย่าเลย กูยังอยากกลับไปเจอหน้าพ่อหน้าแม่”

            ผมอาสาอย่างแข็งขันแต่กลับโดนอินมันเบรกหัวทิ่ม

            “ไอ้อิน มึงก็เกินไป”

            “กลับคราวนี้กูจะไปหาป๊ากับม้ามึงนะ”

            ผมเขยิบตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อให้อินนั่งลงบนโซฟาด้วยกัน

            “อยากไปก็ไปดิ”

            ปกติอินมันก็เข้า ๆ ออก ๆ บ้านผมจนจะกลายเป็นลูกบ้านนี้อีกคนอยู่แล้ว นี่ก็คงจะแวะไปทำคะแนนกับป๊าม้าผมเหมือนเคย

            “กูจะไปคุยกับที่บ้านมึงเรื่องของเราสองคน ไปบอกให้พวกท่านรู้ว่าเราคบกันแล้ว”

            ผมหันขวับมามองหน้าคนพูดทันที ทำปากพะงาบ ๆ ก่อนจะพูดออกมาได้

            “เฮ้ย กูว่าไม่ต้องหรอก”

            “ไม่ได้ อย่างไงก็ต้องบอก ไม่ใช่แค่ที่บ้านมึง กูก็จะบอกพ่อกับแม่กูเหมือนกัน”

            ผมเม้นปากแน่น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่สบายใจนัก แต่ท่าทางอินมันก็ดูจริงจังเหลือเกิน มันคงตั้งใจที่จะบอกให้คนในครอบครัวรับรู้สถานะของเราสองคนจริง ๆ ผมเข้าใจเจตนามันดี อินสนิทกับที่บ้านมาก ผมก็เช่นกัน พวกเราคงไม่มีความสุขอย่างแท้จริงถ้าจะแอบคบกันโดยไม่บอกคนในครอบครัวตัวเอง

            เพียงแต่ผมยังกังวล เพราะด้วยผมและอินต่างเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ บ้านผมเป็นครอบครัวคนจีนตระกูลใหญ่ ส่วนบ้านอินก็เป็นลูกทหาร พวกท่านจะรับได้ไหมกับเรื่องนี้

            “มึงว่าพวกท่านจะรับได้เหรอวะ”

            “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่กูไม่อยากปิดบัง กูอยากคบกับมึงอย่างเปิดเผย”

            “มึงอย่าเพิ่งกลุ้มใจไปเลย”

            “กูกำลังจินตนาการว่าถ้าเฮียกรรู้จะเป็นอย่างไง”

            พวกผมสบตากันด้วยความหนักใจ ปัญหาที่ใหญ่กว่าป๊าม้าของผมที่รออยู่ที่เชียงใหม่ ก็คือเฮียกร พี่ชายที่อายุมากกว่าผมถึง 12 ปี เฮียแกทั้งหวงทั้งห่วงผมยิ่งกว่าป๊ากว่าม้าอีกครับ เพราะว่าเลี้ยงผมมาเองตั้งแต่อ้อนแต่ออด คอยรับคอยส่งผมตั้งแต่อนุบาล เพิ่งจะเลิกรับส่งก็ตอนผมเรียนมอปลายแล้วเฮียแกแต่งงานย้ายไปช่วยพ่อตาแม่ยายดูแลกิจการ แต่แกก็ยังแวะเวียนมาหาอยู่บ่อย ๆ จะคบเพื่อนคนไหนเฮียแกสกรีนแล้วสกรีนอีก ซักประวัติยันต้นตระกูลเลยมั้งครับ จะมีก็แต่ไอ้อินนี่แหละที่เฮียแกยอมวางใจปล่อยผมให้ไปไหนมาไหนด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเรียนคณะเดียวกับอิน เฮียก็คงไม่ยอมปล่อยให้ผมไปเรียนไกลถึงกรุงเทพหรอกครับ

            แล้วนี่ถ้าเฮียแกรู้ว่าผมกับอินคบกัน มีหวังบ้านแตกแน่ ๆ แค่คิดก็สยองแล้วครับ

            อินโอบไหล่ผมไว้แล้วบีบต้นแขนเบา ๆ ให้กำลังใจผมที่กำลังห่อเหี่ยว

"เอาเป็นว่าตอนนี้มึงเลิกคิดเรื่องนี้ก่อน อ่านหนังสือถึงไหนละกี้"

ผมผงะออกห่างมันทันที แต่ด้วยมือที่โอบอยู่รั้งไว้ ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มแหย ๆ ให้มันแทน

"....แฮะ ๆ"

"ถามจริงๆ นี่อีกไม่กี่วันก็จะสอบแล้วนะ"

"ก็อ่านอยู่"

ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มพลางหลบสายตาคม ๆ ของอินที่จ้องจับผิด นี่เลื่อนสถานะเป็นแฟนแล้วนะครับ ยังจะทำตาดุใส่กันอีก

"อย่าให้รู้ว่าเอาแต่เล่นเกมนะ อ่านไม่ทันไม่ต้องมาให้กูช่วยเลยนะ"

อินปล่อยมือที่โอบผมอยู่ ทำท่าทางจะลุกไปไม่สนใจผมแล้ว ผมเลยรีบคว้าแขนมันไว้

"ฮือ ไอ้อิน มึงจะปล่อยกูเอฟเหรอ ก็กูจะดรอปมึงก็ไม่ให้กูดรอปนี่"

ผมเริ่มงอแงโวยวายที่เห็นอินมันทำท่าจะลอยแพผมเสียอย่างนั้น ก็ตอนคะแนนมิดเทอมออกผมจะดรอปมันก็ไม่ยอม แล้วตอนนี้มันจะมาทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ

"มึงเอฟไปแล้วกูจะเรียนกับใคร อย่างไงมึงก็ต้องผ่านให้ได้กี้"

อินถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะขยี้หัวผมจนยุ่ง โดยที่ผมทำได้แค่เบะปาก

"มึงห้ามทิ้งกูไว้กลางทางนะ"

"เออ แฟนทั้งคนจะทิ้งได้ไง"

ผมยิ้มกว้างจนตาหยีทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

"ไม่ต้องยิ้มเลย ลุกมาอ่านหนังสือ เร็ว เดี๋ยวติดตรงไหนกูสอนให้"

"...ขอเล่นเกมตาหนึ่งก่อนได้ป่ะ"

ผมยื้อไว้ไม่ยอมลุกขึ้นตามแรงมืออินที่พยายามจะดึงผมลุกจากโซฟา

"...เดี๋ยวกูจะลบเกมในโทรศัพท์มึงทิ้งให้หมดเลย"

"ง่ะ ไม่เล่นก็ได้ ไม่เห็นต้องขู่เลย"

"ไม่ได้ขู่ มึงก็รู้กูทำจริง"

"ชิ ไอ้โหด"

ผมบ่นอุบอิบแอบทำหน้ายู่ใส่คนที่ยืนทำหน้าตาซีเรียสอยู่

"ถ้ามึงทำโจทย์แคลเสร็จก่อนหกโมง กูจะพาไปกินเสต็ก โอเคไหม"

"จริงนะ อย่าหลอกกูนะ"

"ถ้าเสร็จช้าก็อด"

"มึงก็หลบไปสิ เร็ว"

ผมลุกขึ้นทันทีพร้อมกับไล่ไอ้อินที่ยืนเกะกะขวางทางอยู่ได้ อินได้แต่ส่ายหัวก่อนจะยิ้มขำแล้วยอมหลีกทางให้

 

 

“เย้ สอบเสร็จแล้วโว้ยยย”

ผมเฮทันทีที่เดินออกจากห้องสอบวิชาสุดท้าย ในที่สุดผมก็หลุดพ้นไปเทอมนึงแล้ว

“เสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวห้องที่เขาสอบไม่เสร็จก็ออกมาด่าหรอกมึง”

ชมพู่เอ็ดเบา ๆ เมื่อเห็นว่าพวกผมยังอยู่กับหน้าห้องสอบ อาจารย์ที่คุมสอบเมื่อกี้ก็หันมามองพวกผมตาเขียวทีนึงเป็นเชิงปรามแล้ว

“สอบเสร็จแล้วไปฉลองกันมึง”

ผมหันไปชวนทุกคนอย่างคึกคัก อ่านหนังสือจนหน้าดำคร่ำเครียดมาเป็นเดือนมันก็ต้องถึงเวลาผ่อนคลายแล้วสิครับ

“ท่าทางระริกระรี้เชียวนะมึง”

“แล้วมึงจะไปไหมชมพู่”

“ไม่ได้ว่ะ วันนี้กูมีนัดแล้ว”

“นัดกับใครวะ เพิ่งสอบเสร็จเนี่ยนะ ไม่ให้เวลากับเพื่อนฝูงเลยนะมึง”

“เออ กูก็มีนัดของกูสิ”

ท่าทางชมพู่นี่ชักจะน่าสงสัยนะครับ เดี๋ยวนี้ชอบบอกว่ามีนัด หายหน้าหายตาไม่ค่อยยอมไปเที่ยวด้วยกันเลย

“มายละ ไปกินเหล้ากัน”

ผมหันไปถามเพื่อนอีกคนที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ

“เย็นนี้เรามีนัดกับที่บ้านแล้ว วันเกิดคุณแม่น่ะครับ”

“ว้า นี่ก็ไปไม่ได้อีกคนละ”

“ไม่เป็นไร งั้นเราไปกันสองคนก็ได้เนอะอิน”

ผมหันไปยิ้มหวานพร้อมกับยกมือขึ้นพาดบ่าสูง ๆ ของแฟนตัวเอง อินมันเหลือบมองหน้าผมก่อนจะเอามือของผมที่พาดไว้ลง

“ไม่มีใครไปทั้งนั้น ลืมแล้วเหรอว่าพรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้า”

ผมยู่หน้าทันทีที่ได้ยิน ลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้ผมกับอินต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ ที่บ้านอินไม่อยากให้ขับรถกลับตอนกลางคืนน่ะครับ บอกว่ารถสิบล้อเยอะ ขารถกลับจะอันตราย พวกผมก็เลยต้องออกแต่เช้าตรู่แทน

“เออ ก็ได้ งั้นเปิดเทอมค่อยมาฉลองกันนะ”

ผมยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ หันไปนัดแนะกับเพื่อนอีกสองคนก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ

“ท่าทางแบบนี้แสดงว่าทำข้อสอบได้สินะ”

อินถามขึ้นระหว่างทางที่พวกผมกำลังเดินไปที่รถ ผมหันไปยิ้มอวด ของมันแน่อยู่แล้ว นี่ใครครับ นี่มันนายกีรตินะ

“บอกเลยว่าครั้งนี้กูมั่นใจมาก”

อินยกมือขึ้นโยกหัวผมเบา ๆ พร้อมกับส่งยิ้มแบบที่สาว ๆ มาเห็นคงกริ๊ดสลบ

“เก่งมาก”

ณ จุดนี้ ถึงผมจะไม่ได้กริ๊ดจนสลบ แต่ก็ต้องเม้นปากแน่นพลางเสหลบสายตาคมหันไปมองทางอื่น

ไม่ไหวแล้วครับ หัวใจมันเต้นแรงมาก...

“งั้นเดี๋ยวพาไปกินแซลม่อนฉลองที่กี้ทำข้อสอบได้”

ผมหันควับมามองอินที่ตอนนี้เปลี่ยนจากวางมือบนหัวผมมาพาดที่ไหล่แทนทันที

“เลี้ยงใช่ม่ะ”

“ครับ เลี้ยงครับ”

ผมยิ้มร่าทันทีที่ได้ยินแบบนี้ รู้สึกแฮปปี้สุด ๆ ทั้งเรื่องที่ทำข้อสอบได้ เรื่องที่อินจะพาไปเลี้ยงของโปรดอีก

“ขอบคุณนะ”

อินเลิกคิ้วสงสัยเมื่อได้ยินที่ผมพูด ผมหันไปอธิบายให้มันฟังพร้อมกับส่งยิ้มให้ด้วยใจจริง

“ก็ขอบคุณไง ขอบคุณที่ช่วยติว ขอบคุณที่ดูแลกูมาตลอด กูโชคดีจังที่รู้จักกับมึง”

“ต้องพูดว่าโชคดีจังที่มีอินเป็นแฟนตั้งหาก”

“ถ้าไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วมึงจะไม่ทำดีกับกูแบบนี้เหรอ”

ผมถามด้วยความสงสัย อินเปลี่ยนมาคว้ามือผมข้างหนึ่งของผมไปจับไว้

“ไม่ใช่เพราะเป็นแฟนกันเหรอ แต่เพราะมึงเป็นคนที่กูรัก ไม่ว่าสถานะไหน กูก็อยากจะทำให้มึงมีความสุข”

“แม่ง พูดซะกูเขิน”

อินยิ้มขำแล้วกำชับมือผมที่กุมไว้แน่น

“ป่ะ ไปกินแซลม่อนกัน”

ผมพยักหน้ารับปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจูงมือไปด้วยความรู้สึกหัวใจพองโต

 

 

“กี้ ตื่นได้แล้ว”

“อือ...” ผมลืมตาขึ้นมามองรอบ ๆ “ถึงไหนแล้วอ่ะ”

“หน้าบ้านมึงแล้ว”

พอตื่นเต็มตาก็เห็นว่ารถแจ๊สลูกรักของอินจอดสนิทอยู่หน้าประตูรั้วบ้านของผมเรียบร้อยแล้ว

“อ้าว ถึงแล้วเหรอ ทำไมมึงไม่ปลุกกูก่อนละ กูจะได้ช่วยขับ”

“ก็บอกว่ากูยังไม่อย่าไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ในโรงบาล”

ผมทำหน้าเซ็งใส่มัน ก็บอกอยู่ว่าจะช่วยขับ ๆ ก็ไม่ยอม ขับคนเดียวตั้งแต่กรุงเทพถึงเชียงใหม่ ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไง

“งั้นกูลงละนะ มึงจะเข้าไปในบ้านไหม” ผมปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วหันไปถามอินอีกทีก่อนจะเปิดประตูรถ

“เดี๋ยวกูกลับบ้านเลยดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาหา”

“เออ ตามใจ ถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกกูด้วยนะ”

ผมคว้ากระเป๋าลงมายังไม่ทันได้ปิดประตูรถก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากทางด้านหลัง

“อ้าว กี้กลับมาแล้วเหรอลูก”

“ไม่กลับแล้วม้าจะเห็นกี้ยืนตรงนี้เหรอ”

ผมโผเข้าไปกอดผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลก เอาหน้าถูกับไหล่นุ่มนิ่มที่คิดถึง

“ไอ้ลูกคนนี้นี่กวนม้าเหรอ”

ม้าทำเป็นดุเสียงเข้มแต่ก็ลูบหัวผมเบา ๆ

“หวัดดีครับม้า”

อินลงมาจากรถ เดินมายกมือไหว้ม้า

“สวัสดีจ้ะอิน เป็นไงขับรถมาเหนื่อยไหมลูก ลงมากินข้าวกินปลากันก่อนสิ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเลยดีกว่า พอดีบอกแม่ไว้แล้วน่ะครับว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย”

“อ้าว เหรอ ม้าก็คิดถึง อยากจะคุยด้วย”

เนี่ย บอกแล้วว่าอินน่ะมันลูกรักม้าผม กับลูกชายตัวเองนี่ไม่มีให้ได้ยินสักคำเลยว่าคิดถงคิดถึง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะแวะมาหานะครับ”

“งั้นอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมลูก เดี๋ยวม้าทำให้”

“ทีลูกชายตัวเองไม่เห็นถามสักคำเลยนะม้า”

ผมแกล้งทำปากยืนแถมยังกอดม้าไว้แน่น ให้มันรู้บ้างสิครับว่านี่แม่ใคร

“ม้าก็ทำให้เรากินอยู่แล้วไง ว่าไงลูก อินอยากกินอะไรบอกม้ามา”

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่พรุ่งนี้ป๊าม้าไม่ไปไหนใช่ไหมครับ”

“ช่วงนี้ป๊าเขาเห่อปลากัดที่ได้มาใหม่อยู่น่ะ ไม่ออกไปไหนหรอก”

ม้าเคยเม้าให้ฟังว่าพอผมย้ายไปเรียนที่กรุงเทพเดี๋ยวนี้ป๊าแกก็หันไปบ้าเลี้ยงปลากัดน่ะครับ เห็นว่ากำลังฮิตในก๊งเพื่อน ได้ยินว่าเพิ่งได้ตัวใหม่ล่าสุดสีสวยหายากมา วัน ๆ ไม่ไปไหนคลุกอยู่แต่กับปลานี่แหละครับ

“งั้นพรุ่งนี้สาย ๆ ผมจะแวะมาหานะครับ”

อินยกมือไหว้ลาแล้วหันมาสบตากับผมด้วยแววตาจริงจังก่อนจะกลับขึ้นรถแล้วขับออกไป

นี่มันจะบอกป๊ากับม้าพรุ่งนี้เลยเหรอ...

ผมถอนหายใจเบา ๆ ขอเวลาทำใจหน่อยไม่ได้เหรอวะไอ้อิน

“ถอนหายใจทำไมลูก”

“หา....คือกี้หิวแล้วอ่ะม้า” ผมรีบยิ้มอ้อน

“หิวก็เข้าบ้าน ม้าทำของโปรดของเราไว้ให้เต็มเลย”

“รักม้าจังเลยครับ”

ผมประจบด้วยการเข้าไปกอดแล้วหอมแก้มม้าฟอดใหญ่ ทำเอาม้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู

“แหม ตอนนี้ละทำมาเป็นรักม้า เดี๋ยวพอมีแฟนก็ไปรักแฟนแทน”

 “ง่า ไม่หรอกครับ”

ผมชะงักไปนิดนึงเมื่อได้ยินคำว่าแฟน แอบชำเลืองดูท่าทีของม้า

“ม้า...ถ้ากี้มีแฟน ม้าจะว่าอะไรไหม”

“จะว่าอะไรละ โตแล้วมีแฟนก็ไม่แปลกนี่”

...แล้วถ้าแฟนเป็นผู้ชายละม้า

ผมไม่กล้าถามออกไปหรอกครับ ได้แต่เก็บคำถามนี้ไว้ในใจก่อน ซักเริ่มไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มาถึงแล้วสิครับ

 

ตึ้ง...

ผมคว้าโทรศัพท์มาดูทันทีที่ได้ยินเสียงไลน์ดังขึ้น

‘อยู่หน้าบ้านแล้วนะ’

พอเห็นข้อความที่ถูกส่งมา ผมรีบลุกจากเตียงวิ่งตึงตังลงบันไดจนโดนม้าที่นั่งดูทีวีอยู่หันมาดุ แต่ผมก็วิ่งไปจนถึงประตูแล้วละครับ

“ทำไมมาแต่เช้าเลยละ”

ผมเอ่ยทักคนที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วพลางเปิดประตูไปด้วย นี่เพิ่งจะแปดโมงกว่าเอง ผมนึกว่าอินจะมาสักใกล้ ๆ เที่ยงซะอีก

“เฮ้ย หน้าไปโดนอะไรมา”

พอเงยหน้าขึ้นก็พบกับรอยช้ำที่มุมปากของคนตรงหน้า ผมรีบเข้าไปดูใกล้ ๆ อินยกมุมปากยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะต้องนิ่วหน้า

“ใครทำมึงวะ”

“พ่อน่ะ”

“ห๊ะ อานพน่ะเหรอ ทำไมวะ”

ทำไมอานพถึงต่อยลูกตัวเองละ ผมมองอินที่มันทำหน้าแปลก ๆ ดูอึกอักชอบกล

หรือว่า...

“มึงบอกอานพเรื่องของเราแล้วเขาไม่โอเคใช่ไหมวะ”

 

            TBC...



ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 16 [08/04/2018]
«ตอบ #69 เมื่อ09-04-2018 18:06:26 »

สู้ๆนะ ทั้งสอง  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 16 [08/04/2018]
« ตอบ #69 เมื่อ: 09-04-2018 18:06:26 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
 ตอนพิเศษ : คนขี้ดื้อกับคนขี้แกล้ง


   ผมมองคนที่กำลังนอนคว่ำเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ ทั้ง ๆ ผมบอกมันให้ลุกไปอาบน้ำตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว จนตอนนี้ผมแต่งตัวเสร็จ เอาผ้าที่ใส่ถังซักไว้ไปตากจนเรียบร้อย ไอ้แฟนตัวดีมันก็ยังคงไม่ยอมลุกขึ้นจากเตียง เอาแต่นอนเล่นเกมแถมยังไม่ยอมสวมแว่น ก้มหน้าจนแทบจะติดหน้าจอแบบนั้น เดี๋ยวสายตาก็เสียหมดหรอก

   “กี้ บอกให้ไปอาบน้ำ นี่มันจะสิบโมงแล้วนะ”

   “อือ”

   ส่งเสียงขานรับแต่ไม่ยอมขยับตัวหรือแม้แต่จะหันมาเลยไอ้ตัวดี

   “มึงลืมแล้วเหรอว่าวันนี้เราต้องไปหอสมุด ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”

   ......

คราวนี้มันเงียบครับ ผมชักเริ่มจะหงุดหงิดมันแล้ว

“ไอ้กี้ มึงลุกเดี๋ยวนี้ เร็ว”

“โธ่ โว้ย แม่งกากว่ะ ใครเลือกมันมาเข้าทีมด้วยวะ”

.....

ผมก้มลงคว้าโทรศัพท์มือถือแย่งมาจากมือกี้อย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย ไอ้อิน เอาคืนมา”

“ไม่คืน”

แถมผมยังกดปิดเครื่องไปต่อหน้าต่อตามันด้วย เมื่อมันพยายามลุกขึ้นมาจะแย่งคืน

“ไอ้เชี่ยอิน”

“มึงบอกให้กูช่วยหาข้อมูลทำรายงาน แต่มึงไม่เริ่มทำเลย เมื่อคืนก็บอกว่าง่วง ไว้ค่อยทำตอนเช้า นัดกันว่าสิบโมงจะไปหอสมุดหาข้อมูล แล้วนี่อะไร เอานอนเล่นเกมไม่สนใจอะไรเลย ทำไมเหลวไหลแบบนี้”

“กูก็แค่ขอเล่นเกมแป๊บเดียว มึงแม่งขี้บ่น”

นี่ขนาดกูบ่นขนาดนี้ มึงยังไม่สำนึกเลย

ผมมองไอ้คนที่ทำหน้างอเบะปากเป็นเด็ก ๆ เมื่อถูกขัดใจ มันน่าเขกกระโหลกสักที

“ไปอาบน้ำได้แล้ว กูให้เวลาสิบนาที”

“ไม่อาบ”

มันหันมาแลบลิ้นใส่ก่อนจะล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ทำเป็นไม่สนใจผมที่กำลังมองอย่างเอาเรื่อง

“กี้ มึงลุกเดี๋ยวนี้”

   “ไม่ลุก”

   ยังจะมานอนเกาพุงทำลอยหน้าลอยตาใส่ผมอีก

   หึ...มึงจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม”

   “เออ ไม่ลุกใช่ไหม”

   ผมก้มลงใช้สองมือจับหน้าแฟนตัวเองให้หันมาแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากของคนดื้อแรง ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว คนโดนจูบโดยไม่ทันตั้งตัวดิ้นขลุกขลักก่อนที่มือของมันจะขยุ้มเสื้อผมไว้แทน เมื่อผมค่อย ๆ ละเลียดชิมริมฝีปากบางก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปชิมความหวานด้านใน หยอกล้อกับลิ้นเล็ก ๆ ของกี้ที่ถูกผมไล่ต้อนจนจนมุม สองมือละจากใบหน้าแล้วล้วงเข้าในเสื้อยืดของคนตรงหน้า มือข้างหนึ่งสะกิดยอดอกที่ขึ้นเป็นไต อีกมืออ้อมไปด้านหลัง ลูบไล้ผ่านสะโพกเนียน

   “ฮือ..อิน...กูจะไปอาบน้ำแล้ว”

   คนที่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนทำโทษส่งเสียงประท้วง ใบหน้าขาวจัดนั่นขึ้นสีระเรื่อ ดวงตาลูกกวางฉ่ำไปด้วยน้ำตายิ่งดูน่าแกล้งให้สำนึกนัก

“เดี๋ยวค่อยอาบ”

ผมตอบมันทั้ง ๆ ที่ยังซุกหน้าอยู่กับซอกคอขาว

“ไปหอสมุด...ต้องทำ...รายงาน..”

“เดี๋ยวค่อยไป ตอนนี้กูอยากทำอย่างอื่นมากกว่า”

ผมส่งยิ้มให้มันที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะถกเสื้อยืดที่กี้สวมอยู่ออกให้พ้นทาง แล้วจู่โจมให้ไม่ทันตั้งตัว ใช้จมูกสูดกลิ่นกายหอมพร้อมกับจูบเบาไล่จากซอกคอเรื่อยมาจากถึงหน้าอก ดูดเม้นยอดออกที่ชูชัน ท่าทางกี้มันจะชอบให้ผมเล่นกับหน้าอกมัน เวลาแบบนี้ถึงได้แอ่นอกสู้ทุกครั้ง ในขณะที่สองมือก็ดึงกางเกงบ๊อกเซอร์ออกจากเรียวขาของมัน กี้สะดุ้งเมื่อมือของผมจับที่กี้น้อยของมันแล้วรูดขึ้นลงเบา ๆ เรียกความเสียวซ่านให้แก่คนที่แอ่นสะโพกขึ้นตามมือของผม

   ผมลุกขึ้นถอดเสื้อยืดแล้วปลดเข็มขัดพร้อมถอดกางเกงยีนออกให้พ้นตัว เอื้อมมือไปหยิบหลอดเจลหล่อลื่นกับถุงยางออกจากลิ้นชักที่โต๊ะข้างเตียง แล้วกลับมานั่งแทรกตรงกลางหว่างขาของคนที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง บีบเจลใส่มือขวาแล้วจับขาทั้งสองข้างของกี้ให้ตั้งชันขึ้น แตะวนช่องทางด้านหลังเบา ๆ ก่อนจะส่งปลายนิ้วที่ชโลมด้วยเจลจนชุ่มแทรกเข้าไปในช่องทางนั่นจนสุดในทีเดียวทั้งสองนิ้ว ทำเอาคนที่นอนอยู่ถึงกับสะดุ้งผงกหัวขึ้นมามองผมตาวาว

    “ไอ้อิน มันเจ็บนะ..อะ..”

   ผมมองคนที่หลับตาปี๋เมื่อปลายนิ้วของผมกดย้ำเข้าไปโดนจุดที่ไวต่อสัมผัสของตน มันกัดริมฝีปากไว้แน่นจนหน้าขึ้นสีแดงจัด ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งขยับมือเร็วและแรงขึ้น ในขณะที่มืออีกข้างก็กำที่ปลายส่วนอ่อนไหวของกี้แล้วรูดขึ้นลงก่อนจะขยี้ตรงปลายจนคนที่นอนอยู่ต้องเด้งสะโพกขึ้นด้วยความเสียวซ่าน

   นิ้วมือถูกส่งเข้าไปในตัวของกี้เพื่อเตรียมความพร้อมเพิ่มอีกนิ้ว พร้อมกับจังหวะเข้าออกเร่งเร้า ภายในตัวของกี้บีบรัดนิ้วของผมมากขึ้น

   “อ่า..อิน..ฮึก...จะไม่ไหวแล้ว”

   พอผมเห็นกี้มันทำท่าจะทนไม่ไหวแล้ว ผมจึงดึงนิ้วออก สบตากับคนที่มองผมตาเชื่อมหวานจนต้องก้มลงจูบหนัก ๆ ไปทีหนึ่ง ก่อนจะหยิบถุงยางที่วางอยู่มาฉีกด้วยปาก ยิ้มยั่วให้กี้ที่นอนจ้องผมตาเขม็ง จนมันเขินหันหน้าหนีไป ผมจัดการสวมถุงยางให้กับตัวเองก่อนจะจับส่วนปลายไปแตะช่องทางของกี้ ผมมองคนตัวเล็กกว่าที่หลับตาปี๋เตรียมใจรับกับความคับแน่นที่จะเกิดขึ้นเช่นทุกครั้งเมื่อตัวตนของผมจะเข้าไปอยู่ในตัว รอยยิ้มเอ็นดูแต้มที่มุมปาก ผมจับส่วนปลายที่แข็งขืนจ่อวนอยู่ตรงปากทางแต่ไม่ยอมดันเข้าไปสักที ขณะที่มืออีกข้างลูบสะโพกของมันเล่น ผมยังคงเอาแต่หยอกเล่นอยู่นานจนไอ้คนที่กำลังค้างอยู่ในอารมณ์วาบหวามเริ่มทนไม่ไหว ปรือตาขึ้นมองผม

   “ไอ้อิน...มึง...”

   มันเรียกผมเสียงสั่น ผมยิ้มก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากล่างมันเบา ๆ

   “เรียกเพราะๆ สิครับ”

   “อิน..ไม่เล่น”

   “ก็ไม่ได้เล่น..นี่จะเอาจริง”

   ผมก้มลงกระซิบข้างหูเน้นคำว่า ‘เอา’ เป็นพิเศษ กี้ทำหน้ามุ่ยก่อนจะเม้มปากแน่น

   “แฟนอยากได้อะไรเหรอครับ”

   แก้มใส ๆ ของกี้ขึ้นสีแดงจัดเมื่อได้ยินคำว่าแฟน มันยังคงเขินเสมอเมื่อได้ยินผมเรียกแบบนี้

   “ว่าไง...อยากให้อินทำอะไร”

   ผมซุกไซ้จมูกไปที่ซอกคอขาว ๆ ก่อนจะขบเม้นตรงติ่งหูให้กี้มันย่นคอด้วยความสยิว

   “ถ้าไม่บอก เดี๋ยวอินตามใจกี้ไม่ถูกนะครับ”

   “...เข้ามา”

   “ว่าอะไรนะ ได้ยินไม่ชัด”

   ผมแกล้งถามซ้ำทั้ง ๆ ที่ได้ยินกี้มันพูดแล้ว ถึงมันจะพูดเบา ๆ แต่ผมที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ซอกคอมันย่อมต้องได้ยินอยู่แล้ว

   “...ก็บอกให้เข้ามาไงเล่า จะเอาไม่ใช่เหรอ เร็ว ๆ สิ”

   กี้กัดฟันบอกผมชัดถ้อยชัดคำด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่ามันกำลังอายขั้นสุด ทำตาแดง ๆ เหมือนจะร้องไห้

   ผมยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะฉกจูบจากริมฝีปากของคนน่ารักพร้อมกับที่ดันกายเข้าไปภายในตัวของอีกฝ่ายจนสุดในคราเดียว

   “อือ...”

   เสียงร้องของกี้อู้อี้อยู่ในคอเพราะผมยังไม่ยอมปล่อยปากมันให้เป็นอิสระ พลางถอนสะโพกตัวเองออกแล้วมากดเข้าจนสุดอีกสองสามครั้ง ก่อนจะยอมปล่อยให้คนที่โดนผมรังแกได้สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด

    “อิน...อย่า..กะ...แกล้ง..อ่า...”

   ดูเหมือนคนรักของผมจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกแกล้งเมื่อผมแกล้งกดย้ำ ๆ ไม่ยอมทำตามอย่างที่กี้มันต้องการเสียที ดวงตากลมโตนั่นคลอด้วยน้ำตาจนดูน่าสงสาร ช่องทางด้านล่างตอดรัดตัวตนของผมรุนแรงตามอารมณ์ที่ขึ้นสูงของเจ้าตัวจนในที่สุดผมก็อดทนไม่ไหว ผมจับเอวเล็กด้วยสองมือให้มั่นก่อนจะส่งกายกระแทกกระทั้นเข้าไปในตัวของคนที่ผมรักเป็นจังหวะที่เร็วและแรงขึ้น ร่างที่อยู่ใต้ร่างของผมส่ายหัวไปกับที่นอนด้วยความเสียวซ่าน สองมือกำผ้าปูที่นอนจนยับย่น

   “อ่า..อิน...แรงไป...ไม่เอา...ช้า ๆ...อ่ะ”

   โอเค ไม่เอาช้าๆ จัดให้ตามที่ขอครับแฟน

   ผมจับขาข้างนึงของกี้ขึ้นฟาดบ่าก่อนจะดันตัวเข้าไปจนสุด กดย้ำซ้ำ ๆ เร่งความเร็วจนเรียกเสียงครางหวานหูลั่นห้อง จนในที่สุดคนตัวเล็กก็กระตุกตัวเกร็งและปลดปล่อยออกมาจนเปรอะเปื้อนหน้าท้องตัวเอง ผมเอาขาที่พาดอยู่บนบ่าลงก่อนจะช้อนหลังคนที่นอนหายใจหอบขึ้นมานั่งบนตัก ให้ใบหน้าของกี้ซบลงบนไหล่ของผมอย่างอ่อนแรง สองมือลูบไล้ไปตามแนวสันหลังของคนในอ้อมกอดด้วยความรักใคร่

   “ทำไมชอบดื้อ”

   “มึงแม่งใจร้าย ชอบแกล้งกู ชอบบ่น ชอบด่ากู”

   เสียงคนดื้อที่สิ้นฤทธิ์บ่นอู้อี้อยู่บนบ่า

   “ที่กูทำก็เพราะกูรัก รู้ไหม”

   “อือ..”

   สองมือของคนหมดแรงที่เมื่อกี้ตกอยู่ข้างกายยกขึ้นมาโอบกอดผมตอบ ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบข้างหู

   “รักเหมือนกัน”

   พอได้ยินคำบอกรักจากคนขี้เขิน ผมก็ยกสะโพกขึ้นสอดประสานเข้าไปในตัวของคนที่นั่งอยู่บนตักอย่างรัวเร็วจนมันผวากอดผมไว้แน่น จนในที่สุดความเร่งร้อนก็มาถึงขีดสุดและปลดปล่อยทุกหยาดหยด

   ผมยังตะคองกอดคนรักในอ้อมกอด ฟังเสียงลมหายใจของกันและกันที่ค่อย ๆ ผ่อนช้าลง จนเป็นปกติแล้วจึงยกตัวของกี้ออกจากตัวตนของผม วางมันลงบนเตียงอย่างเบามือ ถอดถุงยางออกมามัดแล้วโยนลงถังขยะที่อยู่ใต้โต๊ะข้างเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างกัน พลิกตัวมองด้านข้างของใบหน้าของคนที่นอนหงายหายใจถี่ ริมฝีปากสีชมพูเผยออ้าจนผมเผลอยกมือขึ้นลูบไล้เบา ๆ จนมันพลิกตัวตะแครงหันมามองตอบ

   “ไปอาบน้ำเลยไหม”

    ผมถามคนที่คิดว่าคงจะเหนียวตัว แต่มันกลับส่ายหน้า

   “เหนื่อย”

   “ก็ดีเหมือนกัน”

   กี้มองผมด้วยความสงสัยเพราะปกติหลังจากเรามีอะไรกันแล้ว ผมมักจะพามันไปอาบน้ำเพราะกลัวมันจะเหนอะหนะไม่สบายตัว

   “เดี๋ยวเสร็จอีกรอบค่อยไปอาบพร้อมกันเลยทีเดียว”

   “แม่ง ไอ้อิน ไอ้หื่น”

   “ฮ่า ๆ แล้วมึงไม่ชอบเหรอ”

   ผมหัวเราะเมื่อเห็นหน้ามันแดงแบบคนขี้อาย ผมเลยแกล้งแหย่มันต่อ

   “หือ...ว่าไง ไม่ชอบเหรอครับกี้”

   “ไอ้อิน”

   “บอกว่าให้พูดเพราะ ๆ ไงครับ แบบนี้คงต้องโดนอีกสักที”

   ไม่พูดเปล่า ผมพลิกตัวขึ้นคร่อมคนที่กำลังอ้าปากค้างก่อนจะก้มลงประกบริมฝีปาก กวาดต้อนจนอีกฝ่ายเคลิบเคลิ้มจึงถอนริมฝีปากออก

   “มะ...มึง”

   กี้พูดเสียงติดจะสั่น ๆ ทำหน้าตาตื่น คงเพราะรู้สึกถึงอินน้อยที่กำลังดุนดันหน้าท้องของตนอยู่

   “ไม่เอาแล้ว กูไม่เอาแล้ว”

   ผมพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้าขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็นวดเฟ้นไปที่หน้าอกและบั้นท้ายเนียนนุ่มมือเรียกเสียงกระเส่าจากคนใต้ร่าง

   “อ่า...อิน...พอแล้ว...”

   ผมสัมผัสส่วนกลางลำตัวของคนปากแข็งที่แข็งขืนขึ้นมาเต็มมือแล้วแท้ ๆ ค่อย ๆ ลูบไล้แกล้งสร้างความปั่นป่วนในกับคนน่ารังแก

   “ให้พูดอีกที...จะเอาหรือไม่เอา”

   กี้มันไม่ตอบ เอาแต่กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น

   “ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร”

   ผมส่งยิ้มให้ก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างหูคนรักด้วยคำพูดที่เรียกทำให้มันถึงกับโวยวายไม่ออก

   “ถุงยางยังเหลืออีกเยอะ”



   “แม่ง กูก็นึกว่าจะให้กูนอนต่อ”

   ผมมองหน้าคนที่นั่งบ่นอุบอิบอยู่ข้าง ๆ หลังจากที่ผมไปหาหนังสือกับเอกสารที่ต้องใช้ทำรายการมากองให้มันบนโต๊ะ

   “มึงคิดว่าจะได้นอนเฉย ๆ เหรอ”

   “ไอ้เชี่ยอิน”

   “เบา ๆ สิ นี่หอสมุดนะมึง”

   ผมแอบยิ้มขันเมื่อเห็นหน้าขาว ๆ ของกี้ขึ้นสีระเรื่อ

   “มึงก็รีบทำรายงานให้เสร็จ ถ้ารายงานมึงเสร็จแล้วอยากจะทำอะไรก็ตามใจมึงเลย”

   “มึงต้องช่วยกูทำด้วย”

   “เดี๋ยวกูทำทั้งคืนเลย”

   “ไอ้อิน ทำไมมึงหื่นแบบนี้”

   กี้หันมาทำตาโตใส่ผม ผมคว้ามือมันที่ยกขึ้นจะฟาดผมเอาไว้ก่อนจะกุมไว้ใต้โต๊ะเพื่อกันสายตาคนอื่นที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก

   “อะไร นี่มึงคิดอะไร กูบอกจะช่วยมึงทำรายงานทั้งคืนไง”

   ผมมองคนที่ทำตาโตหน้าแดงแล้วก้มลงไปกระซิบใกล้ ๆ พลางลูบมือที่กุมไว้

   “คิดแต่เรื่องลามกนะกี้”

   แฟนขี้อายของผมสะบัดมือผมทิ้งทันที หันไปคว้าหนังสือเล่มใหญ่มายัดใส่มือผมแทน

   “ไอ้อิน หุบปากแล้วทำงานไปเลย”

   “กี้”

   ก่อนที่ผมจะเริ่มเปิดหนังสือ ผมก็เรียกกี้ที่กำลังเปิดโน้ตบุ๊ค วันนี้มันไม่ใส่คอนแทคเลนส์แต่สวมแว่นกรอบโตอันเดิมแทน

   “อะไร”

   “ทำไมแฟนกูน่ารักจังวะ”

   “ไอ้อิน หุบปาก”

   “นี่นักศึกษาคะ ที่นี่หอสมุด งดใช้เสียงค่ะ”


   ................................
   ขอโทษที่หายไปนานค่ะ ตอนปกติยังติด ๆ ขัด ๆ อยู่ เลยเอาตอนพิเศษ (ชั่ววูบ) มาให้อ่านกันก่อนนะคะ T____T

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 :-[โอ๊ย​ ตอนพิเศษ​ดี​ต่อ​ใจ​

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
«ตอบ #72 เมื่อ17-06-2018 19:39:55 »

ตอนที่ 17

 

           ผมมองรอยช้ำที่มุมปากของอินด้วยความรู้สึกแปลบตรงหัวใจ ปลายนิ้วค่อย ๆ แตะที่รอยช้ำนั่นอย่างเบามือแต่ก็ไม่วายทำให้เจ้าของแผลต้องนิ่วหน้า

            “เจ็บมากไหม”

            มือข้างนั้นประคองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเบามือที่สุด อินยิ้มบาง ฝ่ามือของมันวางทับบนมือของผม

            “อานพเขาโกรธมากเลยเหรอ”

            อินเป็นลูกชายคนโตที่อานพรักและภูมิใจมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาอินเป็นลูกชายที่ได้ดั่งใจทุกอย่าง เป็นเด็กดีเสมอ และอานพก็เป็นชายชาติทหาร ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะลงไม้ลงมือแบบนี้ เวลาอินทำผิด อานพจะคุยด้วยเหตุและผลทุกครั้งก่อนจะลงโทษ ซึ่งไม่ใช่การทำร้ายร่างกายแน่นอน

            เพราะผมใช่ไหมที่ทำให้อินต้องเจ็บตัว

เพราะผมใช่ไหมที่ทำให้อินต้องมีปัญหากับครอบครัว

            “ไม่หรอก พ่อเขาก็แค่โมโหน่ะ”

            “อิน...กูขอโทษนะ”

            “เฮ้ย กี้ร้องไห้ทำไม มึงเป็นอะไร”

            ไม่รู้น้ำตามันไหลมาตอนไหน ผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ออกมา

            เพราะผมคนเดียว...

            “อึก...เป็นเพราะกู ถ้ามึงไม่คบกับกู มึงก็ไม่ต้องทะเลาะกับพ่อ มึงก็ไม่ต้องโดนต่อยแบบนี้ เพราะกูคนเดียว”

            “เฮ้ย กี้ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งร้อง”

            ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ

            “กูสงสารมึง อึก...แล้วกูก็สงสารตัวเองด้วย พ่อมึงก็โกรธ แบบนี้กูไม่กล้าบอกป๊ากับม้าแล้ว พวกเขาต้องให้เราเลิกกันแน่ ๆ”

เจ้าพวกผีเสื้อในท้องคล้ายจะรับรู้ความรู้สึกของผมได้ จากปกติที่เคยโบยบินอย่างเริงร่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้อิน มาวันนี้กลับขยับปีกบางเบาเหมือนกำลังจะหมดแรง

            อินดึงผมเข้าไปกอด ลูบหัวผมเบา ๆ ปลอบโยนให้ผมสงบลง

            “มันไม่เป็นไรนะกี้ หยุดร้องก่อน ฟังกูก่อน”

            ผมซบหน้าลงบนไหล่กว้าง หวังให้น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นปลอบใจ

            “มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น”

            “มึงโดนอานพต่อยนี่ยังไม่เลวร้ายอีกเหรอ”

            ผมแย้งมันเสียงอู้อี้อยู่บนบ่ากว้าง ก่อนที่อินจะผละออกมาจ้องหน้าผม ผมมองใบหน้าหล่อ ๆ กระชากใจคนเกือบทั้งมหาลัยที่ตอนนี้กลับมีตำหนิช้ำ ๆ ตรงริมฝีปากพยายามจะส่งยิ้มให้ผมสบายใจ

            “กูยอมรับว่าตอนแรกที่บอกพ่อ พ่อกูเค้าโมโหมาก แต่พอกูอธิบายเรื่องของกูกับมึงให้เค้าฟัง พ่อก็ดูจะอ่อนลงนะ ตอนนี้แม่ก็กำลังช่วยพูดให้อยู่”

            จริงสิ นอกจากอานพแล้วที่บ้านของอินยังมีอานงค์กับเจ้าอิศ เจ้าอัค น้องชายอีก 2 คนด้วย แล้วนี่พวกเขาคิดอย่างไงกับเรื่องของพวกผม

            “แล้วแม่กับน้องมึงว่ายังไงมั่งวะ พวกเค้าโอเคกันเหรอวะ”

            “แม่กูตอนแรกก็ตกใจอยู่นะ แต่พอคิดได้ว่าคนที่กูคบด้วยเป็นมึง แม่กูเค้าก็ดูจะรับได้ ก็แม่เค้าเอ็นดูมึงจะตาย ส่วนอิศกับอัคมันก็ชอบมึงอยู่แล้ว”

            ได้ยินแบบนี้ผมก็ค่อยโล่งใจไปเปาะหนึ่งที่อย่างน้อยก็ยังมีคนยอมรับพวกเรา 2 คน

            “ไปมึง เข้าบ้านไปหาป๊าม้ากัน”

            อินคว้าข้อมือของผมจับจูงให้เดินตามเข้าไปในตัวบ้าน หากผมขืนตัวไว้ บอกมันไปด้วยน้ำเสียงหวาด ๆ

            “กูอย่าเพิ่งดีกว่าวะ ไว้ค่อยบอกวันหลังก็ได้”

            อินประสานมือเข้ากับฝ่ามือของผมแล้วบีบเบา ๆ ส่งต่อความอบอุ่นและกำลังใจมาให้ผม รอยยิ้มละมุนแต้มที่มุมปาก

            “กูอยากทำทุกอย่างให้มันชัดเจน เราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบัง กูอยากบอกคนทั้งโลกรู้ด้วยซ้ำว่ากูคบกับมึงอยู่”

            ผมสบสายตาคู่ที่เห็นแต่ประกายความมุ่งมั่น ที่ราวกับต้องจะบอกว่าให้มั่นใจในทุกคำที่เจ้าของดวงตาคู่นี้พูดออกมา

“มึงเชื่อใจกูนะ”

ผมรู้สึกถึงแรงบีบที่มืออีกครั้ง ก่อนจะยอมปล่อยให้มันจับจูงเข้าไปในบ้านเพื่อเผชิญหน้ากับคนที่ผมรักมากที่สุดอีกสองคน

 ป๊านั่งอ่านดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน ส่วนม้าน่าจะอยู่ในครัว ป๊าหันมามองเมื่อเห็นพวกผมเดินเข้ามาหา อินจึงปล่อยมือเพื่อยกขึ้นสวัสดี ป๊าตบโซฟาข้างตัวเรียกให้อินไปนั่งด้วยกัน

”ไงเจ้าลูกชาย อ้าว ไปทำอะไรมาหน้าถึงเป็นแบบนั้น หมดหล่อกันพอดี”

“นิดหน่อยน่ะครับป๊า”

เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าอินมันเป็นลูกรักของบ้านนี้

ผมนั่งลงบนโซฟาอีกตัว มองป๊ากับอินทักทายกันตามประสาลูกชายคนโปรด ได้ยินป๊าถามถึงเรื่องเรียนแล้ววกกลับมาบ่นเรื่องผมไม่ค่อยตั้งใจ ต้องให้อินช่วยอยู่ตลอด ก็ได้แต่ยู่ปากไม่พอใจ จวบจนม้ายกจานใส่ของว่างเดินมากับพี่คนงานที่ยกถาดน้ำตามหลังมานั่นแหละป๊าถึงได้หยุดบ่นผม

“หวัดีครับม้า”

“มากินของว่างกินน้ำกันก่อน วันนี้ม้าทำสาคูของชอบของอินด้วยนะลูก”

“ขอบคุณนะครับม้า”

อินส่งยิ้มเอาใจก่อนจะจิ้มสาคูเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ท่าทางเอร็ดอร่อย ส่วนผมเอาแต่นั่งมองเฉย ๆ บอกตรง ๆ ว่ากินอะไรไม่ลงครับ ระหว่างที่ป๊าม้ากำลังสนใจอยู่กับสาคูบนโต๊ะ อินก็หันมาสบตากับผมเป็นนัยให้รู้ว่ากำลังจะทำอะไร ผมส่ายหน้าเบา ๆ ส่งสายตาไม่มั่นใจกลับไป

“ป๊าครับ ม้าครับ”

แต่มีหรือที่มันจะเชื่อ ผมได้แต่กลืนน้ำลายขณะที่ป๊าม้าหันมามองอินตามเสียงเรียก


“ที่ผมมาวันนี้ ผมมีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกป๊ากับม้าครับ”

ผมกระตุกชายเสื้อยึดของมันเบา ๆ ยังไม่อยากให้อินมันพูดเรื่องนี้ แต่มันกลับไม่สนใจ

“คือผมกับกี้ เราสองคนตกลงคบกันเป็นแฟนแล้วครับ”

“มึง...”

ผมครางเสียงแผ่ว มองหน้าป๊ากับม้าที่กำลังอึ้งสุดขีดกับคำพูดของเพื่อนสนิทลูกชาย

“เมื่อกี้อินพูดว่าอะไรนะ ป๊าได้ยินไม่ชัด”

“ผมกับกี้ ตอนนี้เราสองคนเป็นแฟนกันครับ”

“ป๊า ม้าจะเป็นลม”

“ม้า!”

คราวนี้ป๊ากับม้าได้ยินชัดเจนแน่ ๆ ครับ สีหน้าของม้าคล้ายว่าอยู่ ๆ ก็หน้ามืดขึ้นมากะทันหันทำท่าโอนเอนพิงโซฟา ป๊าต้องรีบยืนยาดมให้ ผมมองด้วยความเป็นห่วงรีบเข้าไปหยิบพัดมาช่วยพัดให้ หลังจากให้ม้าได้พักหายใจหายคอจนหน้าตาหายซีดเซียวแล้ว ป๊าก็หันไปพูดกับอินด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อินหมายความว่าอย่างไงที่บอกว่าเป็นแฟนเจ้ากี้ เราสองคนเป็นผู้ชายนะ”

“ใช่ครับ ถึงผมกับกี้จะเป็นผู้ชาย แต่เราสองคนก็รักกัน วันนี้ผมตั้งใจมาขออนุญาตป๊ากับม้าให้เราสองคนคบกัน”

“ไม่ได้” ป๊าตวาดเสียงดังจนผมสะดุ้ง “เรื่องแบบนี้มันไม่ถูกต้อง พวกเธอสองคนเป็นเพื่อนกัน เป็นผู้ชายเหมือนกันจะคบกันได้อย่างไง ป๊ากับม้ารับไม่ได้ กี้มันต้องแต่งงานมีลูกมีหลานสืบสกุล”

“ผมรู้ว่ามันคงไม่ง่ายที่จะยอมรับได้ แต่ผมอยากให้ป๊าม้ามั่นใจในความรู้สึกที่ผมมีให้กี้ ถึงแม้ว่าพวกผมจะไม่สามารถมีลูกได้ แต่ผมก็พร้อมที่จะดูแลกี้ อยู่ข้าง ๆ กี้เหมือนกับที่ผมทำมาตลอดและผมก็จะทำต่อไป”

น้ำเสียงของอินที่พูดหนักแน่น

“ป๊ากับม้าเชื่อใจผมเถอะครับ ขอให้เราสองคนได้คบกัน”

อินส่งสายตาวิงวอน ผมเหลือบมองหน้าป๊าที่ยังคงนั่งนิ่ง ผมจับมือม้าเอาไว้ มองหน้าซีดเซียวของม้าแล้วก็ให้ใจเสียแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“เฮ้อ”

เป็นป๊าที่ส่งเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แน่ใจแล้วเหรอที่จะจริงจัง เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ แน่ใจเหรอว่ามันไม่ใช่ความใกล้ชิดที่ทำให้เข้าใจผิดกันไปเอง”

“ผมมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองมานานแล้วครับ มั่นใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันจริงจัง จนผมไม่สามารถที่จะรู้สึกกับใครแบบนี้ได้อีกแล้วนอกจากกี้”

ผมรู้สึกหน้าร้อน ๆ สิ่งที่อินพูดไม่ต่างอะไรกับการสารภาพรักต่อหน้าป๊าม้าของผมเอง

“แล้วกี้ละ จะไม่พูดอะไรบ้างเหรอ”

ป๊าหันมาถามผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก หากสัมผัสที่มือกลับกระชับแน่น ผมเหลือบมองม้าที่พยักหน้าน้อย ๆ ให้ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป

“กี้รักอิน กี้ขอโทษที่เป็นลูกที่ดีให้ป๊าม้าไม่ได้”

พูดถึงตรงนี้น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นเอาไว้เสียตั้งนานก็ไหลลงข้างแก้ม

“ขอโทษที่กี้ทำให้ป๊าม้าต้องผิดหวัง ต้องเสียใจ ขอโทษที่กี้เป็นลูกชายที่ไม่เอาไหน เป็นลูกชายที่ทำให้ป๊าม้าภูมิใจไม่ได้”

“กี้”

แรงบีบที่มือผมมากขึ้น ผมยกหลังมืออีกข้างขึ้นมาปาดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดต่อตามที่ตั้งใจ

“แต่กี้อยากจะให้ป๊าม้าเชื่อใจกี้ เชื่อในคนที่กี้เลือก ให้เราสองคนคบกันเถอะนะครับ”

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ผมพูดจบ ผมเผลอขบเม้นริมฝีปากแน่น ได้แต่สบสายตาที่ให้กำลังใจจากอิน

ฝ่ามือคู่ที่เลี้ยงผมมาดึงเอามือผมไปกุมไว้ ก่อนที่ม้าจะยิ้มน้อย ๆ ให้ แม้มันจะเป็นเป็นยิ้มที่ดูฝืด ๆ แต่ก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมา

“ม้าเลี้ยงกี้มากับมือ ม้ารู้ดีว่ากี้เป็นอย่างไง สิ่งที่ม้าอยากได้จากกี้ ไม่ใช่ความภูมิใจหรือความสำเร็จอะไรนั้นหรอก ม้าแค่อยากเห็นกี้มีความสุข มีคนที่สามารถดูแลและไม่ทำให้กี้เป็นทุกข์”

“หมายความว่าป๊าม้ายอมให้พวกเราคบกันใช่ไหม”

ผมเอ่ยด้วยความดีใจ ก่อนจะถูกป๊ากระแอ้มเบรกไว้

“ถึงจะให้คบกันได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรประเจิดประเจ้อได้ตามใจ ขอเวลาให้ป๊าม้าทำใจบ้าง”

“ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียแน่นอนครับ”

อินรับปากอย่างแข็งขันด้วยแววตาเป็นประกาย

“ถ้าแน่ใจแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ขอให้มีสติกันให้มาก ๆ หลังจากนี้เราสองคนทั้งอินทั้งกี้จะต้องเผชิญกับสายตาและแรงกดดันจากคนรอบข้าง ความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันเองมันยังเป็นเรื่องที่สังคมยากจะยอมรับได้ แน่ใจนะว่าจะรับมันไหว”

อินหันมาสบตาผม ผมพยักหน้าด้วยความมั่นใจ เราต้องเชื่อมั่นในกันและกัน

“พวกเราจะพยายามครับ”

“แล้วนี่คุณนพกับคุณนงค์รู้เรื่องนี่หรือยัง”

ม้าหมายถึงพ่อกับแม่ของอิน พอได้ยินคำถามนี้ จิตใจที่กำลังฟูของผมก็แฟ่บลงราวกับลูกโป่งที่โดนเจาะลูกออก

“บอกแล้วครับ แม่ผมโอเค แต่ว่าพ่อดูจะยังทำใจไม่ได้”

“ที่มาของรอยช้ำที่หน้าสินะ” ป๊ามองหน้าอินอย่างจับผิด

“นี่แหละ อุปสรรคที่เราสองคนต้องเจอ เริ่มต้นก็เป็นแบบนี้แล้วจะไหวกันเหรอ”

“ไหวครับ ถึงวันนี้พ่อจะยังไม่ยอมรับ แต่สักวันพ่อจะต้องเข้าใจ ผมมั่นใจ”

“มั่นใจก็ดี ก็ขอให้เมื่อถึงเวลาที่เกิดปัญหาขึ้นมาจะยังพูดเหมือนวันนี้นะ”

“ผมจะไม่ปล่อยมือจากกี้ไม่ว่าจะมีเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

ป๊าจ้องหน้าอินเขม็ง หากอินมองกลับด้วยสายตาจริงจัง จนในที่สุดป๊าก็มีรอยยิ้มที่มุมปาก

“หึ ให้เวลามันพิสูจน์คำพูดเราก็แล้วกัน”

ผมยิ้มกว้าง ม้าลูบหัวผมเบา ๆ

“นี่ก็จะเที่ยงละ อินอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะลูก”

“ครับม้า”

ม้ายิ้มให้แล้วลุกเข้าไปในครัว ก่อนที่ป๊าจะลุกขึ้นบ้างและอยู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามอง

“เดี๋ยวป๊าจะไปดูปลากัด จะไปดูด้วยกันไหม”

ผมรีบพยักหน้าให้อิน มันยิ้มดีใจก่อนจะรีบลุกเดินตามป๊าไปดูปลาที่หลังบ้าน

ผมถอนหายใจโล่งอก ถึงป๊าม้าจะยังดูมีท่าทีไม่เต็มใจจะยอมรับในความสัมพันธ์ของผมกับอินเท่าไหร่นัก แต่ดูแล้วก็คงไม่ยากเกินไปที่จะเปิดใจให้กับความรักของพวกเราสองคน ผมมั่นใจว่าสักวันหนึ่งป๊ากับม้าจะเข้าใจ

ผม ลุกขึ้นตามม้าเข้าไปในครัว เมื่อเห็นม้ากำลังยืนสั่งพี่คนงานให้ทำกับข้าวอยู่ก็เข้าไปสวดกอดจากด้านหลัง

“ขอบคุณนะครับ รักม้าที่สุดเลย”

ผมเอ่ยเสียงอู้อี้เพราะซบหน้าอยู่บนบ่าของม้า

“ไม่ต้องมาทำเป็นอ้อนเลยลูกคนนี้” ได้ยินเสียงม้าถอนหายใจก่อนที่ผมจะถูกขยี้หัวเบาๆ “คิดดีแล้วสินะเราน่ะ”

“ครับ”

“เป็นอินก็ดีตรงที่ม้ามั่นใจว่าเอาเราอยู่ จะได้ไม่ทำตัวเกเรเหลวไหล”

“โถ ม้าก็” เวลาแบบนี้ยังบ่นลูกตัวเองได้อีกนะ

“แล้วนี่คิดจะบอกเฮียเค้าเมื่อไหร่ละ”

ผมได้แต่เม้นปาก ถึงจะผ่านด่านป๊าม้าไปได้ แต่ก็ยังเหลือเฮียกรอีกคน ซึ่งเอาจริง ๆ ผมว่าน่ากลัวกว่าอีก

“ถ้าอย่างไงจะให้ม้าช่วยพูดไหม”

“อือ ไว้ให้กี้เป็นคนบอกเฮียเองดีกว่า แต่ขอเวลากี้หน่อยนะม้า กี้ยังไม่กล้า”

ผมยิ้มแหย ๆ เฮียดุอย่างกับอะไรดี พวกผมต้องตั้งรับให้ดี ไม่งั้นมีหวังเละไม่เป็นท่า

“ตามใจ” ม้าแกะมือผมที่โอบช่วงเอวออก  “ปล่อยม้าได้แล้ว ม้าจะได้ทำกับข้าว”

“ให้กี้ช่วยนะม้า”

 

 

TBC...

สวัสดีค่ะ ห่างหายไปนาน ต้องสารภาพว่าตอนนี้เป็นตอนที่เราแต่งออกมายากมาก พิมพ์แล้วแก แก้แล้วลบอยู่ 2-3 ครั้งกว่าที่จะออกมาเป็นแบบนี้ ให้ตรงกับสิ่งที่เราอยากสื่อออกมา

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ^^


ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
«ตอบ #73 เมื่อ18-06-2018 14:48:39 »

เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ ผ่านด่านครอบครัวไปให้ได้นะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
«ตอบ #74 เมื่อ18-06-2018 16:48:38 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
«ตอบ #75 เมื่อ18-06-2018 23:36:24 »

เฮียดุกว่าป๊าม๊าอีกอ่ะ​ 555

ออฟไลน์ maxtorpis

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1442
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-4
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
«ตอบ #76 เมื่อ19-06-2018 23:32:08 »

d

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 18 [24/06/2018]
«ตอบ #77 เมื่อ24-06-2018 01:12:34 »

ตอนที่ 18

 

            ทันทีที่ได้ยินเสียงรถจอดที่หน้าบ้าน ผมก็รีบลุกออกไปเปิดประตูรั้ว เพราะรู้ว่าคนที่ช่วงนี้มักจะมาในเวลานี้เสมอไม่ใช่ใครที่ไหน

            “กูซื้อไก่ย่างร้านที่เราเคยไปกินมาฝากมึงด้วยละกี้”

            อินชูถุงพลาสติกในมือให้ผมดูเมื่อก้าวลงจากรถ ผมยิ้มร่าเมื่อเห็นของโปรด พอเดินไปหาจะช่วยถือมันก็ไม่ยอม ผมเลยปล่อยให้อินเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะปิดประตูรั้วแล้วเดินตามเข้าไป

            “ม้า สวัสดีครับ ผมเอาแหนมเนืองมาฝากครับ”

            ผมได้ยินเสียงอินจากในครัว มันคงเดินเอาของกินไปเก็บ ผมกลับมานั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือต่อ สักพักก็มีมือมาขยี้หัวเบา ๆ

            “ปิดเทอมก็เล่นแต่เกมทั้งวัน”

            ผมแลบลิ้นใส่ไอ้คนขี้บ่นที่นั่งลงบอกเก้าอี้อีกตัวพร้อมกับวางจานใส่แอปเปิลที่ปอกเรียบร้อยแล้วบนโต๊ะ

            “ป๊าอยู่ไหนเหรอกี้”

            “น่าจะอยู่กับพวกนักมวยหลังบ้านละมั้ง”

            ผมหยิบแอปเปิลขึ้นมากินกัดแล้วก็เล่นเกมต่อ ไม่ได้สนใจอีกคนที่ลุกหายไปแล้ว เล่นต่อไม่ถึงสิบนาทีก็ตาย ทีนี้ผมเลยลุกขึ้นมองหามนุษย์ขี้บ่นอันดับสองของผม อันดับหนึ่งผมยกให้ป๊ากับม้ารักษาแชมป์คู่ครับ เดิน ๆ หาสักพักก็เจอมันอยู่ที่หลังบ้านจริง ๆ ด้วย กำลังนั่งดูโหลปลากัดอยู่กับป๊า

            “เจ้าบัวขาวตัวนี้กว่าป๊าจะได้มาไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะ จองตั้งนานกว่าจะได้”

            ผมเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นป๊ากำลังอวดปลากัดจีนที่เพิ่งได้ใหม่เหมือน 2-3 ก่อน

            “อ้าว แบบสมรักษ์ก็ตกกระป๋องไปแล้วสิป๊า”

            ผมหมายถึงปลากัดตัวสีแดงเข้มที่ช่วงก่อนเห็นป๊าเห่อนักเห่อหนา

            “นั่นก็ตัวโปรดป๊า นี่อินดูสิสีมันสวยมากเลยใช่ไหม”

            “สวยครับป๊า หางยาวเชียว”

            ผมยืนมองป๊ากับแฟนผมที่ตอนนี้ทวงคืนตำแหน่งลูกรักของป๊าม้ากลับไปได้อีกแล้วด้วยความหมั่นไส้น้อย ๆ แค่มันขยันมาบ้านนี้ทุกเช้าพร้อมกับของฝากที่ถ้าไม่ใช่ของโปรดของม๊าก็ต้นไม้น้ำจะให้ป๊าเอามาใส่โหลปลากัดบ้างละ เมื่อวานก็มาช่วยป๊าเปลี่ยนน้ำโหลปลา ขนาดผมเป็นลูกชายแท้ ๆ ยังไม่ขยันเท่าไอ้อินมันเลย ตอนนี้มันเลยคะแนนความเอ็นดูจากป๊าม้าพุ่งพรวด

            ส่วนกับผม อินก็ไม่ได้มีท่าทีพิเศษหรือทำตัวรุ่มร่ามแบบตอนที่อยู่ด้วยกันที่คอนโด อย่างมากก็แค่จับมือ มีบ้างบางวันที่มันชวนผมออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก แต่ก็ไปซื้อของหรือหาอะไรกิน พวกผมยังทำตัวเหมือนเดิมอย่างที่เคยทำตอนที่ยังเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ได้ทำตัวประเจิดประเจ้ออะไร เพราะเกรงใจไม่อยากให้ผู้ใหญ่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

“ป๊า เดี๋ยวม๊าจะออกไปตลาดนะ อินไปด้วยกันไหมลูก”

ได้ข่าวว่าลูกชายบ้านนี้ชื่อกี้นะม้า ผมได้แต่เบ้ปาก

“ไปครับ ไปไหม”

ประโยคหลังอินมันหันมาถามผม

“ไปซื้ออะไรเหรอม้า”

ผมกลับหันไปถามม้าแทน เพราะเมื่อกี้อินก็ซื้อของกินมาตั้งเยอะแล้ว น่าจะพอถึงมื้อเย็นเลยด้วยซ้ำ

“เย็นนี้กรกับเหมยเค้าจะมากินข้าวด้วย โทรมาบ่นอยากกินกุ้งอบวุ้นเส้น ม้าก็เลยว่าจะไปซื้อกุ้งแล้วก็ปูมาผัดผงกะหรี่ด้วย”

“ห๊ะ เฮียกรกลับมาแล้วเหรอ” ผมร้องด้วยความตกใจ

“เพิ่งกลับมาถึงเมื่อคืนน่ะ”

เฮียกรแกพาซ้อเหมยไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นรอบที่ 4 หรือ 5 นี่แหละ หาเรื่องไปปั๊มหลานคนโตให้อากงอาม่าเพราะแต่งกันมาก็ 4-5 ปีแล้วยังไม่มีลูกกันเสียที ฝั่งบ้านซ้อเหมยก็เป็นห่วงเพราะมีซ้อเป็นลูกคนเดียว นี่เป็นอีกเหตุผลที่เฮียเลยต้องไปอยู่บ้านซ้อ

“แล้วนี่กี้จะบอกเฮียเรื่องเรากับอินเลยไหม”

ผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ อุตส่าห์คิดว่าเฮียคงมัวแต่สนใจเรื่องปั๊มลูก ก็ไหนไลน์ไปหาวันก่อนก็บอกบรรยากาศโรแมนติกอีกอาทิตย์หนึ่งถึงจะกลับ แล้วทำไมปุ๊บปั๊บกลับมาแบบนี้ได้

“งั้นเย็นนี้ผมอยู่กินข้าวด้วยนะครับป๊าม้า”

“ไม่ต้อง ๆ มึงกลับบ้านไปก่อนเลย”

ผมร้องห้ามทันทีเมื่อได้ยินที่อินพูด ผมรู้ว่ามันคิดจะทำอะไร

“ทำไมวะ”

“มึงจะบอกเฮียใช่ไหมละ กูขอดูท่าทีของเฮียก่อน ขืนไปพูดไม่ดูอารมณ์ รับรองชาตินี้มึงกับกูไม่ได้เจอกันอีกแน่ ๆ”

“กี้ มึงก็พูดเกินไป”

“กูรู้จักเฮียกูก็แล้วกัน”

ผมถูกเฮียเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ทำไมจะไม่รู้ว่าเฮียกรเป็นอย่างไง ที่พูดไปไม่มีเกินความน่าจะเป็นเลยสักนิดเดียว

“ม้าก็เห็นด้วยกับกี้นะ กรน่ะเป็นคนใจร้อน พอโมโหแล้วก็ไม่ค่อยจะฟังใคร อย่างไงลองให้กี้กับม้าตะล่อมดูก่อน”

เมื่อเห็นว่าทั้งผมทั้งม้าต่างพูดแบบนี้ อินก็ยอมแต่โดยดี

“ก็ได้ครับม้า”

 

 

หลังจากกินข้าวกลางวันด้วยกัน ผมก็เดินออกมาส่งอินที่ประตูรั้ว เราสองคนเดินมาด้วยกันอย่างเงียบ ๆ ผมลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไร ผมกลัวว่าอินจะไม่พอใจหรือเปล่าที่ผมไม่ยอมให้มันอยู่ต่อ ก็ผมกลัวว่าเดี๋ยวเฮียกรจะมาเจออินที่บ้าน มันคงไม่คิดว่าผมไล่มันกลับก่อนหรอกนะ

“มึงไม่โกรธกูใช่ไหม”

อินมองหน้าผมด้วยสายตาสงสัย

“ก็เรื่องที่กูยังไม่ให้มึงบอกเฮียกร”

รอยยิ้มเอ็นดูแต้มที่มุมปากของอิน

“คิดมากน่ะกี้ กูโอเค กูเข้าใจ กูไม่โกรธมึงเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”

“อย่างไงกูจะหาจังหวะบอกเฮียให้ได้”

อินยกมือลูบหัวผมเบา ๆ

“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น ดูสิ คิ้วขมวดแล้ว”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ อินขยี้หัวผมอีกทีก่อนจะปล่อยมือ

“งั้นกูกลับละนะ เจอกันพรุ่งนี้”

“อือ ขับรถดี ๆ “

             

             

            เฮียกรกับซ้อเหมยมาถึงบ้านช่วงบ่าย ๆ ขนของฝากจากญี่ปุ่นมาให้ 2-3 ถุงใหญ่ ซ้อขอตัวไปช่วยม้าทำกับข้าวในครัว ทิ้งให้หนุ่ม ๆ ทั้ง 3 คนนั่งคุยกันในห้องรับแขก

            “เรียนเป็นไงบ้างละกี้”

            “ก็ดีนะเฮีย เกรดออกมาก็โอเค”

            ผมรื้อถุงของฝากได้ป๊อกกี๊ชาเขียวมากล่องหนึ่งก็แกะกิน ผมยื่นให้ป๊าลอง แต่ได้รับการปฏิเสธ เลยนั่งกินคนเดียวเพราะเฮียก็ไม่ชอบของหวาน

            “ได้ยินแบบนี้ก็ค่อยยังชั่ว เฮียก็กลัวว่าจะไม่รอด”

            “น้องชายเฮียระดับไหน แค่นี้สบายอยู่แล้ว”

            ผมทำท่ายักไหล่พร้อมกับกัดป๊อกกี๊ในปาก

            “ทำเป็นพูดดี ที่สอบผ่านก็เพราะอินช่วยเคี่ยวเข็ญให้หรอก ไม่อย่างงั้นป่านนี้คงต้องสอบซ่อมไปแล้ว”

            “อ้าว ป๊า แต่กี้ก็ตั้งใจนะ”

            ผมหันไปประท้วงกับป๊าที่พูดจาดิสเครดิตลูกตัวเองเสียอย่างนั้น เฮียหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามถึงคนที่อยู่ในบทสนทนา

            “เอ่อ แล้วนี่อินมันเป็นอย่างไงบ้างละ ไม่ได้เจอตั้งนานละ”

            “ก็...” ผมเหลือบมองหน้าป๊าที่นั่งทำหน้านิ่ง “อินมันก็สบายดีเฮีย หล่อสาวกริ๊ดเหมือนเดิม”

            “เหรอ แล้วนี่มันมีแฟนยัง ที่มหาลัยคงมีสาว ๆ มาชอบมันเยอะสินะ”

            “ก็...มีแล้ว...เอ่อ...ไม่มีมั้ง”

            “ตกลงมีหรือไม่มี”

            “เรื่องของไอ้อินมันน่ะเฮีย ช่างมันเหอะ”

            “แล้วเราละ หาน้องสะใภ้ให้เฮียได้หรือยัง”

            “น้องสะใภ้เหรอ...”

            ผมเหล่มองป๊าอีกที คราวนี้เห็นป๊ากำลังทำเป็นรื้อถุงขนม หยิบถุงนั้นถุงนี้ออกมาดูด้วยความสนใจเกินกว่าปกติ

            ...ไม่เนียนเลยป๊า

            “ไอ้นี่อร่อยดีนะเฮีย ซื้อมาเยอะป่ะ”

            เมื่อเห็นป๊าไม่ช่วยแน่ ๆ  ผมเลยตีเนียนเปลี่ยนเรื่องซะอย่างนั้น

            “ไม่ได้ทำเป็นพูดเรื่องขนม ตกลงมีแฟนหรือยัง จะคบใครก็พามาแนะนำให้ที่บ้านรู้จักด้วย จะได้ช่วย ๆ กันดู”

            ไม่ต้องแนะนำเฮียก็รู้จักดีอยู่แล้วละ..

            “เอ่อ...” ผมแสร้งก้มหน้ามองกล่องขนมในมือ “ก็ดู ๆ อยู่”

            “มีแฟนก็อย่าให้เสียการเรียนละ ตั้งใจเรียนด้วย โตแล้วก็เลิกทำตัวติดอินมันเสียที ปล่อยให้มันไปมีแฟนได้แล้ว มัวแต่มาดูแลเรานี่แหละ”

            “แหะ ๆ”

            ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนพลางหยิบป๊อกกี้เข้าปากกลบเกลื่อน

            “ว่าแต่ทำไมเฮียรีบกลับมา ไหนบอกว่าจะกลับอาทิตย์หน้า”

            “ก็มันมีเรื่องให้ต้องกลับมาน่ะสิ ป๊าของเหมยแกจับได้ลูกน้องยักยอกบัญชีในร้าน พอจะพาตำรวจไปจับมันดันรู้ตัวหนีไปก่อนซะได้ เนี่ยก็เพิ่งได้ข่าวว่ามันหนีไปบ้านเมียที่พะเยา เดี๋ยวพรุ่งนี้เฮียจะตามไปลากตัวมันกลับมา รับรองมันโดนดีแน่ ๆ”

            เฮียกรพูดด้วยความโมโห ผมว่าไอ้หมอนั่นคงจะต้องโดนเฮียกระทืบสัก 3-4 ทีก่อนจะส่งตำรวจแน่ ๆ โทษฐานที่ไปขัดจังหวะฮันนีมูนเพื่อผลิตทายาทของเฮีย ท่าทางเฮียอารมณ์จะไม่ดีนัก ผมว่าผมเงียบ ๆ เรื่องที่จะบอกไปก่อนดีกว่า ผมยังไม่อยากเห็นอินมันโดนเฮียกระทืบนะครับ

 

            “ก็เลยไม่กล้าบอกเฮียเรื่องกูสินะ”

            “ใครมันจะไปกล้าละ”

            ผมหันไปสังเกตสีหน้าของคนที่กำลังขับรถพาผมออกมาข้างนอกหลังจากเล่าเรื่องที่เฮียกรมาเมื่อวานให้ฟัง

            “กูยังไม่อยากเห็นมึงโดนเฮียกระทืบว่ะ”

            อินยกมือขึ้นมาขยี้หัวแบบที่มันชอบทำ

            “เห็นมึงเป็นห่วงกูแบบนี้ กูก็ดีใจละ มามะ ให้กูชื่นใจที ถึงโดนเฮียมึงกระทึบกูก็จะทน”

            “เดี๋ยวก็ให้เฮียพาลูกน้องมากระทืบเลยมึง ตั้งใจขับรถไปเลยนะ”

            ผมผลักมือมันออกจากหัว ถึงรู้ว่ามันแค่เย้าเล่นก็ยังไม่วายรู้สึกหน้าร้อนผ่าว

            “กูคงยังไม่บอกเฮียเรื่องของเราเร็ว ๆ นี้หรอกนะ กูว่ารอจังหวะให้ทุกอย่างมันดีกว่านี้แล้วค่อยบอก”

            “กูเข้าใจ ก็พอจะนึกภาพตอนเฮียแกกำลังโมโหออก ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงจริง ๆ ว่ะ”

            อินทำท่าสยดสยองจนผมหยุดขำกิ๊กออกมา ดีที่อินมันเข้าใจอะไรง่าย ผมก็เลยไม่ต้องมาปวดหัวกับปัญหาหยุมหยิมพวกนี้

            “แล้ววันนี้มึงจะพากูไปไหนวะ วันก่อนกูเห็นรีวิวร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ตรงนิมมาน เราไปลองดูไหม”

            อินส่ายหน้าปฏิเสธ มันขับรถพาผมไปยังเส้นทางที่คุ้นตาเนื่องด้วยเมื่อก่อนผมเคยมาแถวนี้บ่อย ๆ ทางนี้มัน....

            “กูจะพามึงไปบ้าน พ่อกับแม่รออยู่”

            “เฮ้ย ไม่เอา กูยังไม่พร้อม”

            ผมรีบปฏิเสธเสียงดังลั่นรถ หากอินมันก็ยังคงขับรถมุ่งหน้าไปตามทาง

            “ไปเหอะ มึงจะกลัวอะไร มีกูอยู่ด้วยทั้งคน”

            “ก็กูกลัวพ่อมึงเห็นหน้ากูแล้วจะโมโหขึ้นมาอีก ให้กูโดนพ่อมึงชก กูก็ไม่ไหวนะโว้ย”

            ผมโวยวายเสียงดังในขณะที่อินทำหน้าเพลียก่อนจะพูดปลอบใจ

            “พ่อไม่ชกมึงหรอกน้า มึงนี่ก็วิตกจริตละ ไม่ต้องกลัวหรอก”

            “ว่าไม่ได้นะ ขนาดมึงเป็นลูก อานพเค้ายังชกมึงได้เลย”

            แถมอานพยังหมัดหนักไม่ใช่เล่น ทำปากไอ้อินช้ำไปตั้งหลายวัน มันยังจะบอกให้ผมไม่ต้องกลัวอีก หน้ากูออกจะบอบบางไม่ได้หนาทนแบบหน้ามึงนะ

            “ที่เค้าทำก็เพราะกูเป็นลูกนี่แหละ กูเคลียร์เรื่องนี้กับพ่อเรียบร้อยแล้ว มึงไม่ต้องห่วง พ่อกับแม่เค้าแค่อยากเจอมึง อิศอัศก็ถามหามึงด้วย”

            “เอาไว้วันหลังก็ได้ วันนี้กูยังไม่พร้อม ขอเวลากูทำใจก่อน”

            “ไม่วันหลงวันหลังแล้ว วันนี้แหละ”

            อินพูดจบผมเพิ่งรู้ตัวว่ามันเลี้ยวรถเข้ามาในบ้านมันเรียบร้อย จะหนีก็คงไม่ทันแล้วเพราะผมเห็นอานพเดินลงมาจากบ้าน รอพวกผมลงจากรถอยู่

 

            TBC...



          ลงเวลายามไทม์...

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 18 [24/06/2018]
«ตอบ #78 เมื่อ24-06-2018 15:57:34 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 19 [1/07/2018]
«ตอบ #79 เมื่อ01-07-2018 01:17:34 »

ตอนที่ 19

 

            ผมเปิดประตูลงจากรถด้วยความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ มองหน้าอินสลับกับอานพที่ยืนอยู่หน้าบ้าน อินเดินอ้อมรถมาหาผม มันส่งยิ้มให้ก่อนจะเอามือดันหลังผมให้เดินไปข้างหน้า ผมเดินมาหยุดตรงหน้าอานพแล้วยกมือไหว้ แล้วได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาของผู้ใหญ่ที่มองมา

            “สวัสดีครับ”

            “มาได้สักทีนะเรา” อานพรับไหว้ผมแล้วหันหลังกลับเข้าบ้าน “ป่ะ เข้าไปให้บ้านกัน แม่เค้าเตรียมกับข้าวเสร็จแล้ว”

            ผมมองแผ่นหลังสมชายชาตรีของอานพที่กำลังเดินห่างออกไปแล้วหันมามองหน้าลูกชายเจ้าของบ้านด้วยความไม่มั่นใจ

            “เข้าบ้านไปเถอะน่า”

            อินไม่พูดเปล่า มันคว้าข้อมือของผมแล้วจูงให้เดินตามเข้ามาในบ้านโดยไม่สนใจสายตาของพ่อมันที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่ตรงโซฟาเลยสักนิด อินจับให้ผมนั่งลงบนโซฟาคนละตัวกับอานพ ผมรีบเขยิบทันทีเมื่ออินมันลงมานั่งเบียดด้วยพลางเหลือบมองอานพด้วยความหวาดหวั่น

            “อ้าว มากันแล้วเหรอ”

            “หวัดดีครับแม่”

            ผมยกมือสวัสดีอานงค์แม่ของอิน แต่ผมชินที่จะเรียกแม่ตามอินมากกว่า อานงค์ยิ้มให้ผมแล้วนั่งลงข้างสามี

            “เอาละ ที่อาให้เจ้าอินพากี้มาวันนี้ก็เพราะจะพูดเรื่องของเราสองคนนั่นแหละ”

            เอาแล้วสิครับ มาถึงอานพก็เข้าเรื่องเลยทันที ผมเม้มริมฝีปากแน่น เหงื่อเริ่มซึมที่หน้าผาก มือเริ่มจะสั่น ๆ หากแต่มีอีกมือหนึ่งมาจับเอาไว้พร้อมกับบีบเบา ๆ ให้ผมรู้สึกอุ่นใจ

            “กี้แน่ใจแล้วเหรอเรื่องที่จะคบกับอิน”

            “พ่อ”

            “เงียบไปเลยเจ้าอิน”

            ผมนิ่งไป รู้สึกกดดันจากสายตาทุกคนที่จับจ้อง คิดหนักว่าคำตอบของผมมันจะมีผลต่อเรื่องของเราหรือเปล่า

            “คือ...ถึงผมอาจจะเป็นคนเหลาะแหละ ดูไม่ค่อยจริงจังกับอะไร” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับอานพ รับรู้ถึงแรงบีบที่ส่งผ่านมายังมือของผม “แต่เรื่องอินผมแน่ใจครับ”

            “แน่ใจนะว่าจะไม่เสียใจทีหลัง” อานพถามซ้ำด้วยนน้ำเสียงจริงจัง     

            “พ่อ”

            “แน่ใจครับ” ผมตอบด้วยความมั่นใจที่สุดที่ผมมี

            “เฮ้อ” อานพถอนหายใจเสียงดังแล้วเอนตัวไปพิงโซฟา ก่อนจะส่งยิ้มแรกให้ผมได้เห็น “นี่โดนเจ้าอินมันล้างสมองมาหรือหลอกอะไรหรือเปล่า เจ้าลูกคนนี้มันเจ้าเล่ห์นะ เวลาอยากได้อะไรก็ต้องได้ อาน่ะอยากให้เราคิดดี ๆ ก่อน เรายังมีโอกาสจะได้เจอคนอื่นอีกมากนะ”

            “พ่อครับ อย่าพูดให้แฟนผมไขว้เขวสิครับ”

            อินพูดกับอานพเสียงเรียบ ขณะที่ผมอดที่จะเขินหน้าแดงไม่ได้เมื่อถูกเรียกว่าแฟนต่อหน้าพ่อกับแม่ของมัน

            “พ่อก็แค่อยากให้กี้มันแน่ใจ แต่เห็นเรียกเป็นแฟนจริงจังแบบนี้พ่อก็คงไม่ต้องห่วงแล้วละมั้ง”

            อานพจะย้ำให้ผมอายหนักขึ้นกว่าเดิมทำไมเนี่ย

            “อิน...พ่อหวังว่าเราจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังนะ ดูแลกี้ให้ดีด้วยละ”

            อานพหันไปฝากฝังให้อินดูแลผม ผมฟังแล้วออกจะงง ๆ กับท่าทีสบาย ๆ ของอานพ นี่สรุปว่าอานพแกไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่อินคบกับผมใช่ไหม

            “เอ่อ...นี่หมายความว่าอานพโอเคให้อินคบกับผมเหรอครับ”

            “ “โอเคสิ อาจะไปห้ามอะไรมันได้ละ ถ้ามันจะรักจะชอบใคร อาจจะตกใจบ้างที่คน ๆ นั้นของมันคือเรา เพราะอาเห็นกี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นห่วงก็แต่กี้นี่แหละ คิดดีแล้วแน่นะที่จะเอาอนาคตมาฝากไว้กับเจ้าอินมัน”

            ถึงตอนนี้อินทำหน้าเพลียใส่พ่อมันแบบเต็มทน จนผมอดขำไม่ได้ ก่อนจะหันกลับไปถามอานพอีกทีด้วยความสงสัย

            “แล้วอานพชกอินทำไมเหรอครับ”

            “พ่อเค้าโกรธที่อินทำอะไรไม่ปรึกษาผู้ใหญ่ กี้เองพวกเราก็รักเหมือนลูก ป๊าม้าของกี้ก็รู้จักกันมาเป็น 10 ปี อยู่ ๆ ก็มาบอกคบลูกชายบ้านเค้าเป็นแฟน แถมยังพาไปอยู่ด้วยกันที่คอนโดแล้วด้วย พ่อเค้าก็เลยทะเลาะกับอินน่ะ อินก็ยั่วโมโห ก็เลยโดนไปหมัดนึง” เป็นอานงค์ที่ช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น

            “คือที่พวกผมไปอยู่ด้วย มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ”

             ผมรีบปฏิเสธเมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่จะเข้าใจผิดกันไปไกล ป๊าม้าของผมยังไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยครับ ที่อานพกับอานงค์คิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย

            “พ่อกับแม่เข้าใจ เรื่องแบบนี้มันก็ธรรมดาของวัยรุ่น”

            “มันไม่ใช่นะครับแม่”

            ผมว่าที่แม่เข้าใจมันคนละแบบกับที่ผมอยากจะบอกนะครับ

            “ไม่ต้องอายไปหรอกกี้”

            ที่ผมหน้าแดงไม่ได้อายเรื่องนั้น แต่เพราะทุกคนกำลังเข้าใจผิดตั้งหาก ผมหันไปไอ้อินจะขอให้มันช่วยอธิบาย ไอ้แฟนตัวดีกลับทำเป็นนั่งเงียบ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น

            “อินไปตามน้องลงมากินข้าวให้แม่หน่อย”

            “ผมไม่อยู่ พ่อก็อย่าพูดอะไรให้กี้มันคิดมากละครับ” อินลุกขึ้นแต่โดยดี หากไม่วายหันไปเตือนอานพ

            “หวงจริงนะเรา” อานพหยอกอย่างขำ ๆ

            “ครับ หวงมาก กว่าจะได้คบกันผมต้องรอตั้งหลายปี”

            “ไอ้อิน หยุดพูดเลยมึง”

            ตอนนี้ผมเขินจนแทบอยากจะร้องไห้เอาหน้ามุดกับโซฟาแล้ว

            อินหัวเราะหึก่อนจะเดินขึ้นไปตามน้อง ๆ ให้ลงมากินข้าวตามคำสั่งของแม่ ผมนั่งเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหนดี เลยขอตัวลงตามอานงค์เข้ามาในครัว

            “เดี๋ยวผมช่วยแม่จัดโต๊ะนะครับ”

            ระหว่างที่ผมกำลังช่วยอานงค์หยิบจานชามออกจากตู้ อานงค์ก็เอ่ยขึ้นมา

            “พ่อเค้ารักอินมาก แล้วก็เอ็นดูกี้มากนะลูก พวกเราเห็นกี้เป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่ง ตอนที่อินมาบอกพ่อกับแม่ก็ตกใจนะ แต่พอนึกไปนึกมา ตั้งแต่เด็กจนโต อินก็ไม่เคยจะมีทีท่าสนใจผู้หญิงคนไหนเลย ก็คงเพราะแอบชอบกี้มานานอย่างที่บอกจริง ๆ”

             ผมมองอานงค์ที่ยิ้มให้ผมด้วยความเอ็นดูอย่างเช่นทุกทีด้วยความรู้สึกตื้นตันในใจ

”พอรู้แบบนี้พ่อกับแม่ก็ยอมรับได้ ลูกเราเลี้ยงได้แต่ตัว จะไปบังคับจิตใจเค้าก็คงไม่ได้ เค้ารักใคร เราก็รักด้วย ดีเสียอีกที่แฟนของอินเป็นกี้ พ่อกับแม่ไม่ต้องกลัวว่าจะเข้ากับแฟนของลูกไม่ได้”

“ขอบคุณนะครับแม่”

ผมขอบคุณจากใจจริง ดีใจเหลือเกินที่พ่อและแม่ของคนรักยอมรับความรักของพวกเราสองคน เพราะถ้าหากพวกท่านทั้งสองคัดค้านหรือกีดกัน ผมคงต้องเสียใจมาก

“ช่วยแม่ยกจานชามออกไปหน่อย วันนี้แม่ทำขนมจีนน้ำยาปูที่กี้ชอบด้วยนะลูก”

“ขอบคุณครับ ผมคิดถึงฝีมือแม่มากเลย”

ผมยิ้มประจบเมื่อได้ยินว่าอานงค์อุตส่าห์ทำของโปรดเอาใจ

“อยากให้ลูกชายอ้อนแม่แบบนี้บ้างจัง” อานงค์ลูบหัวผมเบา ๆ “แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้แม่ก็มีกี้มาเป็นลูกอีกคนแล้วนี่เนอะ”

ผมยิ้มรับก่อนจะยกจานชามออกจากครัว

 

“สบายใจขึ้นแล้วสินะ”

อินถามหลังจากที่กินข้าวเที่ยงกันเสร็จ พอช่วยอานงค์เก็บจานชามแล้วปล่อยให้เจ้าอิสและเจ้าอัคเป็นคนล้าง อินก็ชวนผมขึ้นมาบนห้องนอนของมัน

“อือ” ผมนั่งลงบนเตียง กวาดตามองรอบห้องที่ดูเรียบร้อยกว่าครั้งที่มาล่าสุด “ไม่คิดว่าอานพเค้าจะยอมง่าย ๆ แบบนี้ กูนึกว่างานนี้จะต้องมีดราม่า ไม่มึงก็กูโดนชกปากแตกซะแล้ว”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องคิดมาก พ่อเค้าแค่โมโห แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ยอมรับมึง” อินทรุดลงนั่งข้างกัน

“กูมีความสุขจัง ที่ทั้งบ้านมึงแล้วก็บ้านกู ทุกคนยอมรับเรื่องของเรา” ผมยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างมีความสุข

“มึงลืมเฮียกรของมึงไปหรือเปล่า”

ผมหันควับทำหน้าเซ็งใส่ไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างกาย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ทำไมมึงต้องย้ำด้วยวะ กูอุตส่าห์ลืม ๆ ไปแล้ว”

ไอ้อินมันเพียงแค่หัวเราะหึในคอ

“กูจำได้น่า ให้เวลากูอีกหน่อยนะ กูจะบอกเฮียเอง”

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร” อินเขยิบมาใกล้ผมมากขึ้น “แต่ตอนนี้กูขออะไรมึงได้ไหม”

ผมเอียงหน้ามองมันพลางเลิกคิ้วเป็นคำถาม

“กูขอจูบมึงนะ”

“เฮ้ย ไม่เอา พ่อกับแม่มึงก็อยู่ข้างล่าง” ไอ้บ้านี่ ผมรีบขยับตัวหนีแต่ก็โดนอินมันโอบเอวล็อกไว้ไม่ให้หนีไปไหน

“ก็ใช่ไง ตอนนี้ไม่มีใครขึ้นมาหรอก ขอกูจูบมึงนะ”

อินโน้มหน้าเข้าไปใกล้ผม ใกล้จนผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของมัน รู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ

“รู้ไหมว่ากูคิดถึงจูบของมึงแค่ไหน”

ผมไม่แน่ใจว่ามันคือคำถามที่ต้องการให้ผมตอบหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ ผมไม่มีโอกาสได้ตอบ เพราะทันทีที่จบประโยค ริมฝีปากของอินก็ทาบทับลงมาสัมผัสกับริมฝีปากของผม ผมหลับตาลงปล่อยให้มันค่อย ๆ ละเลียดหยอกเย้าก่อนจะสัมผัสอย่างลึกซึ้ง อินจูบผมราวกับว่าหิวกระหายเหลือเกินจนผมแทบจะหมดแรง รู้สึกตัวอีกทีเมื่อมันผละออกถึงได้รู้ว่าตอนนี้แผ่นหลังสัมผัสกับฟูกนอนไปแล้ว

“อิน...” เสียงของผมที่หลุดออกมาฟังราวกับเสียงละเมอ

“หือ”

อินเพียงส่งเสียงตอบรับ หากแต่ริมฝีปากมันยังคลอเคลียอยู่แถว ๆ ริมฝีปากของผมไม่ห่าง

“พะ...พอได้แล้ว”

ผมเบี่ยงหน้าหนีสัมผัสชวนวาบหวาม อินใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผมออก พอหันมาสบสายตาที่จ้องมองกันอยู่ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในท้อง

เจ้าพวกผีเสื้อตัวน้อยนับร้อยที่กำลังพากันกระพือปีกโบยบินด้วยความร่าเริงจนผมรู้สึกวูบวาบในท้อง

“กูยังไม่หายคิดถึงมึงเลยนะ”

“คิดถึงอะไรของมึง ก็อยู่ด้วยกันตลอด”

“มันไม่เหมือนกัน รู้ไหมกูต้องอดทนแค่ไหนที่จะไม่คิดถึงจูบหวาน ๆ ไม่คิดถึงสายตาของมึงที่มองกูแบบนี้”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองมองอินด้วยสายตาแบบไหน รู้แต่ว่าสายตาที่อินมองผมอยู่ตอนนี้กำลังจะทำให้ผมระเหิดกลายเป็นไอแล้ว อินใช้มือหัวแม่มือเกลี่ยที่ริมฝีปากล่างของผมก่อนที่จะก้มลงจูบเบา ๆ อีกที แล้วทิ้งตัวล้มตัวนอนหงายข้างกัน โดยที่มือขวาของมันจับมือซ้ายของผมเอาไว้

“กูว่ากลับไปคอนโดคราวนี้ กูคงอดใจไม่ไหวแล้วละ”

ปลายนิ้วมือของมันเขี่ยกลางฝ่ามือผมเล่น มันกำลังทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ ทั้งจักกะจี้และชวนให้ขนลุก

“กลับไปกูขอนะ”

“ขออะไร”

อินพลิกตัวขึ้นมาใช้วงแขนคร่อมผมเอาไว้ ผมมองท่าทางของมันอย่างหวาด ๆ ยิ่งเห็นมันยิ้มกริ่มแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่น่าไว้ใจ

“ก็...ขอให้มึงเป็นของกูไง”

“อะ...ไอ้อิน มึงมัน...ขอบ้าบออะไรเนี่ย” ผมเบิกตาโพลงก่อนที่หน้าจะขึ้นสีจัดจนแทบอยากมุดฟูกหนี ไอ้อินแม่งพูดออกมาได้ไม่อายหรือไง

“ทำไมละ นี่กูก็ขอกับมึงดี ๆ แล้วนะ” มันยังจะทำหน้าสงสัยอีก

“กูเป็นลูกมีพ่อมีแม่โว้ย มาขอสุ่มสี่สุ่มห้ากันได้อย่างไง กูไม่ยอม” ผมดันตัวไอ้อินให้มันถอยออกก่อนจะลุกขึ้นมา พยายามฉุดมือของอินที่กลับไปล้มตัวนอนให้ลุกตามขึ้นมาด้วย “มึงลุกขึ้นมาเลย ไปส่งกูเดี๋ยวนี้”

“ลุกอยู่”

“ลุกเชี่ยอะไร มึงยังนอนอยู่เนี่ย”

อินสบตาผมก่อนจะเบนสายตาให้มองไปยังส่วนกลางลำตัวที่ตอนนี้มีอะไรบางอย่างโป่งนูนขึ้นมาชัดเจน

“อะ...ไอ้อิน ไอ้ลามก อะ...ไอ้....”

ไม่ต้องบอกว่าหน้าผมร้อนแค่ไหน ถ้าเอาไปทอดไข่ ไข่ก็คงสุก ผมพยายามจะสะบัดมือไอ้แฟนลามกออกแต่กลับถูกอินฉุดให้ล้มทับบนตัวมันก่อนจะโดนมันกอดเอาไว้

“มึงอยู่เฉย ๆ รอให้มันสงบก่อน เดี๋ยวกูไปส่ง”

“ไอ้อิน มึงปล่อยกู” ผมดิ้นขลุกขลักขืนตัวจะออกจากอ้อมแขนของมัน

“ขืนมึงดิ้นมาก ๆ กูจะปล้ำมึงตอนนี้เลย”

พอได้ยินอินมันขู่แบบนั้น ผมถึงหยุดดิ้น ทำตัวแข็งทื่อยอมให้มันกอดแต่โดยดี หากก็ยังไม่หยุดด่าแม้ว่าจะไม่กล้าโวยวายเสียงดังอย่างใจอยาก

“...ไอ้เชี่ยอิน ไอ้บ้า ไอ้หื่นกาม ไอ้ลามก”

“บอกให้นอนเงียบ ๆ ไง”

อินทำเสียงดุแถมมือขอมันยังลูบไปตามแนวสันหลัง ผมเลยหุบปากทันที มันจึงยอมคลายอ้อมกอดพอให้ขยับตัวได้สบายขึ้นอีกนิดเลยกลายเป็นว่าตอนนี้ซบหน้าอยู่บนอกของมัน มือของอินลูบเส้นผมของผมเล่น ส่วนผมก็นอนฟังเสียงหัวใจของมันพลางคิดว่าแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน

 

“กี้...กี้ ตื่นได้แล้ว”

เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยกระซิบเรียกทำให้ผมค่อย ๆ ขยับเปลือกตาขึ้น

“ลุกได้แล้ว กูเมื่อยแล้วเนี่ย”

ผมกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะช้อนตามองตามเสียงที่ได้ยิน เห็นปลายคางของไอ้คนที่ผมนอนทับอยู่ ผมจึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง อินลุกขึ้นมานวด ๆ แขนข้างที่ผมนอนทับ มันคงเมื่อยน่าดูแต่ช่วยไม่ได้นี่ ก็อยากกอดผมไม่ปล่อยเอง

“กูเผลอหลับเหรอ”

“อือ นอนน้ำลายยืดเลอะเสื้อกูด้วย” ไอ้อินทำเป็นดึงเสื้อมันขึ้นมาดมแล้วทำท่าเหม็นแหวะ

“เวอร์ละมึง”

“ไม่เชื่อมึงลองดมดู”

เรื่องอะไรผมจะต้องไปดมเสื้อมันด้วยละ

“กี่โมงแล้ว”

“เกือบจะบ่ายสามแล้ว” อินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู

“นี่กูนอนเป็นชั่วโมงเลยเหรอ”

ผมว่าผมกลับบ้านดีกว่า นี่ก็ออกจากบ้านมาหลายชั่วโมงละ เมื่อเช้าบอกม้าไปว่าจะกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านด้วย

“งั้นกูว่ากูจะกลับละ”

ผมเดินตามอินลงมาข้างล่าง เจออานพ อานงค์กับอิศกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่ ส่วนอัคไม่รู้ไปไหน

“แหม หายขึ้นไปบนห้องกันตั้งนานนะพี่ หายไปทำอะไรกันน่ะ”

อิศเอ่ยทักทันทีที่เห็นพวกผมลงบันไดมาด้วยน้ำเสียงล้อเลียน

“อิศอย่าไปแซวพี่เค้า คนเป็นแฟนกันเค้าก็อยากอยู่กันสองต่อสอง”

พอเห็นอานพกับอานงค์มองหน้ากันแล้วยิ้มน้อย ๆ ผมก็เข้าใจว่าเจ้าอิศมันหมายถึงอะไร

“ม่ะ...ไม่ใช่นะ คือพวกเรา...”

“ไปนอนกันมา”

“ไอ้อิน!” ผมตกใจเรียกชื่อมันเสียงดังลั่น

มึงพูดแบบนี้ คนอื่นจะเข้าใจว่าอย่างไง พ่อกับแม่มึงเขาจะมองกูอย่างไงที่วันแรกมาเปิดตัวในฐานะแฟนลูกชายก็ทำเรื่องแบบนี้ในบ้าน

“มึงจะเสียงดังทำไม ก็นอนจริง ๆ เนี่ยน้ำลายมึงยังยืดเลอะแก้มอยู่เลย”

ผมรีบยกมือเช็ดแก้มทั้ง 2 ข้าง ไอ้อินก็แม่งไม่ยอมบอกกันก่อน ผมหันไปยิ้มแหย ๆ ให้คนอื่นในครอบครัวของมัน ไอ้อิศนั่งหัวเราะชอบใจใหญ่

“ผมไปส่งกี้ก่อนนะครับ”

อินพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกไป ผมรีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้ววิ่งตึก ๆ ตามไอ้แฟนตัวดีมาขึ้นรถ

 

 

“มึงจะลงไปไหม”

ผมถามอินเมื่อรถจอดเทียบที่หน้าประตูรั้ว มันพยักหน้า ผมจึงลงจากรถมารอมันที่หน้าประตูรั้วก่อนจะเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน

“รถใครวะ” อินหันไปมองรถฟอร์จูนเนอร์สีขาวป้ายแดงที่จอดอยู่ภายในรั้ว

ผมส่ายหน้าไม่รู้ “เพื่อนสมาคมปลากัดของป๊าละมั้ง”

พอเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านเท่านั้นแหละ ผมก็ได้รู้เลยว่ารถคันนั้นเป็นของใคร

“กี้กลับมาแล้วเหรอ”

“เฮีย...”

ผมหันหลังกลับทันที จะดันอินให้ไม่เข้ามาในบ้านแต่ก็ไม่ทัน เมื่อได้ยินเสียงเอ่อทักจากคนที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องรับแขก

“อ้าว อินมาด้วยเหรอ มานี่ ๆ เฮียไม่เจอซะตั้งนาน”

ผมได้แต่ทำตาเหลือกมองหน้าอินที่ยังคงหน้านิ่งเก็บอาการอยู่ พลางคิดในใจว่า...

...ตายแน่กู

 

TBC...



มาตอนดึกๆดื่นๆอีกแล้ว OTZ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 19 [1/07/2018]
« ตอบ #79 เมื่อ: 01-07-2018 01:17:34 »





ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 19 [01/07/2018]
«ตอบ #80 เมื่อ01-07-2018 18:50:56 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 19 [01/07/2018]
«ตอบ #81 เมื่อ01-07-2018 22:37:11 »

เฮียกลับมาแล้ว น้องกี้จะจัดการกับเฮียแบบไหนน้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 19 [01/07/2018]
«ตอบ #82 เมื่อ02-07-2018 01:29:11 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 20 [08/07/2018]
«ตอบ #83 เมื่อ08-07-2018 02:09:06 »

ตอนที่ 20

 

            ผมหันกลับไปส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เฮียกร ขยับตัวมาบังอินเอาไว้แม้ผมจะสูงแค่ปลายจมูกมันก็เถอะ

            “ไอ้อิน มันจะกลับละเฮีย ใช่ม่ะ ๆ”

            ประโยคหลังผมหันไปกระตุกแขนอิน แต่ไอ้แฟนตัวดีมันไม่ยอมเออออตามผม กลับเดินผ่านผมเข้าไปทักทายเฮียกรที่นั่งอยู่บนโซฟาแทนหน้าตาเฉย

            “หวัดดีครับเฮีย”

            “มา ๆ นั่งนี่ ๆ” เฮียชี้ไปที่โซฟาอีกตัวที่อยู่ใกล้กับตรงที่อินยืน พอผมเห็นอินมันนั่งลงก็จำต้องเดินมานั่งกับข้างเฮียอย่างเสียไม่ได้

            “รถหน้าบ้านนั้นของเฮียเหรอ”

            “ใช่ เพิ่งได้มาเมื่อวานนี่เอง กลับจากพะเยาก็ไปเอามาเลย”

            “เอ่อ...แล้วเรื่องที่เฮียไปจัดการที่พะเยาเรียบร้อยแล้วเหรอ ทำไมกลับมาเร็วจัง นึกว่าจะไปนานกว่านี้ซะอีก”

น่าจะไปสักอาทิตย์หนึ่ง รอให้พวกผมกลับกรุงเทพไปก่อนแล้วค่อยกลับมาก็ได้นะเฮีย

            “โชคดีไปเจอไอ้หมูมาอยู่กับเมียที่บ้านพอดี ไอ้นี่มันร้ายน่าดู เฮียต้องเสียแรงกระทืบมันไป 2-3 ทีกว่ามันจะยอมคืนเงินที่ยักยอกไป”

ผมว่าป่านนี้คนชื่อหมูคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปแล้วละมั้ง

“เหนื่อยแย่เลยเนอะเฮีย”

            “เป็นอะไรกี้ เหงื่อออกเต็มเลย หน้าก็ดูซีด ๆ”

            ผมเอามือปาดเหงื่อที่ไหลมาข้างขมับทิ้งก่อนจะยิ้มแหย ๆ

            “ข้างนอกมันร้อนน่ะเฮีย ใช่ม่ะไอ้อิน”

อินถึงส่ายหน้าให้กับคำแก้ตัวของผม เพราะตอนนี้มันเดือนธันวาใกล้จะปีใหม่อยู่แล้ว ดีที่เฮียแกขี้ร้อนอยู่แล้วเลยไม่ได้เอะใจสงสัยอะไร

 

“แล้วนี่เป็นไงบ้างละอิน ไปเรียนที่กรุงเทพ”

”ก็ดีครับ”

“สาวกรุงเทพสวย ๆ เยอะเลยสินะ แล้วนี่มีแฟนหรือยังละเรา”

อินมองมาทางผมซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังเฮีย ผมส่ายหัวให้ อินมันกลับไปมองที่เฮียพร้อมกับยิ้มมุมปากหล่อ ๆ

“มีแล้วครับ”

“เฮ้ย!”

ผมร้องด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำตอบของมัน เมื่อกี้มึงไม่ได้ยินเหรอว่าเฮียแกเพิ่งกระทืบคนมา นี่มึงคิดจะทำอะไรของมึงนะไอ้อิน ขืนมึงบอกเฮียตอนนี้มีหวังไส้แตกแน่ ๆ

“เป็นอะไรกี้ อยู่ดี ๆ ก็เสียงดัง” เฮียกรหันมามองผมด้วยความสงสัย

“มะ...มดมันกัดน่ะ”

ผมทำเป็นเกา ๆ ปัด ๆ ตรงขา เฮียเลยเลิกสนใจผมหันกลับไปคุยกับอินต่อ

“สาวกรุงเทพเหรอ”

“คนเชียงใหม่น่ะครับ ไม่สวยแต่ก็น่ารักดีครับ”

ผมได้แต่ทำตาโต อ้าปากพะงาบ ๆ กับคำตอบของไอ้อิน นี่มึงเอาจริงเหรอ มึงจะบอกเฮียจริง ๆ เหรอ

“อ้าว เป็นคนเชียงใหม่เหมือนกันด้วย เอ่อ ก็ดีเหมือนกัน จะได้อยู่ใกล้ ๆ กัน”

“ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเท่าไหร่หรอกครับ”

“เฮีย” ผมแกล้งเรียกเสียงดัง จนเฮียกรขมวดคิ้วหันมา

“จะเสียงดังทำไมเนี่ยเรา”

“ป๊าม้าอยู่ไหนเหรอเฮีย”

“ป๊าก็ดูปลาอยู่หลังบ้าน ม้าก็อยู่ในครัวกับเหมยเหมือนทุกที”

เฮียตอบคำถามผมด้วยสีหน้างง ๆ กับคำตอบโง่ ๆ ของผม เฮียมองหน้าผมครู่หนึ่งก็หันกลับไปหาอิน

“จริงสิ นี่อินรู้ไหมว่ากี้มันกำลังคบกับสาวที่ไหน เห็นบอกกำลังดู ๆ กันอยู่”

“เฮีย” ผมร้องเสียงหลง “ไปถามมันทำไม”

“อ้าว ก็เราไม่ยอมเล่า เฮียก็ต้องถามจากเพื่อนสนิทอย่างอินสิ”

“คนที่กี้คบด้วยน่ะเหรอครับ”

เฮียหันกลับไปหาอินด้วยความสนใจ ผมทำท่าเอานิ้วชี้แตะปากห้ามไม่ให้ไอ้อินมันพูดต่อ ส่งสายตาอ้อนวอนให้มันเชื่อผม อินมันเพียงเหลือบมองด้วยหางตาก่อนจะตอบ

“ผมว่าให้กี้มันบอกเองดีกว่าครับ”

ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เพื่อนกันช่วยกันปิดนะ” เฮียมองพวกผมด้วยสายตาจับผิด “เฮียก็แค่เป็นห่วงกี้มันน่ะ โตแต่ตัว กลัวว่าซื่อ ๆ แบบมันจะโดนผู้หญิงไม่ดีหลอกเอา แต่ก็เอาเถอะ อย่างไงเฮียก็ฝากอินดูกี้มันหน่อยละกัน”

“เฮียไม่ต้องเป็นห่วงกี้มันนะครับ อย่างไงผมก็จะดูแลให้ดีครับ”

“ดีแล้ว ๆ เป็นเพื่อนกันก็ต้องดูแลช่วยเหลือกัน มีอินไปอยู่กับกี้ด้วยที่กรุงเทพ เฮียก็สบายใจ มีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกัน เพราะมีอินไปเรียนด้วยกันหรอกนะ ไม่งั้นเฮียไม่ปล่อยให้กี้มันไปเรียนไกลถึงกรุงเทพหรอก”

“กี้ดูแลตัวเองได้น่ะเฮีย ไม่ต้องให้อินมันมาค่อยดูแลหรอก” ผมเอ่ยแทรกขึ้นมา เมื่อไหร่เฮียจะมองว่าผมโตแล้วสักที

“ให้มันจริงเถอะ นี่ม้าก็มาเล่าให้ฟังว่ากี้เกเรไม่ตั้งใจเรียน คะแนนออกมาไม่ดีจนต้องไปอยู่คอนโดกับอินให้ช่วยติวหนังสือไม่ใช่เหรอ กลัวจะโตแต่ตัวน่ะสิเรา” เฮียบ่นเสียยืดยาว “จริงสิ อินก็มีแฟนแล้วนี่ จะให้มาดูแลกี้อยู่แบบนี้ก็คงไม่ได้แล้วสินะ”

“ถ้าเป็นกี้ผมเต็มใจครับ” อินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนเฮียชะงักจ้องหน้ามันอยู่ชั่วขณะ ผมกลัวเหลือเกินว่าเฮียจะเอะใจในคำพูดของมันหรือเปล่า ผมเลยพูดแทรกขึ้น

“ใช่ มึงไปดูแลแฟนมึงดีกว่า จะมาดูแลกูตลอดเวลาได้ไง”

อินสบตากับผมด้วยสายตาที่ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรพูดประโยคเมื่อครู่ออกมา

“แบบนี้ถ้าจะให้ดีก็ช่วยหาผู้หญิงนิสัยดี ๆ น่ารัก ๆ ให้กี้มันสักคนนะอิน เฮียอยากได้น้องสะใภ้น่ารักน่าเอ็นดู”

อินได้ยินแบบนั้นก็เพียงแต่ยิ้มรับแต่ไม่ยอมตอบอะไรเฮีย ส่วนผมน่ะเหรอครับได้แต่ทำหน้าเจื่อน ๆ พลางคิดในใจว่าแบบไอ้อินนี่เฮียจะนับว่าเป็นน้องสะใภ้ที่น่ารักน่าเอ็นดูได้ไหมนะ

 

อินไม่ได้อยู่กินมื้อเย็นกับครอบครัวของผม มันบอกกับม้าตอนที่ชวนว่าต้องรีบกลับไปกินข้าวกับที่บ้าน แต่ผมรู้ว่าจริง ๆ แล้วสาเหตุเป็นเพราะผมนี่แหละ

ผมมองแผ่นหลังกว้างของอินระหว่างที่เดินออกมาปิดประตูรั้วให้ มันไม่ได้พูดอะไรกับผมเลยหลังจากที่ขอตัวกลับ

“มึง”

ผมเรียกอินไว้ก่อนที่มันจะเดินถึงรถ อินหันมามองมือของผมที่ยื่นไปดึงชายเสื้อมันเอาไว้ คิ้วได้รูปของมันเลิกขึ้นมอง ผมกัดริมฝีปากล่างก่อนจะเงยหน้ามองมัน

“มึงโกรธกูเหรอ”

“เปล่านี่”

“แต่มึงเงียบ”

“กูแค่ไม่รู้จะพูดอะไร” อินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“มึงโกรธกูจริง ๆ ด้วย”

อินถอนหายใจก่อนจะโยกหัวผมเบา ๆ

“กูไม่ได้โกรธ”

รอยยิ้มที่มันส่งให้ผมไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ยิ้มเศร้า ๆ แบบนี้ผมไม่อยากจะเห็นเลยแม้แต่สักนิด

“กูก็แค่อยากทำทุกอย่างให้มันชัดเจน อยากจะบอกให้ทุกคนรู้ว่ามึงกับกูคบกันอยู่ แต่ดูเหมือนตอนนี้มึงคงยังไม่พร้อมเท่าไหร่”

“อิน”

อินยังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนในขณะที่แววตาของมันกลับดูเหมือนพยายามสะกดอารมณ์อยู่

“ไม่เอาดิ มึงไม่พูดแบบนี้”

“กูโอเค กูแค่...อาจจะคิดมากไปหน่อย”

“กูขอโทษ กูรู้ว่ากูมันไม่เอาไหน  กูมันไม่ได้เรื่อง”

ผมจับมือของอินที่ลูบหัวมากุมไว้ จ้องเข้าไปในแววตาคู่นั้นเพื่อยืนยันในคำที่กำลังจะเอ่ยออกมา

“แต่มึงเชื่อเถอะว่ากูชอบมึงจริง ๆ นะอิน”

“กูรู้”

“อิน มึงให้เวลากูหน่อยนะ”

“กูกลับละ มึงเข้าบ้านไปเถอะ”

อินปลดมือผมออกก่อนทำท่าจะเดินไปขึ้นรถ ผมคว้าแขนเสื้อแจ็คเก็ตมันเอาไว้ไม่ให้มันเดินหนีผมไป

“เดี๋ยวสิ คุยกันก่อน”

“ไว้พรุ่งนี้กูมาหานะ”

“อิน”

อินแกะมือผมออกอีกครั้งและก้าวขึ้นรถขับออกไป ผมได้แต่ยืนมองท้ายรถแจ็สสีดำที่ค่อย ๆ ห่างออกไป

คืนนั้นผมได้แต่นอนพลิกไปพลิกมา ลืมตาโพล่งจ้องมองเพดานโดยอาศัยแสงไฟลาง ๆ จากถนน ทำอย่างไงก็ไม่สามารถที่จะข่มตาให้หลับลงได้โดยไม่คิดถึงเรื่องของอินกับผม ผมรู้ว่าตัวเองมันไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ไม่เคยมั่นใจหรือกล้าตัดสินใจอะไรได้เอง มัวแต่ทำตัวลังเลโลเลจนน่ารำคาญ

ผมไลน์ไปหาอิน มันก็ตอบมาสั้นก่อนจะบอกว่าจะนอนแล้วและก็เงียบไป อินมันคงเบื่อผม คงโกรธผมอยู่สินะ

แต่การที่จะให้ผมเดินไปบอกกับเฮียที่ดุยิ่งกว่าป๊าม้าว่าตอนนี้น้องชายสุดที่รักของเฮียกำลังคบหาดูใจอยู่กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมก็ยังทำใจกล้าขนาดนั้นไม่ได้ เฮียไม่ได้เข้าใจอะไรง่าย ๆ เหมือนป๊ากับม้านะครับ ไอ้ผมน่ะบอกไปเฮียคงไม่ทำอะไรหรอก เพราะเฮียรักผมอย่างกับลูก แต่กับไอ้ผู้ชายที่กล้ามาเป็นแฟนกับน้องชายคนเดียวนี่คงโดนอัดเละแน่ ๆ ผมไม่อยากเห็นอินมันต้องเจ็บตัวเพราะผม

ไม่ใช่ว่าผมจะปิดบังเรื่องที่พวกเราคบกัน ผมก็แค่อยากให้อินมันให้เวลาผมอีกสักหน่อย รอจังหวะดี ๆแล้วค่อยบอกเฮีย

ถ้าอินมันไม่เบื่อจนอยากจะเลิกกับผมไปเสียก่อน...

 

 

ผมตื่นขึ้นมาในสภาพที่ไม่ต่างจากหลินฮุ่ยที่ผมเคยไปดูที่สวนสัตว์เมื่อหลายปีก่อนและถูกม้าฉุดขึ้นมาจากที่นอนให้ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเพราะมีแขกกำลังจะมาที่บ้าน ผมถามม้าด้วยความสงสัยว่าแขกที่ว่าคือใครแล้วเกี่ยวอะไรกับ คงไม่ใช่สมาคมปลากัดหรือกินโต๊ะแชร์นะ แต่ม้ากลับเอาแต่ไล่ผมให้ไปอาบน้ำ แต่งเนื้อแต่งตัวให้มันดี ๆ แล้วรีบลงไปข้างล่าง

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยผมก็เดินลงมาตรงไปยังห้องรับแขก เห็นป๊าม้ากำลังนั่งคุยอยู่กับแขกที่ม้าบอก

“อานพ”

ผมยกมือไหว้อานพ พลางเหลือบมองลูกชายของอานพที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่ข้างกัน ก่อนจะเดินไปนั่งตรงกลางระหว่างป๊ากับม้าด้วยอาการงง ๆ

ผมมองหน้าอานพกับอินสลับไปมาด้วยความสงสัยว่าอานพมาที่บ้านผมทำไม แล้วนี่อินมันหายโกรธผมแล้วเหรอ ไม่เห็นมันบอกผมเลยว่าวันนี้จะพาอานพมาบ้าน พอสบตากันอินก็เพียงแค่ยกยิ้มหล่อ ๆ ให้ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้วเมื่อวานที่มึงงอนกูจนรีบกลับบ้านนั่นมันคืออะไรวะ

“กว่าเจ้าตัวจะลงมาก็ปล่อยให้คุณนพกับอินรอตั้งนาน ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เด็ก ๆ ก็แบบนี้ เจ้า 2 แสบที่บ้านนั้นกว่าจะตื่นก็สายโด่งเหมือนกัน” อานพยิ้มแย้มไม่ได้ถือสาอะไร “ไม่ได้แวะมาหาคุณเกรียงกับคุณหน่อยตั้งนานเลยครับ ตั้งแต่พวกเด็ก ๆ ไปเรียนที่กรุงเทพ”

พูดจบอานพก็ชำเลืองมามองที่ผมกับอิน ทำเอาผมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ไม่รู้ว่าอานพจะมาไม้ไหน

“นั่นสิ พอเด็ก ๆ ไม่อยู่ก็เหงา ๆ เหมือนกันนะครับ” ป๊าลูบหัวหรือจะเรียกให้ถูกคือตบหัวผมเบา ๆ 2-3 ทีด้วยความเอ็นดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

            “นี่ดีที่กี้มีอินไปอยู่เป็นเพื่อนที่โน้นด้วยนะคะ พวกเราก็ค่อยสบายใจหน่อย ไม่งั้นคงต้องเป็นห่วงกี้มาก ๆ”

            “เห็นว่าตอนนี้กี้มาอยู่ที่คอนโดกับอินด้วยใช่ไหมครับ” พ่อของอินถามขึ้นมา

“เรื่องนี้พวกเราก็เกรงใจเหมือนกันค่ะที่ไปรบกวน”

“คือผมไม่ได้จะว่าอะไรหรอกครับ ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องไปเสียค่าเช่าห้องให้สิ้นเปลือง” อานพโบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างอารมณ์ดี

 “ก็ต้องขอบคุณอินที่ช่วยดูแลกี้น่ะค่ะ ช่วยติวหนังสือให้ ไม่งั้นกี้คงเหลวไหลน่าดู”

            ม้าหันไปมองอินด้วยความเอ็นดู ในขณะที่ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับอานพที่ตัวเองทำตัวเป็นภาระให้ลูกชายท่าน

            “ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อจะมาพูดเรื่องของเด็กสองคนนี้นี่แหละครับ”

            อานพมองมายังพวกผมสลับกัน ทำเอาผมใจเต้นด้วยความตื่นเต้น ในใจกังวลในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมสบตากับอินด้วยความกังวล มันยิ้มให้ผมก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ เพื่อบอกให้ผมสบายใจ

            “คุณเกรียงกับคุณหน่อยคงจะทราบแล้วว่าเด็กสองคนนี่คบกันอยู่”

            “ครับ อินกับกี้บอกเรื่องนี้กับพวกเราแล้ว และพวกเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่เด็กสองคนนี่จะคบหากันหรอกครับ ผมยอมรับว่าตอนแรกที่รู้ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่เด็กมันรักใคร่ชอบพอกัน ไอ้เราเป็นพ่อเป็นแม่จะไปห้ามอะไรได้ละครับ ความสุขของลูกมันนี่ครับ”

            ผมมองป๊าด้วยความซาบซึ้งใจ โชคดีเหลือเกินที่ผมมีพ่อแม่ที่เข้าใจลูกแบบนี้

            “ก็เป็นเพราะเจ้าลูกชายตัวดีของผมที่ทำให้กี้อาจจะไม่เป็นลูกชายตามที่คุณเกรียงกับคุณหน่อยหวังไว้”

            ผมเห็นอานพใช้สายตาดุ ๆ เหลือบมามองคาดโทษลูกชายชวนให้เสียวสันหลัง นี่อานพยังไม่เลิกรู้สึกผิดเรื่องนี้อีกเหรอ

            “ในฐานะของคนเป็นพ่อ ผมต้องขอโทษแทนลูกชายด้วยนะครับ”

            อานพก้มหัวลงขอโทษป๊ากับม้า ขณะที่ป๊ากับม้าเองก็รีบร้องห้าม

            “มันไม่ใช่ความผิดของใครหรอกครับ คุณนพไม่ต้องจำเป็นต้องขอโทษพวกเราเลย”

            “แต่ก็เพราะผมเป็นพ่อของอิน ผมจึงมั่นใจว่าลูกชายของผมจะสามารถดูแลกี้ได้ดีอย่างแน่นอน”

            หือ...

            ผมหันมาหาอานพทันที เริ่มรู้สึกตงิด ๆ กับคำพูดที่ได้ยิน นี่วันนี้อานพจะมาไม้ไหนกันแน่

            “วันนี้ที่ผมมา ก็เพราะผมอยากจะมาขอให้อนุญาตคุณเกรียงกับคุณหน่อย ขอให้ยกกี้ให้กับเจ้าอินมันน่ะครับ”

            “ห๊ะ”

            ผมตกใจจนเผลอตะโกนเสียงดังลั่นจนทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว

“มะ...เมื่อกี้อะ...อานพพูดว่าอะไรนะครับ”

            เมื่อกี้อานพพูดว่าขอให้ป๊าม้ายกผมให้อินใช่ไหมครับ นี่ผมฟังผิดไปหรือเปล่า ผมหันไปมองหน้าลูกชายคนพูด มันพยักหน้าบอกให้รู้ว่ามึงไม่ได้หูฟาด

            “เอ่อ”

            ป๊าเงยหน้าขึ้นมองผมสลับอินก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

            “จริง ๆ พวกผมก็เห็นอินเป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่ง เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ผมยอมรับว่าอินเป็นเด็กดี เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกี้เลยก็ว่าได้ อินไม่เคยชักชวนกี้ให้ทำในเรื่องที่เสื่อมเสียเลยสักครั้ง มีแต่ก็คอยช่วยห้ามช่วยปรามเจ้ากี้มันด้วยซ้ำ”

            “ม้าละจะว่าอย่างไง” ป๊าหันไปปรึกษาคู่ชีวิต

            “ถ้าป๊าจะยกกี้ให้อินช่วยดูแล ม้าโอเคไหม”

            ผมอ้าปากค้างพะงาบ ๆ ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เดี๋ยวนะ นี่มันคือการสู่ขอหรือเปล่า

            ม้าส่งยิ้มหวานก่อนจะหันไปมองอานพ ส่วนมือของม้าก็โอบไหล่ของผมไว้

            “ทุกวันนี่อินก็ช่วยดูแลกี้อยู่แล้ว ไม่ยกก็เหมือนยกให้ไปแล้วละค่ะ”

            “ขอบคุณนะครับคุณเกรียงคุณหน่อย”

            “ขอบคุณมากครับป๊าม้า รับรองว่าผมจะดูแลกี้ให้ดี ไม่ทำให้ป๊าม้าต้องผิดหวังที่ไว้ใจผมแน่นอนครับ” อินตอบรับม้าอย่างแข็งขัน ผมมองเห็นประกายความมุ่งมั่นในดวงตาจากตรงที่ผมนั่งอยู่ได้เลย

            “อย่างไงม้าก็ฝากน้องด้วยนะลูก ถึงกี้มันจะดื้อไปบ้าง แต่ม้าเชื่อว่าอินจะรับมือได้แน่นอน”

            “เท่านี้ก็สบายใจแล้วสินะอิน”

            ผมเห็นอานพตลบไหล่อินเบา ๆ ขณะที่อินยิ้มตอบด้วยความยินดี

            “ครับ”

            ผมหันไปมองทุกคนต่างยิ้มแย้มให้กันอย่างชื่นมื่น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม แต่เดี๋ยวนะครับ มีใครถามความเห็นผมบ้างไหม ใครช่วยอธิบายผมทีว่านี่มันเรื่องอะไรกัน

            ฮัลโหล...

 

            TBC…

 
เรื่องนี้มันฟีลกู๊ด^^

มาดึกขึ้นเรื่อยๆ ตอนต่อไปอาจจะมาตอนฟ้าสาง OTL
 

 

 

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 21 [14/07/2018]
«ตอบ #84 เมื่อ14-07-2018 13:25:14 »

โรคประจำตัว

ตอนที่ 21

 

            จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้บอกเรื่องของผมกับอินให้เฮียกรรู้ เพราะหลังจากวันที่เฮียเจอกับอิน ทางบ้านซ้อเหมยก็เกิดปัญหา ป๊าของซ้อเหมยหกล้มแขนหักทำให้เฮียต้องเข้าไปดูแลงานแทนทั้งหมดก็เลยงานยุ่งจนไม่มีเวลาแวะมาหาผมจนใกล้จะเปิดเทอม ผมจึงต้องกลับมากรุงเทพก่อนโดยไม่ทันได้บอกเรื่องนี้กับเฮีย

            ถึงผมจะรู้สึกโล่งใจอยู่บ้างที่ได้เหมือนได้รับการยึดเวลาของการเผชิญหน้าออกไป แต่ผมก็รู้ดีว่าวันหนึ่งผมต้องเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเฮียกรเองตามที่บอกไว้กับอิน

           

            พวกผมเริ่มต้นเทอม 2 ด้วยความสดใส กิจกรรมรับน้องอะไรก็ไม่ค่อยจะมีแล้ว เกรดเทอมที่ผ่านมาของผมก็สวยหรูดูดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ผมจึงไปเรียนวันแรกของเทอมด้วยความลันลาสุด ๆ

            “ปิดเทอมเป็นไงมั้งละพวกมึง” ชมพู่ถามพวกผมทันทีที่เจอหน้ากัน

            “ก็ดีมึง อยู่บ้านไม่ได้ไปไหนเลยว่ะ”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้เลคเชอร์ที่ชมพู่กับมายจองไว้ให้ ชมพู่มองผมกับอินสลับไปมาก่อนจะถามด้วยแววตาใคร่รู้

            “แล้วนี่พวกมึงถึงไหนกันแล้ววะ”

            “ถึงไหนอะไรของมึง”

            “ก็...” ชมพู่ทำมือมาประกบกันให้เกิดเสียงดังป๊าบ ๆ

            “ไอ้ทะลึ่ง มึงจะอยากรู้ไปทำไม” หน้าผมแดงทันทีที่เห็นท่าทางสื่อความหมายนั้น นี่ชมพู่มันผู้หญิงจริงหรือเปล่า ทำไมห่ามแบบนี้วะ

            “ก็กูอยากรู้ แล้วตกลงอย่างไง ได้กันยัง” เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มยังถามต่อแบบไม่สะทกสะท้าน

            “ไอ้ชมพู่” ผมเรียกชื่อมันเสียงเข้มหวังจะให้มันเงียบ ๆ ไป ถึงมึงจะไม่อายแต่กูอายโว้ย

            “ยังว่ะ”

            แต่ไอ้แฟนตัวดีของผมกลับยื่นหน้ามาตอบหน้าตาเฉย

            “ว้า ไอ้อินมึงมัวทำอะไรอยู่วะ แม่งก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันตั้งนานละ อ่อนว่ะ”

            “ชมพู่ มึงหุบปากไปเลยนะ” ผมที่หันไปมองอินตาเขียวหันขวับมาแว๊ดใส่เพื่อนผู้หญิงคนเดียวของกลุ่ม

            “อีกไม่นานหรอกมึง” อินแกล้งชะโงกหน้าข้ามตัวผมไปใกล้ ๆ ชมพู่

            “ไอ้เชี่ยอิน” ผมด่าไอ้แฟนตัวดีก่อนจะหันมาจัดการกับคนอื่น “พวกมึงหยุดพูดเรื่องนี้เดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นกูจะโกรธจริง ๆ ด้วย”

            ผมเบะปากหน้าหงิกด้วยความไม่พอใจ ไอ้พวกเพื่อนชั่วพวกมันเอาแต่หัวเราะชอบใจแต่ก็ยอมหยุดพูดถึงเรื่องนั้นแต่โดยดี

            “ว่าแต่พวกมึงเถอะ ปิดเทอมทำอะไรบ้างวะ” อินหันมาถามคนอื่น ๆ หลังจากที่มันหยุดหัวเราะแล้ว

            “เราไปเที่ยวไต้หวันกับที่บ้านมา อ่ะ นี่ของฝากของทุกคนครับ” มายยื่นถุงกระดาษมาให้พวกผมคนละถุง

            “แล้วมึงละชมพู่” ผมถามชมพู่บ้างระหว่างที่กำลังเปิดดูถุงที่มายให้มา

            “กู...กูไปเที่ยวเชียงใหม่มาว่ะ”

            “อ้าว มึงไปเชียงใหม่ทำไมไม่บอก กูกับไอ้อินจะได้พาเที่ยว”

            “เอ่อ พอดีกูมีคนพาเที่ยวแล้วน่ะ ไม่อยากกวนเวลาอยู่กับครอบครัวของพวกมึง”

ชมพู่ตอบอึก ๆ อัก ๆ แถมยังหลบสายตา ผมมองชมพู่ด้วยความสงสัยในท่าทีแปลก ๆ ของมัน ดูมีลับลมคมในชอบกล

            ไม่เพียงแต่เท่านั้น หลังจากเปิดเทอมมาได้แค่ไม่กี่วัน ชมพู่มันก็ยิ่งทำตัวน่าสงสัยมากขึ้น พอหมดเวลาคาบสุดท้ายของแต่ละวัน  ชมพู่ก็หายตัวออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว อย่างวันนี้ชมพู่ก็ทำตัวแปลกแยกโดยการไม่ยอมไปกับพวกผมทั้ง ๆ ที่พวกเราตกลงกันตั้งแต่กลางวันแล้วว่าตอนเย็นจะไปหาอะไรกินด้วยกัน ชมพู่บอกเพียงแค่ว่ามีธุระเลยต้องรีบกลับ พูดจบก็เก็บข้าวของออกจากห้องเรียนไปเลยโดยที่พวกผมยังไม่ทันตั้งตัว

            “ทำไมเดี๋ยวนี้ชมพู่มันรีบกลับจังวะ มึงรู้ไหมมาย” ผมถามเพื่อนเมื่อชมพู่เดินออกจากห้องไปแล้ว

            “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ชมพู่ไม่ให้เราไปส่งที่หอแล้วด้วย บอกว่าจะกลับเอง”

            “กูว่ามันแปลก ๆ นะ มึงว่าไหมอิน” ผมหันไปขอความเห็นจากอินบ้าง

            “นี่ ๆ พวกนายได้ยินที่เค้าลือกันบ้างไหม”

            กระแตเพื่อนสาวเอกเดียวกันที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ชะโงกหน้าจากแถวหลังมาร่วมวงด้วยสีหน้าเป็นกังวล

            “ว่า”

            “เค้าบอกว่าเดี๋ยวนี้มีหนุ่มคณะอื่นมารับมาส่งดาวคณะเราทุกวันแต่ให้มารับมาส่งแถวคณะมนุษย์นะ ไม่ยอมมาส่งที่หน้าคณะ บางคนก็เคยเจอสองคนไปนั่งกินข้าวกันด้วยกัน เค้าเลยลือกันว่าสงสัยจะแอบคบกันอยู่”

            “ชมพู่น่ะเหรอแอบคบกับใคร” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

            “ใช่ นี่ก็ไม่รู้ว่าผู้ชายเป็นใคร ไม่รู้ว่ามีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่าถึงต้องคบกันแอบ ๆ แบบนี้”

            พวกผมมองหน้ากันด้วยความรู้สึกกังวลและเป็นห่วงเพื่อน ถึงชมพู่มันจะแห้วแค่ไหนมันก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง

            “อย่างไงพวกนายก็ดู ๆ กันหน่อยนะ ชมพู่มันก็เพื่อนเรา ไม่อยากเห็นมันโดนหลอก”

            “อือ ขอบใจนะกระแต”

            หลังจากกระแตลุกไปแล้ว พวกผมก็เดินออกจากห้องเรียนบ้าง

            “พวกมึงว่าอย่างชมพู่น่ะเหรอจะแอบคบคนที่เค้ามีแฟนแล้ว” ผมถามเพื่อนสนิททั้งสองคน

            “กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่ฟังดูก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน” คิ้วได้รูปของอินขมวดอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

            “นั่นสิครับ ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงทำไมต้องคบกันแบบแอบ ๆ ด้วย” มายก็เสริมด้วยความเป็นห่วง

            “เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะถามมันให้รู้เรื่อง”

            “นี่มึงคิดแล้วเหรอวะกี้ มึงคิดว่าชมพู่จะยอมบอกความจริงกับมึงง่าย ๆ เหรอ”

            “อ้าว งั้นจะให้กูทำอย่างไงวะ” ผมหันไปถามไอ้แฟนที่แย้งผมขึ้นมา

            “เราว่าพวกเราแอบตามไปดูดีกว่าว่าผู้ชายที่มารับมาส่งชมพู่เป็นใคร ไว้ใจได้หรือเปล่า”

            “งั้นตกลงตามนี้”

            “โอเค”

            พวกผมพยักหน้าให้กัน ต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร

 

            บ่ายวันเสาร์หลังจากที่กินข้าวเช้าควบเที่ยงที่อินมันลงไปซื้อจากร้านหน้าคอนโดมาให้ ผมก็นอนเกาพุงกลิ้งเกลือกเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟา

            “กี้ เขยิบไปหน่อยสิ”

            อินที่กำลังทำความสะอาดอยู่เอาหัวเครื่องดูดฝุ่นเขี่ย ๆ ขาผมที่ห้อยระพื้นอยู่ ผมพลิกตัวเปลี่ยนมานอนคว่ำ ขยับแว่นตาที่เลื่อนตกลงมาให้เข้าที่หากสายตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอ

            เสียงเครื่องดูดฝุ่นยังดังวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวราวกับต้องการเรียกร้องความสนใจ

            “ไอ้อิน มึงไปดูดฝุ่นที่อื่นบ้างสิ กูรำคาญ” ผมลุกขึ้นมาโวยวาย ดูสิ ไอ้อินมันทำให้ผมไม่มีสมาธิตีป้อมเลยเนี่ย

            อินเอื้อมมือไปปิดเครื่องดูดฝุ่น ห้องก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง มันมองมาที่ผมด้วยสายตาระอา

            “นี่ใจคอมึงจะไม่ช่วยกูทำความสะอาดเลยเหรอ”

            “มึงก็ทำไปสิ ก็ห้องมึงนี่” ผมตอบพลางยกมือมาเกาพุง

            “มึงนี่มันไม่มีจิตสำนึกเลยจริง ๆ มาอยู่ห้องกู ข้าวกูก็หาให้กิน ผ้ามึงกูก็ซักให้ ยังทำห้องกูรกต้องให้กูมาค่อยเก็บกวาดให้อีก”

            อินบ่นไปเก็บของที่ผมสุม ๆ ซุก ๆ ไว้ตรงข้างโซฟาไปด้วย

            ผมเดินเข้าไปข้างหลังอินที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ ทิ้งตัวแปะอยู่บนหลังของมันพร้อมกับเอาหัวถูหลังมันอย่างอ้อน ๆ เพื่อที่อินมันจะได้หยุดบ่นผมสักที

            “แต่กูเป็นแฟนมึงนะอิน”

“ไม่ช่วยก็หลบไป เกะกะ”

“มึงว่าแฟนตัวเองเกะกะได้ไงอิน”

ว่าแล้วผมก็กอดหมับเข้าที่เอวมัน แม่ง หน้าท้องแน่นพุงไม่มีเลย

“กี้ ปล่อย” ทำเป็นเสียงเข้มนะมึง

“ไม่ปล่อย” ไม่พอผมยังแกล้งเอามือลูบซิกแพคของมันด้วยพร้อมกับเอาหัวถู ๆ หลังมันไปด้วย

“กูบอกดี ๆ แล้วนะกี้ กูไม่เล่น”

“ก็กูอยากกอดแฟนตัวเองบ้างไม่ได้เหรอ” ผมแกล้งทำเสียงอ้อนมันดูบ้าง

“งั้นกูก็จะกอดมึงบ้าง” พูดจบอินก็หันมาผลักผมให้ล้มลงไปโซฟาก่อนจะขึ้นคร่อมช่วงหน้าขาด้วยความรวดเร็ว

“มะ มึงจะทำอะไร” ผมถามมันด้วยความตกใจที่จู่ ๆ ตกอยู่ในสภาพสุ่มเสี่ยงเช่นนี้

“ก็จะกอดมึงบ้างไง”

“จะกอดก็กอดดี ๆ ก็ได้ มึงลุกเลยนะ”

อินยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่จะชูถุงพลาสติกหน้าตาคุ้น ๆ ในมือให้ผมดู

“กูว่าถึงเวลาที่ต้องใช้ของขวัญที่พี่ต้าร์ให้มาแล้วว่ะ”

“เฮ้ย ไม่เอา มึงปล่อยกู”

ผมเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าของในมืออินคืออะไร ก่อนจะพยายามดันตัวขึ้นแต่ไอ้คนเจ้าเล่ห์มันทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่ ทำเอาผมแทบจะขยับไม่ได้ อินวางถุงในมือลงบนพื้น ก่อนที่มันจะก้มลงมาหา ผมรีบยกมือขึ้นดันหน้าอกมันไว้ แต่กลับถูกมันใช้สองมือจับล๊อคไว้ อินดึงแว่นออกจากหน้าผม ทำเอาผมถึงกับโฟกัสไม่ถูกไปชั่วขณะ ผมเบี่ยงหน้าซุกกับไหล่ หลับตาทันทีที่อินโน้มหน้าเข้ามาใกล้ รู้สึกถึงปลายจมูกโด่งที่กำลังซุกไซ้อยุ่บริเวณซอกคอเรื่อยไปจนถึงใบหู ก่อนที่ผมจะต้องสะดุ้งจนลืมตาเพราะอินมันกัดที่ติ่งหูของผม

“ไอ้อิน...อืม..”

ทันทีที่ผมหันไปจะด่ามัน ก็ถูกมันใช้ริมฝีปากประจบจูบเสียก่อน มันส่งลิ้นเข้ามาไล่ต้อนจนผมจนมุม ได้แต่ส่งเสียงอยู่ในคอปล่อยให้มันจูบจนพอใจถึงยอมผละออกจาริมฝีปากผมให้ได้หายใจหายคอบ้าง

 “อือ อินไม่เอา”

ผมร้องห้ามเมื่อรู้สึกถึงมือที่ลูบไล้เข้ามาในเสื้อยืดที่ใส่อยู่

“มึงยังไม่ได้ให้รางวัลที่กูช่วยติวให้มึงจนได้คะแนนดีเลยนะ”

อินก้มลงงับริมฝีปากล่างของผมเบา ๆ ผมพยายามจะเบี่ยงหน้าหลบ

“มึงอยากได้อะไร เดี๋ยวกูซื้อให้ก็ได้”

“กูอยากได้มึง มึงให้กูได้ไหม”

ริมฝีปากของอินวนเวียนอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าของผม ขณะที่มือซน ๆ ของมันกำลังสะกิดยอดอกของผมอยู่

“มะ...ไม่เอา ขออย่างอื่น”

“มีอย่างเดียวที่กูอยากได้”

เสียงทุ้มนุ่มเป็นเอกลักษณ์ของอินกระซิบอยู่ข้างหูชวนให้เคลิบเคลิ้ม

“มึงให้กูเถอะนะกี้”

“ไม่...” ผมเผลอแอ่นหน้าอกขึ้นเมื่อถูกขยี้ตรงยอดอก สองมือที่ตอนแรกผลักไสกลับขยุ้มเสื้อยืดสีเข้มของอินไว้แน่น

“ให้อินเถอะนะครับ”

อินผละออกจ้องหน้าผมด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความต้องการ รอยยิ้มละมุนของมันที่ทำให้ใครต่อใครหลงเสน่ห์มานักต่อนักแต้มที่ริมฝีปาก

“กู...กลัว...”

“ไม่ต้องกลัวนะครับ กี้ไม่เชื่อใจอินเหรอ”

รู้ไหมว่าผมเกลียดเวลาอินมันใช้หน้าตาหล่อเหลากับน้ำเสียงทุ้มนุ่มของมันพูดเพราะ ๆ กับผมที่สุด เพราะมันกำลังทำให้ผมเขินจนทำอะไรไม่ถูก

“นะครับ”

วินาทีที่ผมเผลอพยักหน้า ริมฝีปากก็ถูกคนตรงหน้าเอาครอบครองอย่างอุกอาจทันที จูบร้อนแรงของอินที่มอบให้ทำเอาสมองของผมแทบจะหยุดทำงาน

เจ้าพวกผีเสื้อตัวน้อยนับร้อยในท้องก็พากันกระพือปีกโบยบินอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำเอาผมรู้สึกปั่นป่วนไปหมด

อินผละออก ผมปรือตามองตามเห็นมันกำลังถอดเสื้อยืดสีเข้มออก ท่วงท่าสะบัดเสื้อออกจากคอกับกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นลอนที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

แม่ง เซ็กซี่เป็นบ้า

พอจัดการกับเสื้อตัวเองเสร็จอินมันก็หันจะจัดการลอกคราบผมบ้าง เสื้อยืดตัวบางของผมถูกมันถอดโยนทิ้ง ก่อนที่มันจะก้มลงเล่นงานที่หน้าอกจนผมต้องเผลอครางออกมาอย่างสุดกลั้น รู้ตัวอีกทีก็เมื่อมีอินดึงรั้นกางเกงทั้งชั้นนอกชั้นในออกจากปลายเท้าแล้ว

ผมพยายามจะหนีบขาแต่อินก็เข้ามาแทรกตรงกลางหว่างขา ผมใช้สองมือมาปกปิดกี้น้อยไว้ด้วยความอายแต่ถูกอินจับรวบมือของผมรวมกับมืออีกข้างของมันกอบกุมส่วนนั้นไว้ก่อนที่มือเรียวยาวของอินที่ผมมักเผลอมองอยู่เสมอจะพามือของผมขยับขึ้นลง อินก้มลงมาจูบผมเบา ๆ ซ้ำ ๆ ผมปรือมองเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ผละออกไป เห็นอินกำลังค้นถุงที่พี่ต้าร์ให้มา มันหยิบหลอดมาบีบใส่มือ ผมผงกหัวขึ้นเพื่อมองว่าอินกำลังจะทำอะไรก่อนจะต้องหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวผม แต่ถึงจะหลับตาผมก็ยังรู้สึกและจินตนาการภาพในหัว ปลายนิ้วของอินกำลังแทรกผ่านเข้ามาในตัวทำเอาผมเกร็งตัวด้วยความรู้สึกคับแน่น

“ไม่ต้องเกร็งนะครับ”

ผมรู้สึกถึงจูบอ่อนโยนบริเวณขมับและเปลือกตา จึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ยอมรับความรู้สึกที่มีนิ้วของอินเอามาเคลื่อนไหวอยู่ในตัว มันค่อย ๆ ขยับนิ้วเข้าออก ก่อนจะเพิ่มขึ้นอีกนิ้ว มันทำให้ร้อนวูบวาบไปหมด เป็นความรู้สึกแปลก ๆ ที่ทำให้สติของกระเจิง ก่อนที่อินที่ดึงนิ้วออกไป ผมลืมตาขึ้นมองอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฉีกฟอล์ย อินในสภาพเปลือยเปล่ากำลังจับขาของผมให้อ้ากว้าง ผมถดตัวหนีแต่ก็ถูกอินจับเอาไว้ ผมพยายามจะส่งสายตาอ้อนวอนให้มัน

“ไม่ต้องกลัวนะครับ”

เสียงนุ่ม ๆ ของมันที่กระซิบข้างหูทำให้ผมยอมอีกครั้ง ผมหลับตาลงทันทีที่รู้สึกถึงสิ่งที่กำลังดุนดันเข้ามา อินค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาช้า ๆ มันคับแน่นไปมันจนผมรู้สึกเจ็บและแสบ น้ำตาของผมไหลซึมออกมาเมื่ออินเข้ามาจนสุดทาง

อินรวบตัวผมไปกอด ริมฝีปากของมันจูบซับน้ำตาที่หางตา มือของอินลูบหัวผมด้วยความอ่อนโยนในขณะที่ผมกอดมันไว้แน่น

“เจ็บอ่ะ”

“กี้คนเก่ง ทนอีกนิดนะครับ”

อินกดแช่นิ่งไว้ในตัวผมอย่างนั้น สองมือของอินนวดเฟ้นไปทั่วตัวในระหว่างผมค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ พอมันเห็นว่าผมเริ่มปรับตัวได้ อินก็ค่อย ๆ ถอยออกก่อนจะกดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ผมสะดุ้งเฮือกสองมือผวาเข้ากอดมันทันที ความจุกกระจายไปทั่วท้องผสานกับความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้น ผมได้แต่ซุกหน้ากับไหล่ของอินเมื่อมันเริ่มขยับตัวเร็วขึ้น

“อะ...อิน...ช้าหน่อย มันเจ็บ”

“ขอโทษนะกี้ แต่มันทนไม่ไหวแล้ว”

อินขยับตัวเข้าออกถี่เร็วจนผมต้องเชิดหน้าด้วยความรู้สึกเสียววาบปนแสบ การได้ยินเสียงหอบหายใจแรงของอินที่ข้างหูยิ่งทำให้อารมณ์ของผมขึ้นสูง บวกกับมือของอินที่กำลังเคล้าคลึงตรงหว่างขาทำให้ผมทนไม่ไหว ปลดปล่อยหยาดหยดในตัวออกมาเปรอะรดหน้าท้องของเราสองคน

อินเอนตัวผมลงบนโซฟา มันกอดผมไว้แน่นก่อนจะขยับซอยถี่จนในที่สุดผมได้ยินเสียงคำรามในลำคอ ก่อนที่มันจะฟุบลงซุกหน้ากับไหล่ของผม อินยังกระตุกอยู่ภายในตัวผมอีกสองสามทีก่อนจะหยุดนิ่ง ผมปล่อยมือที่โอบกอดตัวมันลงข้างตัวอย่างสิ้นแรง ในหัวขาวโพลนไปหมด ได้ยินแต่เสียงหายใจข้างหูที่ค่อย ๆ สงบลง

“รักนะครับกี้ อินมีความสุขที่สุด ขอบคุณนะครับ”

ถ้อยคำหวาน ๆ หลังจากเซ็กส์จบลงมันทำให้ผมเขินหน้าแดงจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้า แต่อินมันกลับดึงมือออก ผมพยายามหันหน้าหนีสายตาคมที่จ้องมองกันในระยะประชิด

“แล้วกี้ละครับ”

“กูเจ็บ”

“ไม่รู้สึกดีบ้างเลยเหรอ”

อินมองผมด้วยสายตาหงอย ๆ ก็มันเจ็บจริงๆ นี่ครับ ถึงมันจะมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงด้วยก็เถอะ ผมเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบ

“อินทำไม่ดีเลยเหรอ”

อินขยับสิ่งที่ยังอยู่ภายในตัวผมเบา ๆ และมันทำให้ผมรู้สึกวูบวาบในท้องขึ้นมาอีกแล้ว

“มึงออกไปเลยนะ”

“กี้ก็ตอบมาก่อนสิ คราวหน้าอินจะได้ปรับปรุงตัว”

ยังจะคราวหน้าอีกเหรอ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่ละ

“ครั้งเดียวก็พอแล้ว”

“ไม่ได้หรอก กับกี้กี่ครั้งมันก็ไม่พอ”

ไม่พูดเปล่า ผมยังรู้สึกถึงตัวตนของอินที่กำลังขยับอยู่ในตัวผม นี่มึงคงไม่คิดจะต่ออีกนะ

“มึงพอเลย กูเจ็บจริง ๆ นะ”

ผมช้อนตามอง ทำตาปริบ ๆ ให้มันเห็นใจ คงต้องใช้ไม้นี้ไม่งั้นอินคงไม่ยอมปล่อยผมแน่ ๆ ซึ่งมันก็ได้ผล อินจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผมก่อนจะลุกขึ้น ผมนิ่วหน้าเมื่อมันเคลื่อนออกจากตัวผม อินใส่เสื้อผ้าแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยผมให้นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาโดยไม่มีอะไรปกปิด ผมชันตัวจะลุกตามก็เจ็บแปลบตรงช่องทางข้างหลังจนต้องกลับลงไปนอนตามเดิม ในใจได้แต่ก่นด่าไอ้ตัวดีที่ทำให้ผมต้องอยู่ในสภาพแบบนี้

สักพักอินก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับถือกะละมังมาด้วย ผมผงกหัวขึ้นมองเมื่อมันมานั่งเบียดบนโซฟา

“ลุกไหวไหม”

“ลุกแล้วมันเจ็บ” ผมตอบมันเสียงเขียว ก็เพราะมึงแม่งใส่ไม่ยั้ง

อินหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กในกะละมังมาเช็ดคราบต่าง ๆ อย่างเบามือ ผมได้แต่นอนอึ้ง ปล่อยให้มันเช็ดตามเนื้อตามตัว จนกระทั่งอินมันจะแตะน้องชายของผมจึงร้องห้าม

“เฮ้ย ตรงนั้นไม่ต้อง เดี๋ยวกูทำเอง”

แต่อย่างไอ้อินหรือจะฟัง มันปัดมือผมที่ยกขึ้นมาบังออกก่อนจะค่อย ๆ บรรจงเช็ดทุกซอกทุกมุม โดยที่ผมได้แต่มองด้วยความรู้สึกตื้นตัน

“ในถุงพี่ต้าร์มียาแก้ปวดแก้อักเสบกับยาทาแผลมาให้ด้วย เดี๋ยวกูทาให้นะ”

“มึงไม่ต้อง กูทาเองได้”

ผมร้องห้ามมันเสียงหลงเมื่ออินมันจับขาผมให้อ้ากว้างแล้วนั่งแทรกกลางไม่ให้ผมหุบขา ได้แต่นอนมองมันบีบยาใส่ที่ปลายนิ้วก่อนจะค่อย ๆ สอดเข้ามาภายในตัวผม ปลายเท้าผมจิกเกร็งเมื่อมันหมุนนิ้วกวาดยาอยู่ภายในทำเอาเลือดขึ้นมาสูบฉีดที่หน้าผมจนร้อนวูบวาบไปหมด

พอเช็ดตัวเสร็จอินมันก็หยิบเสื้อผ้าของผมที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นมาช่วยสวมให้ แล้วมันก็ยกกะละมังไปเก็บ

“มึงนอนพักไปก่อนนะ เดี๋ยวกูเก็บห้องเสร็จแล้วจะค่อยไปหาอะไรกินกัน” อินเดินกลับมานั่งข้างผมที่ตอนนี้พลิกตัวมานอนตะแคง

“กูขี้เกียจอ่ะ ไม่อยากออกไปไหนเลย”

“แซลม่อนก็ไม่อยากกินเหรอ กูเลี้ยงนะ”

มึงไม่ต้องเอาของโปรดมาหลอกล่อกูเลยไอ้อิน

“ฮึ มึงก็สมควรเลี้ยงกูแล้วไหม” ผมมองค้อนไอ้ตัวต้นเหตุ

“งั้นโทรสั่งละกัน กินเสร็จแล้วค่อยกินยา”

อินหัวเราะในคอ มันยกมือขึ้นโยกหัวผมเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากผมแล้วลุกไปจัดการเก็บกวาดห้องที่ทำค้างอยู่เมื่อกี้ต่อ

ผมนอนมองอินเก็บโน้นเก็บนี้พอมันหันมาเห็นผมมองอยู่ก็เดินเข้ามาจุ๊บปากผมเบา ๆ ก่อนจะผละออกไปทำงานต่อ พอหันมาเห็นผมมองอินมันก็เดินมาจุ๊บผมอีกครั้ง จนผมต้องทำเป็นแกล้งหลับตาเพราะตอนนี้รู้สึกหัวใจมันพองไปหมดจนกลัวตัวเองจะสำลักความสุขตายเสียก่อน

ไม่ต้องบอกเลยว่าเจ้าพวกผีเสื้อในท้องของผมจะเป็นอย่างไง ตอนนี้พวกมันดูจะแฮปปี้กันสุดโบยบินล่องลอยกันอย่างร่าเริง ผมนอนอมยิ้มจนเผลอหลับไปในที่สุด

 

 

TBC.....

 
ไม่รู้ว่าคนอ่านชอบเรื่องนี้กันไหม แต่เราก็จะอยากจะลงให้จบ เป็นกำลังใจให้เราหน่อยนะคะ^^

 

 

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 21 [14/07/2018]
«ตอบ #85 เมื่อ14-07-2018 14:23:08 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 21 [14/07/2018]
«ตอบ #86 เมื่อ14-07-2018 17:59:05 »

ชอบค่ะ เนื้อเรื่องน่ารักดี พัฒนาการของตัวละครในเนื้อเรื่องก็ค่อยเป็นค่อยไป

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 21 [14/07/2018]
«ตอบ #87 เมื่อ20-07-2018 09:09:50 »

ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 22 [22/07/2018]
«ตอบ #88 เมื่อ22-07-2018 12:10:30 »

ตอนที่ 22

 

            รถแจ๊สสีดำจอดที่ลานจอดรถคณะในเวลา 7 นาฬิกา 50 นาทีในวันที่พวกผมมีวิชาแรกตอน 8 โมง โชคดีที่ยังพอมีที่ว่างให้จอดรถได้

            “รีบ ๆ เลยกี้ เดี๋ยวแม่งไปไม่ทันอาจารย์เช็คชื่อ”

            “เอ่อ ๆ กูก็รีบอยู่เนี่ย”

            “ถ้าอยู่ ๆ มึงไม่นึกอยากกินปาท่องโก๋ขึ้นมากลางทางก็คงไม่สายขนาดนี้หรอก” ไอ้อินยังบ่นไม่เลิกระหว่างที่มันเอื้อมไปคว้ากระเป๋าของเราสองคนที่วางอยู่เบาะหลัง

            “ก็แล้วมึงจอดแวะให้กูลงไปซื้อทำไม” ผมโวยวายมันคืน

            “ก็มึงอยากกิน”

            มันพูดจบแล้วยัดกระเป๋าของผมใส่มือให้ก่อนจะเปิดประตูลงไป ผมรีบตามลงไปติด ๆ

            “เฮ้ย อินรอด้วยสิวะ”

            ผมรีบก้าวเท้าตามไอ้คนขายาวที่พาลัดเลาะไปตามทางเดินสู่ตึกคณะ แต่อยู่ดี ๆ อินมันก็หยุดกระทันหันทำเอาหน้าผมเกือบกระแทกกลางหลังของมัน

            “หยุดทำไมวะ”

            ทั้ง ๆ ที่รีบ ๆ กันอยู่แท้ ๆ แต่อินกลับหยุดดูอะไรบางอย่าง ผมเลยมองตามสายตาของมันไปบ้างด้วยความสงสัย ก็เห็นรถยนต์สีขาวจอดเยื้อง ๆ หน้าคณะ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้พวกผมต้องหยุดมอง หากเป็นนักศึกษาสาวผมยาวที่กำลังยืนคุยกับคนในรถนั้นตั้งหาก

            “เฮ้ย ชมพู่นี่หว่า”

            ผมหันไปมองหน้ากันกับอิน รถคนนั้นต้องเป็นของผู้ชายที่เขาลือกันให้แซดไปทั้งคณะว่ากำลังคั่วกับดาววิดยาแน่ ๆ

            ยังไม่ทันที่ผมกับอินจะเดินเข้าไปหา ชมพู่ก็โบกมือลาแล้วรถคันนั้นก็ขับออกไป เห็นแบบนั้นพวกผมก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังเดินขึ้นตึก

            “ชมพู่”

            ชมพู่หยุดและหันกลับมาตามเสียงตะโกนเรียก ผมสังเกตเห็นว่ามันดูตกใจที่เห็นว่าเป็นพวกผม 2 คน

            “พวกมึง...เพิ่งมากันเหรอ”

            “อืม เกือบไม่ทันละ” อินเป็นคนตอบ ผมมองหน้าชมพู่ที่ดูลอกแลก

            “เอ่อ ชมพู่”

            “กูว่ารีบขึ้นไปกันดีกว่า เดี๋ยวอาจารย์ล็อกห้องไม่ให้เข้าแล้วจะแย่”

            ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามเรื่องที่คาใจ อินมันก็กระตุกแขนผมไว้ก่อนจะเอ่ยชวนทุกคนให้รีบขึ้นห้อง

            “เอ่อ นั่นสิ อาจารย์เจนแกยิ่งโหด ๆ อยู่”

            ชมพู่เดินนำไปที่ห้องเรียนก่อน ผมหันไปสบตาคนรัก อินมันก็เพียงแค่ส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วดึงแขนผมให้รีบเดินตามไป

            พวกเรามาทันเช็คชื่อแบบเฉียดฉิว เห็นสายตาอาจารย์ที่มองลอดแว่นก็รีบพากันไปนั่งข้าง ๆ มายซึ่งจองที่ไว้ให้

            “นึกว่ามาไม่ทันกันซะแล้ว ทำไมวันนี้มาพร้อมกันเลยละ”

            “พอดีเจอชมพู่ที่หน้าตึกน่ะ”

            ผมหันไปตอบมายก่อนจะพวกผมต้องหยุดคุยและตั้งอกตั้งใจกับสไลด์บนหน้าจอแทน มิเช่นนั้นจะถูกเชิญออกไปคุยกันนอกห้องแน่ ๆ

 

            พักเที่ยงพวกผมตัดสินใจกินข้าวที่โรงอาหารของคณะ ผม อิน และมายนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมจานข้าวของแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ชมพู่กำลังยืนต่อแถวร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดียวที่มีอยู่

            “ทำไมเมื่อเช้ามึงห้ามไม่ให้กูถามวะอิน”

            “อย่าเพิ่งเลย เมื่อเช้าถึงมึงถามไป ชมพู่มันก็ไม่ยอมบอกความจริงกับมึงหรอ”

อินตักผักคะน้าที่อยู่ในจานผมไปกิน ส่วนผมก็จิ้มหมูในจานของมันมา

“กูรู้สึกว่ารถคันนั้นมันคุ้น ๆ อยู่ กูเลยอยากให้แน่ใจก่อน”

“นี่คุยกันเรื่องอะไรเหรอครับ เราตามไม่ทัน”

มายถามแทรกขึ้นมา มองหน้าพวกผมคนละทีด้วยความงุนงงในบทสนทนา

“คืองี้” ผมชะโงกหน้าดูแล้วเห็นว่าชมพู่ยังคงยืนต่อแถวหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวก็รีบเล่าเรื่องที่เจอเมื่อเช้าให้มายฟัง

“แสดงว่าชมพู่กำลังคบอยู่กับใครจริง ๆ สินะครับ”

“ใช่ แต่ทำไมต้องปิดบังพวกเราด้วยวะ น่าจะบอกให้พวกเรารู้จะได้ช่วยสกรีน”

“แต่อันที่จริง...การที่ชมพู่เค้าจะคบกับใครมันก็ไม่ใส่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่งนะครับ” มายแย้งผมขึ้นมา

“เฮ้ย ได้ไง ชมพู่มันเป็นเพื่อนพวกเรานะโว้ย ถ้าหากไอ้ผู้ชายคนนั้นมันคิดจะมาหลอกชมพู่จะทำไง”

“เอาจริง ๆ กูก็คิดแบบมายนะ ว่าการที่ชมพู่จะคบกับใครมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว”

“อ้าว ไอ้อิน ไหงพูดแบบนี้วะ” ผมหันกลับมาโวยไอ้แฟนตัวดีที่ไม่คิดจะเข้าข้างกันเลย

“แต่ที่กูเป็นห่วงก็เพราะสงสัยว่าทำไมต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ด้วย กูเป็นห่วงแค่เรื่องเดียวว่ามันจะโดนหลอก” อินพูดด้วยสีหน้าค่อนข้างจะเคร่งเครียด

“หรือว่าจะคบซ้อนอย่างที่เค้าลือกันจริง ๆ” มายตั้งข้อสังเกตอีก

“เฮ้ย ไม่ได้นะโว้ย เพื่อนกูเป็นถึงดาวคณะ จะมาทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”

“เอางี้กูมีแผน” อินเหลือบมองด้านหลังของผม “แต่ตอนนี้พวกมึงรีบกินก่อน ชมพู่เดินมานั้นล่ะ”

หลังกินข้าวเสร็จพวกผมก็ขึ้นเรียนตามปกติ อินจัดการส่งไลน์มาบอกแผนของมันให้พวกผมได้รู้ พวกผมขยุกขยิกกันใต้โต๊ะจนชมพู่มันหันมามองหลายที่แต่พวกผมก็ทำเป็นกลบเกลื่อนไปเรื่องอื่น จนถึงคาบสุดท้ายก็ได้เวลาทำตามแผน

“ชมพู่ วันนี้จะให้เราไปส่งที่หอหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรมาย เดี๋ยวกูกลับเอง”

“โอเค”

พวกผมหันมาสบตากันเมื่อได้ยินที่มายคุยกับชมพู่แล้วก็เป็นอันรู้กันว่าเย็นนี้ชมพู่มีนัดเหมือนเช่นเคย

พอหมดเวลาอาจารย์เดินออกจากห้องไปแล้ว ผมก็รีบลุกมาหาชมพู่ทันทีก่อนที่มันจะรีบออกจากห้องไปเหมือนเช่นทุกครั้ง

“เฮ้ย ชมพู่ มึงอธิบายตรงนี้ให้กูหน่อย เมื่อกี้ฟังอาจารย์อธิบายไม่เข้าใจเลยว่ะ”

“อ้าว มึงก็ให้อินมันสอนสิ” ชมพู่ดูงง ๆ ที่จู่ ๆ ผมก็มาขอให้มันช่วยอธิบายเนื้อหาในวิชา เพราะปกติผมจะติวเตอร์ส่วนตัวอย่างอินอยู่แล้ว

“ไอ้อินมันปวดท้อง วิ่งไปเข้าห้องน้ำแล้ว”

อินตอนนี้หายออกไปจากห้องแล้วจริง ๆ ครับ เหลือแค่มายที่ยังยืนอยู่ข้างกัน

“มึงก็กลับไปถามกันที่ห้องก็ได้เปล่าวะ ก็อยู่ด้วยกันนี่”

“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวกูก็ลืม แล้ววิชานี้มึงก็เก่งกว่าไอ้อินมันด้วย โหย สอนเพื่อนแป๊บเดียวแค่นี้ไม่ได้เหรอวะ”

ผมทำเป็นงอแงเบะปากเพื่อให้ดูสมจริง

“เออ ๆ ก็ได้ แป๊บเดียวนะ มึงไม่เข้าใจตรงไหนละ”

ผมยิ้มร่าทันทีรีบเอาเนื้อหาส่วนที่อาจารย์เพิ่งสอนในคาบให้ชมพู่ดู มันตั้งอกตั้งใจอธิบายให้ผมฟังเป็นอย่างดี แต่ผมก็ยังทำเป็นถามโน้นถามนี้ต่อ ขอให้ชมพู่ช่วยอธิบายซ้ำอีกรอบ ซึ่งเพื่อนผมมันก็แสนดียอมอธิบายใหม่ทั้งหมด จนกระทั่งมายกระตุกเสื้อเชิ้ตส่งสัญญาณให้

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ไม่ได้มึงนี่กูคงงงไปอีกนานแน่ ๆ เลย”

“กว่าจะเข้าใจนะมึง”

“ขอบใจนะชมพู่สุดสวย มึงจะไปไหนก็ไป กูไม่รั้งไว้ละ”

ผมยิ้มกว้างให้ ขอบอกขอบใจชมพู่เสียยกใหญ่ ปล่อยให้มันหยิบกระเป๋ากับหนังสือขึ้นมา

“งั้นกูไปล่ะนะ”

ผมโบกมือลาพร้อมกับเดินไปส่งมันถึงประตู พอเห็นชมพู่เดินลงบันไดไปก็หันมาหามาย

“ป่ะ มาย รีบเลยมึง”

ผมกับมายรีบวิ่งลงบันไดอีกฝั่งลงมาก่อนที่ชมพู่จะลงมาถึงชั้นล่าง และวิ่งหน้าตั้งไปหารสแจ๊สสีดำคันเดิมที่จอดรออยู่ที่หน้าคณะเรียบร้อยแล้ว

            “เป็นไง”

            อินถามทันทีผมกับมายขึ้นมานั่งในรถ

            “รีบเดินออกจากห้องเลยว่ะ นี่พวกกูวิ่งกันมาแทบตาย”

            ตอนนี้ยังหอบไม่หายเลย กูหายใจจะไม่ทันอยู่แล้ว

            “ชมพู่มาโน้นแล้วครับ”

            พวกผมหันไปมองที่หน้าคณะทันที เห็นชมพู่ยืนรออยู่สักพักก็มีรถยนต์คันเดียวกันกับที่ผมและอินเห็นเมื่อเช้ามาจอดเทียบก่อนที่เพื่อนของผมจะขึ้นรถไปด้วย

            “รีบตามไปเลยมึง”

            อินขับรถตามหลังรถคันนั้นไปโดยมันไม่ขับประชิด แต่เว้นระยะไว้พอให้ไม่โดนทิ้งห่าง รถคันที่มารับชมพู่เลี้ยวเข้าคอมมูนิตี้มอลล์ที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัย อินรีบเลี้ยวตามเข้าไปติด ๆ รถคันนั้นได้ที่จอดหลังจากเลี้ยวเข้าอาคารจอดรถทันที แต่รถของพวกผมโดนรถคันอื่นจี้ตูดตามหลังจำต้องรีบไปหาที่จอดรถตรงจุดอื่น พอวิ่งกลับมาดูที่รถคันนั้นก็ไม่พบใครแล้ว

            “เอาไงดีวะมึง”

ผมหันไปปรึกษาอิน หรือว่าพวกผมจะยืนรอกันอยู่ตรงนี้ดี

“กูว่าพวกนั้นน่าจะเข้าไปหาอะไรกิน แต่จะให้ไปเดินหาทีละร้านคงไม่ไหว”

“เอางี้ไหม ตรงนั้นมีร้านกาแฟที่มองเห็นรถคันนี้ พวกเราเข้าไปนั่งรออยู่ข้างในดีกว่า”

พวกผมเห็นด้วยกับความคิดที่มายเสนอมา ต่างพาเดินเข้าไปในร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกล สั่งอาหารและเครื่องดื่มมาจับจ้องโต๊ะที่มองเห็นรถคันเป้าหมายชัดที่สุดและเฝ้ารอเวลา

ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง จนผมดื่มโกโก้ปั่นกับสมูตตี้หมดไป 2 แก้ว นั่งหลับไปอีก 1 ตื่น ในที่สุดคนที่พวกเรารอคอยก็กลับมาที่รถ พวกผมรีบเดินไปที่รถคันนั้นทันทีก่อนที่ 2 คนนั่นจะขึ้นรถ

“ชมพู่”

ผมเรียกเพื่อนเมื่อเดินเข้าใกล้พอ ชมพู่หันขวับมาทันทีด้วยสีหน้าตกใจ แต่พอพวกผมเห็นหน้าผู้ชายที่มากับชมพู่กลับต้องเป็นฝ่ายตกใจยิ่งกว่า

“พี่ต้าร์”

“พี่ต้าร์”

เสียงผมกับอินประสานกันดังลั่น ส่วนเจ้าของชื่อกลับส่งยิ้มสบาย ๆ ให้

“ทำไมพี่ต้าร์ถึงมาอยู่กับชมพู่ได้ งั้นที่คนเค้าลือกันว่ามีผู้ชายมาคอยรับคอยส่งมึงนี่คือพี่ต้าร์เองเหรอวะ แล้วนี่มันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมไม่บอกกันเลยวะ”

ผมรัวคำถามเป็นชุด นี่มันอะไรกัน ทำไมไอ้ผู้ชายที่แอบคบซ้อนจะมาหลอกเพื่อนผมถึงกลายเป็นพี่ชายที่ผมนับถือไปได้

“ใจเย็น ๆ ก่อนมึง ค่อย ๆ ถามก็ได้”

ท่าทีสบายอกสบายใจของพี่ต้าร์ช่างขัดกับท่าทางเขินอายของเพื่อนผมที่ยืนอยู่ข้างกันเหลือเกิน

“อย่างไงชมพู่ มึงคบกับพี่ต้าร์ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“กี้ใจเย็น ๆ มึงเสียงดังไปละ”

อินปรามผมเบา ๆ ก็คนมันโมโหนี่ครับ ที่จู่ ๆ ก็จับได้ว่าเพื่อนสนิทตัวเองกำลังคบกับพี่ที่เคารพรักกันมานานโดยไม่บอกไม่กล่าวให้ได้รู้เลย

“มึงนี่ขี้โวยวายจริง ๆ สมควรละที่ชมพู่จะไม่กล้าบอกมึง”

“อ้าว ที่พี่ต้าร์พูดหมายความว่าไงชมพู่”

“มึงก็ใจเย็น ๆ ก่อนสิว่ะ กูไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรพวกมึงหรอกนะ แต่กูอายอ่ะ อายที่จะบอกว่ากูคบกับพี่ชายพวกมึง”

ชมพู่ทำหน้าเจื่อน ๆ ขณะที่กำลังเล่าเรื่องของมันกับพวกผม

“ชมพู่เค้าเขินน่ะที่มาจีบพี่ก่อน”

“ห๊ะ ชมพู่อ่ะนะจีบพี่ต้าร์” ผมมองหน้าเพื่อนทันที นี่มึงถึงกับจีบผู้ชายก่อนเลยเหรอ

“พี่ต้าร์ จะบอกพวกมันทำไม ก็ชมพู่บอกว่าชมพู่อาย”

“พี่ขอโทษ ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงนี่ค่ะ”

ชมพู่ตีแขนพี่ต้าร์เบา ๆ ทำท่าเขินอายบิดไปบิดมา ส่วนไอ้รุ่นพี่ผมก็ยิ้มกริ่มหยอกเอินด้วย ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกเหมือนเบาหวานจะขึ้นตาจนต้องรีบเบรกคู่รักน่าหมั่นไส้คู่นี้

“เดี๋ยว ๆ ก่อนที่จะสวีทกันให้พวกกูดู มึงเล่ามาเลยว่าอะไร อย่างไง ที่ไหน แล้วก็เมื่อไหร่”

“เออ ๆ เล่าก็ได้” ชมพู่ถอนหายใจก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมด “พวกมึงจำวันที่พวกเราไปฉลองสอบเสร็จแล้วเจอพี่ต้าร์ได้ไหม”

ผมพยักหน้า ก็วันนั้นพวกผมยังแนะนำพวกนี้กับพี่ต้าร์อยู่เลย

“ทีนี้กูก็บังเอิญไปเจอพี่เค้าอีกทีตอนประกวดดาวเดือน พี่เค้าดูน่าสนใจดี กูก็เลย...ขอแลกไลน์”

“โห ไอ้ชมพู่ มึงโคตรอ่อยเลย”

“ก็นั้นแหละ หลังจากนั้นก็คุย ๆ กันมาเรื่อย ๆ พอวันที่ประดาวเดือนพี่ต้าร์ก็มาขอกูเป็นแฟน กูก็เลยตกลงคบ”

นี่ระยะเวลาที่ 2 คนนี้คบกันมันพอ ๆ กันกับที่ผมกับอินตกลงคบกันเลยนะ แต่แม่งปิดเงียบเลย

“แล้วทำไมพี่ถึงไม่บอกพวกผมละครับพี่ต้าร์” อินถามขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบฟังอยู่นาน

“จริง ๆ พี่อยากจะบอกตั้งแต่วันที่คบกันเลยด้วยซ้ำ แต่ชมพู่ไม่ยอม”

“ทำไมวะชมพู่”

“ก็ถ้าพวกมึงรู้ เดี๋ยวพวกมึงก็จะว่ากูไปอ่อยพี่พวกมึงอ่ะดิ กูอาย” ชมพู่เม้นริมฝีแกก่อนจะตอบเสียงอ่อย

ผมไม่คิดว่าผู้หญิงก๋ากั่นแบบชมพู่จะเขินอายหรือหวั่นไหวกับคำพูดของพวกผม

“รู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงนะชมพู่ ตอนที่ได้ยินข่าวลือว่าชมพู่กำลังคบกับผู้ชายที่มีแฟนแล้ว และอาจจะกำลังโดนหลอก” มายถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยความเป็นห่วง

“ใช่ พี่ต้าร์รู้ไหมว่าข่าวลือพวกนี้มันทำให้เพื่อนผมเสียหาย มันเป็นผู้หญิงนะพี่” อินพูดเสริม

“กูรู้ กูก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่กูยืนยันนะว่ากูจริงใจกับชมพู่ กูไม่เคยคิดเล่น ๆ กูอยากจะคบกับเพื่อนมึงอย่างเปิดเผย”

“กูผิดเองแหละ กูรู้ว่ามีข่าวลือไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับกู แต่มันก็แค่เรื่องที่คนเม้ากันไปเปล่าวะ ในเมื่อกูไม่ได้เป็นแบบนั้นกูก็ไม่จำเป็นต้องไปนั่งอธิบาย หรือว่าแคร์กับคำพูดว่าคนอื่นนี่”

“แล้วอย่างพวกกูนี่เป็นคนอื่นสำหรับมึงด้วยเปล่าวะ”

ผมถามขึ้นมาเมื่อได้ยินเพื่อนของผมพูดแบบนั้น

“เฮ้ย กี้ไม่ดราม่าดิ พวกมึงเป็นเพื่อนกูนะโว้ย” ชมพู่เดินมาจับแขนผม สีหน้าของมันไม่ดีนักที่เห็นว่าผมกำลังโกรธ

“แต่มึงก็ไม่ยอมบอกพวกกูทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกกูเป็นห่วง”

ผมแม่งน้อยใจกับความคิดของมัน

ชมพู่บีบมือที่จับแขนผมเบา ๆ สองตาเริ่มมีนน้ำตาคลอ มันหันไปมองหน้าเพื่อนแต่ละคน

“กูขอโทษจริง ๆ ว่ะ กูก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ กูขอโทษ”

“กูก็ผิดด้วยที่ยอมตามใจชมพู่ ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้มันทำให้ชมพู่มีข่าวเสียหาย ต่อไปกูจะทำให้เรื่องนี้มันชัดเจน ไม่ให้ใครมาว่าชมพู่ได้อีก” พี่ต้าร์ไม่ได้ยิ้มแย้มทำท่าทางยียวนอีกต่อไป ผมรู้ว่าพี่แกก็รู้สึกผิด

“ได้ยินแบบนี้ผมก็โอเคพี่ อย่างไงก็ฝากดูแลเพื่อนผมด้วย” อินเดินไปจับมือกับพี่ต้าร์ ส่วนพี่มันก็ตอบรับด้วยการตบไหล่ไอ้อินเบา ๆ

“เฮ้ย ทำไมมึงยอมง่ายจังวะอิน” ผมโวยทันที

“มึงก็จะอะไรหนักหนา นี่มันเรื่องส่วนตัวของชมพู่” อินเดินมาโยกหัวผม ผมสะบัดหัวออกจากมือผม มันก็คว้าตัวโอบไหล่ผมไว้

“นั่นสิ เราว่ารู้ว่าชมพู่ไม่ได้โดนคนไม่ดีที่ไหนหลอกก็น่าจะพอแล้วละ” มายมึงก็เสริมตลอดเลยนะ

“เออ ก็ได้”

ผมยอมรับแต่ก็ยังทำหน้ามุ่ย ชมพู่กับพี่ต้าร์ยิ้มด้วยความดีใจ โวยวายไปแม่งก็ไม่ได้อะไร ปล่อยให้สองคนนี่รักกันดีกว่า

 

หลังจากเคลียร์ทุกประเด็นเรียบร้อย ต่างคนต่างแยกย้าย อินวนรถกลับมาส่งมายเอารถที่คณะ แล้วพวกผมก็กลับคอนโด

“ชมพู่กับพี่ตาร์นี่แม่งปิดกันเงียบเลย แม่ง กูน้อยใจว่ะ สนิทกันแท้ ๆ กลับไม่บอกเลย”

ระหว่างทางผมยังบ่นด้วยความหงุดหงิด ถึงจะบอกว่ายอมรับแล้วก็เหอะ แต่มันก็ยังรู้สึกนอยด์ ๆ อยู่ดี

“มึงก็เลิกบ่นได้แล้วกี้ ตอนนี้มึงก็รู้แล้วนี่”

“ก็พวกเราจับได้เปล่าวะ มันไม่ได้เป็นคนบอกเองซะหน่อย กูเหรออุตส่าห์เป็นห่วง”

ผมโวยต่อ ไอ้อินนี่แม่งก็ไม่เข้าข้างกูเลย ตกลงนี่มึงเป็นแฟนใครวะ

“มึงไม่มีสิทธิไปว่าเค้านะกี้”

“ทำไมกูจะว่าไม่ได้”

“มึงกล้าบอกเรื่องของกูให้เฮียมึงรู้หรือยังละ” อินถามด้วยน้ำเสียงนิ่งระหว่างที่มันกำลังเลี้ยวรถเข้าในซอย

ผมนั่งใบ้แดกไปเลยครับเมื่อได้ยินคำพูดของอิน

“เห็นไหม มึงก็ยังไม่กล้าบอกเลย ทั้ง ๆ ที่มึงก็รู้ว่าเฮียกรทั้งรักทั้งเป็นห่วงมึงแค่ไหน”

ผมนั่งเงียบ ส่วนอินก็ขับรถต่อไปจนถึงคอนโด มันจอดรถเข้าซองเรียบร้อยก็หันมามองผม

“เออ กูเข้าใจละ” ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างยอมจำนน

“ทุกคนมันก็มีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้นแหละ มึงก็ต้องเคารพการตัดสินใจของชมพู่ เหมือนที่กูก็เคารพการตัดสินใจของมึง” อินเอื้อมมือมาปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผม ผมลอบมองสีหน้าของแฟนตัวเองที่กำลังก้มมาใกล้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูนิ่งเฉย

“นี่มึงไม่ได้โกรธกูอยู่ใช่ม่ะ”

“กูไม่โกรธมึงหรอก แต่มึงลองคิดดี ๆ ละกัน ว่ามึงรู้สึกอย่างไงตอนที่รู้ว่าชมพู่กับพี่ต้าร์ปิดบังมึง แล้วมึงคิดว่าเฮียกรจะรู้สึกอย่างไงถ้ามารู้เองทีหลังว่าเราคบกัน”

ผมเม้มปากอย่างใช้ความคิด ใช่ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่อินอยากจะบอก แต่การที่จะให้ผมเดินไปบอกกับเฮียกรว่าน้องเฮียกำลังคบกับผู้ชาย มันก็เป็นเรื่องที่ยากเอามาก ๆ

“จะนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเหรอ”

ไม่รู้อินมันลงจากรถไปตอนไหน มันเดินมาเปิดประตูฝั่งที่ผมนั่งอยู่ ยื่นมือมาให้ผม ผมมองมือนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ อินเลิกคิ้วสงสัยก่อนจะยิ้มให้

“ขึ้นห้องได้แล้ว”

ผมวางมือลงไปปล่อยให้อินกุมมือเอาไว้ มองแผ่นหลังของคนที่จูงมือผมให้ก้าวเดินโดยไม่เคยสนใจสายตาใครที่มองมา

ถึงเวลาที่ผมเองก็ต้องทำทุกอย่างให้มันชัดเจน

 

TBC...

 

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 22 [22/07/2018]
«ตอบ #89 เมื่อ22-07-2018 16:21:10 »

 :L2: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด