ปฏิญญาที่ ๘เดินทางเข้าไปสู่พงไพรี
จากแดนตรีไปสู่กรงขังใหม่
ต่อจากนี้เป็นเยี่ยงไรสุดคาดได้
อาจต้องไซร้เป็นเชลยให้ย่ำยีในที่สุดก็ถึงวันที่ศีตภาต้องจากวสุนธราไป ท่ามกลางความโศกเศร้าของผู้ที่ได้รับพระเมตตาจากพระองค์ตลอดมา
ขบวนเสด็จถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ เหล่าทหารหาญเรียงแถวตรงตั้งแต่หน้าวัง ยังหน้าประตูเมือง เพื่อน้อมส่งพระราชอาคันตุกะคนสำคัญ และองค์ชายรองแห่งราชวงศ์
รานีนิศามณีทรงโอบกอดแก้วตาดวงใจของพระนางแน่น อัลสุชลไหลอาบปรางนวลด้วยอาวรณ์ ลูกน้อยของพระนางต้องจากไปแล้ว ทั้งที่ทรงเตรียมพระทัยที่จักต้องจากลาลูกคนหนึ่งไว้แต่แรก แต่คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเป็นโอรสองค์เล็กองค์นี้ แก้มตาดวงใจของแม่คนนี้ หัตถ์เรียวเล็กส่งมอบถุงหอมบุหงารำไปให้ลูกยาด้วยน้ำตาที่หลั่งริน
“แม่ให้เจ้าเก็บไว้นะลูกรัก จำไว้นะลูก... แม่จะอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ”
สุริเยนทร์ไทวะโอบกอดอนุชาของตนอย่างอ่อนโยน แม้จะทรงทำใจได้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากก็อดที่จะห่วงหา และเสียใจมิได้ พระองค์ทรงหมายมั่นไว้ในดวงกมลว่า สักวันหนึ่ง จักต้องพาเจ้าน้องยากลับสู่บ้านของเราให้ได้
ส่วนองค์หญิงคนงามศรวิษฐานั้น ทรงทอนพระเนตรเจ้าน้องของพระนางอย่างชิงชัง ความฝัน ความวาดหวังของพระนางพังทลายลง อย่างไม่เหลือชิ้นดี พระนางจะทรงเก็บความแค้นนี้ไว้ รอวันที่จะสะสางบัญชีช้ำ
เหล่าทหารทุกคนแจ้งแก่ใจดีว่าที่พวกตนยังยืนหยัด และมีชีวิตอยู่ได้นี้ ส่วนหนึ่งมาจากพระเมตตาที่เปี่ยมล้นของเจ้ารอง ที่ทูลเสนอขอให้อุษณกรมาช่วยรบในครานั้น ผ่านพระเชษฐา ทุกคนนั้นซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่องค์ศศินได้มอบให้เต็มหัวใจ
ในวันนี้ พวกเขาขอน้อมส่งเสด็จอย่างสมเกียรติ แม้นองค์เจ้าหลวงจะมิได้มีบัญชา แต่ทุกคนพร้อมใจกันเรียงแถวอย่างองอาจตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อถึงฤกษ์ยามเวลาเสด็จ ทุกนายต่างพากันชูดาบ ขึ้นซุ้มกระบี่ตลอดทางเสด็จของเจ้ารอง ถวายให้เป็นสิ่งแรก และสิ่งสุดท้าย ทดแทนคุณที่ไม่อาจจะมีโอกาสได้ทดแทนอีกต่อไป
ปวงประชาหมอบกายถวายคำนับแด่องค์ชายผู้เสียสละ ต่างรู้แจ้งแก่ใจว่าการไปของพระองค์ครั้งนี้ เป็นการไปเพื่อเป็นเชลย มิให้วสุนธราเหิมเกริมแยกตัวออกจากอุษณกร อาจจะโดนรังแก อาจจะมิได้อยู่ดีเฉกเช่นเมืองถิ่นกำเนิดอย่างเช่นที่เคยผ่าน
แม้ทุกคนจะไม่ค่อยได้พบพระพักตร์ขององค์ชายรองมากนัก แต่ความนับถือ ความเลื่อมใสที่มีต่อพระองค์ก็มิได้น้อยไปกว่าสายเลือดขัตติยะคนอื่น ๆ เลย
ตั้งแต่หน้าพระราชวัง จนถึงประตูเมือง องค์ศศินไม่อาจที่จะทำพระทัย เงยพักตร์มองผู้มาส่งเสด็จพระองค์ได้ ความเสียใจ ความคะนึงหา ถาโถมเข้ามาไม่หยุด
ต่อแต่นี้ไป... พระองค์คงมิได้กลับมาที่แห่งนี้อีก...
จำต้องจากออกจากอกมารดา
โปรดแม่จ๋ารักษากายดูแลตัว
บุตรคนนี้ของท่านนั้นแสนชั่ว
ไม่อาจดูท่านทั่วชั่วชีวัน
ใช้เวลาไม่นานก็ออกมานอกประตูเมือง มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่ที่เป็นทางเชื่อมระหว่างวสุนธราและอุษณกร ระยะทางของทั่วสองอาณาจักรนั้นไม่ได้ห่างไกลกันมากนั้น ถ้าเร่งเดินทางเพียงเจ็ดวันก็ถึงที่หมาย
และแน่นอนว่าขบวนเสด็จครั้งนี้ไม่ได้สนใจอันใดว่าจักต้องทำให้ผู้ที่พามาด้วยนั้นลำบากหรือไม่ พวกเขาเร่งเดินทางกลับเมืองแม่กันอย่างไม่หยุดพักจนถึงเย็น
วันและคืนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรเจ้าจันทราก็ห่างจากบ้านเกิดเมืองนอนมาได้ห้าวันเสียแล้ว... ช่วงเวลาที่ผ่าน แม้นว่าโอษฐ์เรียวจะคลี่ยิ้ม แต่นัยน์ตานั้นว่างเปล่ายิ่งนัก
“เสด็จพี่”เสียงทุ้มห้าวที่ไม่คุ้นเคยดังลอดเข้ามาในกระโจมที่ประทับชั่วคราวขององค์รัชทายาท ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะก้าวเข้ามาภายใน
“ภาสวร เป็นไงมาไง หืม น้องไม่ได้อยู่ในวังหรอกหรือ”รพีธรณินเงยพักตร์จากหนังสือขึ้นมาหาอนุชาแห่งตนอย่างสนเท่ห์
“เสด็จพ่อให้น้องมารอรับเสด็จพี่ที่นี่น่ะพะยะค่ะ กองทหารของเราอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ น้องให้พวกเขากระจายตัวอารักขาเสด็จพี่เรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ”สุริยภาสวรประทับลงข้างพระเชษฐา ดวงเนตรจับจ้องร่างเพรียวลมที่นั่งนิ่งอยู่ไม่ไกล “ผู้นี่คือ...”
“อ้อ... องค์ชายศศินคคนานต์แห่งวสุนธรา ศศิน นี่คืออนุชาของเรา สุริยภาสวร”หัตถ์หนาผายออก ใบหน้ามนก้มให้น้อย ๆ เชิงทักทาย แต่ก็ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา “เสด็จพ่อขุดเจ้าออกมาจากแม่นางนลินประไพได้ด้วยหรือ”
“นางกลับไปเรือนของนางน่ะ เสด็จพี่”รอยยิ้มย่องฉาบทับบนดวงพักตร์ “ท่านก็ทราบดี ว่าน้องมิได้จริงจังกับผู้ใด นางเดินเข้ามา น้องก็สนอง เพียงแค่นั้น”
“นิสัยเจ้าชู้ ไก่แจ้เช่นนี้ ควรเลิกได้แล้วนะ น้องพี่”องค์รพีส่ายพระพักตร์น้อย ๆ “ใครกันที่จะกำเจ้าให้อยู่ในมือได้ พี่อยากจะเห็นจริง ๆ”
“คงยากกระมัง”ผู้เป็นน้องหัวเราะออกมาเบา ๆ “ว่าแต่ เสด็จพ่อทรงรับสั่งให้พาอีกองค์มามิใช่หรือ”
“ถ้าเจ้าได้พบนาง เจ้าจะทำเช่นเดียวกับพี่”
สองพี่น้องสนทนาพาทีกันพักใหญ่ โดยมีแขกผู้ที่เหมือนจะได้ หรือไม่ได้รับเชิญนั่งฟังอย่างเงียบเชียบ ไม่กล่าวขัดอันใดแม้เพียงสักคำ
ความรู้สึกที่อยู่ในใจของศศินตอนนี้ คงมีเพียงความน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่อหวนคิดถึงตัวเองกับพี่น้องที่มี ไม่เคยสักคราที่จะได้พูดคุยด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ ทุกครั้งที่ได้พร้อมหน้า พระพี่นางก็มักจะกราดเกรี้ยวเสมอ ส่วนพระเชษฐาแม้จะทรงพูดคุยกับพระองค์บ้าง แต่ก็น้อยครั้งยิ่งนัก
มีแต่ตอนที่จะจากมา... ที่เจ้าพี่สุริเยนทร์พูดคุยกับตนมากกว่าเรื่องราชกิจ และเรื่องสารทุกข์สุขดิบทั่วไป
นึกแล้วก็อดเสียพระทัยไม่ได้...
คงไม่มีแล้ว วันเวลาที่จะได้นั่งฟังพี่ทั้งสองพูดคุย แม้จะเป็นแค่เพียงเงาส่วนเกิน
คงไม่มีแล้ว อ้อมกอดที่คอยปลอบประโลมในราตรี เมื่อโดนติเตียนด่าว่าอย่างรุนแรง
ไม่มีอีกแล้ว...
“เจ้าดูเศร้าหมองนัก ศศิน”รพีธรณินก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าร่างเพรียว หัตถ์อุ่นลูบกลุ่มผมนุ่มเบา ๆ “มีอะไรที่เราพอจะช่วยได้ไหม”
“คนที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมา จะไม่ให้โศกเศร้าเลย คงมิใช่กระมัง เสด็จพี่”สุริยภาสวรเอยกายพิงหมอนอิงอย่างสบายอารมณ์ “น้องว่าปล่อยองค์ชายไว้อย่างนั้นก่อนจะดีกว่านะพะยะค่ะ”
“ถ้ามีอะไรที่เราช่วยเจ้าได้ ก็บอกเรามานะ ศศิน”ว่าจบก็ทรงกลับไปประทับยังที่เดิมของพระองค์ “ภาสวร น้องคิดอย่างไรกับคำของท่านโหราจารย์น่ะ”
“น้องก็ไม่รู้ แต่เสด็จพ่อจักต้องเชื่อแน่”พระองค์ทรงยักไหล่เล็กน้อย แล้วกระตุกยิ้มที่มุมโอษฐ์ “อย่างไรเขาก็ต้องเป็นของเสด็จพี่ มิใช่หรือ”
“ไม่แน่หรอก... ท่านโหราไม่ได้บอกมาหมด เราจะได้รู้กันก็ตอนที่กลับไปถึงเท่ากัน”องค์รัชทายาททรงผินพักตร์ไปมองอนุชา “เจ้ามิได้สนใจเขาอยู่อย่างนั้นหรอกหรือ”
“มิได้ ๆ น้องชมชอบสตรีผู้งดงามมากกว่า”
คำพูดคุยที่บ่งบอกให้คนที่นั่งฟังอยู่ได้รู้เลยว่ากับราชนิกุลต่างเมืองทั้งสองกำลังพูดถึงพระองค์อยู่... หรือว่าสิ่งที่เจ้าพี่สุริเยนทร์ตรัสจะเป็นจริง...
เจ้าจันทรได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเพียงลำพัง
เมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้า นางกำนัลวัยกำดัดที่ตามเสด็จก็พากันคลานเข่าเข้ามายังหน้ากระโจมที่ประทับ พร้อมด้วยสำรับเต็มสองมือ
“เครื่องเสวยเพคะ องค์ชาย”หัวหน้านางกำนัลเอ่ยหน้ากระโจม ก่อนที่ร่างของสามขัตติยะจะก้าวออกมาจากภายใน
“ตั้งตรงนี้ล่ะ”จบคำของผู้เป็นนาย เหล่านางกำนัลก็วางเครื่องเสวยลงอย่างนุ่มนวล “นี่เป็นอาหารของเมืองเรา เจ้าลองทานดูนะ ศศิน”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”ศีตภาดวงเดียวในที่แห่งนี้เอ่ยน้อมรับ รอยยิ้มบางเบาคลี่ออกมาให้ทุกคนได้ชื่นใจ “ขอบคุณพวกเจ้ามาก”
“มิได้เพคะ เป็นหน้าที่ของพวกหม่อมฉันอยู่แล้ว”หัวหน้านางกำนัลรีบหมอบกายลงเมื่อองค์ชายต่างแดนน้อมกายให้ “ถ้าทรงโปรดสิ่งใดเพิ่ม แจ้งแก่หม่อมฉันได้ หม่อมฉันจะจัดมาถวายนะเพคะ”
“ขอบคุณ...”ดวงตาไพลินเหลือบขึ้นมองท้องนภากว้างที่เต็มไปด้วยแสงของดวงดาราที่สุกสกาว “วันนี้... เป็นคืนเดือนมืด...”
“ใช่ วันนี้คือวันแรม 15 ค่ำ”องค์รพีตรัสรับ “ทำไมหรือ”
“รัตติกาลบดเบียดบังนิศารัตน์
ให้พลาดพลัดจากท้องนภาใหญ่
ให้เจ้าดารกาเจิดจ้าไกล
ให้สว่างไสวไปทั่วแดน”คำกลอนยอยศดวงดาวถูกเอื้อนจากกลีบปากบาง ดวงตาที่เหม่อมองยังท้องอัมพรนั้นยิ่งฉายแววเศร้าโศกหาใดเปรียบ
“เจ้าจันทร์เอ๋ยโปรดเลยอย่าทุกข์ทน
สุริยนนี้จักอยู่เคียงข้างเจ้า
ทิฆัมพรนี้จะมีเพียงสองเรา
อย่าขลาดเขลาวอนอดทนอีกไม่นาน”สุริยภาสวรที่เข้าใจความนัยน์ในคำกลอนนั้นเอ่ยปลอบโยนอย่างไม่รู้องค์ “แม้นจะมองไม่เห็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า ก็มิได้หมายความว่าดวงจันทร์นั้นจะหายไปไหน หรือใครลบเลือนมันไป เพียงแต่ดวงจันทร์นั้นอาจจะกำลังช่วยผู้คนที่วอนขอพรจากดวงจันทร์อยู่ก็เป็นได้”
รอยยิ้มอ่อยโยนปนปลื้มปีติฉาบทับบนใบหน้าหวาน ดวงตาที่เคยฉายแววโศกเศร้ากลับสุกใส คำปลอบประโลมแทรกลึกเข้าไปในหัวใจที่โดนกรีดซ้ำมาหลายปี ราวกับถูกชโลมให้ชุ่มชื้นด้วยน้ำทิพย์จากสวรรค์
รอยยิ้มที่แม้แต่องค์ชายรพีธรณินก็ยังเพิ่งได้ประสบพบครั้งแรก ตรึงใจขององค์ชายทั้งสองเอาไว้ จนยากที่จะละสายตาออกไป
อย่างไร... ดวงจันทร์ดวงนี้ก็ช่างเหมาะกับรอยยิ้มที่สว่างไสว มากกว่าความโศกาที่แสดงออกมาอยู่เป็นนิจจริง ๆ
+++++++++++++++++++++++++
มีตัวละครงอกออกมาอีกหนึ่งตัวแล้วจ้า
ถ้ามีคำผิดตรงไหนบอกกันคนเขียนได้เลยนะคะ จะร่อนมาแก้ไขค่ะ ^^
ขอบคุณที่ยังอ่านกันอยู่นะคะ 5555 ขอบคุณค่ะ <3
ปล. เมื่อไหร่... จะถึงไคลแมกซ์ของเรื่อง // สลบ
ปล.2 เฮาทำไฟล์เวิร์ดตำนานรักหายค่ะ // ช้ำใจ ไปเขียนจ้าวหัวใจต่อดีกว่า